เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๓ ง้อ

หลังม่านสีเขียวผืนเรียบชายผ้าระบัดไหวน้อยๆ เพทายเห็นเงากลุ่มคนราวสามสี่คนกำลังทำอะไรสักอย่างกับผู้เป็นบิดา คาดเดาเบื้องต้นว่าคงจะเป็นกลุ่มพยาบาลกำลังช่วยกันเช็ดตัว ทำความสะอาดคนไข้อยู่หลังม่านซึ่งถูกดึงมาโอบรอบเตียงกลางห้องสี่เหลี่ยมกว้าง มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ พื้นที่เป็นสัดส่วน ประตูปิดสนิทสร้างความเป็นส่วนตัวได้มากกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

คุณตระการได้รับอนุญาตจากแพทย์เจ้าของไข้ให้ย้ายขึ้นมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้ หลังจากครบกำหนดตัดไหมบริเวณหน้าท้องเรียบร้อย และสัญญาณชีพต่างๆพ้นขีดอันตราย ระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ ถึงแม้จะยังมีท่อพลาสติกระบายโลหิตออกจากช่องปอดคาอยู่ แต่ถึงวันนี้ภาวะเลือดออกในปอดและซี่โครงหักดีขึ้นมากแล้ว สังเกตได้จากการที่ไม่มีปริมาณเลือดออกเพิ่มในขวดแก้วข้างเตียง และคุณตระการสามารถขยับพลิกตัวได้มากโดยเจ็บปวดน้อยกว่าวันแรกๆหลายเท่า และส่วนอื่นๆซึ่งทำให้ไม่สะดวกสบายตัวเท่าที่ควรก็คือยังต้องใส่สายสวนปัสสาวะ สายให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อไว้ก่อน

“ไม่ได้เจอเธอตั้งนาน อ้วนท้วนขึ้นเป็นกองเลยยายเม” เพทายเปิดฉากทักทายเพื่อนซี้ ผู้ห่างหายกันไปพักใหญ่เนื่องจากเมรีติดภารกิจลงใต้ เปิดธุรกิจ Wedding studio เพิ่มเติมที่นั่น ต้องลงไปควบคุมการสร้างหลายๆอย่างด้วยตนเอง เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพื่อนสาวที่เพทายติดต่อพูดคุยด้วยมากที่สุดในช่วงหลังมานี้จึงกลายเป็นรุ่นน้องอย่างเปี่ยมรัก
“แหม..ทักซะฉันเสียเซ้วเลยนะหล่อน เหมือนกันแหละย่ะ..” เมรีถอนหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะทำท่าสะบัดบ๊อบ ขึงตาใส่เพื่อนสนิท “ไม่เจอกันตั้งนาน..ปากดีเหมือนเดิมเป๊ะ”
เปี่ยมรักเลื่อนเก้าอี้เบาะหนังเข้ามาอีกสองตัว ผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้พี่สาวทั้งสองนั่งลงกัดกันต่ออย่างเป็นที่เป็นทางใกล้เตียงคนป่วย เห็นเพทายคลี่ยิ้มหัวเราะรื่น และเมรีก็ไม่ได้มีสีหน้าจริงจังกับคำหยอกเอินของเพื่อนซี้ บอกให้รู้ว่าบรรยากาศการทักทายแบบเป็นกันเองเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากไม่ได้มารวมตัวกันครบทีมอยู่พักใหญ่

“หนูก็ต้องขอโทษพี่เพด้วยนะคะ..ช่วงนี้อยู่เวรถี่ยิบ งานในวอร์ดก็หนักหนา หาเวลามาเยี่ยมคุณลุงช่วงกลางวันลำบาก ได้แต่แอบแวบมาตอนอยู่เวรดึกๆแค่บางคืน มาทีไรก็ไม่ได้เจอพี่เพ” เปี่ยมรักอธิบายเหตุผลที่หล่อนหายหน้าหายตาไปบ้าง ด้วยกลัวรุ่นพี่คนสวยจะหาว่าหล่อนแล้งน้ำใจ

“โฮ้ย..ไม่เป็นไรหรอก พ่อฉัน..ฉันดูแลเองสบายอยู่แล้ว อย่าไปซีเรียส”เพทายหย่อนก้นลงนั่งพลางโบกไม้โบกมือประกอบคำพูด

“ดีใจด้วยนะเพ..ได้ข่าวว่าคุณลุงอาการดีขึ้นมากแล้วนี่ ไม่ต้องอยู่ไอซียูแล้ว” เมรีเอ่ยแสดงความยินดีจากใจจริง ช่วงแรกที่เพทายแจ้งข่าวคุณตระการประสบอุบัติเหตุให้หล่อนรู้ทางโทรศัพท์ ตอนนั้นน้ำเสียงเพื่อนรักดูน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคนเจ็บเสียอีก ทว่าเวลานี้ เมรีมาเห็นกับตาตัวเอง..ทั้งพ่อเพื่อน ทั้งตัวเพื่อนอาการดีขึ้นมากด้วยกันทั้งคู่

