ไฟสิเหน่หา
อัคนี : เขาแอบหลงรักเธอ ตั้งแต่แรกเจอ แต่เพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้เขาต้องแต่งงาน และพยายามลืมเธอ แต่เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และได้รับรู้ว่าเธอมีคนรู้ใจแล้ว ในใจของเขาก็เหมือนมีกองเพลิงลุกโชน จนไม่อาจทานทนได้ เขาจึงทำทุกวิถีทางให้ได้ตัวเธอมา แม้มันจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็ตาม

นิชนันท์ : สาวน้อยบองบางที่หลงพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกองเพลิงโดยไม่รู้ตัว เธอจะทำเช่นไร เมื่อต้องถูกตราหน้าว่าเป็น 'เมียน้อย' ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจ


*****************************
Tags: โรแมนติก ดราม่านิด ๆ ซี๊ดซ่า หน่อย ๆ

ตอน: ไฟสิเหน่หา บทที่ 2





2.


ภายในห้องนอนเรียบหรูในโทนสีขาว ดำ ซึ่งผิดกับห้องนอนธรรมดาทั่วไปที่มักจะใช้สีโทนอ่อนตาให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจเมื่อได้อยู่ในห้องมากกว่า แต่ทว่าเมื่อนำมาเทียบกับผู้เป็นเจ้าของห้องแล้วก็ถือได้ว่าห้องนอนห้องนี้เหมาะสมกับเขาที่สุด ชายหนุ่มเดินนำหญิงสาวเข้ามาด้านในก่อนหยุดลงที่ปลายเตียงหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ยังคงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ยอมก้าวเท้าตามเข้ามา ออกคำสั่งไปเสียงเข้มอีกครั้งเมื่อใช้สายตาสั่งการแล้วแต่ไม่ได้ผล

“จะเข้ามาดี ๆ หรือจะต้องให้ฉันใช้กำลัง”
นิชนันท์จำต้องเดินเข้าไปด้านในทั้งที่เธอไม่คิดจะกลับเข้ามาเหยียบห้องนี้อีกเลยนับจากวันนั้น วันที่ทำให้เธอสูญสิ้นอิสรภาพทุกอย่างไป

“เมื่อกลางวันเธอไปไหนกับไอ้หมอนั่น?”จู่ ๆ เจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่บริเวณปลายเตียงก็ถามออกมาเสียงเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลทองจับจ้องไปยังร่างเล็กที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ไม่ไกลจากตนนัก

“ฉัน...คือฉัน...”

“เมื่อไหร่เธอจะเลิกกลัวฉันสักที ฉันไม่ใช่ยักษ์ ใช่มารนะ เลิกทำตัวน่ารำคาญสักที!”อัคนีตะคอกเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด เพราะเธอเป็นแบบนี้กระมังถึงทำให้เขาต้องใช้น้ำเสียงและท่าทางแบบนี้กับเธอ หลายครั้งหลายหนเหลือเกินที่เขาต้องทนมองสภาพเนื้อตัวสั่นของเธอทั้งที่ไม่อยากจะเห็นมันเลยและในครั้งนี้เองที่เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ

“ขอ...ขอโทษค่ะ”

“เข้ามาใกล้ ๆ อีกซิ”ดูเหมือนอารมณ์จะเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว คำพูดต่อมาจึงเริ่มอ่อนลงแม้จะยังคงเป็นการออกคำสั่งดังเดิมก็ตาม ร่างเล็กค่อยก้าวเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ต่อหน้าเขา มือสั่นเทาจากความกลัวถูกบีบเข้าหากันเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

อัคนียื่นมือไปฉุดร่างเล็กนั้นเพียงเบา ๆ ร่างทั้งร่างก็เซถลาลงบนตักหนาของเขา สองมือตวัดโอบเข้าที่รอบเอวบางด้วยความรวดเร็ว

“อย่า....อย่าค่ะ”

