รักวุ่นวายของยัยตัวแสบ (Green Rose 1#)
"มารุ" ฉันกับเค้า คงเป็นแค่เส้นขนานที่บังเอิญมาเจอกันอีกครั้งแค่นั้นเอง

"ยูกิ" ผมเคยทำร้ายเทอด้วยวิธีที่เลวที่สุด จนเสียเธอไป แต่ต่อจากนี้ เธอคือคนเดียวที่ผมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เธอกลับคืนมา ต่อให้แลกด้วยความตาย ผมก็ยอม

"คิมหันต์" ความสุขของผมคือเธอ เธอคือคนที่ฉุดผมขึ้นมาจากอดีตที่เลวร้ายเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมที่จะปกป้องเธอทั้งตัวและหัวใจ

Tags: Green Rose

ตอน: 6:สายตา

“ เอาไว้ต่อกันสัปดาห์หน้านะค่ะ นักศึกษา”

เป็นการจบบทเรียนที่ฉันงงสุดๆเลยล่ะ ดีนะที่ยังไม่ต่อสัปดาห์หน้า ตั้งแต่มาเรียนที่นี้แล้วต้องมาเจอกับอีตาบ้านั้นฉันรู้สึกไม่มีสมาธิในการเรียนเลย ฉันกับเพื่อนใหม่เดินออกมาจากห้องเรียนอย่างหมดสภาพ

ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วอยากจะบ้าตาย นิ่งไม่กระดิกสักกะนิด มันจะมาพังอะไรเอาวันนี้เนี่ย สงสัยจะถ่านหมด หมดไม่รู้เวล่ำเวลาเอาซะเล้ยยยยยยยย ฉันเลยล้วงกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องโปรดรุ่นโบราณที่ใช้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ฮ่าฮ่า ฉันแอบเวอร์ ขึ้นมาดูเวลา

เวลา 15:30

เหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ที่ฉันต้องเดินทางไปร้านอิตาเลียนเฮาส์ ตามที่ยูกินัดฉันไว้ ดูจากชื่อคงเป็นร้านอาหารแน่นอน ข้อมูลที่ตั้งของร้าน ฉันถามเพื่อนในห้องเรียบร้อยแล้วล่ะ

สรุปได้ว่าฉันต้องนั่งรถเมล์สายอะไรก็ได้ แล้วไปลงที่หอนาฬิกา หลังจากนั้นก็ให้มองหาป้ายชื่อร้าน ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามจากป้ายรถเมล์ที่ฉันลง ก็นะ คนไม่เคยไป ก็มีหวั่นๆเป็นธรรมดา ถ้าฉันไปช้าเกินสิบนาที ยูกิจะไม่รอฉัน แล้ว ฉันก็จะตกงาน หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ฉันยอมแพ้เค้าอีกครั้ง ซึ่งฉันจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

ว่าแล้ว ฉันจึงเดินตรงดิ่งไปยังป้ายรถเมล์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะโทรบอกยัยพวกนั้นไว้ก่อนแล้ว

ฉันชะเง้อมองหารถเมล์ที่ปกติแล้วจะมีมาจอดที่ป้ายอย่างไม่ขาดสาย แต่วันนี้มันวันซวยอะไรของฉันนะ ฝนก็ตั้งท่าว่าจะตก รถก็ไม่มีผ่านมาสักคัน

แป๊ะ! แป๊ะ!

ไม่ทันขาดคำ ฝนเริ่มลงเม็ดโปรยปรายมา ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กลุ่มเมฆสีดำคล้ำขนาดใหญ่ เริ่มจับตัวกันเป็นก้อนๆในบริเวณกว้างเต็มผืนฟ้า บวกกับลมที่พัดกระชากมาอย่างแรง ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มท้องถนน ทุกอย่างดูวุ่นวายในชั่วพริบตา

ฉันยืนรอรถด้วยอาการกระสับกระส่าย เวลากำลังเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ฉันยังยืนอยู่ที่เดิม ผู้คนที่ป้ายรถเมล์ดูบางตาลงมากเพราะต่างคนต่างหนีฝนไปหมดแล้ว เหลือแค่ฉัน ที่ยังบ้ายืนตากฝนอยู่ที่เดิม