คุณตระการยังชักชวนพูดคุยสนุกสนานเหมือนเคย ท่าทางดูแข็งแรงราวกับไม่เคยเจ็บป่วยสาหัสมาก่อน ส่วนเพทายก็หน้าตาสดชื่น น้ำเสียงสดใสเหมือนภาวะปกติที่หล่อนคุ้นชิน..เท่านี้เมรีก็พลอยรู้สึกโล่งอกไปเยอะทีเดียว
หล่อนไม่รู้หรอกว่า..อาการสดใสของเพื่อนรักที่แสดงออกมา ยังมีความหม่นหมอง เคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องของใครบางคนติดค้าง..ซ่อนเร้นอยู่ในใจมิดชิด

พยาบาลสาวรูปร่างผอมบาง ส่วนสูงไล่เลี่ยกันเพิ่งรูดม่านเก็บเข้ามุมเตียงเมื่อเสร็จภารกิจ พวกหล่อนยิ้มน้อยๆอย่างมีมารยาท ก่อนจะก้มหน้าพากันเดินเรียงแถวออกไปพร้อมอุปกรณ์ใหญ่น้อยในมือ ท่าทางสงบเสงี่ยม ประตูบานเก่ายังถูกเปิดค้างไว้ เพทายมองไล่หลังพยาบาลกลุ่มนั้นออกไป จึงได้เห็นว่ามีผู้มาใหม่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ด้วยท่วงทีกระฉับกระเฉง

ร่างสูงโปร่งในเชิ้ตแขนสั้นสีสบายตา ดวงตารีสวยเปี่ยมเสน่ห์ในแบบผู้ชาย และรอยยิ้มเปิดเผยที่ทำให้บรรยากาศรอบกายดูผ่อนคลายลงอย่างน่าอัศจรรย์..เพทายเบิกตากว้าง คลี่ริมฝีปากอุทานด้วยความยินดี หล่อนกำลังอยากเจอศิระ..มีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องการคุยกับเขาให้เร็วที่สุด

“ฉันกำลังอยากพบคุณอยู่พอดีเลย..คุณเต้” เมื่อใจนึก สองขาก็รีบพาร่างแบบบางเข้าไปใกล้จนแทบประชิดผู้มาเยือน ศิระไม่ได้มีส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทยไปสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความเป็นสาวร่างเล็กทำให้เพทายแทบจะเงยหน้าคุยกับศัลยแพทย์หนุ่ม ศีรษะของหล่อนอยู่ประมาณระดับไหล่ของเขา

“อยากพบผม?” ศิระเลิกคิ้วถาม มีแววยินดีอยู่ในน้ำเสียงฉายชัด เปี่ยมรักรีบลุกขึ้นยืนตั้งแต่เห็นเงาของชายตรงหน้า ทว่าพอเห็นท่าทาง ประกายตา และน้ำเสียงชนิดนั้น หญิงสาวถึงกับต้องชะงักฝีเท้า หยุดอยู่ที่เดิมอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แม้แต่เมรีซึ่งยังนั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้..ก็อดรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของศิระไม่ได้ หล่อนเข้าใจว่าศัลยแพทย์หนุ่มหน้าหล่อรายนี้กับเปี่ยมรักรุ่นน้องคนสวยคงเออออห่อหมกกันไปเรียบร้อยแล้ว เหตุใดศิระจึงมีประกายตาวิบวับยามทอดมองเพื่อนสนิทของหล่อน ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าสายตาแบบนั้นมันคือสายตาซึ่งชายหนุ่มใช้มองหญิงสาวที่ตนหมายปอง..และแสนรัก

“มีเรื่องอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ..” เขาทอดเสียงหวานในแบบผู้ชาย มันฟังดูอ่อนหวาน นุ่มนวลที่สุด..เท่าที่เปี่ยมรักเคยได้ยินมา “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย รีบบอกมาเลย ผมยินดีเสมอ..”
“ไปคุยกันในร้านกาแฟ..ร้านเดิมวันนั้นได้มั้ยคะ”
เพทายกำลังร้อนรน อยากปรึกษาเขาเกี่ยวกับเรื่องของใครบางคนกระทั่งลืมสังเกตอากัปกิริยา และความรู้สึกของคนรอบข้าง ลืมเสียสนิทว่าหล่อนไม่ได้อยู่ในห้องนั้นกับเขาเพียงสองคน..ยังมีสายตาจากหลายคู่มองมาทางเบื้องหลัง

“อะแฮ่ม..แฮ่ม” เสียงกระแอมไอของเมรีขัดจังหวะความเป็นส่วนตัวของผู้มาใหม่และเพื่อนสนิท หล่อนรู้สึกหงุดหงิด กับทั้งไม่พอใจท่าทีกระตือรือร้นออกนอกหน้าของเพทายจนอดกลั้นต่อไปไม่ไหว”มีเรื่องอะไรสำคัญขนาดจะให้ฉัน..และ ‘ฝอยทอง’รับรู้ไม่ได้เลยหรือยะ แม่คุณ” หญิงสาวเน้นหนักตรงชื่อเล่นของเปี่ยมรัก..หวังจะให้เพทายรู้สึกตัว มีสติขึ้นมาบ้างว่ากำลังทำอะไรอยู่

นั่นแหละเจ้าตัวถึงได้หยุดชะงัก หันขวับมามองคนเบื้องหลัง เห็นเมรีจ้องหล่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ..คุณตระการพุ่งสายตาแน่วนิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย และสุดท้าย..