ชายหนุ่มหาได้ฟังคำคัดค้านนั้นแต่อย่างใด จมูกโด่งซุกไซร้อยู่บริเวณลำคอของอีกฝ่าย คลอเคลียอยู่เป็นนานก่อนจะค่อยเคลื่อนขึ้นมาบริเวณพวงแก้มนวลใสที่บัดนี้เริ่มแดงปลั่งอันเกิดจากการกระทำของเขา

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะคุณอัคนี ฉันขอร้อง ได้โปรดเถอะค่ะ”น้ำเสียงสั่นร้องอ้อนวอนออกมาไม่เต็มเสียงนัก พยายามเบี่ยงหลบใบหน้าและจมูกโด่งของอีกฝ่ายแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่

“พอเถอะค่ะ.....”หญิงสาวร้องบอกอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงการจู่โจมที่รุนแรงและรุกรานหนักข้อขึ้นทุกทีพยายามจะลุกหนีก็ทำไม่ได้เมื่อลำแขนแกร่งดั่งปลอกเหล็กของเขายังคงกกกอดเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เธอได้ร้องขอใด ๆ ได้อีก เขาบรรจงปิดประทับเรียวปากบางของเธออย่างแผ่วเบา บดคลึงช้า ๆ ทว่าหนักหน่วงด้วยแรงพิศวาสทำเอาหญิงสาวผู้ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ถึงกับตัวอ่อน หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะต่อต้านอีกต่อไป ชายหนุ่มยังคงเล้าโลมหญิงสาวอย่างเชื่องช้ารอจนกระทั่งร่างเล็กในอ้อมแขนของตนเริ่มคล้อยตาม อัคนีประคองร่างเล็กนั้นให้นอนลงบนเตียงอย่างช้า ๆ ทว่าความเย็นจากผืนผ้าที่คลุมเตียงอยู่นั้นกลับเรียกสติให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสเย็นวาบที่ตนรู้สึก ความหวาดกลัวทำให้เธอออกแรงดิ้นรน หลีกหนีสัมผัสจากเรียวปากของชายหนุ่มอีกครั้ง และทันทีที่เรียวปากของเธอได้รับอิสระหญิงสาวก็เปล่งเสียงร้องออกมาในวินาทีนั้น

“อย่า...ได้โปรด อย่าทำอะไรฉันเลย ฮึก...ฮึก...อย่าทำฉัน”

การกระทำทุกอย่างของชายหนุ่มหยุดชะงักในทันทีที่สัมผัสกับหยดน้ำรสเค็มปร่านั้น สูดลมหายใจเข้าแรง ๆ สอง สามครั้งเพื่อเรียกสติที่เตลิดของตนให้กลับเข้าที่ ก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือหนายกขึ้นเสยผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวดเหลือเกินของหญิงสาวก็ยิ่งให้รู้สึกทั้งหงุดหงิด ทั้งเจ็บปวดจนไม่รู้ว่าความรู้สึกไหนมีมากกว่ากัน...

“ลุกขึ้นแล้วแต่งตัวให้เรียบร้อย”กว่าจะปรับความรู้สึกของตนเองได้ก็กินเวลานานพอดู กว่าที่เขาจะเปล่งเสียงพูดออกมาได้อีกครั้ง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองไปยังร่างเล็กที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นอยู่นั้นด้วยเกรงว่าตนจะอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วคว้าตัวเธอมากกกอดอีกครั้ง

“แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปได้ จะให้คนไปส่งที่บ้าน”พูดจบก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไปทันที เสียงปิดประตูห้องน้ำดังสนั่นทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งเฮือกหยดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายด้วยความตื่นกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


หญิงสาวก้าวลงจากชั้นบนมาด้วยสภาพที่ดูไม่แตกต่างไปจากตอนแรกที่มานัก หากจะมีต่างออกไปก็คงเป็นที่ดวงตาแดงก่ำคล้ายกับเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างแสนสาหัสมานั่นเองที่บ่งบอกว่าเกิดบางสิ่ง บางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน หญิงสาวกวาดตามองบรรดาสาวใช้ที่ต่างพากันมองมายังตนด้วยความสนใจ ความรู้สึกอับอายทำให้เธอจำต้องก้มหน้าหลบตาทุกคนแล้วก้าวเดินเร็ว ๆ ออกจากบริเวณนั้นมาด้วยความรีบร้อน

