ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 9

กว่าครึ่งวันที่ขิงคอยชะเง้อมองหาเจ้าของห้องผู้บริหารแต่กลับไร้วี่แวว ทั้งที่บอสของเธอไม่เคยหายไปเฉยๆ เช่นนี้ แม้ว่ามีงานต้องติดต่อข้างนอก อย่างน้อยกฤษณ์ก็ต้องเข้ามาสั่งงานในบริษัทก่อนจะออกไปอีกครั้ง แต่วันนี้กลับไม่มี... ชายหนุ่มยังไม่มาให้เธอได้เห็นหน้าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืน

ส่วนที่พึ่งอีกทางที่เป็นเพื่อนกันมานานก็ไม่ยอมมาทำงาน ขิงถอนหายใจกับคอมพิวเตอร์ตรงหน้า หลังจากหมดเรื่องเด็กฝึกงานไปแล้วแอมป์ก็ไม่เข้าบริษัทเช่นเดิม เพื่อนเธอหายไปอย่างไร้เบาะแส หากเธอไม่ติดต่อไปเองคงไม่มีทางที่เขาจะโผล่มาแบบไม่มีเรื่องเดือดร้อน แต่เอาเถอะ...ในเวลานี้แอมป์จะไปอย่างไรก็ช่าง เธอขี้เกียจจะสนใจเพราะคนที่เธอทำเรื่องไว้ยังไม่ยอมโผล่มาให้เห็น

พระเจ้าคะ... อย่าให้หนูถึงขนาดต้องไปง้อผู้ชายที่บ้านเลยนะคะ หญิงสาวอ้อนวอนเงียบๆ ในใจ ก่อนจะตกใจในความคิดตัวเอง

กฤษณ์เป็นแค่เจ้านายไม่ใช่เหรอไง แค่ทำผิดนิดๆ หน่อยๆ ทำไมเธอจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วยนะ

คนที่กำลังว้าวุ่นกับความคิดตนเองไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างว่าเกิดอะไรขึ้น ขิงบ่นงึมงำกับคอมพิวเตอร์คู่กาย งานตรงหน้ายังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น เกือบห้านาทีที่ไม่รู้สึกตัว จนคนที่ยืนมองอยู่ต้องสะกิดไหล่ให้คนอู้งานรู้สึกตัวเล่นเอาคนขี้บ่นสะดุ้งสุดตัว คว้าจอคอมพิวเตอร์พับลงพร้อมกับหันเก้าอี้กลับมาข้างหลัง

“โธ่ พี่ภพมาเงียบๆ ขิงตกใจหมดสิคะ”

“ก็มัวแต่ชะเง้อหาใครก็ไม่รู้ ใครเดินมาใกล้ขนาดไหนก็ไม่รู้สึกตัวหรอก” ภพพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วนั่งลงเก้าอี้อีกตัวข้างๆ กัน “แล้วนี่ตกลงมองหาใคร ไอ้แอมป์มันทำงานอยู่ที่บ้านนี่มันไม่ได้บอกขิงเหรอ”

“ขิงรู้ค่ะว่าแอมป์อยู่ที่บ้าน ขิงไม่ได้รอแอมป์ซักหน่อย”

“อ้าว แล้วนี่รอใคร” คนถูกถามกัดริมฝีปากเล็กน้อย พูดไม่ออกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นและความรู้สึกตอนนี้ของเธอ

“ไม่มีอะไรพี่ พี่กลับไปทำงานเถอะ” รุ่นพี่หนุ่มเลิกคิ้ว นึกสงสัยในตัวรุ่นน้องสาวอยู่ไม่น้อยกับการกระทำเป็นแสดงออก เขามั่นใจว่าขิงกำลังรอใครสักคนอยู่เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นว่าคนที่เธอรออยู่เป็นใคร

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ให้พี่ช่วยอะไรก็บอกแล้วกันนะ” ภพบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้แค่ขิงที่นั่งถอนหายใจ โล่งอก หันตัวกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งปิดไป ตั้งใจทำงานที่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน

“ตกลงจะไม่มาทำงานจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ตาบอสใจร้าย”

“ว่าใครใจร้ายครับ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเป็นพิเศษในช่วงนี้ดังขึ้นข้างหลัง ทำเอาคนบ่นงึมงำสะดุ้งเฮือกรีบหันหลังกลับมามองเจ้าของเสียง แล้วเธอก็เห็นคนที่เธอรอทั้งวันยืนหน้านิ่งอยู่ตรงหน้า

“บอส” เสียงใสเอ่ยเหมือนกำลังใจลอย ก่อนจะรีบตั้งสติยกมือขึ้นไหว้คนตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยทำ “สวัสดีค่ะ”

“ตกลงเมื่อกี้ว่าใครใจร้ายครับ”

“ก็คนแถวนี้แหละค่ะ” เธอว่าเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ไม่พอใจก็งอนหายไปเลย”

“แล้วใครใจร้ายกับผมก่อนล่ะ ผิดนัดผมไปกับเพื่อนที่หักอกตัวเองน่ะ”

“บอสคะ!” ขิงเรียกเจ้านายเสียงสูง

“ครับ?”

“ถ้าบอสจะมาทักแล้วตอกย้ำกันแบบนี้ ขิงขออนุญาตกลับบ้านก่อนนะคะ ขิงไม่อยากฟัง”

ว่าแล้วขิงก็เก็บคอมพิวเตอร์ตนเองใส่กระเป๋าพร้อมกับของจำเป็นทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ หญิงสาวเหล่มองคนยืนนิ่งอีกครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจสะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่หวังเมื่อมีมือแกร่งจับที่ข้อมือเล็กไว้

“ทีแรกผมยังเป็นฝ่ายโกรธคุณอยู่เลยนะขิง อยู่ๆ ทำไมมันกลับกันแบบนี้ล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ” คนถูกแทงใจดำตอบเสียงสะบัด “แต่ยังไงวันนี้ขิงขอลาครึ่งวันค่ะ สวัสดี”

“ถ้าจะกลับบ้าน เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขิงกลับเองได้” หญิงสาวบอกอย่างหนักแน่น แกะมือแข็งที่ยังคงดึงเธอไว้แต่ไม่สำเร็จ กฤษณ์ยังคงจับข้อมือเธอไว้แน่น และยิ่งแน่นเข้าไปอีกเมื่อเธอเพิ่มแรงขึ้น “บอสปล่อยเถอะค่ะ คนอื่นมองกันใหญ่แล้วนะคะ”

คราวนี้เจ้าของมือแข็งต้องรีบปล่อยข้อมือเล็ก เมื่อเห็นว่าลูกน้องในบริษัทส่วนหนึ่งเริ่มหันมองจุดเกิดเหตุระหว่างเขากับขิง “อย่าเพิ่งไปนะขิง ไปคุยกับผมที่ห้องก่อน”

“แต่ว่า...”

“เถอะนะ ผมขอร้อง” คนถูกขอร้องเม้มปากอย่างช่างใจ ดูเหมือนเธอจะแพ้เสียงอ้อนของเจ้านายของเธอไปเสียแล้ว ทั้งที่ไม่เคยมีใครบังคับเธอได้หากไม่เต็มใจ แต่ที่เธอกำลังเป็นอยู่นี่ล่ะ... เกิดอะไรขึ้น

ขิงถอนหายใจอย่างยอมรับความใจอ่อนของตัวเอง หญิงสาวพยักหน้ารับขอเสนอแล้วเดินตามเจ้านายไปอย่างเสียมิได้ ยิ่งทำแบบนี้ยิ่งทำให้เป็นเป้าสายตากับรุ่นพี่ที่นั่งทำงานอยู่แถวนั้นได้อีกโข นอกจากจะต่อปากต่อคำกับเจ้านายไฟแลบแล้ว แถมด้วยเสียงของเจ้านายที่พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงไม่ปกตินั่นอีกล่ะ... คิดแล้วกลุ้ม ขิงเดินตามกฤษณ์เข้าไปในห้องในหัวก็พยายามคิดข้ออ้างที่จะไว้ใช้ตอบคำถามต่างๆ นานาที่ต้องพุ่งมาทางเธอแน่ หากเธอเดินออกจากห้องนี้ไป โดยเฉพาะพี่ภพ เธอเห็นชัดเชียวล่ะว่ารุ่นพี่หนุ่มจ้องเธอกับเจ้านายตาเขม็ง