เปี่ยมรัก! ใบหน้าราวกับคนอมทุกข์ นัยน์ตาหม่นเศร้าระคนตัดพ้อ หญิงสาวร่างระหงยืนเกาะพนักเก้าอี้ตัวเดิมด้วยอาการนิ่งงัน..พยายามข่มอารมณ์บางอย่างจนต้องเม้นริมฝีปากเป็นเส้นตรง

“เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว..ฉันจะคุยธุระเรื่องงานต่างหากเล่า” เพทายรีบแก้ เป็นห่วงความรู้สึกของรุ่นน้องหน้าละอ่อนมากที่สุด หล่อนระบายลมหายใจยาว “เฮ้อ..คิดอะไรกันอยู่เนี่ย คือฉัน..ยังไงดีล่ะ แบบว่า..มีเรื่องสำคัญที่ยังบอกพวกเธอไม่ได้ ต้องคุยกับคุณเต้ให้รู้เรื่องก่อน..คือ”

เพทายอธิบายตะกุกตะกัก..จะให้หล่อนพูดได้ยังไง ว่ากำลังอยากหาทางขอโทษศัลยแพทย์เจ้าของไข้ ผู้ซึ่งหล่อนไปออกอาการอาละวาดอย่างน่าอับอายไว้ในวันก่อน

ดูเหมือนคุณตระการจะถอดรหัสความลับในดวงตาหลุกหลิกของบุตรสาวตัวแสบคนนี้ได้ ชายสูงวัยจึงช่วยเอ่ยเป็นการตัดบท เพื่อให้เพทายได้รีบทำในสิ่งที่สมควรทำโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง

“เอาเถิด..มีธุระก็รีบๆจัดการให้สำเร็จ อย่ามัวชักช้า” นัยน์ตาผู้เป็นพ่อแลจับอยู่ที่ดวงหน้าบุตรสาวอย่างมีนัยรู้เท่าทัน “คนข้างหลังเดี๋ยวพ่อจะอธิบายเขาเอง..ไม่ต้องเป็นห่วง”
เป็นอีกครั้งที่เพทายแทบจะล้มตัวลงกราบกรานบุพการีด้วยความซาบซึ้ง หล่อนรีบเดินรุดหน้านำศิระออกไป..ไม่สนใจสายตาคำถามของคนเบื้องหลังอีก ความกระวนกระวายในหัวอกมันมีมากกว่าจะให้พะวงเรื่องใดทั้งสิ้นในเวลานี้


“เข้าเรื่องเลยนะคะคุณเต้..” เพทายไม่เสียเวลารีรอ รีบมุ่งสู่ประเด็นสำคัญทันทีที่บริกรเสิร์ฟเครื่องดื่มเรียบร้อย “ฉันอยากขอโทษเพื่อนของคุณ..ตอนนี้ฉันรู้สึกผิดมาก..ฉันไม่น่า..ฉัน”
ศิระยกมือเบรกเจ้าหล่อนเสียก่อนที่เขาจะงุนงงไปมากกว่านี้

“เดี๋ยวครับคุณเพ..ใจเย็นๆก่อน ผมงงไปหมดแล้ว..มันเรื่องอะไรกันหรือครับ?”
เพทายเห็นชายหนุ่มทอดมองมา แววตาบอกทั้งความประหลาดใจและตกใจระคนกัน หล่อนหยุดหายใจถี่แรง รู้สึกเครียดจนอยากจะระเบิด ไม่รู้ว่าเครียดเพราะรู้สึกผิดอย่างเดียว หรือมีอารมณ์ใดปะปนมาด้วยกันแน่

“คืออย่างงี้ค่ะ...” เมื่อตั้งสติได้แล้ว น้ำเสียงและประโยคถัดมาจึงสม่ำเสมอและปะติดปะต่อกันมากขึ้น “ฉันเพิ่งได้รู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนของคุณ..จากพ่อของฉัน อย่าเพิ่งถามเลยนะคะว่าเรื่องอะไร เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นน้ำใจของเขา กระทั่งฉันรู้สึกผิดอย่างมากที่ไปต่อว่าพาดพิงถึงพ่อแม่เขาวันนั้น..คืนนั้น..ฉันไม่คิดว่าจะได้พบเขาที่ไอซียู เขาปฏิบัติกับพ่อฉันดีมาก..มากเสียจน”

เพทายหยุดกึกอยู่แค่นั้น รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอจนไม่สามารถบรรยายต่อได้ ผิดกับศิระที่สะดุดขึ้นมาฉับพลัน เขาเอ่ยทำนองอุทานกึ่งถามย้ำ