“เชิญทางนี้ครับ”เสียงทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มอายุอานามไล่เลี่ยกับเธอจะเดินเข้ามาหาด้วยความใบหน้าเรียบเฉย

“คุณอัคนีให้ผมไปส่งคุณที่บ้านครับ”ชายหนุ่มคนเดิมบอก เดินนำเธอไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ห่างนัก เธอจึงจำต้องเดินตามไปด้วยไม่กล้าขัดขืน เงยหน้าขึ้นมองคนที่เปิดประตูรถให้กับตนก่อนบอกขอบคุณออกไปเบา ๆ

“ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เปิดประตูรถให้กับเธอยังคงยืนเฉยไม่พูด ไม่จา รอจนกระทั่งหญิงสาวเข้าไปภายในรถแล้วจึงได้ทำการปิดประตูรถลงก่อนเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับสอดตัวเข้าไปภายในรถ เพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น

อัคนีแหวกผ้าม่านภายในห้องนอนของตนออกเพียงเล็กน้อย สายตาทอดมองไปยังร่างเล็กที่เพิ่งหายเข้าไปภายในตัวรถด้วยสายตาที่ไม่มีใครสามารถอ่านออกได้นอกจากตัวเขาเอง ยืนมองอยู่จนกระทั่งรถยนต์คันดังกล่าวเคลื่อนตัวออกห่างไปจนลับสายตาจึงได้หันกลับเข้าห้องไป


เสียงสะอื้นเบา ๆ ที่ดังเข้าหูให้ได้ยินทำให้ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ขับรถจำต้องเงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกมองหลังด้วยความเป็นห่วง เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างเห็นใจ

“ร้องออกมาเถอะครับ ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น”

เสียงสะอื้นเงียบลงในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น หันไปมองสบตาคนพูดด้วยความคาดไม่ถึง ชายหนุ่มคนเดิมส่งยิ้มบาง ๆ มาให้กับเธอเป็นครั้งแรกก่อนจะเอ่ยแนะนำตนเองให้เธอได้รู้จัก

“ผมชื่อก้องครับ”แนะนำตัวเองจบก็จัดการยื่นกล่องกระดาษทิชชูให้กับหญิงสาว นิชนันท์ยื่นมือไปรับพร้อมกับบอกขอบคุณเขาเบา ๆ ก่อนแนะนำตัวเองกลับไปบ้าง

“นิ่มค่ะ”

“ครับ...ผมรู้จักคุณดี”คำตอบของเขาทำให้บรรยากาศภายในรถที่เริ่มจะดีขึ้น กลับกลายไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งซึ่งเขาเองก็พอจะรู้และยินดีที่จะให้มันเป็นแบบนี้
ตลอดระยะทางจากวินาทีที่ชายหนุ่มพูดประโยคนั้นออกมาทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยจนกระทั่งเขานำรถเข้ามาจอดเทียบบริเวณหน้าบ้านไม้หลังไม่ใหญ่นักหลังหนึ่ง

“ขอบคุณมากนะคะ”นิชนันท์กล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนเปิดประตูรถเตรียมก้าวลง ทว่าเสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ขับรถก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เข้มแข็งไว้นะครับ สักวันคุณจะเข้าใจว่าทำไมคุณเพลิงถึงได้ทำแบบนี้”


คำพูดทิ้งท้ายของชายหนุ่มสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในจิตใจของหญิงสาวได้ไม่น้อย เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ชายหนุ่มคนที่แนะนำตัวกับเธอว่าชื่อ ‘ก้อง’ พูดขึ้นมานั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะอะไรเธอถึงจะต้องทนเข้มแข็งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เหตุผลอะไรกันที่ทำให้คนอย่าง ‘อัคนี’ทำเรื่องแบบนี้กับเธอ!

