เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๑๕ พายุหมุน ๒/๒

เพทายตัดสินใจใช้พลังงานเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ ออกแรงดันแผงอกกว้างด้วยสองฝ่ามือ หล่อนต้องสูดลมหายใจลึกยาวหลายครั้งกว่าภารกิจนี้จะสำเร็จลงได้

แผ่นหลังแข็งแรงของชัดเจนกระแทกตึงลงกับพื้นพรม เกิดเสียงเหมือนของหนักสะเทือนพื้นบ้าน กลิ่นสุราตลบอบอวลไปรอบกาย จุดกำเนิดหลักออกมาจากริมฝีปากและลมหายใจเจ้าของร่างผู้นอนแน่นิ่ง ทรวงอกชายหนุ่มกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ งานของเพทายทำให้หล่อนต้องกลายเป็นสาวสังคมในหลายครั้งก็จริง ทว่าหญิงสาวไม่เคยดื่มหนักจนเมามายหมดสติ หมดสารรูปขนาดนี้

แทนที่หล่อนจะนึกรังเกียจ ขยะแขยงเขา อย่างที่เคยขยาดหนุ่มเสเพลนักดื่มมาแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับตอบตัวเองไม่ได้ เหตุใดคราวนี้จึงไม่เป็นเช่นนั้น หล่อนยันกายขึ้นนั่งคุกเข่า จ้องมองเจ้าของบ้านอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ชัดเจนในยามนี้หมดสิ้นฤทธิ์เดช ไร้ซึ่งมาดหยิ่ง ทระนง และจองหอง

ยิ่งได้ฟังประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากภายใต้ไรหนวดเขียวครึ้มนั่นด้วยแล้ว เพทายก็ต้องเผลอยิ้มไปกับเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ย่า..ย่าครับ ผมคิดถึงย่า”
“อย่าทิ้งผมไป..พ่อไม่รักผม..พ่อเกลียดผม..พ่อ..”

เสียงของชัดเจนสะดุดลงชั่วครู่ ชายหนุ่มหายใจกระชั้นถี่ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไขว่คว้าอากาศว่างเปล่า อาการเพ้อพกทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิทบอกให้รู้ว่าเป็นอาการของคนละเมอ..ละเมอจากฤทธิ์น้ำเมานั่นแหละ เพทายสรุปในใจเช่นนั้น
“ย่า..ย่าไม”

เสียงห้าวนั้นแหบพร่าระคนสั่นเครือ ริมฝีปากสีชาดเอ่ยชื่อบุคคลอันเป็นที่รักออกมาครั้งสุดท้าย กระแสเสียงขาดเป็นห้วงๆ แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น มือข้างเดิมตกลู่ลงพื้น คอพับนิ่งสนิทไปอีกด้านหนึ่ง เพทายแลเห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมเฉียบ จมูกเป็นสันเด่น และเคราสากข้างแก้มของเขา ทรวงอกไหวกระเพื่อมช้าลง นับจากนั้นบรรยากาศรอบกายก็เงียบงัน ได้ยินแค่เสียงหัวใจของตนที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

“โธ โถ่ โธ่ โธ้ โถ..พ่อเด็กหนุ่มมีเครา” เพทายไล่เสียงผันวรรณยุกต์กลั้วหัวเราะ นัยน์ตากรอบสวยกระพริบขึ้นลงถี่ๆ แพขนตาหนาทาบทับเหนือโหนกแก้ม หล่อนกำลังพิจารณาอยู่ว่า...ภาพ และเสียงที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า..ใช่ ‘หมอผีเจาะปาก’ คนเดิม ตัวจริงเสียงจริงหรือเปล่า หรือเพียงมายาหลอกตาชั่วครู่ชั่วยาม

เสียงหัวเราะสดใสกับทั้งประกายตาเจิดจ้าแฝงแววซุกซน หล่อนกลอกตาขึ้นลงสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง เผ้าผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ ท่านอนแผ่หลาหมดสภาพเสียจนดูไม่ได้ คุณหมอหนุ่มไฟแรง..คนเก่ง..คนปากดีคนเดิมหายไปไหนเสียเล่า เพทายจ้องเขาด้วยความรู้สึกสมใจ ตื่นเต้นราวกับได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ อันประหลาดในโลก แง่มุมหลบใน แปลกใหม่ของผู้ชายคนนี้..มุมที่หล่อนไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัส

