ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 7

อากาศตอนบ่ายไม่ทำให้รู้สึกน่านอนสักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนนอนน้อยนั่งอยู่ตรงไหนก็แทบจะหลับตรงนั้นให้ได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากตื่นมาแล้วปวดหัวเช่นทุกครั้งหญิงสาวจึงฝืนตัวเองด้วยการหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กวาดบ้านยันตัดหญ้าที่กำลังยาวในสวนข้างบ้าน ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านไม่มีให้เธอทำอีกแล้ว ขิงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์มือคอยกดเปลี่ยนช่องอย่างที่ไม่มีอะไรน่าสนใจจนได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นหญิงสาวจึงลุกไปชะเง้อดู

“สวัสดีค่ะบอส” เธอเอ่ยทักทายคนเป็นหัวหน้าที่ยืนยิ้มอยู่ที่ประตูรั้วบ้านเธอ “ถ้าเผื่อบอสจะลืม วันนี้วันหยุดนะคะ”

กฤษณ์หัวเราะ “เพราะรู้ว่าวันหยุดไง ขิงไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”

“ไปไหนคะ”

“ไปซื้อของขวัญให้หลานเป็นเพื่อนหน่อยสิ คือผมเลือกของแบบนี้ไม่เป็นน่ะ”

“หลานบอสแล้วเกี่ยวอะไรกับขิงล่ะคะ” หญิงสาวท้วงเสียงสูง ใจหนึ่งก็อยากนอนอยู่ที่บ้าน อีกใจหนึ่งก็นึกเกรงใจเจ้านายที่อุตส่าห์มาหาเธอถึงที่บ้าน

“ไปเถอะ หลานผมเป็นผู้หญิง ผมเลือกของขวัญไม่เป็น” ขิงชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบรับด้วยการพยักหน้าแล้วเปิดประตูให้หัวหน้าเข้ามานั่งรอในบ้าน เธอขอเวลาแต่งตัวสิบนาที ก่อนจะออกจากห้องมาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีหวานกับกางเกงยีนส์สีซีด ดูแล้วทำให้กฤษณ์รู้สึกว่าอายุเธอลดลงอีกนิดหน่อย

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ว่าแต่บอสจะหาของขวัญที่ไหนล่ะคะ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อห้างสรรพสินค้าชื่อดังแถวนั้นก่อนจะเปิดประตูรถให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งอย่างสุภาพบุรุษ แต่กลับเป็นขิงเองที่รู้สึกแปลกๆ ไปกับการบริการเช่นนี้

“หลานบอสอายุเท่าไหร่แล้วคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในรถยนต์ เธอสังเกตแล้วแต่ไม่เห็นสิ่งบันเทิงที่เรียกว่าเพลงในรถเลยสักอย่างเลยต้องหาวิธีชวนคุยเพื่อไม่ให้รถเงียบจนเกินไปแทน

“ก็...” เขาลากเสียงยาวเหมือนกำลังนับเลขอยู่ในใจ จนขิงต้องนิ่วหน้า

“นี่บอสอย่าบอกนะว่าจำอายุหลานไม่ได้”

“ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน นานๆ หลานสาวผมจะกลับมาไทยซักที” ชายหนุ่มพูดตามจริงอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆ ตายังคงมองถนนตรงหน้าเลยไม่ได้เห็นว่าคนนั่งอยู่ข้างๆ ชักเริ่มขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน

“บอสเป็นลุงที่แย่มากรู้ตัวรึเปล่าคะ” คนถูกหาว่าเป็น ‘ลุง’ สะดุ้งเล็กน้อย หันมองคนพูดอย่างที่ถ้าตาขิงไม่ฝาดเธอเห็นว่าเขากำลังค้อนให้เธอ

“อาพอมั้ยขิง ผมเป็นน้องคนเล็กจะเป็นลุงได้ยังไง” ขิงหัวเราะคิกกับคำแก้ตัวนั้น เธอเคยได้ยินมาบ้างว่าบอสของเธอเป็นน้องคนเล็กของบ้าน “หลานผมประมาณสิบขวบได้มั้ง ขิงพอจะนึกออกมั้ยว่าอะไรเหมาะกับเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบ” คนเคยเป็นเด็กผู้หญิงนิ่งคิดไปนาน พยายามนึกออกมาให้หมดว่าอะไรเหมาะกับเด็กวัยนี้