“นิ่ม! มานั่งทำอะไรดึกดื่นแบบนี้”เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากข้างรั้วบ้านดึงสายตาของหญิงสาวที่ตกอยู่ในภวังค์ให้หันไปมอง

“ยุทธ์”

“เราไปหานะ”และไม่รอให้อีกฝ่ายให้คำตอบ คนขอก็จัดการกระโดดข้ามรั้วเดินเข้ามาหา ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มีคำถามมากมายที่เขาอยากจะเอ่ยปากถามเธอออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอกลับบ้านดึก หรือจะเป็นเรื่องที่เธอกลับบ้านมาพร้อมกับใครคนหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทว่าเขาก็ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ไม่กล้าถามออกไป เขาเลือกที่จะถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวมากกว่าการจะถามถึงสิ่งที่กังขาใจตัวเอง

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่านิ่ม”

“ขอบใจนะที่เป็นห่วง นิ่มไม่ได้เป็นอะไรหรอกยุทธ์ พอดีนอนไม่ค่อยหลับก็เลยออกมานั่งเล่นน่ะ”หญิงสาวตอบกลับไปเสียงเบา แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้ามันช่างมืดหม่นและเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย จนเธอแทบไม่อยากจะมองมันอีกเลยนับจากวันนี้ไป ทั้งที่ทุกครั้งที่เธอได้แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เธอจะเห็นแต่แสงสว่างไสวของดวงดาวนับร้อย นับพันดวงที่แข่งกันเปล่งแสงเรืองรองออกมาเสมอ ๆ ความอบอุ่นที่ก่อเกิดจากมือหนาของเพื่อนเรียกให้หญิงสาวก้มลงมองมือของตนก่อนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนชายด้วยความงุนงง

“ยุทธ์ไม่รู้หรอกนะว่านิ่มมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอยู่ แต่ถ้ามีสิ่งไหนที่ยุทธ์พอจะทำให้นิ่มสบายใจขึ้นได้บ้างยุทธ์ก็อยากจะทำ”สายตาอ่อนละมุนที่อีกฝ่ายมองสบมาไม่เพียงแค่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสน แต่มันกลับยิ่งตอกย้ำให้เธอได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี

“ยุทธ์....”

“ยุทธ์รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นิ่มไม่เคยเห็นยุทธ์เป็นอย่างอื่นเลยนอกจากคำว่า ‘เพื่อน’ แต่ความรู้สึกนั้นมันจะมีโอกาสพัฒนาไปมากกว่านี้ได้บ้างหรือเปล่านิ่ม ยุทธ์ขอโอกาสนั้นสักครั้งได้ไหม....”

คำพูดที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเพื่อนยิ่งส่งให้หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นอย่างยากลำบาก หากเพื่อนของเธอมาพูดกับเธอเร็วกว่านี้สักนิดก็คงจะดี หากว่าเขาไม่ได้บอกคำนี้ช้ากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็คงดี เพราะถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเธอจะไม่มีวันปฏิเสธคำขอนี้ของเพื่อนเลยแต่....มันสายไปแล้ว!

“นิ่มขอโทษ....นิ่มขอโทษนะยุทธ์”หญิงสาวสะอื้นไห้ตัวโยนอย่างเก็บกลั้นต่อไปไม่ไหว โชคชะตาช่างร้ายกาจกับเธอเหลือเกิน ทำร้ายเธอครั้งแล้ว ครั้งเล่าจนแทบทนรับต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

“ขอโทษยุทธ์ทำไม นิ่มไม่ได้ทำผิดอะไรกับยุทธ์สักหน่อย ยังไงซะเราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะนิ่ม”แม้จะรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสจะได้เป็น ‘มากกว่าเพื่อน’ แต่สำหรับสุรศักดิ์แล้วเขาก็ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธเคืองอะไรเธอเลยเพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เขารัก คอยดูแล ห่วงใยใส่ใจอยู่ใกล้ ๆ แม้จะทำได้แค่ในฐานะของ ‘เพื่อน’ ก็ตาม