“เด็กน้อยเอ๋ย..นายมันก็แค่เด็กน้อยขาดความอบอุ่นคนนึงเท่านั้น” นักวางแผนสาวกอดอก ยืดตัว โคลงศีรษะไปมา ถามว่าหล่อนสมเพชเขาหรือ?..เปล่าเลย หล่อนชอบ หล่อนพึงใจที่ได้เห็นมุมนี้ของเขา มุมซึ่งถอดอีโก้ ถอนความถือดีในตัวลงบ้าง

มันก็แค่ความรู้สึกเหมือนได้เจอของแปลก เรื่องราวใหม่ๆเท่านั้นแหละ..ไม่ใช่อะไรอื่น ปราศจากความรู้สึกพิเศษใดๆเจือปน หญิงสาวสะกดจิตตัวเองให้เชื่อเช่นนั้น

ขณะกำลังนั่งชื่นชม ‘เด็กน้อย’ ขยับปากขึ้นลงอย่างไร้ความหมาย สลับกับเสียงกัดฟันกรอดๆของคนตัวโตที่กลิ่นเหล้าฟุ้งกำจาย มือเล็กบางก็บังเอิญไปสัมผัสถูกต้นแขนอันแข็งแรงด้วยมัดกล้าม อุณหภูมิซึ่งแตกต่างระหว่างสัมผัสทั้งสองทำให้เพทายสะดุ้ง กระไอร้อนแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขามากขึ้นทุกขณะ

“เฮ้ย!” หญิงสาวอุทาน แนบสองฝ่ามือปะป่ายสัมผัสไปตามแขนของศัลยแพทย์หนุ่ม ระเรื่อยขึ้นมาถึงใบหน้า ใช้หลังมืออังหน้าผากเขาเพื่อยืนยันประสาทสัมผัสตัวเองอีกครั้ง “หมอเป็นไข้เว้ยเฮ้ย..ตัวร้อนจี๋เลย”

หากชัดเจนจะมีสติ ลืมตาขึ้นมาตอบโต้หล่อนบ้าง เขาคงสบถใส่ทำนองว่า..หมอไม่ใช่คนรึไง..ทำไมจะเป็นไข้ไม่ได้(วะ)

เพทายไม่เสียเวลารีรออะไรอีก หล่อนหยัดกายขึ้นยืน ใช้มือยกท่อนแขนหนาหนักของเขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า แขนเรียวบางอีกข้างสอดประคองใต้ลำตัวช่วงบั้นเอว ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีฉุดเขาขึ้นมา หรือจะเรียกให้ถูกคือแบกขึ้นมาจนแทบจะล้มพับลงไปกองด้วยกันบนโซฟาตัวยาวเหนือผืนพรม

“ตัวหนักชิบเป๋ง..คนบ้าอะไรเนี่ย” หญิงสาวต้องเสียเวลานั่งหอบแฮกๆอยู่บนเบาะแนบชิดกับเขานานทีเดียว กว่าจะรวบรวมกำลังลุกยืนให้ทรงตัวได้ดี

เหลียวซ้ายแลขวาหาตัวช่วย แล้วก็เห็นตู้กระจกติดผนังไม่ไกลจากตรงนั้น ซองยาสามัญประจำบ้านวางเรียงให้เห็นอยู่ลิบๆ ทว่าพอไตร่ตรองให้ดี..เหลือบมามองคนบนเบาะอีกครั้ง..เปลือกตาของเขายังประกบสนิทแน่นทั้งสองข้าง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆนอกจากแผ่นอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะตามการหายใจ หล่อนใช้ฝ่ามือตบต้นแขน ลองทดสอบ

“คุณ..” พร้อมกรอกเสียงลงข้างหู ทว่าไม่มีการขยับเขยื้อนใดหลังจากนั้น
หล่อนส่ายหน้าให้กับตัวเอง..เปล่าประโยชน์ ยาพวกนั้นจะเอามากรอกลงคอเขาอย่างไรได้ หลับลึกขนาดนี้ ป้อนให้ก็สำลักตายกันพอดี

เหลียวหาตัวช่วยลำดับที่สอง..อาจจะมีแม่บ้าน หรือคนในครอบครัวเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ หล่อนคิดว่าหากได้คนใกล้ชิดชายหนุ่มมาช่วยอีกแรงก็น่าจะดีกว่า