“บอสมีอะไรจะพูดกับขิงอีกล่ะคะ” พอหาที่นั่งได้ ลูกน้องสาวก็เอ่ยปากถามทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขิงจ้องหน้าเจ้านายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขม็ง แต่กลับไม่ทำให้อีกฝ่ายสะเทือนเลยแม้แต่น้อย กฤษณ์ยังคงนั่งในท่าทีสบายๆ ใช้ข้อศอกเท้ากับโต๊ะประสานมือไว้ด้วยท่วงท่าที่ขิงคิดว่าน่าหมั่นไส้มากที่สุด

“ความจริงผมยังไม่หายโกรธขิงนะ ที่วันนั้นผิดนั้นผมแถมยังโกหกว่าติดธุระอีก” คราวนี้คนที่คิดว่าตนเองเป็นต่ออยู่ถึงกับหน้าจ๋อยลงไปถนัด ภายในห้องเงียบลงไปชั่วอึดใจก่อนเสียงเล็กจะเอ่ยขึ้น

“ขิง...” หญิงสาวอึกอัก มองหน้ากฤษณ์เล็กน้อยก่อนจะหลุบสายตาลงมองโต๊ะอย่างคนที่รู้ดีว่าผิด แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับไม่ใช่การสำนึกผิดใดๆ แต่ขิงกลับทำตัวเหมือนผู้ร้ายปากแข็งที่ไม่ยอมรับผิดใดๆ “บอสก็รู้อยู่แล้วนี่คะว่าวันนั้นขิงไปไหน ขิงก็แค่ขัดแอมป์ไม่ได้”

“ขัดไม่ได้...” กฤษณ์เอ่ยขึ้นเบาๆ “หรือไม่อยากขัดกันแน่ครับ”

คนโดนอ่านใจสะอึกเล็กน้อยกับสายตาคมตรงหน้า เธอรู้ล่ะว่าเขากำลังเป็นห่วง “แล้วบอสจะให้ขิงทำยังไงล่ะคะ ยังไงแอมป์ก็เป็นเพื่อน แอมป์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขิงคิดอะไรอยู่”

พอได้ฟังแบบนี้แล้วใจของกฤษณ์แทบสลาย มือที่เคยวางอยู่บนโต๊ะด้วยท่วงท่าสบาย กลับกลายเป็นกำแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านไว้ ผู้หญิงตรงหน้าจะรู้บ้างไหมว่าคำพูดของเธอทำร้ายจิตใจเขามากแค่ไหน ไม่ว่าจะทำยังไง ความรู้สึกของขิงก็คงยากที่จะเปลี่ยน วันนี้คงต้องพอก่อน หากเขาและเธอพูดกันมากไปกว่านี้คงไม่ใครก็ใครได้ฟิวส์ขาดมั่งล่ะ

“ถ้าวันนี้จะกลับบ้านก็กลับเถอะครับ ผมอนุญาต”

“คะ? บอสว่าอะไรนะคะ”

“เมื่อกี้เห็นอยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ เชิญครับ ผมขอเคลียร์งานเงียบๆ อ้อ ขิง” ร่างบางที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องด้วยจิตใจที่ยังสับสนต้องชะงักกึกกับเสียงเรียก ขิงหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้นิ่งที่สุดรอฟังคำพูดจากคนที่เรียกเธอไว้ “มีเวลาก็มองรอบๆ ตัวบ้างนะครับ จะได้รู้ว่ามีใครบ้างที่คอยเป็นห่วง”