“ว่าไงนะครับ..คุณหมายถึงคืนไหน?”
หญิงสาวเลิกคิ้วประหลาดใจกับคำถามนั้นเล็กน้อย แต่ก็อธิบายให้เขาฟังโดยดี

“คืนวันเดียวกับที่เขาให้คุณมาดูแลพ่อของฉันวันแรกไงคะ..เช้าวันนั้นคุณจำได้ไหม?”
ศิระกลอกตาทำท่ารำลึกตามคำบอกเล่าของหญิงสาว ครู่เดียวเขาก็นึกออก สีหน้าชายหนุ่มมีแววประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนถามเพื่อความแน่ใจ

“คืนนั้น..คุณเจอไอ้ชัด..กี่โมงครับ?”
“เกือบเที่ยงคืนค่ะ พอดีฉันอยู่คุยกับพ่อ..แล้วก็หมอนัท ติดลมไปหน่อยเลยกลับดึก อยู่ตั้งนานไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนคุณเลย แต่เผอิญก่อนกลับ ฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพ่อฉัน เลยย้อนกลับมา..ก็เลยเจอ”
ศิระอ้าปากค้าง กรอบตารีสวยเบิกกว้าง ประโยคถัดมาเหมือนจะรำพึงกับตัวเอง มากกว่าต้องการบอกให้คนฟังรับรู้

“ตายล่ะ..ความลับแตกสิเนี่ย”
เพทายหูผึ่ง รีบถามโพล่งขึ้นมา

“ว่าไงนะคะ..ความลับอะไร?”
แทนที่จะตอบคำถามหล่อนโดยตรง ศิระกลับถามย้อนไปเรื่องเดิม
“แล้วมันเห็นคุณเพหรือเปล่า?”
เพทายสั่นศีรษะระรัวก่อนตอบ

“ฉันแอบยืนดูอยู่หลังเสาน่ะค่ะ..ไม่หน้าด้านเข้าไปทักเขาหรอก”
ศิระทำท่าเหมือนโล่งอก ทว่าเพทายจับจ้องเขานิ่งไม่เคลื่อนสายตาไปไหน กระแสคาดคั้นจากนิลเนตรน้ำงามทำให้ศัลยแพทย์หนุ่มได้แต่นั่งอึ้ง ลังเลอยู่นานพอควร..สุดท้าย ทนสายตารบเร้าของหล่อนไม่ไหวจนต้องคายความลับออกมาหมดเปลือก

“เฮ้อ..ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมเล่าให้คุณฟังก็ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังกันต่อไป”
เพทายมองเขาเป็นเชิงบอกว่าให้รีบเล่าก่อนที่หล่อนจะหมดความอดทน

“นายชัดมันแค่ให้ผมมาแสดงละครว่าเป็นเจ้าของไข้แทนมัน เฉพาะต่อหน้าคุณ มันบังคับให้ผมจ้างสายสืบ คอยดูต้นทาง พอคุณมาเมื่อไหร่ หรือกลับไปเมื่อไหร่ให้โทรรายงานมันทุกครั้ง เพื่อจะได้จัดเวลาหลบหลีก ไม่ให้คุณได้เห็นหน้ามัน..คือที่จริงมันก็ยังเป็นเจ้าของไข้ มาตรวจตามปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าคนละเวลากับคุณเท่านั้นเอง”

“เขาคงโกรธฉันมาก..” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วในลำคอ ประโยคถัดมาที่หล่อนรำพึงให้ตัวเองได้ยินคนเดียวในใจคือ...แต่ก็ยังเป็นห่วงคุณพ่อ..ทิ้งคนไข้ของเขาไม่ลง

“คุณเพไม่โกรธเพื่อนผมเหรอครับ?” คำกล่าวของหล่อนกลับสร้างความประหลาดใจให้ศิระได้มากกว่าครั้งไหน ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตา..ผิดกับ เพทาย คนเก่าที่เขาเคยรู้จัก
“ถ้าโกรธเพื่อนคุณลง..ฉันคงเป็นมนุษย์ที่แย่ น่าเกลียดสุดๆล่ะค่ะ”

ศิระนิ่วหน้า แม้จะสัมผัสกระแสบางอย่างที่เคลือบแฝงมากับหางเสียงสั่นเครือเล็กน้อยของหล่อน แต่เขาก็พยายามลบลืมด้วยการเปลี่ยนประเด็น

“เอ..เมื่อกี้คุณเพบอกว่าเคยพาดพิงถึงพ่อแม่นายชัด..พาดพิงเรื่องอะไรหรือครับ?”
เพทายเงยหน้าขึ้นมองเขาเต็มตา สูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างคนเตรียมรับความผิดทุกข้อกล่าวหา หญิงสาวยิ่งเล่า..ยิ่งรู้สึกผิด