“มีใครอยู่ไหมคะ..คุณชัดเจนไม่สบาย” เพทายยกมือป้องปากตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง สืบเท้าเดินหาผู้ร่วมชายคาทุกซอกทุกมุมในชั้นล่าง ต้องกระโดดข้ามเศษแก้วแตกกระจายตรงบริเวณนั้นอย่างน่าหวาดเสียว หมายมั่นว่าหากจัดการเรื่องคนตัวโตได้แล้ว หล่อนจะต้องรีบมาเก็บกวาดชิ้นส่วนพวกนี้ออกไปโดยด่วน

ทว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลยที่ท่านเรียก ขนาดถือวิสาสะกระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้น ชะโงกหน้าไปถึงชั้นบน ก็ยังไม่มีวี่แววผู้ร่วมชายคาแม้แต่รายเดียว กระทั่งหล่อนหมดความพยายามลำดับที่สองของตัวเองลงเพียงเท่านั้น ตะเกียงความคิดสว่างวาบในสมอง จุดประกายตัวช่วยลำดับสุดท้ายขึ้นมา

“กะละมังกับผ้าขนหนู ใช่แล้ว..เช็ดตัวไปก่อน” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง”อย่างน้อยก็ช่วยลดไข้ไปพลางๆ” จะให้หล่อนโทรเรียกรถพยาบาลมารับเขาด้วยเหตุผลเพียงว่า..คุณหมอไข้ขึ้นหลังแฮ้งเหล้าแค่ไม่ถึงชั่วโมง..มันคงจะดูงี่เง่าเกินไป เรื่องแค่นี้หล่อนไม่อยากโชว์โง่ให้ใครเห็น

ฝ่าเท้าทั้งสองมาหยุดนิ่งกระทบพื้นใกล้ประตูหลังบ้าน ห้องน้ำตรงนั้นมีประตูเปิดอ้า แสงแดดลอดผ่านบานเกล็ดส่องให้เห็นวัตถุที่กำลังต้องการพอดิบพอดี กะลังมังใบขาวนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้อ่างล้างมือ ผ้าขนหนูขนาดพอดีมือตากพาดอยู่บนราวผนังฝั่งตรงข้าม เพทายคลี่ยิ้ม ก้มลงหยิบขึ้นมา บิดก๊อกเหนืออ่าง เติมน้ำลงไปครึ่งหนึ่ง ไอเย็นของน้ำใสกระเซ็นซ่านขึ้นมายังนิ้วเรียว หล่อนระบายลมหายใจโล่งอก ปัญหาเฉพาะหน้านี้จะได้ผ่านพ้นไปเสียที

หญิงสาวกลั้นใจอยู่เกือบนาที หลังจากจุ่มผ้าขนหนูลงกะละมัง บิดพอหมาด ถือค้างไว้ในมือ กลอกตามองคนบนเบาะสลับกับผ้าผืนนั้นไปมา บอกตัวเองว่ากำลังทำหน้าที่พลเมืองดี อย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน หล่อนไม่ได้ทำด้วยความพิศวาส..ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรเขามากมาย ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว

“เพ..เพทาย..”
มือที่จับผ้า..ซับเหงื่อบนหน้าผากคนไร้สติหยุดชะงัก ชัดเจนเรียกหล่อนงั้นหรือ? เขาฟื้นแล้ว?
“ตื่นแล้วเหรอคุณ..” เพทายก้มลงถามเสียงกระซิบ เห็นเปลือกตาเขายังปิดสนิท ลองเอามือเขย่าต้นแขนก็ไร้การตอบสนอง..เขาละเมออีกแล้ว..ว่าแต่ ทำไมต้องละเมอเรียกชื่อหล่อน