นั่นมัน! มาแล้ว มีรถผ่านมาแล้ว ฉันกระโดดด้วยความดีใจ เพราะรถเมล์ที่ฉันรอมานานกำลังวิ่งมาทางนี้ ฉันเดินออกไปยืนริมฟุตบาทชิดๆกับขอบถนน แล้วกวักมือเรียกรถเมล์เพื่อเป็นสัญญาณให้รถจอด ฉันจะตั้งท่าจะก้าวเท้าออกไปเพื่อเตรียมขึ้นรถด้วยความใจร้อน

ฮะ เฮ้ยยยยยยยยยย

มันไม่จอด คนขับไม่เห็นฉันหรอ หรือว่าคนเต็ม บ้าน่ะ จะเต็มได้ยังไงรถว่างทั้งคันขนาดนั้น ไม่ได้การแล้ว ยังไงฉันก็ต้องขึ้นคันนี้ให้ได้ ฉันตัดสินใจวิ่งตามรถเมล์คันนั้นอย่างมีหวัง

“รอก่อนค่ะ รอหนูด้วยยยยยยยยยยย อย่าเพิ่งปายยยยยยยยยยย”

ฉันใช้พลังที่มีในตัวอย่างสุดชีวิต ตะโกนตามหลังรถเมล์คันนั้นไป เท้าที่กำลังวิ่งตามรู้สึกวิ่งลำบากขึ้นเพราะพื้นถนนที่เปียก และฝนที่เริ่มลงเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นอุปสรรคในการมอง ฉันต้องตามให้ทัน ฉันต้องไปให้ทัน นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันคิดอยู่ตอนนี้

เอี๊ยดดดดดดดดดดด

รถเมล์คันนั้นค่อยๆชะลอความเร็วลงจนจอดที่ป้ายรถเมล์อีกป้ายถัดมา ฉันวิ่งมาไกลขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

“ลงทุนวิ่งตามเลยหรอหนู คันนี้หมดระยะแล้วจ่ะ ต้องรอคันหลังนะ”

“หา! ว่าไงนะค่ะ ”

ป้ากระเป๋ารถเมล์ ชะเง้อหน้ามาคุยกับฉันที่ประตูรถ ฉันหอบแฮ่กๆ เพราะความเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ แต่ทุกอย่างกับหายไปหมดเพราะความตกใจ รถเมล์หมดระยะ มิน่า ถึงไม่จอดรับฉัน

“ป้าค่ะ มารุขอร้องนะค่ะ ช่วยรับหนูไปส่งที่หอนาฬิกาที ไม่งั้นหนูจะตกงาน นะค่ะๆ”
ฉันยกมือขึ้นไหว้ป้ากระเป๋ารถเมล์ สายตาวิงวอนสุดๆ ฉันไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ถ้าจะให้รอรถคันหลัง มีหวังอีกกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้

“นะค่ะป้า นะค่ะ”

“มาๆ ขึ้นรถมาก่อน อู่รถอยู่ทางนั้นพอดี ติดรถไปลงก็ได้”

เย้ ฉันยิ้มออกมาอย่างดีใจ จากนั้นป้าก็ช่วยดึงฉันขึ้นรถ แค่บันไดสามขั้น ฉันไม่มีแม้แต่แรงจะก้าวเท้าขึ้นไป ล้าไปหมดทั้งตัว เพราะนายคนเดียวเลย ยูกิ

ฉันหอบสังขารตัวเองขึ้นมานั่งบนรถ ลมฝนสาดกระทบที่ใบหน้าจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว ตอนนี้สภาพฉันคงไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตกน้ำก็เป็นได้ เสื้อผ้า ผม หน้าตา ถ้ายัยพวกนั้นเห็นตอนนี้ คงหัวเราะฉันท้องขดท้องแข็ง