“ก็ตอนนั้นฉันกำลังเครียดเรื่องอาการบาดเจ็บของคุณพ่อ..ท่านยังไม่ฟื้นเสียที ฉันเสียใจมาก..ก็เลยร้องไห้ เพื่อนคุณดันมาสั่งห้ามไม่ให้ฉันร้องให้ ฉันก็โกรธ ปากมันเลยพลั้งไปทำนองว่า คนอย่างเขาไม่มีความรู้สึก สงสัยพ่อแม่ไม่รัก ไม่มีใครเอา เลยร้องไห้ไม่เป็น”

เล่าถึงตรงนี้ เพทายก็หยุดถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาเบิกตากว้างอีกครั้ง อ้าปากค้าง

“ฉันเข้าใจค่ะ คงไม่มีใครอยากได้ยินคนอื่นเอาเรื่องพ่อแม่มาล้อเล่น ฉันยอมรับผิดทุกอย่าง ยิ่งมารู้ว่า..ที่เขามาตรวจคุณพ่อหลังผ่าตัดวันนั้นสายมาก เพราะติดเคสผ่าตัดคนไข้รายอื่นไม่ได้หลับได้นอน แต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารมาดู”

“เอาเรื่องพ่อแม่มาล้อเล่น..มันไม่เท่าไหร่หรอกคุณเพ” ศิระโคลงศีรษะ แววตาบอกความเห็นใจและเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง “แต่ดันล้อถูกจุด จี้ใจดำเข้าน่ะซีครับ มันก็เลยเป็นเรื่อง”
“หมายความว่าไงคะ..ฉันไม่เห็นเข้าใจ”
เพทายขมวดคิ้วฉงน

ศิระทอดมองเลยไปไกลนอกประตูกระจก ใบไม้แห้งสีไหม้เกรียมใบหนึ่งกำลังปลิดปลิวลงมาจากกิ่งก้านของมันท่ามกลางสายฝนโปรยปราย นึกถึงความจริงข้อนี้นัยน์ตาดำขลับแลดูหม่นแสง รู้สึกสงสารเพื่อนรักจับใจ

“ชัดเจนมันมีปัญหาเรื่องครอบครัวน่ะครับ..ตอนนี้ก็อยู่คนเดียว พ่อไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมบ้าน ปีนึงจะได้เจอกันสักครั้งหรือเปล่าไม่รู้ วันสำคัญขนาดวันเกิดของมันยังไม่เคยมาหา..เอาแต่ทำงานในที่ไกลๆ...ใช้ชีวิตขลุกอยู่กับภรรยาใหม่ แม่เลี้ยงของมันน่ะครับ” ชายหนุ่มเล่าเสียงขื่น “ส่วนแม่ที่แท้จริงก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ลืมตาดูโลกไม่เคยรู้จักคำว่าแม่เหมือนชาวบ้านเขา นานมาแล้ว..มันเคยมีพ่อเป็นหลักให้ยึด มีย่าเป็นหลักให้พิง แต่ย่ามันก็เสียไปนานแล้ว พ่อที่เคยให้ความรักก็มาเหินห่าง..”

เพทายพยักหน้าช้าๆ สะเทือนใจและรู้สึกผิดยิ่งกว่าเก่าทบทวี
“ยังงี้น่ะเอง..เขาถึงโกรธฉันมาก..โธ่” หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาอีก ดวงหน้าแทบไม่มีสีเลือด “ไม่น่าเลยฉัน..ไม่น่าพูดเลย”
ศิระเอื้อมมาแตะหลังมือหล่อนเบาๆอย่างจะให้กำลังใจ

“ช่างเถอะครับ..เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ คำพูดก็แค่ลมปากชั่วครู่ ผมเข้าใจคุณนะ เวลาคนเราโมโหจัดๆ พูดอะไรออกไปบางทีก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก ไอ้ชัดก็เหมือนกัน..ผมเชื่อว่ามันโกรธคุณได้ไม่นาน..เดี๋ยวก็ลืมไปเอง”

“เพื่อนคุณนี่เหมือนทะเลเลยนะ..ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย..” เพทายเปรยขึ้นมาลอยๆ กระตุกความสนใจของศัลยแพทย์หนุ่มอย่างยิ่ง
“เอ..พักหลังๆ ตั้งแต่มันเลิกกับแฟนคนล่าสุด..ผมยังไม่เคยเห็นภาคดีที่มันมีต่อผู้หญิงสวยๆอีกเลย ไอ้ชัดมันเคยญาติดีกับคุณด้วยเหรอ?”