“ตาบ้า..”
เพทายทุบกำปั้นลงต้นแขนเขาดังปั้ก ไม่เข้าใจว่าทำไมพวงแก้มถึงต้องร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยนะ
แต่แล้วก็รีบสลัดความคิดบางอย่างออกไป เขาคงเกลียดหล่อนจนขึ้นสมองต่างหาก..ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“เฮ้อ..นี่คุณยังโกรธฉันอยู่ใช่มั้ย” เอ่ยเหมือนอยากรำพึงตัดพ้อ มากกว่าต้องการคำตอบใดๆจากริมฝีปากหยักสวย หญิงสาวรีบเอาผ้าผืนนั้นลูบแขนลูบขา เช็ดไปจนทั่วลำตัวเท่าที่จะไม่ล่วงล้ำเรือนร่างของคนตัวใหญ่มากเกินพอดี หล่อนกลั้นใจถอดแค่เพียงเสื้อยืดโปโลออกจากตัวของเขา ยากลำบากทีเดียวกว่าจะทำสำเร็จ ทว่าแค่นั้นก็ทำให้ใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ ทุกขณะที่ผืนผ้าคั่นบางๆระหว่างฝ่ามือเล็กของหล่อนกับแผงอกของเขา เพทายต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง..หล่อนเคยสัมผัสเนื้อตัวเพศตรงข้ามใกล้ชิดขนาดนี้เสียที่ไหน

พอชุบน้ำบิดหมาดๆ ม้วนผ้าเป็นปึกวางแช่ไว้ตรงลำคอเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็รีบผละออกมาจากโซฟาตัวนั้นทันที เหลียวหาไม้กวาดกับที่โกย เห็นของสองสิ่งนั้นวางแอบอยู่ตรงใต้ถุนบันได หล่อนเลยรีบสาวเท้ายาวๆไปยังที่หมาย จัดการเก็บกวาดเศษแก้วตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก หญิงสาวดูจะเพ่งเล็ง..เก็บเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้นปาร์เก้ตรงนั้นมากเป็นพิเศษ พยายามมีสมาธิจดจ่ออยู่กับภารกิจชั่วคราว สะบัดศีรษะขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆออกไปให้เร็วที่สุด

เศษแก้วชิ้นสุดท้ายถูกกวาดรวบเข้าสู่ที่โกย เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะดังมาจากผนังบ้านใกล้ประตูทางเข้า เพทายกวาดตามองหาถังขยะ เมื่อเห็นถุงสีดำโผล่พ้นถังทรงกลมติดระเบียงด้านหลัง หล่อนก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเทเศษแก้วทิ้งตรงนั้น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อซึ่งผุดพราวเต็มหน้าผากมน หันรีหันขวาง เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวยาวๆกลับมา ตัดสินใจยกกระบอกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู..กรอกเสียงลงไป

“สวัสดีค่ะ..”
“นั่นใครน่ะ” เสียงแหลมก้องของผู้หญิงคนนั้นดังแสบแก้วหู เพทายยกกระบอกโทรศัพท์ออกห่างครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติ ตอบเสียงเรียบนิ่ง

“เพื่อนเจ้าของบ้าน”
“เพื่อนเหรอ..โกหก..เธอโกหกฉันแน่ๆ”
เจอสวนมาอย่างนั้นเพทายเลยเลือดขึ้นหน้า กระแทกเสียงดังฟังชัดกลับไปไม่แพ้กัน

“แล้วยังไง โกหกไม่โกหก คุณจะทำไมฉัน บอกไว้ก่อนนะ ตอนนี้คุณชัดเขาไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้หญิงน่ารำคาญ ไร้มารยาทอย่างคุณ”

“กล้าดียังไงมาตวาดใส่ฉัน..เธอรู้ไหม..ฉันเป็นใคร”
แม้คนปลายสายไม่ได้กรีดร้องเสียงแปร๋นอย่างนางร้ายในละครหลังข่าว ทว่าน้ำเสียงเยือกเย็น เฉียบขาด ของแม่สาวปริศนา บ่งบอกให้รู้ว่าหล่อนกำลังสกัดกลั้นอารมณ์เดือดพล่านไว้อย่างเต็มที่

หากเป็นคนอื่น..กระแสเสียงจากเปรมฤดีคงทำให้ใครคนนั้นตัวสั่นงันงก นิ่งอึ้งราวถูกสาปไปแล้ว ทว่าไม่ใช่คนอย่างเพทาย

“ไม่รู้..แล้วก็ไม่อยากรู้ ขอโทษเถอะค่ะ..คุณมีธุระอะไรจะฝากไว้ไหม” หญิงสาวสวนกลับ เสียงเรียบเรื่อยของหล่อนบอกว่าไม่แยแส..ไม่เกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด

“ทำไมต้องฝาก..ตามชัดเจนมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้”
คนปลายสายประกาศเป็นเชิงบังคับ เพทายส่ายหน้าระอาใจ ขืนทนต่อปากต่อคำกับแม่นี่ คงไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง..หญิงสาวเอ่ยตัดบททันที