ขิงฟังคำพูดของเจ้านายด้วยใบหน้าที่ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้ากฤษณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อุณหภูมิบนใบหน้าพุ่งสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ หญิงสาวหันหลังกลับทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับสายตาสื่อความหมายของอีกฝ่าย

“ไหนเมื่อกี้ว่าจะไปส่งไงคะ” คราวนี้เป็นหญิงสาวเองที่เป็นคนท้วงออกมาเบาๆ จนคนมองไม่แน่ใจว่าแค่พูดแก้เขินหรือพูดออกมาจากใจจริงๆ เพราะคนพูดเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ยอมมองเจ้าของห้อง

“ว่าอะไรนะครับ”

“มะ ไม่มีอะไรค่ะ” พอเห็นอีกฝ่ายถามด้วยเสียงที่ไม่น่าไว้ใจ ทำเอาคนกล้าพูดเมื่อครู่ชักตะกุกตะกักไปเหมือนกัน ขิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างที่คิดว่าคนเองใจกล้าที่สุด แต่ก็ต้องรีบก้มหน้ามองพื้นเช่นเดิมเมื่อเห็นสายตาที่แสดงออกชัดเจนของกฤษณ์ “ถ้างั้นขิงกลับเลยนะคะบอส สวัสดีค่ะ”

พูดจบแล้วเธอก็รีบเดินออกจากห้องเจ้านายทันที แต่ถึงจะเร็วแค่ไหนก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลัง ทำเอาหน้าของเธอที่รู้สึกร้อนอยู่แล้วร้อนขึ้นไปอีกจนตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่าหน้าเธอแดงมากแค่ไหนแล้ว พอออกจากห้องเจ้านายได้ขิงก็รีบเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานตนเองแล้วคว้าเอากระเป๋าที่เก็บไว้เรียบร้อยแล้วก้าวเร็วไปยังประตูทางออก โดยไม่สนใจภพกำลังอ้าปากจะเรียกชื่อเธอเข้าไปถามเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้

“บอสนะบอส พูดอะไรก็ไม่รู้หน้าขิงร้อนหมดแล้ว” คนโดนเจ้านายเกี้ยวซึ่งๆ หน้า บ่นกับตัวเองเบาๆ ในลิฟต์ มือเล็กถูกยกขึ้นมาจับที่ใบหน้า และหากมองที่เงาสะท้อนในลิฟต์ดีๆ จะเห็นคนที่ยืนบ่นอยู่ยิ้มจนตายิบหยีอย่างคนกำลังตกอยู่ในภวังค์


ขิงกลับมาบ้านด้วยท่าทีหมดแรง ถึงแม้ไม่ใช่ช่วงเวลารถติดแต่หากเป็นช่วงเวลาแดดร้อนเช่นนี้ การเดินทางด้วยรถเมล์ก็ยังคงสามารถดูดพลังไปได้มากโข แล้วไหนจะนั่งวินมอเตอร์ไซด์หน้าปากซอยเข้ามาที่บ้านอีก วิธีการเดินทางทั้งหมดทำเอาหญิงสาวทิ้งทุกอย่างไว้กับพื้นพอถึงบ้าน แล้วนอนทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วพลันสายตาก็หันไปปะทะเข้ากับกระดาษโน้ตที่คิดว่าเป็นของมารดาแปะอยู่ที่โทรทัศน์

‘แม่ไปนั่งวิปัสนาอาทิตย์นึงนะขิง อยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ
ของในตู้เย็นแม่ซื้อมาไว้ให้ ทำกินเองนะลูก
รัก
แม่’

คนถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวหนึ่งอาทิตย์เต็มทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้งหลังจากอ่านโน้ตเสร็จ แม่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านคนเดียวเหมือนเคย หญิงสาวคิดอย่างปลงๆ ไหนๆ แม่เธอก็ตั้งใจไปทำบุญ ดังนั้นเธอคงไม่ควรโทรศัพท์ไปกวนให้แม่ไม่สบายใจ คิดได้อย่างนั้นแล้วขิงจึงเดินไปเปิดตู้เย็นดู เห็นทั้งเนื้อ ทั้งผัก และส่วนประกอบต่างๆ ที่สามารถทำอาหารง่ายๆ ทานเองได้สบายๆ แต่แม่คงลืมอะไรนิดหน่อย ว่าลูกสาวแม่คนนี้ไม่ชอบเข้าครัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ในเมื่อไม่ชอบทำอาหาร พอถึงเวลาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นทางออกสุดท้ายที่สามารถประทังชีวิตเธอให้ผ่านเย็นนี้ไปได้โดยไม่ต้องลุกขึ้นมาหิวกลางดึก มือบางแกะซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อโปรดเตรียมใส่ชามเพื่อกดน้ำร้อนจากกระติกน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กไว้จนน้ำเดือด หากยังไม่ทันได้กดน้ำเสียงมือถือของเธอในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้นเสียก่อน หญิงสาวจึงต้องวางมือจากทุกอย่างในครัวเพื่อมารับโทรศัพท์ที่ร้องลั่นบ้าน แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราอยู่

“ค่ะ บอส” ขิงรับสายด้วยการพยายามบังคับเสียงให้อยู่ในโทนปกติมากที่สุด

“ผมอยู่หน้าบ้าน เข้าไปได้มั้ย”

“อะไรนะคะ” ถามอย่างนั้นออกไปเสียงดังทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มพูดมาตามสาย ก่อนเจ้าของบ้านจะรีบโผล่หน้าออกมาดูที่ประตูรั้ว เห็นว่าเจ้านายตนยืนถือโทรศัพท์แนบหูไว้จริงๆ หญิงสาวจึงกดวางสายก่อนจะเดินไปหาคนที่ยืนยิ้ม ทำเหมือนเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ

“บอสมีอะไรรึเปล่าคะ” ปากถามไปอย่างนั้น มือก็เปิดประตูให้ร่างสูงเข้ามายืนอยู่ในบริเวณบ้าน

“เปล่าครับ ผมเห็นขิงกลับบ้านคนเดียวเลยมาดูว่าเรียบร้อยดีมั้ย” คนกลับบ้านคนเดียวประจำเลิกคิ้วขึ้น มองคนตรงหน้าอย่างสงสัยในเหตุผลที่ใช้อ้างนั้น ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าคนพูดรู้ตัวหรือเปล่าว่าสิ่งที่พูดดูเหมือน ‘ข้ออ้าง’ มากกว่าจะเป็น ‘เหตุผล’ ที่สามารถใช้ได้

“ความจริงบอสโทร. มาก็ได้มั้งคะ เหมือนเมื่อกี้” ขิงชูโทรศัพท์มือถือตนขึ้น แล้วเขย่าเล็กน้อยให้อีกคนได้เห็น “แล้วถ้าบอสลืม ขิงกลับบ้านแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่เริ่มทำงาน”

“ได้ยินเสียงมันก็ไม่เหมือนกับเห็นหน้าหรอกครับ” กฤษณ์พูดแบบนั้นออกไปพร้อมกับส่งสายตาที่พยายามส่งอยู่ทุกเวลาในวันนี้ ให้เจ้าของบ้านได้อายม้วนอีกตามเคย

“เข้าบ้านก่อนมั้ยคะ”

“ก็ดีครับ ชักหิวน้ำเหมือนกัน” เจ้าของบ้านสาวค้อนขวับให้แขกที่อยู่ๆ ก็เกิดนึกอยากกินน้ำขึ้นมาทั้งที่ตัวเองเพิ่งมาจากบริษัท

“ที่บริษัทน้ำหมดเหรอคะ”

“เปล่าครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าคนแถวนี้จะมีน้ำใจรึเปล่า” น้ำเสียงเย้าที่กฤษณ์ใช้นั้น ยิ่งทำให้ขิงเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งประโยคถัดมายิ่งแล้วใหญ่ “แต่ข้าวนี่สิ ที่บ้านไม่มีอะไรกินเลยครับ พี่ชายพี่สะใภ้ผมกลับไปหมดแล้ว ที่บ้านเงี๊ยบเงียบ ไม่มีอะไรกินเลย ไม่รู้แถวนี้มีคนใจดีให้กินข้าวเย็นด้วยรึเปล่า”