“หลานบอสเล่นดนตรีมั้ยคะ”

“เล่นนะ เคยเห็นสีไวโอลินตอนมาเที่ยวคราวที่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นขิงคิดออกอย่างนึง เดี๋ยวพาบอสไปดูแล้วตัดสินใจเอานะคะ” เธอส่งยิ้ม พอดีกับที่กฤษณ์หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าลานจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าพอดี

ขิงพาบอสของเธอไปยังชั้นที่ขายอุปกรณ์เครื่องดนตรี ก่อนจะเลือกร้านที่ขายเฉพาะเครื่องดนตรีที่เธอต้องการแนะนำ หญิงสาวเดินไปหยิบอุคุเลเล่ตัวเล็กสีน้ำตาลดูคลาสสิค ลักษณะที่เหมือนกีต้าร์ตัวเล็กนั้นทำเอากฤษณ์ที่ยืนมองอยู่เงยหน้าขึ้นมองคนจับแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“หมายถึงจะให้ผมซื้อเจ้านี่ให้หลานเหรอ”

“ค่ะ เดี๋ยวนี้เด็กตัวเล็กๆ ชอบเล่น เพราะมันจับถนัดมือ ยิ่งหลานบอสเล่นดนตรีด้วยน่าจะชอบ” ชายหนุ่มยืนเล็งเครื่องดนตรีเครื่องเล็กนี้อยู่ครู่ใหญ่ สอบถามข้อมูลจากเจ้าของร้านอย่างละเอียด

“ถ้าเป็นขิง ขิงก็อยากได้เจ้านี่น่ะเหรอ” เขาหันมาถามเธอที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่แน่ใจสำหรับคำแนะนำนี้

“ก็ไม่หรอกค่ะ”

“อ้าว”

“ขิงไม่ชอบเล่นดนตรี ขิงแค่ชอบฟัง แต่ที่บอกบอสแบบนี้เพราะคิดว่าหลานบอสคงมีตุ๊กตาเยอะแล้วเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มพยักหน้า พยายามตัดสินใจกับสิ่งที่หญิงสาวแนะนำมาแล้วตัดสินใจพยักหน้ากับเจ้าของร้านพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตให้อย่างง่ายดาย

“ไปเถอะ” เสียงทุ้มบอกหลังจากรับถุงใบใหญ่จากเจ้าของร้านเรียบร้อย ภายในมีกล่องเครื่องดนตรีชิ้นเล็กนอนนิ่งอยู่ คำชวนของเจ้านายทำเอาลูกน้องสาวงงเล็กน้อย

“ไปไหนคะ”

“ขิงอยากไปที่ไหนมั้ยล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธผมกระจายเป็นภาพที่กฤษณ์เห็นแล้วนึกเอ็นดูได้ไม่ยาก ชายหนุ่มนึกอยากวางมือลงเป็นศีรษะทุยนั้นแล้วโยกไปมาแต่ก็ต้องห้ามตนเองไว้ เพราะอย่างน้อยเธอก็ยังเป็นลูกน้องในบริษัท “ไม่อยากไปไหน งั้นผมไปส่งที่บ้านแล้วกันนะ”

“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะบอส” เสียงเล็กรั้งร่างสูงไว้ก่อนที่เขาจะเดินนำไปทางลานจอดรถ “วันนี้...บอสว่างใช่มั้ยคะ”

“ก็ไม่มีธุระนะ ขิงมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า”

“อ่า ไม่หรอกค่ะ ขิงแค่อยากเดินเล่นนิดหน่อย ยังไม่อยากกลับบ้านน่ะค่ะ บอสเดินเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ยคะ” พูดไปก็แทบกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ ในเมื่อที่บ้านไม่มีใครอยู่ แม่เธอออกไปกับลุงเหมือนเคย หากกลับไปก็ต้องอยู่คนเดียว แต่ปัญหาคือเธอยังไม่อยากอยู่คนเดียวนี่สิ

“ถ้ายังไม่อยากกลับ ผมว่าเราดูหนังกันซักรอบมั้ย”