“คุณชัดยังไม่สะดวกคุยกับใคร..แค่นี้นะคะ”
หล่อนไม่รอให้สาวปริศนาโต้เถียงอะไรกลับมา กระแทกโทรศัพท์ลงแป้นทันทีที่กล่าวจบ

ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ตรงนั้นนิ่งนาน จู่ๆก็มีกระแสลมกรรโชกแรงหอบเอาไอเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สายตาเจ้ากรรมปะทะเข้ากับเศษกระดาษมีรอยด่างดวงชิ้นหนึ่ง มันปลิดปลิวออกมาจากช่องว่างแคบๆใต้ประตูบานเก่าใกล้ผนังวอลเปเปอร์

เพทายย่นคิ้ว หมึกจางๆประทับอยู่บนกระดาษชิ้นน้อย อะไรบางอย่างสะกดให้หล่อนยอบกายลงนั่ง หยิบมันขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ

‘อย่าบอกให้ลูกรู้ว่าฉันเป็นใคร..อย่าให้เขารู้ว่าเคยมีแม่’
ประโยคลางเลือนในกระดาษชิ้นจ้อยกระตุกใจหล่อนขึ้นมาทันที คำบอกเล่าของศิระเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของชัดเจนแวบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง
‘พ่อมันมีภรรยาใหม่..ส่วนแม่ที่แท้จริงหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น’
เพทายอ่านทวนประโยคที่ประกอบขึ้นด้วยลายมือหวัดๆซ้ำไปซ้ำมา หัวคิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน

“คุณคะ..คุณ” เสียงหญิงสูงวัยคนนั้นปลุกหล่อนให้ตื่นจากภวังค์ในบัดดล เพทายเงยหน้าขึ้นมาก็พบใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นทว่าแต้มยิ้มใจดีตรงมุมปากอิ่มเต็ม นัยน์ตาขอบคมกำลังมองหล่อนด้วยความสนใจ

“มาเยี่ยมคุณหมอหรือคะ..” สไบถามตามมารยาทไปอย่างนั้นเอง สายตาแหลมคมเลื่อนมาจับจ้องที่กระดาษในมือแขกแปลกหน้า แม้หล่อนไม่ได้เอ่ยถาม เพทายก็ดูออกว่าคุณป้าหน้าตาใจดีคนนี้กำลังสงสัย สัญชาตญาณบางอย่างบอกหญิงสาวว่าสิ่งที่หล่อนเพิ่งพบโดยบังเอิญนั้นมีเงื่อนงำ ยังไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้ คิดดังนั้นนักวางแผนก็รีบยัดกระดาษแผ่นเก่าลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเงยหน้ายิ้มรับ ส่งเสียงสดใส

“อ๋อ..ค่ะ ฉันเป็นเพื่อนคุณชัดเจน พอดีมีธุระสำคัญจะคุยกับเขา แต่ตอนที่ฉันมาถึง ประตูหน้าบ้านมันเปิดอยู่ กดกริ่งเรียกก็ไม่มีคนมาเปิดรับ เลยถือวิสาสะเดินเข้ามา..เห็นคุณชัดนอนถือขวด..เอ่อ ขวดเหล้าอยู่บนพื้น เขาคงดื่มจนแฮ้งไปน่ะค่ะ แถมตอนนี้ยังไข้ขึ้นเสียด้วย..ตัวร้อนจี๋เลย” หญิงสาวรีบอธิบายรวดเดียว กลัวจะถูกหาว่าบุกรุกบ้านชัดเจน ท่าทางคุณป้าคนนี้ ประเมินแล้วคงเป็นแม่บ้านประจำของเขา

หล่อนขยักเหตุการณ์บางอย่างเอาไว้ด้วยกระดากปากเกินกว่าจะเล่ารายละเอียด อย่างเช่นเรื่องที่เขาชี้หน้าตวาดหล่อนก่อนจะล้มลงมากองบนพื้น ที่สำคัญคือเรื่องหล่อนจัดการเช็ดตัวให้เขาเมื่อรู้ว่ามีไข้..โชคดีที่ก่อนจัดการเก็บกวาดเศษแก้ว หล่อนไม่ลืมสวมเสื้อโปโลกลับคืนให้เจ้าของ