หญิงสาวเลิกคิ้วเป็นเชิงให้รู้ว่าประหลาดใจ ก่อนเล่าไปถึงความทรงจำบางอย่างที่ยังติดตรึง
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน..นั่นเรียกว่าภาคดีของเขาหรือเปล่า..แต่คุณเต้เชื่อไหม เขาเรียกอะไรเป็นรางวัลตอบแทนในเกมครั้งนั้น”

“เกม..ตีแบดวันนั้นน่ะหรือครับ?”
เพทายพยักหน้าแทนคำตอบก่อนเฉลย

“เขาอาสาพาฉันไปโรงพยาบาล ฝอยทองคงเล่าให้คุณฟังแล้ว ตอนนั้นฉันกระโดดลงมาข้อเท้าหัก..นอกจากจะพาไปโรงพยาบาล..เขายังเป็นคนใส่เฝือกให้ฉันด้วยตัวเอง..นั่นล่ะรางวัลตอบแทนที่เขาต้องการ..น่าแปลกไหมล่ะคะ?”
แล้วหญิงสาวก็พบว่าคนฟังที่นั่งตรงข้ามถึงกับนิ่งอึ้ง ใบหน้าถอดสี คำถามประโยคนั้นศิระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าพิกล นัยน์ตามีประกายบางอย่างเคลือบแฝง

“จริงหรือคุณเพ..แปลกสิครับ..แปลกมากทีเดียว”


เพทายยังยืนพิงอยู่หลังประตูบานนั้น มองลอดกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆระดับสายตาเข้าไปก็พอแลเห็นความเคลื่อนไหวด้านใน..ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางประดับวอลเปเปอร์สีเขียวตองอ่อนรอบผนัง กึ่งกลางคือเตียงผู้ป่วยคุณภาพดีเยี่ยม ออกแบบทันสมัยกว่าเตียงในห้องรวมหรือแม้แต่ในไอซียู สมราคาห้องพิเศษระดับผู้ป่วยวีไอพี เลยออกไปอีกราวสามสี่เมตรเป็นระเบียงพื้นที่กว้าง หน้าประตูกระจกเลื่อนมีผ้าม่านฉลุลายสวยงามผูกรวบอยู่ตรงมุมทั้งสองข้าง
คุณตระการกำลังเอนหลังในท่านั่งพิงฟูกขาว ซึ่งถูกรีโมทควบคุมให้ยกสูงขึ้นมาระดับครึ่งหนึ่งของตั้งฉาก เสื้อสีเดียวกับผนังห้องถูกปลดกระดุมออกจนหมดทุกเม็ด เผยให้เห็นแผงอกกว้าง

หล่อนเห็นชัดเจนกำลังเอามือขยับท่อระบายจากช่องปอดซึ่งโผล่พ้นระดับราวนมออกมา ปากก็ขยับพูดอะไรสักอย่างกับพ่อของหล่อน และดูเหมือนคุณตระการจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมีรอยยิ้มประดับทั้งตาทั้งปากทุกครั้งที่ตอบรับพูดคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้

แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดราวตีห้าเศษ เพทายก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขาร บิดขี้เกียจฝืนลุกจากที่นอนมาได้ตามคำนัดหมายของศิระ ผ่านโทรศัพท์มือถือเมื่อตอนเที่ยงคืน คืนนี้หล่อนนอนพักผ่อนไม่ถึงสามชั่วโมง เพราะกว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็ปาเข้าไปตีสองครึ่ง ในใจมันกระวนกระวาย อยากพบ อยากเอ่ยคำขอโทษนายหมอผีเจาะปากคนนั้นเร็วๆ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยรู้สึกผิดกับใครได้มากเท่าครั้งนี้มาก่อน

เมื่อวาน..ในร้านกาแฟแห่งนั้น เพทายนั่งสนทนากับศิระจนถึงเย็น ช่วงก่อนกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง เพทายขอร้องให้เขาช่วยหล่อน ด้วยเหตุที่ว่าหญิงสาวไม่เคยพบชัดเจนอีกเลย หลังจากคืนที่หล่อนลืมกระเป๋าไว้ในไอซียู กระทั่งคุณตระการย้ายมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษ หล่อนก็เห็นแต่ศิระมาตรวจอาการพ่อของหล่อนทุกค่ำเช้า ราวกับเป็นเจ้าของไข้เสียเอง

พอมารู้ความจริงจากศิระ ว่าเขาถูกบังคับแกมขอร้องจากเพื่อนสนิทให้เป็นคนส่งข่าว หาต้นทางสืบเวลาเยี่ยมไข้ ตั้งแต่ขามาและขากลับของหล่อน จึงได้รู้สาเหตุว่าทำไมถึงไม่เคยพบศัลยแพทย์หนุ่มคู่ปรับผู้นั้นอีกเลย หญิงสาวขอร้องศิระให้หาโอกาสปล่อยข่าวบิดเบือน ว่าหล่อนจะไม่มาเยี่ยมผู้เป็นบิดาหนึ่งวันเนื่องด้วยติดภารกิจสำคัญ..ซึ่งก็คือวันนี้นั่นเอง

ศิระอิดออดอยู่พักใหญ่ กว่าจะยอมจำนนทำตามแผนการของหญิงสาว เพทายพยายามงัดมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน บีบน้ำตาแล้วบีบน้ำตาอีกเรียกความเห็นใจจากเขา ทั้งที่เกิดมายังไม่เคยทำอะไรน่าอายชนิดนี้มาก่อน..ทว่าครั้งนี้หล่อนทุ่มสุดตัว นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะอยากพบชัดเจน..และอยากขอโทษเขาถึงขนาดต้องลงทุนทำอะไรแบบนี้