จากคำชวนของบอสหนุ่มทำให้ตอนนี้ทั้งสองพาตัวเองมายืนอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า กฤษณ์หันถามความคิดเห็นหญิงสาว ด้วยความที่ไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์นานพอสมควรจึงให้เธอเป็นคนเลือกเรื่องที่ต้องการดู ขิงจึงตัดสินใจเลือกเรื่องที่คิดว่าดูกันสองคนแล้วไม่ขัดเขินอย่างหนังแอคชั่นที่เพิ่งเข้าอาทิตย์นี้

“ขิงดูหนังแบบนี้ด้วยเหรอ” กฤษณ์ถามอย่างสงสัย หนังแอคชั่นดูไม่เข้ากับหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลิกหรือนิสัย แม้เธอจะไม่อ่อนหวานแต่ก็ไม่ได้ห้าวหาญแข็งแกร่งเหมือนผู้ชาย อย่างขิงดูหนังรักโรแมนติกน่าจะเข้ากันมากกว่า

“ดูค่ะ หนังแบบนี้ตื่นเต้นดีค่ะ ลุ้นทั้งเรื่อง” เธอพูดกลั้วหัวเราะ ใบหน้าสดใสทำเอากฤษณ์มองเพลินจนเกือบลืมตัว ชายหนุ่มกระแอมสองสามครั้งก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ถึงเวลาเข้าไปข้างในแล้วนี่” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือตนเองมาดูเล็กน้อยก่อนชวนชายหนุ่มเข้าไปข้างใน

อาจเพราะวันนี้เป็นวันหยุดและเป็นภาพยนตร์เข้าใหม่ โรงเรื่องนี้คนเลยเยอะจนเกือบเต็ม ขิงเดินนำกฤษณ์เข้าไปในโรง ที่นั่งของทั้งคู่หาไม่ยากเพราะอยู่แถวเกือบบนสุด และไม่ถึงกับตรงกลางจึงไม่มีปัญหาในการแทรกใครเข้าไปมากนัก โชคดีที่เธอแนะนำให้ชายหนุ่มนำถุงของขวัญหลานสาวไปไว้ในรถเสียก่อน ไม่งั้นคงมีลำบากกันบ้างหากต้องถือของสำคัญตลอดเวลา

หนังเริ่มไปได้ครึ่งเรื่องเท่านั้นแต่กฤษณ์ชักอยู่นิ่งไม่ได้ หนังตรงหน้าก็สนุกดีอยู่หรอกแต่เขาเป็นประเภทอยู่นิ่งไม่ค่อยได้นี่สิ ชายหนุ่มหันมองคนนั่งข้างๆ คิดว่าเธอคงกำลังตั้งใจดูอยู่แต่ไม่ใช่... ขิงนั่งนิ่งแต่ศีรษะกลับพิงมาทางเขาพร้อมกับตาที่หลับสนิท เขายิ้มกับภาพที่เห็นในความมืดอาศัยแสงจากจอฉายเท่านั้นที่ทำให้เขาเห็นหน้าของหญิงสาว คราวนี้เนื้อหาในภาพยนตร์ไม่สำคัญอีกต่อไป กฤษณ์นั่งหันมองหน้าหญิงสาวพลางขยับไหล่ให้พอดีกับหัวเล็กที่เอนพับลงมาให้ตั้งอยู่บนไหล่เขาแทน เพราะเกรงว่าตอนเธอตื่นอาจจะเมื่อยได้ สองคนที่ตั้งใจจะเข้ามาดูหนังแก้เบื่อกลับกลายเป็นว่าคนหนึ่งมานั่งหลับในห้องแอร์เย็นๆ กับอีกคนที่เอาตัวเองต่างหมอนให้คนที่กำลังหลับสบายถึงแม้ไม่นุ่มเท่าไหร่

การดำเนินเรื่องเกือบสองชั่วโมงในโรงหนังสิ้นสุดลง ผู้คนในโรงต่างทยอยกันออกไปจะเหลือก็แต่สองคนที่ยังคงนั่งนิ่ง กฤษณ์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือสะกิดขิงให้ตื่นจากนิทรา ส่วนคนหลับนั้นดูเหมือนจะหลับลึกพอสมควรจนชายหนุ่มต้องสะกิดถึงสามครั้งถึงจะมีการขยับตัว ขิงลืมตาโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน หญิงสาวกลอกตาสำรวจรอบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ทำตัวเป็นหมอนให้แล้วค่อยส่งยิ้มแหยเป็นเชิงขอโทษ