“ป้าเพิ่งมาเป็นแม่บ้านที่นี่..เรียกป้าไบก็ได้นะคะ คุณมีอะไรขาดเหลือเรียกใช้ป้าได้ตลอดเลยค่ะ”สไบรีบแนะนำตัวพร้อมอาสา เสื้อผ้าฝ้ายคอกลมกับซิ่นสีเข้มที่หล่อนนุ่งทำให้เพทายเชื่อสนิทใจกับคำว่าแม่บ้านจริงๆ

เสียงขยับตัวของคนร่างสูงดังมาจากโซฟาตรงชุดรับรองแขก สาวต่างวัยหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน สไบเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นเจ้านายน้อยของหล่อนทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือ มือไม้ปัดป่ายสะเปะสะปะ

“คุณหมอน่าจะเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เมื่อกี้คุณว่าเขาไข้ขึ้นใช่ไหมคะ..”น้ำเสียงอ่อนน้อมจากคนแก่หน้าตาใจดีเอ่ยถามหล่อน เพทายพยักหน้าพร้อมบอก

“ใช่ค่ะ..ตัวร้อนจี๋เลย ทีแรกฉันตะโกนเรียก ไม่มีใครอยู่บ้าน..เลยหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวลดไข้ให้ก่อน ตอนนี้ตัวเย็นลงเยอะแล้วค่ะ”
สไบได้ฟังคำอธิบายอย่างนั้นเลยรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย

“ป้าขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ช่วงเช้าหลานป่วย เลยขออนุญาตคุณผู้หญิงพาหลานไปโรงพยาบาลก่อน..บ้านช่องไม่ได้จัดแจงให้เรียบร้อย ทิ้งคุณหมอไว้คนเดียวเสียอีก”

เพทายพยักหน้าเข้าใจ..หล่อนนึกสงสัยสรรพนามบางอย่างในประโยค ‘คุณผู้หญิง’ จะใช่ผู้หญิงตัวขาวๆที่วิ่งเอามือปิดหน้าร้องไห้ออกไปเมื่อเช้าหรือเปล่านะ แต่ด้วยรู้สึกว่ามันอาจเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรล่วงล้ำ หญิงสาวจึงเก็บความสงสัยของตัวเองไว้ก่อน

“จวนจะบ่ายสามเสียแล้ว..ประเดี๋ยวป้าขอตัวพาคุณหมอขึ้นไปพักข้างบนก่อนนะคะ คุณนั่งรอตรงเก้าอี้นั้นก่อน สักพักลงมาก็ถึงเวลาเตรียมอาหารมื้อเย็นพอดี..ป้าจะได้ทำกับข้าวเผื่อคุณด้วยค่ะ”

“ขอบคุณมากค่ะป้าไบ..แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว” หญิงสูงวัยมองตอบมาด้วยสายตาคำถาม เพทายอ่านออก..คุณแม่บ้านกำลังสงสัยว่า..ธุระของหล่อนได้เคลียร์เรียบร้อยแล้วหรือ ถึงจะรีบกลับ หล่อนเลยไขข้อข้องใจให้เสร็จสรรพ..

“ฉันค่อยคุยกับเขาพรุ่งนี้ก็ได้จ้ะป้า..ไม่รีบร้อนอะไร”
เสียงกุกกักจากโซฟาตัวเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เพทายมองข้ามไหล่หญิงสูงวัย..เห็นชัดเจนกำลังยันกายขึ้นนั่ง หน้าตายังดูงัวเงีย สะลึมสะลือ

“ให้ฉันช่วยดีกว่าไหมป้า..ตัวเขาน่าจะหนักพอดู ป้าแบกไปคนเดียวไม่ไหวหรอก”
ใจจริง หล่อนไม่อยากเตือนว่าแค่..น่าจะหนัก แต่ประสบการณ์ตรงต้องบอกว่าหนักมาก ถึงมากที่สุดทีเดียว

“อุ้ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ เห็นป้าแก่ๆอย่างนี้ เรี่ยวแรงยังมีเหลือเฟือ เคยแบก..เอ่อ พยุงคุณหมอขึ้นห้องมาแล้วตั้งหลายครั้ง เรื่องแค่นี้เล็กน้อยค่ะ”

เพทายนึกจะถามว่าเขาเมาบ่อยหรือไร..เหตุใดต้องคอยพยุงขึ้นห้องหลายครั้ง แต่ก็นั่นแหละ เรื่องส่วนตัวเขา หล่อน
ไม่อยากไปก้าวก่ายให้มาก