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ..เป็นยังไงบ้างคะวันนี้” เพทายกลั้นใจ ผลักประตูแล้วก้าวขายาวๆเข้าไปถึงเตียงคนไข้ในเวลาอันรวดเร็ว หล่อนเคาะให้สัญญาณคนข้างในพอเป็นมารยาท ไม่รอให้เขาเชื้อเชิญเข้ามาก็สืบเท้าเดินมาเลยอย่างคนใจร้อน คำทักทายแรกหล่อนมอบให้กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งรายนั้นก็ยิ้มรับอ่อนโยน มองสวนกลับมาด้วยแววตารู้เท่าทัน ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่จู่ๆหล่อนก็โผล่พรวดเข้ามาในเวลาเช้ามืด ผิดปกติไปจากทุกวัน

แตกต่างกับชัดเจน..เขาชะงักมือไม้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับท่อพลาสติกบนแผงอกของคุณตระการ เงยหน้ามามองหล่อนด้วยสายตาคาดไม่ถึง

“มาได้ยังไง..ไหนว่า..” คำถามนั้นเหมือนเขาอุทานกับตัวเองมากกว่าต้องการจะได้คำตอบจากหล่อน ชัดเจนรีบกลืนคำพูดลงคอเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะหลุดความลับชิ้นสำคัญออกไป เขากระแอมไอกลบเกลื่อน ก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจอุปกรณ์การแพทย์บนเตียงตามเดิม หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดไหมซึ่งผูกโยงระหว่างท่อระบายโลหิตจากช่องปอดกับผิวหนังบริเวณราวนม ชายหนุ่มผินหน้าดึงความสนใจทั้งหมดมาที่คุณตระการ อธิบายเสียงเรียบเรื่อยกับคนไข้วีไอพี นัยน์ตาทอดมองลงเพียงจุดเดียว เสมือนไม่เห็นหล่อนยืนอยู่ในขอบเขตลานสายตา

“ไม่มีเลือดหรือลมรั่วออกเพิ่มเป็นเวลาพอสมควรแล้ว..กระดูกซี่โครงที่หักก็ไม่ได้เคลื่อนออกจากกัน น่าจะเชื่อมติดได้เร็ว เอ็กซเรย์ปอดก็ดูดีกว่าวันแรกมากทีเดียว ที่สำคัญคือไม่มีร่องรอยของเลือดและลมอีก วันนี้ผมถอดท่อระบายออกให้..คุณลุงคงสบายตัวขึ้นเยอะ ส่วนเรื่องอาหารตอนนี้กินได้ตามปกตินะครับ พักฟื้นอีกไม่กี่วันน่าจะกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวรอเอ็กซเรย์ชนิดพิเศษตรงกระเพาะปัสสาวะดูว่ายังมีรอยปริแตก..มีปัสสาวะรั่วออกมาอีกไหม แล้วผมจะแจ้งให้คุณลุงทราบ ว่าต้องคาสายสวนปัสสาวะกลับบ้าน หรือถอดออกได้”

คุณตระการพยักหน้า นัยน์ตาประสานตอบศัลยแพทย์หนุ่มเต็มไปด้วยความนับถือ ชายสูงวัยจงใจโฟกัสความสำคัญไปที่ใบหน้าของชัดเจนเพียงจุดเดียว มืออีกข้างที่ว่างก็คว้ารีโมทขึ้นกดปุ่มปิดเสียงดังรบกวนจากโทรทัศน์จอแบนซึ่งตั้งห่างออกไปในทิศเดียวกับปลายเตียง..เพทายรู้สึกน้อยใจที่ทุกคนกำลังทำเสมือนหล่อนเป็นส่วนเกินไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุในห้องนั้น

“แต่พอกลับไป..คุณลุงยังต้องพักฟื้นที่บ้านต่ออย่างน้อยหนึ่งเดือนนะครับ งดยกของหนัก หรือทำกิจกรรมหนักๆทุกชนิด นั่งๆนอนๆให้คนในบ้านช่วยดูแลประคับประคองกันไปก่อน”

“ครับ..คุณหมอไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด แค่รอดชีวิตมาได้ก็บุญโขเท่าไหร่แล้ว..นี่ยังมีโอกาสกลับไปนั่งนอนที่บ้านอีก ข้อห้ามของคุณหมอไม่ถือเป็นเรื่องลำบากเลยสักนิด”
บทสนทนาสอดรับกันดีของบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ เพทายทนไม่ไหวและไม่อยากเสียเวลารออะไรอีกแล้ว หล่อนยอมเสียมารยาททะลุกลางปล้องขึ้นมา เนื้อความที่พูดกับทั้งสายตาที่มองมุ่งตรงไปยังเป้าหมายคือชัดเจนเพียงคนเดียว