“ขิงหลับไปนานมั้ยคะ” หญิงสาวถามพลางจัดทรงผมและเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่ นึกขายหน้าเป็นที่สุดที่ดันมาหลับในโรงหนังทั้งที่ตัวเองเป็นคนเลือกหนังเรื่องนี้มา

“ก็ไม่นานเท่าไหร่ประมาณกลางเรื่อง” กลางเรื่อง... คนเผลอหลับคิดด้วยความอับอาย เพราะตื่นเช้าและนอนไม่พอ พอมาเจอแอร์เย็นๆ เลยทำให้เธออดใจไว้ที่จะนอนไม่ไหว “ผมว่าออกไปข้างนอกกันเถอะ คนออกไปกันหมดแล้ว”

ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งนั้น หญิงสาวพยักหน้าอย่างที่ไม่อยากสบตาเจ้านายหนุ่ม เธอเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ไปได้ยังไงต่อหน้าผู้ชายเชียวนะ ยิ่งเป็นเจ้านายเธอแบบนี้น่าอายที่สุด

“ขิงขอโทษนะคะ” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย รู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำอย่างจริงจัง

“ขอโทษ? ขอโทษอะไรกัน”

“ก็ที่ขิงเป็นคนเลือกเรื่องที่จะดูแต่ดันไปหลับในโรง”

กฤษณ์หัวเราะเบา “ไม่หรอก ความจริงผมก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่” ชายหนุ่มบอกไม่หมด ที่บอกว่าดูไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ใช่เพราะการดำเนินเรื่องของหนังแต่กลับเป็นคนที่หลับพิงไหล่เขาอยู่ต่างหากที่ทำให้เขาใจเต้น “เดี๋ยวผมไปส่งขิงที่บ้านเลยแล้วกัน เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ” หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มแหยให้แล้วเดินตามร่างสูงไปที่รถ ใช้ความเงียบเลี่ยงการตอบคำถามนี้เสีย

กฤษณ์ชะลอรถให้ช้าลงเพื่อจอดที่หน้าบ้านของขิง ชายหนุ่มจอดรถเรียบร้อยกำลังจะหันไปบอกคนนั่งข้างแต่ต้องชะงักก่อนจะเผยยิ้มกว้างออกมา หญิงสาวหลับคอพับอยู่ที่เบาะ ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าถึงที่หมายบ้านของเธอแล้ว เขาค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยของคนข้างตัวเบาๆ แล้วปล่อยไม่ให้สะเทือนคนนอนจนต้องขยับตัวคล้ายคร่อมอยู่บนตัวหญิงสาวเพื่อให้ไม่เข็มขัดดีดกลับแรงเกินไป แม้จะผ่านไปด้วยดีแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกพลาดไปถนัดเมื่อก้มหน้าลงมาเห็นใบหน้าใสอยู่ห่างเพียงคืบเท่านั้น ใจของชายหนุ่มเต้นแรงอีกครั้ง หากแต่ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่ามองใกล้ๆ จนพอใจแล้วจึงขยับตัวเองกลับมาที่นั่งคนขับเช่นเดิม

“ขิง ถึงบ้านแล้วครับ” เสียงทุ้มเรียกเบาๆ แต่กลับได้เสียงตอบรับเพียงคำว่า ‘อือ’ กลับมาเท่านั้น ทำเอาคนเรียกทำหน้าไม่ถูก ต้องใช้มือเขย่าไหล่บางเล็กน้อย “ขิง ถึงบ้านแล้ว”

คนขี้เซากระพริบปรือตาขึ้นมองรอบตัว กระพริบตาปริบๆ แล้วจึงหันไปมองเจ้าของรถที่นั่งมองเธออยู่ไม่วางตา ใบหน้าที่งัวเงียอยู่ลืมตาโพลงแทบทันทีอาการง่วงที่เคยมีหายเกลี้ยง แต่อาการหน้าร้อนผ่าวเข้ามาแทนที่

“ขิงหลับอีกแล้วเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงเบา รู้สึกขายหน้ากับความขี้เซาของตนเองที่เผลอนอนในโรงหนังแล้วยังนอนต่อได้ในรถอีก