“ถึงอยากกินก็ไม่มีให้กินหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ทวีคูณ “แม่ไม่อยู่ขิงก็ทำกับข้าวไม่เป็น เพราะงั้นบอสคงต้องกลับไปให้แม่บ้านบอสทำให้แล้วล่ะค่ะ”

“อ้าว แม่ขิงไปไหนครับ”

“ไปนั่งวิปัสนาที่วัดค่ะ ขิงเลยต้องอยู่แบบอดอยากซักพักจนกว่าแม่จะกลับมา”

กฤษณ์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด “ในตู้เย็นมีของสดมั้ยครับ”

“คะ?”

“ผมหมายถึงพวกหมูหรือผักพวกนั้นน่ะครับ ถ้ามีเดี๋ยวผมทำให้ทาน” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินตรงไปยังทางที่คิดว่าเป็นห้องครัวอย่างไม่ต้องรอให้ใครเชิญ เปิดตู้นู้นปิดตู้นี้ก่อนจะเลือกของสดทั้งหมดที่คิดจะทำออกมาวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นชามใบหนึ่งวางอยู่พร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนอนอยู่ในนั้นอย่างสงบ แล้วหันมองเจ้าของบ้านสาว “นี่ถ้าผมไม่มา ขิงก็จบที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกแล้วเหรอ”

“ก็ขิงไม่ชอบเข้าครัวนี่คะ มันขี้เกียจไปทุกอย่าง เย็นๆ แบบนี้แค่บะหมี่ซองเดียวก็อยู่ได้ทั้งคืนแล้วค่ะ”

“แต่นี่มันผงชูรสทั้งนั้นเลยนะ” เขาสวนทันควัน แถมยังสามารถห้ามให้หญิงสาวเถียงแล้วพาร่างเล็กไปนั่งรออาหารเย็นที่ห้องนั่งเล่นอีกด้วย “นั่งรอตรงนี้แหละ ในครัวผมจัดการเอง”


อาหารถูกจัดไว้บนโต๊ะเล็กอย่างน่ารับประทาน มีข้าวเปล่าสองจานวางไว้ตำแหน่งที่นั่งตรงข้ามกัน ทีแรกขิงก็ไม่ได้รู้สึกหิวมากเท่าไหร่ แต่เมื่อได้เห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำให้กระเพาะอาหารน้อยๆ อดส่งเสียงท้วงขึ้นมาไม่ได้ จนเธอต้องรีบปรามมันในใจ ก่อนที่ชายหนุ่มอีกคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงน่าเกียจนี้

“จะอร่อยรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ” เสียงเล็กเอ่ยหมิ่นทั้งที่น้ำลายเริ่มเต็มกระพุ้งแก้มสองข้าง เงยหน้าขึ้นจากอาหารก็เห็นพ่อครัวตัวโตยืนยิ้มอยู่อย่างรู้จักในรสชาดอาหารตนเองดีกว่าใคร

“อยากรู้ก็นั่งลงชิมสิครับ จะได้รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย”

เจ้าของบ้านไม่มีปัญหากับคำเชิญชวนนั้น หญิงสาวนั่งลงพร้อมกับตักอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วด้วยความหิว ปล่อยให้พ่อครัวนั่งมองยิ้มๆ ไม่ยอมตกข้าวเข้าปากจนเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“อ้าว ทานสิคะบอส อาหารพวกนี้บอสทำเอง บอสก็ต้องทานนะคะ”

“อร่อยมั้ยครับ” เขาถาม แถมยังส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ถ้าให้ตอบตามจริงก็ต้องบอกว่าอร่อยมากค่ะ ทำไมบอสไม่เปิดร้านอาหารไปเลยล่ะคะ ขนาดอาหารพื้นๆ แบบนี้ยังอร่อยขนาดนี้เลย”