“ถ้าคุณไม่รีบร้อน..นั่งคอยป้าสักเดี๋ยวเถอะค่ะ ไม่เกินสิบนาทีจะลงมาคั้นน้ำผลไม้ให้ทาน...ท่าทางคุณดูเหนื่อยๆนะคะ นั่งพักก่อนเป็นไร..รับน้ำเย็นๆพอชุ่มคอเสียหน่อยค่อยกลับ”

สไบบอกยิ้มๆ นัยน์ตาส่งแววห่วงใยด้วยใจจริง เพทายตอบรับคำชวนของคุณแม่บ้าน ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผาก..หล่อนกำลังเหนื่อยจริงๆนั่นแหละ เมื่อยล้าไปหมดทั้งเนื้อตัว

หญิงสาวมองตามคุณแม่บ้านคนเก่ง จนกระทั่งหญิงสูงวัย ‘แบก’ เจ้าของบ้านหายลับขึ้นบันไดไปอย่างคล่องแคล่วไม่มีสะดุด สไบ..ดูแข็งแรงเกินวัย..บางทีอาจจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าหล่อนด้วยซ้ำ

สายตาของหญิงสาวเลื่อนกลับมาสะดุดอยู่ที่กรอบรูปใบใหญ่ขนาดเท่าคนจริง เวลานี้หล่อนมีโอกาสพินิจพิเคราะห์ภาพผู้หญิงในชุดแต่งงานผู้งดงามอีกครั้ง หลังจากเห็นแวบๆตอนเดินมารับโทรศัพท์แม่สาวปริศนา พูดจากวนประสาทคนนั้น ทว่าด้วยเหตุการณ์และอารมณ์อันคุกกรุ่น จึงไม่มีแก่ใจสำรวจรายละเอียดในภาพบนผนังอย่างละเอียดเท่าตอนนี้

ดวงหน้าสวยหวานสไตล์สาวชาวเหนือเกล้าผมเป็นมวยสูง แต่งองค์ทรงเครื่องแพรวพราว หล่อนดูสวยหวาน นุ่มนวล ละมุนตา..ดึงดูดใจ กลบรัศมีเจ้าบ่าวร่างท้วมคนที่ยืนเคียงข้างไปเสียสิ้น แขนขาเรียวยาว ผิวพรรณผุดผ่องสีขาวเหลือง นัยน์ตากลมโตประดับแพขนเรียงยาวงามหยดย้อย

ด้วยเหตุที่หญิงวัยละอ่อนเผ้าผมกระเซอะกระเซิงผู้วิ่งเตลิดออกไปเมื่อเช้า เอามือปิดหน้าปิดตา แถมยังมีเวลาให้เพทายพิจารณาเก็บรายละเอียดเพียงนิดเดียว นักวางแผนสาวจึงไม่ทันสังเกตให้ถี่ถ้วน..ว่าหญิงงามดึงดูดสายตาในรูป ก็คือ..คนเดียวกันกับผู้หญิงวัยละอ่อนคนเมื่อเช้านั่นเอง

กรอบรูปใหญ่โต สลักเสลาลวดลายงดงามประกาศความสำคัญของเจ้าสาวผู้นี้ได้ดี..ดีเสียจนทำให้เพทายเข้าใจผิดว่า...นางสวรรค์ในรูปคือภรรยาคนแรก..ผู้เป็นดวงใจบิดาของชัดเจน หล่อนลืมเสียสนิท..ศิระเคยบอกว่าชัดเจนไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะเห็นหน้าแม่ที่แท้จริง และกระดาษชิ้นนั้นบ่งบอกความนัยบางประการ..ว่าคนในรูปไม่ควรจะเป็นเมียหลวงของพ่อ..หรือเป็นแม่ของเขา

ความเข้าใจผิดดังกล่าว..เป็นเหตุชนวนให้เกิดเรื่องราวบางอย่างในอีกไม่กี่วินาทีถัดจากนั้น

เสียงดังโวยวายของชายหนุ่มดึงความสนใจของหล่อนออกมาจากรูปกรอบนั้น หันกลับมาอีกทีก็พบเจ้าของเสียงกำลังเดินลงมาตามขั้นบันได และเมื่อสายตาสองคู่สอดประสาน ความเงียบงันก็บังเกิด