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ หรือแอร์มันเย็นมากไป” กฤษณ์ถามอย่างสงสัย มองใบหน้านวลอย่างเป็นห่วง นี่ถ้าแม่คุณเกิดไปหลับที่อื่นจนเกิดอันตรายจะเป็นยังไง

“เอ่อ นอนน้อยค่ะไม่ถึงกับไม่ได้นอนเลย”

“วันนี้วันหยุด ทำไมไม่นอนให้เต็มอิ่มล่ะครับ รีบตื่นขึ้นมาทำไม” ขิงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่แน่ใจว่าควรเล่าให้บอสเธอฟัง

“พอดีเมื่อคืนแอมป์มีเรื่องน่ะค่ะ เลยมานอนที่บ้านขิง” กฤษณ์เงียบไปจนขิงแทบกลั้นหายใจเกรงว่าบอสจะว่าอะไรเธอหรือไม่ จนเป็นเธอเองที่ต้องเอ่ยแก้ให้ทุกอย่างมันดีขึ้น “แต่แม่ก็อยู่ด้วยนะคะ” จบประโยคชายหนุ่มทำเพียงแค่บอกให้หญิงสาวกลับเข้าบ้านไปเพราะเห็นว่ามารดาหญิงสาวออกมาชะเง้ออยู่ตรงประตูบ้าน ขิงจึงทำได้เพียงขอตัวเข้าบ้าน ระหว่างเขาและเธอไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย

ขิงเดินผ่านคนเป็นแม่ไปแล้วขอตัวขึ้นห้องนอน เธอเดินอย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าทำไมต้องแก้ตัวกับคนเป็นเจ้านายแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาสักเท่าไหร่ แต่พอเธอเห็นเขาเงียบเพียงเท่านั้นกลับร้อนรนอย่างคนมีความผิด หญิงสาวสะบัดศีรษะตนเองแรงๆ เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมอาบน้ำและลงไปพูดคุยกับมารดาอย่างปกติ แต่ตอนนี้หัวใจเธอกลับไม่ปกติเสียเอง

ก่อนได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมกรีดร้องขึ้นพาให้คนคิดอะไรเพลินๆ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนจะระลึกได้ว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ตนเอง หญิงสาวเอื้อมมือไปคว้าเอาเจ้าเครื่องเล็กเสียงแหลมนั้นขึ้นมามองแล้วขมวดคิ้ว ชื่อบอสของเธอคงโชว์หราอยู่อย่างนั้นหากเธอไม่จัดการกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างแปลกใจ

“ขิงลืมอะไรไว้บนรถรึเปล่าคะบอส”

“เปล่า” เสียงทุ้มปฏิเสธแล้วเงียบไปอึดใจ ก่อนพูดต่อ “พอดีพรุ่งนี้ที่บ้านจัดงานวันเกิดเล็กๆ ให้หลานผมน่ะ ขิงว่างมามั้ยช่วงบ่ายไปถึงเย็น”

“คะ?”

“คือ...” กฤษณ์หยุดพูดสูดลมหายใจพร้อมกับนึกหาเหตุผลที่พอจะเข้าท่าอยู่บ้าน “คือไหนๆ ขิงก็เป็นคนช่วยผมเลือกของขวัญ ผมเลยอยากชวนมางานวันเกิดยัยตัวเล็กด้วยเลย ตกลงว่างมั้ยครับ”

ขิงเรียบเรียงคำพูดที่ได้ยินเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างที่อีกปลายสายไม่มีทางได้เห็น เธอตอบตกลงอย่างไม่ต้องบังคับหรือขอร้องอะไรกันมาก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงและเธอเต็มใจทำเป็นอย่างยิ่งเพราะไหนๆ เจ้าของงานโทรฯ มาชวนเสียขนาดนี้แล้ว ทั้งคู่คุยกันอีกเพียงสองสามคำเพื่อนัดเวลาให้ตรงกันก่อนจะวางสายพร้อมรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปากบางอย่างไม่รู้ตัว

เย็นวันนี้เป็นวันที่ขิงถือว่าเป็นโอกาสดีที่สองแม่ลูกได้ทานข้าวเย็นด้วยกัน เพราะบ่อยครั้งที่แม่ของเธอถูกแฟนใหม่ของแม่ที่เธอเปิดไฟเขียวฉกตัวไปเสียทุกเย็นจนเธอต้องหากินกับข้าวง่ายๆ นอกบ้านแทนการกลับมาทำกับข้าวเองที่บ้าน คนเป็นแม่จ้องหน้าลูกสาวเขม็ง ทำเอาคนเป็นลูกต้องเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย

“แม่มีอะไรกับขิงรึเปล่าคะ” คนเป็นลูกถาม วางช้อนส้อมในมืออย่างรอฟังคำถามคนเป็นแม่

“คนที่มาส่งเราเมื่อกี้นี่ใครกัน” เสียงถามเข้มเสียจนคนเป็นลูกต้องขยับยิ้ม ขิงมองหน้าคนเป็นแม่ตาพราวระยับ นึกรู้ว่าแม่ของเธอกลายเป็นคุณแม่หวงลูกสาวอีกแล้ว

“เจ้านายค่ะ เจ้านายที่ขิงทำงานด้วย”

“แล้วไปไหนกันมา ทำไมขิงไม่โทรบอกแม่” คราวนี้คนเป็นลูกหัวเราะเบาๆ สบตากับคนเป็นแม่เต็มสายตา

“ไปช่วยบอสเลือกของขวัญให้หลานสาวค่ะ แล้วปกติเวลาขิงไปไหนแม่ไม่เห็นเคยว่าเลยนะ”

“ก็ปกติแม่เห็นว่าเราไปกับแอมป์ แต่นี่ใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้แค่ไหนก็ไม่รู้”

ไว้ใจได้แค่ไหนนั้นขิงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่การที่เธอทำตัวเป็นยัยตัวสัตว์ประหลาดขี้เซา หลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวถึงสองครั้งสองคราโดยที่เขาไม่ทำอะไรก็น่าจะไว้ใจได้ในระดับนึงไม่ใช่เหรอ หรือหน้าตาแบบเธอไม่ดึงดูดให้น่าทำอะไรกันแน่นะ

“โธ่แม่ ขิงไม่ได้คบแอมป์เป็นเพื่อนคนเดียวเมื่อไหร่ ลูกสาวแม่สวย... ออกขนาดนี้” คนเป็นลูกเน้นคำว่า ‘สวย’ โดยลากเสียงยาวจนคนเป็นแม่เกือบทำหน้าเอือม หมั่นไส้ลูกสาวจนต้องสะบัดเท้าไปโดนหน้าแข้งลูกเสียหนึ่งที

“จ้ะ ลูกแม่น่ะสวยมาก ผู้ชายขยันมาที่บ้าน เช้าสายบ่ายเย็นไม่มีเว้นเลยนะ เดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้ก็ได้เอาไปนินทากันสนุกปากหรอก”

คนกลายเป็นหัวข้อนินทาเบ้ปาก “นินทาอะไรก็นินทาไปสิ ขิงไม่สนใจหรอก”

“เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ พูดอะไรน่าตีจริงเชียว” คนเป็นลูกหัวเราะกับท่าทางของแม่ เธอรู้ดีว่าแม่เธอเป็นห่วงเธอมากกว่าจะเป็นห่วงว่าใครจะนินทาลูกสาว แต่ก็คงอดที่จะเตือนแบบนี้ไม่ได้

“กินข้าวเถอะแม่ เจ้านายขิงเค้าแค่หาคนขอคำปรึกษาเรื่องของขวัญให้เด็กผู้หญิงแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก” หญิงสาวว่าพลางตักข้าวคำสุดท้ายในจานเข้าปาก ก่อนจะนึกถึงนัดพรุ่งนี้ของเจ้านายเธอ “อือแม่ พรุ่งนี้บอสเค้าชวนไปงานวันเกิดหลานสาวนะ แม่ไม่ต้องรอทานข้าวเย็น ทานกับแฟนสุดหล่อของแม่ได้เลย”

“ไหนบอกไม่มีอะไรไงยะ แล้วนี่ชวนไปงานวันเกิดอะไร ตัวเองเป็นแค่ลูกน้องนี่คิดจะเคลมเจ้านายใช่มั้ยยะ” คนเป็นแม่ยกเท้าขึ้นสะกิดขาลูกอีกครั้ง เมื่อเห็นจากสายตาของผู้ใหญ่แล้วว่าเรื่องนี้คงมีอะไรในกอไผ่แน่นอน แค่ยังไม่แน่ใจว่าไผ่กอนี้จะเล็กจะใหญ่แค่ไหน