“ผมแค่เคยทำงานร้านอาหาร แล้วก็ไม่ได้ชอบทำขนาดนั้นด้วย”

“อ้าว แต่บอสก็ทำให้ขิงทานนะคะ” กฤษณ์ยกยิ้มมุมปากแล้วมองหน้าขิงด้วยสายตาลึกซึ้งกว่าทุกครั้งก่อนเอ่ยปาก

“ผมเลือกทำให้เฉพาะคนที่ผมอยากให้ทานฝีมือผมเท่านั้น” เธอรู้ดีถึงความหมายที่ชายหนุ่มกำลังสื่อ หญิงสาววางช้อนส้อมลงกับจานก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง อย่างที่คนกำลังพูดความในใจถึงกับหลุดขำ

“คอแห้งจังเลยค่ะ บอสเอาน้ำมั้ยคะขิงจะไปรินมาให้ เอ่อ เอาน้ำเปล่าแล้วกันนะคะ” ว่าจบอย่างรวดเร็วก่อนที่บอสหนุ่มจะได้ทักท้วง ร่างบางของเจ้าของบ้านก็เดินไปถึงตู้เย็นเสียแล้ว ทำเอาคนนั่งมองท่าทางเก้ๆ กังๆ นั้นหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้


“แม่ขิงท่านจะกลับบ้านเมื่อไหร่ครับ”

บทสนทนเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อทั้งคู่ต่างช่วยกันเก็บกวาดสิ่งที่อยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อย กฤษณ์เขี่ยเศษอาหารทั้งหมดลงถังขยะตามคำบอกของลูกน้องสาว ตั้งใจจะล้างจานหากแต่หญิงสาวส่งเสียงห้ามเอาไว้ก่อน เธอบอกว่าไหนๆ เจ้านายก็ทำอาหารให้ทานแล้ว หน้าที่ล้างจานเป็นของเธอเอง คนเป็นหัวหน้าเลยได้แต่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้มองแม่บ้านมือสมัครเล่นล้างจานเสียงดังโครมครามจนเขากลัวว่ามันจะแตกหมดทั้งชุดหรือเปล่า

“แม่บอกว่าไปอาทิตย์นึงค่ะ ช่วงนี้ให้หากินเองไปก่อน” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะโพล่งคำพูดประโยคหนึ่งออกไปอย่างไม่ต้องคิดมาก

“ถ้างั้นอาทิตย์นี้ผมมากินข้าวเป็นเพื่อนนะ” เท่านั้นแหละ จานที่เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจานในมือก็หลุดจากมือเกิดเสียงดังสนั่นกระทบกับจนใบอื่นที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ในอ่างล้าง เสียงดังที่เกิดทำเอาคนที่นั่งอยู่ดีดตัวลุกขึ้นก้าวไปยังตำแหน่งที่ขิงยืนอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าความปลอดภัยของคนที่ยังคงยืนมองจานนิ่ง

“จานไม่แตกใช่มั้ย”

“ไม่ค่ะ เมื่อกี้บอสว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวถามเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มือไม้สั่นไปหมดเมื่อหยิบจานขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมบอกว่าเดี๋ยวอาทิตย์นี้ผมมาทานข้าวเย็นเป็นเพื่อน”

ฟังคำตอบแล้วขิงได้แต่เงียบ มือยังคงล้างจานที่เหลือจนหมดแต่ก็ยังไม่พูดอะไรจนทั้งคู่เดินตามกันออกมานั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหรือสามารถเปลี่ยนเป็นห้องรับแขกได้ในพริบตาเมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้าน หญิงสาวนั่งมองหน้าเจ้านายหนุ่มที่ยังคงไม่พูดอะไรนอกจากจ้องหน้าเธอราวกับไม่เคยเห็น

“บอสต้องการอะไรกันแน่คะ ขิงว่าวันนี้บอสดูแปลกๆ” พูดจบหญิงสาวก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนทำอะไรตกบนพื้น ไม่ได้มองหน้าคนที่พูดด้วยแม้แต่น้อย