“ฉันขอโทษ..ฉันยอมรับผิดทั้งหมด คุณได้ยินไหม..ขอร้องล่ะ เลิกหลบหน้าฉันเสียที”
น้ำเสียงนั้นปราศจากเล่ห์เหลี่ยมหรือเลศนัยเคลือบแฝง ถึงแม้มันจะเป็นน้ำเสียงแหลมๆที่ฟังดูห้วนไม่อ่อนหวานอย่างผู้หญิงสวยคนหนึ่งจะพึงเอ่ย แต่ชัดเจนก็สัมผัสได้ว่ามันออกมาจากใจ อย่างคนซื่อๆไม่มีพิษภัยคนหนึ่ง

“จะให้ฉันชดใช้ความผิดครั้งนี้ยังไงก็ยอม..คุณบอกมาได้เลย”

ชัดเจนเหลือบหางตามามองหล่อนแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เหลียวกลับไปเจรจากับพ่อของหล่อนตามเดิม ราวกับคนใจหินที่ไม่สะทกสะท้านกับคำอ้อนวอนใดๆของอิสตรี

“เดี๋ยวผมจะดึงท่อออกแล้วนะครับ คุณลุงหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดแล้วกลั้นเอาไว้นิ่งๆ จนกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะหลุดพ้นจากตัวหมดทั้งอัน”
คุณตระการพยักหน้าก่อนทำตามคำแนะนำนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เวลาเพียงเสี้ยวนาทีท่อพลาสติกระบายโลหิตก็ถูกถอดออกมาจากช่องอก ชายสูงวัยรู้สึกเสียวแปลบเพียงเล็กน้อยระหว่างการดึง ไม่ถึงกับเจ็บปวด

ชัดเจนก้มลงหยิบผ้าก๊อซที่เตรียมไว้แล้วในเซ็ทขึ้นปิดบาดแผลรูโหว่ ตรวจสอบความแน่นหนามิดชิดจนเรียบร้อยดี แล้วเงยหน้าขึ้นอำลาเสียงนุ่มนวล

“นอนพักเยอะๆ นะครับ..ผมขอตัวก่อน มีคิวคนไข้รอผ่าตัดเช้านี้”
คุณตระการกล่าวคำขอบคุณแพทย์หนุ่ม หัวเราะเบาๆออกมาด้วยความสบายใจ นัยน์ตากรอบใหญ่มองตามชัดเจนไปทุกฝีก้าว เห็นทุกอากัปกิริยาของเขา ตั้งแต่จงใจเดินเฉียดไหล่บางของบุตรสาวจนกระทั่งเปิดประตูออกไป เพทายได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ดวงหน้าแดงก่ำสลับขาวซีดไปมา

คำพูดสุดท้ายที่ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆกับดินฟ้าอากาศนั่น..ควรอยู่หรอกที่ลูกสาวเขาจะโกรธ..แต่ผู้เป็นพ่อก็ปล่อยไปเลยตามเลย..ด้วยหวังว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เพทายรู้จักคำว่าสำนึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว

“เฮ้อ..เบื่อจริงๆ พวกชอบสำคัญตัวผิด”




ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ค. 2556, 10:19:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2556, 10:19:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2081





<< บทที่๑๒ ความจริงหลังฉาก ๒/๒   บทที่๑๔ การกลับมาของ 'เปรมฤดี' ๑/๒ >>
wii 5 พ.ค. 2556, 10:37:13 น.
อ้าวมาว่าเขาสำคัญตัวเองผิดใด้ไง ตัวเองปากเสียเเท้ๆ ทุกคนก็มีกลไกป้องกันตัวเเตกต่างกันออกไป เพทายก็มีกลไกของเธอเอง เเล้วทีตัวเองยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเล๊ย ตอนที่เพทายพูดเเทงใจดำหน่ะ นี่เเหละมีเเต่ปากเอาเเต่พูดไม่นึกถึงใจคนอื่นเขา พอคนเขาพูดถูกใจดำเข้าก็ทนไม่ใด้ซะเเล้ว


ศิลาริน 5 พ.ค. 2556, 10:43:22 น.
@คุณwii: คนเอาแต่ใจก็งี้แหละ เลยไม่มีใครเอา 55


mhengjhy 5 พ.ค. 2556, 12:00:39 น.
เอ่อ คุณเพทาย..ถือว่าได้ขอโทษแล้ว ช่างเขาไหมคะ ท่ามากเสียจริง


ศิลาริน 5 พ.ค. 2556, 12:20:18 น.
@คุณกานต์นวีร์ : ไม่น่าเลยเนอะๆ ปากดีเสมอต้นเสมอปลายเลยล่ะพระเอกเรา @คุณmhengjhy : รู้สึกบทนี้คะแนนความเห็นใจจากผู้อ่านจะเทมาที่เพทายแทนชัดเจน 555


กานต์นวีร์ 5 พ.ค. 2556, 13:12:53 น.
สงสารเพทายมากกกกกกกกกกก


ศิลาริน 5 พ.ค. 2556, 17:24:31 น.
@คุณกานต์นวีร์ : นางเอกเราเรียกคะแนนสงสารกลับมาได้บ้างแล้ว อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account