“แม่อ่ะ บอสเค้าก็ชวนไปแค่ว่าขิงเป็นคนช่วยหาของขวัญวันเกิดให้หลานเค้าแค่นั้นเอง อย่าคิดมากซี่คุณนาย”

“คิดมากรึเปล่าแม่ไม่รู้หรอกนะ แต่ที่แน่ๆ วันนี้ลูกขิงเก็บจานไปล้างด้วยนะลูก แม่จะไปดูละคร”

ว่าแล้วคนเป็นแม่ก็เดินตูดบิดไปนั่งที่โซฟากลางบ้านพร้อมเปิดโทรทัศน์ดังลั่นอย่างไม่กลัวข้างบ้านจะเขวี้ยงกระทะมาให้เป็นของสมนาคุณ ปล่อยให้ลูกสาวนั่งถอนหายใจโล่งอกอยู่บนโต๊ะทานข้าวที่มีจานเปล่าวางอยู่รอเธอเก็บไปทำความสะอาด จะว่าไปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็ยังสับสนอยู่ไม่น้อย เนื่องจากคนอย่างเธอไม่เคยโดนจีบและโสดมาตลอดยี่สิบกว่าปี หญิงสาวจะดูออกได้อย่างไรว่าคนเป็นหัวหน้าเธอต้องการอะไร เขาอาจแค่อยากช่วยเธอให้หายจากอาการอกหักที่จู่ๆ คนที่เธอแอบรักมาตลอดตัดสินใจมีแฟนก็ได้

++++++++++++++++++++++++

สุขสันต์วันพระใหญ่ค่ะ

เมื่อเช้า (ค่อนไปทางสาย) มิณทิมาไปทำบุญมาค่ะ เอาบุญมาฝากทุกคนเลยนะคะ

วันนี้วันดีเลยลงอีกตอนให้คนอ่านได้ชื่นใจบ้าง หลังจากหมั่นไส้นายแอมป์มาหลายตอน ฮาาาาาาา

หวังว่าตอนนี้คงถูกใจใครหลายคนนะคะ

ยังไงถ้าเกิดคิดว่าเนื้อหามันแปลกๆ ตรงไหน หรือพิมพ์ผิด หรือเนื้อเรื่องไม่โดนยังไง บอกมิณทิมาได้นะคะ เอ่อ... มือใหม่แถมยังพูดไม่เก่งอีกแฮะ แฮ่ๆๆๆ

เอาเป็นว่ามีความสุขทุกคนค่ะ เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการฮ๊าฟฟฟว์

======================

คุณ mhengjhy : ฮาาาา ใจเย็นๆ นะคะ นายแอมป์ของเราอาจไม่ใช่คนไม่ดีอย่างที่คิด (รึเปล่านะ) เอิ๊กๆๆ เอาเป็นว่าตอนนี้น่าจะพอทำให้อารมณ์ดีได้บ้างนะคะ

คุณ คิมหันตุ์ : ใช่ค่ะ ขิงช่างเป็นนางเอกน่าสงสาร กระซิกๆ ถูกคนอื่นกระทำตลอด (ไม่น่าใช่ละ ฮาาาา) สงสารขิงแบบนี้ อินชีวิตจริงอยู่รึเปล่าคะ โอ๋ๆ น้าาาา

คุณ pseudolife : ขอบคุณนะคะ สำหรับการติดตาม ฮี่ๆๆ มือใหม่หัดเขียน ยังไงแนะนำได้นะคะ ขอฝากยัยเปลือกไข่ไว้ในอ้อมใจด้วยค่ะ (นี่มันลิเกชัดๆ เลยนะเนี่ย)

-----------------------------------------



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2556, 12:53:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2556, 12:53:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1350





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
pseudolife 24 พ.ค. 2556, 14:45:57 น.
ฮ่าๆ คุณแม่ตลก
และคุณบอสน่ารักมากค่า


mhengjhy 24 พ.ค. 2556, 21:24:18 น.
จิ๊จ๊ะ จิ๊จะ


คิมหันตุ์ 25 พ.ค. 2556, 03:18:31 น.
เอ๊ะยังไงนะคุณบอส???


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account