นัยน์ตาคร้ามคมมองตรงมายังหล่อนแน่วนิ่ง ประกายไฟดวงใหญ่น้อยที่เคยปะทุอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นประกายบางอย่าง..เพทายไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือประกายแห่งความยินดีที่ได้พบหล่อน

ก้อนเนื้อในอกซ้ายกระตุกไหวรัวแรง ไม่รู้จะฝ่าด่านความเงียบและบรรยากาศชวนปั่นป่วนชนิดนี้ไปด้วยวิธีไหน หญิงสาวตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยคำชื่นชมความงดงามของคนในกรอบรูป แทนคำทักทาย

“นี่แม่คุณใช่มั้ย..สวยนะคะ สวยมาก งามอย่างไทยจริงๆ”
เพทายหันกลับมายังกรอบรูปเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าหล่อนหมายถึงคนที่เห็นในภาพ ทว่ากลับต้องสะดุ้ง เมื่อเสียงตวาดราวกับเสือคำรามดังก้องขึ้นมาทันทีที่จบประโยค

“ไปให้พ้น..ไป ออกไปเดี๋ยวนี้!”

สายตาที่เพ่งมาแปรเปลี่ยน มันช่างกร้าวแข็ง..เสียดแทง และเผาไหม้จิตใจคนถูกมองให้แหลกเป็นจุณ ชัดเจนชี้นิ้วไปที่ประตู หน้าตาแดงก่ำ สันกรามขบนูน เพทายมองเขาเหมือนคนไม่เคยรู้จัก ชาวาบไปทั้งร่าง เยียบเย็นตั้งแต่หัวจดเท้า
ยินเสียงแม่บ้านสไบวิงวอนอะไรสักอย่างแว่วมาไกลๆ ทว่าไม่มีสิ่งใดฉุดรั้งสติและสองขาของหล่อนเอาไว้อีกแล้ว ขอบตาสัมผัสได้ถึงของเหลวอันร้อนผะผ่าว พร้อมๆกับร่างปลิวลมที่ผละออกมาจากบ้านหลังนั้นทันที

สรรพสำเนียงรอบกายเงียบสงัด ผิดกับส่ำเสียงในหัวใจที่ร่ำร้องดังสนั่น..ร้องว่าอะไรหล่อนไม่รู้ รู้แต่ว่ามันสร้างความเจ็บปวดทรมานขึ้นมากลางอกอย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาววิ่งผ่านช่องแคบระหว่างประตูเหล็กดัดกับเสากำแพงออกมาหยุดยืนอยู่บนยกพื้น แลเลยผ่านม่านหมอกมัวในกระแสตา เห็นรถแท็กซี่คันเขียวเหลือกำลังจอดส่งผู้โดยสารลงหน้าบ้านหลังใหญ่ไม่ไกลกันนัก

ไม่น่าเชื่อ...ภาพหญิงสาววัยละอ่อนกับชายร่างท้วมเมื่อเช้านี้จะถูกนำมาฉายซ้ำ เสมือนหนังเรื่องเดิม ทว่าผิดกันตรงผู้แสดง..เวลานี้คือหล่อนคนเดียวที่ต้องเล่นบทนั้น!






ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2556, 16:13:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2556, 16:13:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2020





<< บทที่๑๕ พายุหมุน ๑/๒   บทที่๑๖ ทริปภูฟ้า ๑/๒ >>
mhengjhy 13 พ.ค. 2556, 16:47:02 น.
เอ่อ นายชัดเจน เป็นเด็กมีปัญหามากไปป่ะะะ


ศิลาริน 13 พ.ค. 2556, 16:48:22 น.
@mhengjhy : ของเค้าเยอะ อิอิ


กานต์นวีร์ 13 พ.ค. 2556, 17:33:34 น.
นั่นปากพาจนแล้วเพเอ๊ย อีตาชัดยิ่งอารมณ์เหมือนคนวัยทองอยู่


ศิลาริน 13 พ.ค. 2556, 18:00:34 น.
@กานต์นวีร์ : เปรียบเทียบได้เห็นภาพมากค่ะ คนวัยทอง 55


wii 14 พ.ค. 2556, 16:21:37 น.
ต่อไปก็ให้อีตาชัดเจนตามง้อขอโทษหนูเพเอาก็เเล้วกัน


ศิลาริน 14 พ.ค. 2556, 18:10:13 น.
@wii : อยากเห็นวันนั้นเหมือนกันค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account