“ผมว่าขิงรู้นะ ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร”

“ขิงไม่รู้หรอกค่ะบอส ไม่อยากรู้ด้วย... ขิงยังไม่พร้อม” ท้ายเสียงดังแผ่วกว่าทุกคำที่เอ่ยออกไป หญิงสาวไม่ยอมสบตากับคนตรงหน้าอีกเลย เหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนทั้งคู่อึดอัด กฤษณ์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่แน่ใจว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นในเมื่อเขาคิดว่าตนเองแสดงออกอย่างชัดเจนมาได้พักหนึ่งแล้ว

“ขิงไม่พร้อมผมก็ไม่ได้ว่าอะไร รอมาขนาดนี้แล้ว รออีกหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ”

คราวนี้คนที่กำลังเหมือนถูกบอกรักเงยหน้าขึ้นทันควัน ตาคู่สวยสบตาสายตาคมที่เจือไปด้วยความหวานแล้วเป็นอันต้องยอมแพ้เสมองทางอื่นไปอีกครั้ง

“อย่ารอเลยค่ะบอส ขิงไม่รู้ว่าวันที่ขิงพร้อมจะมาถึงเมื่อไหร่” ความเงียบเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้กฤษณ์เป็นฝ่ายยอมแพ้กับความไม่ยอมรับความรู้สึกของร่างบางตรงหน้า เขาถอนหายใจอีกครั้งยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันบอกคนที่นั่งก้มหน้าอยู่เสียงเบา

“ผมกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้... ตอนเช้าผมจะมารับ” ว่าเสร็จก็รีบเดินออกไปทันที ไม่ปล่อยให้คนที่ตกใจในคำพูดของอีกฝ่ายได้ทันท้วงอะไรทั้งสิ้น

“โธ่บอส พูดอะไรไม่ฟังกันเลย”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แฮ่ๆๆๆ เก๊ามารายงานตัวแล้ว โผล่มานิดๆ หน่อยๆ นะคะ ท่านผู้โช้มมมมม
ตอนนี้ไม่ได้รีไรท์เลย ผิดพลาดประการได้ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะจ๊ะ พอดีอยากรีบเอาลงให้อ่านกัน แหะๆๆ

ขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้กระผมนะคับ จู๊บบบบบบ (โหมไฟขึ้นมาอย่างแรงกล้า)

ตอบเม้นกันนะแจ๊ะ ^^;

==================================

คุณคิมหันตุ์ : เชียร์บอสแล้วอย่าเปลี่ยนใจนะคะ บอสของเราน่ารัก คึกคักเวลาลงเล่น (ไม่ใช่ละ!)

คุณmhengjhy : ตอนนี้ไม่มีนายแอมป์มากวนใจแล้วนะคะ แต่ตอนหน้าเก๊าไม่รับปาก กิกิกิ

คุณ pseudolife : ฮาาา บอสคงมีกำลังใจสู้ขึ้นเยอะเลยน้าาา

คุณ posty : มาแล้วนะพี่พจน์ ^0^ คิคิคิ

===================================

เจอกันใหม่ตอนหน้าครับผม



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2556, 20:34:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2556, 20:34:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1316





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
mhengjhy 27 พ.ค. 2556, 22:40:09 น.
555 อนุญาตให้แอมป์มากวนบ้างก่ได้ค่ะ ถ้าจะทำให้ขิงหันมามองบอส อิอิ


คิมหันตุ์ 27 พ.ค. 2556, 23:43:31 น.
รุกหนักเชียว อิอิ ชอบๆ


Furzan 27 พ.ค. 2556, 23:53:16 น.
บอสน่ารัก จุงเบย


pseudolife 28 พ.ค. 2556, 00:34:49 น.
หนูขิงทำร้ายจิตใจบอสอยู่เรื่อย
หาตัวเร่งปฏิกิริยา มาให้หนูขิงยอมรับความรู้สึกบอสหน่อยเร้ว
^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account