นั่งมาได้สักพัก ฉันจึงเห็นหอนาฬิกาเป็นลางๆอยู่อีกไม่ไกล ป้ากระเป๋ารถเมล์เดินมาบอกฉันว่าให้เตรียมตัวลง แต่ตอนนี้ฝนกำลังตกแรงมาก มากจนมองไม่ค่อยเห็นว่าข้างทางคืออะไรบ้าง นอกจากตึกสูงๆที่ฉันระบุได้แค่นั้น

ฉันก้าวเท้าลงจากรถมาแล้ว ฉันไม่รู้จะเริ่มตันจากตรงไหน จำได้ว่าเพื่อนบอกว่าให้ฉันมองไปที่ฝั่งตรงข้ามจะเจอป้ายชื่อร้านติดอยู่ แต่ตอนนี้ฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ฉันมองอะไรก็ไม่ชัด แล้วฉันจะเห็นได้ยังไงว่าร้านอยู่ตรงไหน

ฉันตัดสินใจข้ามไปอีกฝั่งของถนนแล้วเดินหาร้านที่ยูกิบอกว่า ร้านอิตาเลียนเฮาส์ ทั้งเปียกทั้งหนาว แต่ก็ต้องทน ฉันเดินวนไปวนมาแต่ยังหาไม่เจอ จึงตัดสินใจเข้าไปหลบอยู่ข้างๆซอกตึกเล็กๆ แล้วล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาดูเวลา

เวรแล้วไงยังมารุ! ฉันลืมปิดกระเป๋าหรอเนี่ย

ฉันล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ลุ้นสุดๆ หวังว่ามันคงจะไม่ได้เปียกจนเครื่องดับไปแล้ว

พลั่ก!!!

“โอ้ย!”

เหมือนมีแรงมหาศาลจากอะไรสักอย่าง ชนฉันเข้าอย่างจัง จน ฉันล้มลงไปกองกับพื้นไม่เป็นท่า รู้สึกเหมือนจะแสบๆที่แขน

“ขอโทษครับ เป็นอะไรมากมั้ยครับ”

เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากไม่ไกล เขาเดินมาช่วยพยุงฉันขึ้น แล้วขอโทษขอโพยฉันเป็นการใหญ่ ฉันเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำเอาเรื่องเขาหรอกนะ เพราะเค้าเองคงไม่ได้ตั้งใจ และรีบไปทำธุระเหมือนฉัน ฉันไม่เอาเรื่องเขา ส่วนเขาเองก็ตอบแทนฉันด้วยการบอกว่าร้านอิตาเลี้ยนเฮาส์ อยู่ถัดไปอีกสองตึก

“ขอบคุณมากๆนะค่ะ”

ผู้ชายคนนั้นรีบวิ่งผ่าสายฝนออกไป ฉันเองก็ต้องไปได้แล้วล่ะ แต่เอ๊ะ! แล้วโทรศัพท์ของฉันล่ะ

โทรศัพท์ของฉันมันได้ลงไปนอนเล่นในบ่อน้ำ แถมกระจัดกระจายแยกเป็นชิ้นส่วน ไม่เหลือความเป็นโทรศัพท์แล้วล่ะ (T0T)

ฉันรีบเก็บชิ้นส่วนโทรศัพท์ของฉัน ด้วยความไว้อาลัย เจ็บใจชะมัด เพราะยูกิแท้ๆ ฉันถึงได้มาเจอเรื่องซวยๆแบบนี้ พอเก็บจนครบไม่ให้เหลือสักชิ้น ฉันจึงรีบเดินดิ่งไปยังร้านอิตาเลียนเฮาส์ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยูกิอาจจะไม่รอฉันแล้วก็ได้

ฉันรีบวิ่งสุดชีวิต จนมายืนยู่ที่หน้าร้านแล้วพลั่กประตูร้านเข้าไป ฉันสอดส่ายสายตาหายูกิ พอเห็นว่ายูกิยังนั่งรออยู่ ฉันก็โล่งอก ยังพอยิ้มได้บ้าง

ฉันเดินตรงดิ่งเข้าไปหายูกิอย่างไม่รอช้า สายตาของทุกคนในร้านที่มองฉัน ต่างตะลึงกับสิ่งที่กำลังเดินผ่านพวกเขาไป ซึ่งฉันเอง ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ฉันรู้ว่าสภาพฉันตอนนี้คงดูแทบไม่ได้

ฉันหยุดอยู่หน้ายูกิ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยและล้าไปทั้งตัว ยูกิมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนไม่เชื่อในสายตาตัวเองว่านี่คือฉัน

“เธอมาช้า รู้ตัวมั้ย”

“รู้ แต่ให้ฉันนั่งก่อนได้มั้ย แล้วหลังจากนี้จะอะไรก็เชิญ!”ฉันกระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจ คนอะไรใจดำชะมัด

“ทำไมถึงมาช้า”

ยูกิเริ่มเปิดบทสนทนาหลังจากที่ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังถูกสอบสวนจากตำรวจ แอร์เย็นๆในร้านยิ่งทำให้ฉันหนาวจนสั่นไปทั้งตัว ไหนจะเจ็บแขนที่มันถลอกเพราะล้มตอนนั้นอีก

“จะรับหรือจะไล่ออกก็รีบๆได้มั้ย หนาวจะตายอยู่แล้ว”

ยูกินิ่งไปสักพัก แล้วโยนเสื้อสูทของเค้าที่ถอดห้อยไว้ที่เก้าอี้ โยนมาให้ฉัน ยูกิใช้สายตาเป็นเชิงให้ฉันใส่เสื้อเค้าไว้

“ไม่เป็นไร ”

“ฉันบอกให้ใส่ก็ใส่”

ยูกิใช้สายตาบังคับฉันอีกรอบ ฉันจึงหยิบเสื้อของเขาเตรียมจะเอามาคุมไว้ที่ตัว ฉันไม่มีแรงจะเถียงหรือเปิดศึกกับยูกิตอนนี้หรอกนะ แค่สภาพตัวเองตอนนี้ ฉันก็สงสารพ่อกับแม่แล้ว

“เดี๋ยว… ”

“อะไรของนายอีกเนี่ย”ฉันเหวี่ยงใส่ยูกิ

“นั่นแขนเธอไปโดนอะไรมา”

“โอ้ย! ”

ยุกิเอื้อมมือมาจับแขนฉันแล้วดูอย่างพิจารณา ฉันดึงแขนกลับมา ยูกิจึงยอมปล่อย สายตาของเค้าดูอ่อนลงอย่างแปลกๆ เหมือนกำลังรู้สึกผิดกับอะไรบางอย่าง

“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยอ่ะ”

“งั้นมานี่”

ยูกิลากฉันมาทางหลังร้าน ซึ่งเค้าเองดูจะชำนาญกับทางเข้าออกหรือแม้แต่รายละเอียดต่างๆของร้านนี้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ดูได้จากตอนนี้ ยูกิไปเอากล่องยามาจากไหนไม่รู้

ฉันกับเค้านั่งอยู่ที่โต๊ะมาหินอ่อนหลังร้าน รู้สึกว่ามันเชื่อมออกไปทางลานจอดรถข้างตึกได้ ตอนนี้ฝนเริ่มซาๆลงแล้วล่ะ ออกมาข้างนอกแบบนี้ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ อากาศกำลังเย็นๆ

“จะนั่งเฉยๆอีกนานมั้ย ยื่นแขนมาสิ”

ยูกิใช้สายตาตำหนิฉันนิดๆ ในมือของเขามีสำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลเตรียมพร้อม แต่ฉันยังไม่พร้อม

เราสองคนสบตากันอย่างบังเอิญ อยู่ๆหัวใจของฉันก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ยูกิไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองฉันเลย มีแต่สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกที่มอบให้ฉัน เว้นแต่ครั้งนี้สายตาของเขาดูอ่อนโยนมากกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยเห็น จนฉันเองอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ว่า ยูกิน่ะหรอจะเป็นห่วงฉัน



อีฟู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2556, 16:52:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2556, 14:27:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1031





<< 5: หนี   7:ความเจ็บปวดที่ไม่เคยลืม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account