“ยุทธ์…”ร่างทั้งร่างโผเข้ากอดเพื่อนตนเอาไว้อย่างหวังให้เขาเป็นที่พึ่ง

“ดึกแล้ว นิ่มเข้าบ้านนอนดีกว่านะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้...จำไว้นะนิ่ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนิ่มก็ยังมียุทธ์อยู่ข้าง ๆ นะ”ชายหนุ่มบอกย้ำอีกครั้ง พลางลุกขึ้นเดินจูงหญิงสาวไปส่งถึงประตูบ้าน

“นอนหลับฝันดีนะ”

“ขอบคุณมากนะยุทธ์ ขอบคุณมาก ๆ”เธอบอกย้ำอีกครั้งทั้งน้ำตาก่อนส่งยิ้มให้ไป

“อืม...เข้าบ้านเถอะ”ชายหนุ่มยืนอยู่จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้าบ้านพร้อมกับปิดประตูบ้านลง ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจที่ไม่ต้องทนแสร้งตีหน้าเรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรู้สึกของ ‘คนอกหัก’ มันเป็นอย่างไร แม้จะอยากร้องไห้เสียน้ำตามากแค่ไหนแต่น้ำตากลับไม่มีแม้สักหยด ทว่าหัวใจกลับเจ็บแปลบจนเหมือนกับมันกำลังจะแหลกสลายลงเดี๋ยวนั้น


หลังจากที่เดินทางเข้ามาถึงบริษัท นิชนันท์ก็ได้แต่งุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเลขาฯ สาวของชายหนุ่ม เพราะไม่ว่าเธอจะจับต้องงานสิ่งใด เลขาฯ สาวคนดังกล่าวก็มักจะตรงเข้ามาแย่งงานสิ่งนั้นไปทำด้วยตนเองทุกทีไป ไม่ว่าเธอจบอกกล่าวออกไปว่า สามารถทำเองได้ก็ตามที

“พี่เป้ยคะ...มีอะไรให้นิ่มช่วยบ้างหรือเปล่าคะ”สุดท้ายเธอก็ทนต่อไปไม่ไหวจำต้องลุกไปของานหล่อนทำ

“ไม่มีหรอกจ้ะ นิ่มไปนั่งเฉย ๆ นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไรก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”น้ำเสียงติดจะกระทบกระเทียบของรุ่นพี่ทำให้เธอชักเริ่มไม่แน่ใจ เกิดอะไรขึ้นกับรุ่นพี่เธอคนนี้กันแน่ หรือเธอไปทำอะไรให้หล่อนไม่พอใจอีก

“นิ่มทำอะไรผิดหรือเปล่าคะพี่เป้ย พี่เป้ยบอกนิ่มได้นะคะ นิ่มจะได้ปรับปรุง”

“โอ๊ย...ไม่ต้องปรับปรุงอะไรหรอกจ้ะนิ่ม แค่นิ่มอยู่เฉย ๆ ไม่ทำให้พี่เดือดร้อนอีกแค่นี้พี่ก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ”พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดหันไปตั้งหน้า ตั้งตาทำงานที่ตนเคยโยนให้หญิงสาวไปทำเมื่อวานอย่างขะมักเขม้น แม้ในใจจะรู้สึกแค้นเคืองหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่นำเรื่องที่เธอใช้งานไปฟ้องเจ้านายจนทำให้เธอถูกเรียกตัวมาพบแต่เช้า และถูกต่อว่าอย่างรุนแรงถึงขั้นจะไล่ออกหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เลขาฯ สาวรุ่นพี่นึกขวางอยู่ในใจ ไม่คิดว่าไอ้พวกหน้าตาซื่อ ๆ อย่างนิชนันท์จะเป็นพวกช่างฟ้อง ช่างประจบ ประแจงไปได้

...คอยดูเถอะ เจ้านายเบื่อเธอเมื่อไหร่ ฉันนี่แหละจะหัวเราะให้ฟันล่วงเลย....อยากจะรู้นักถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูภรรยาของท่านเมื่อไหร่ อะไรจะเกิดขึ้น!

พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยสีของเครื่องสำอาง...ในเมื่อฉันทำอะไรเธอไม่ได้ ก็อย่านึกว่าคุณเจนจะทำอะไรเธอไม่ได้ด้วยเหมือนกันนะ นังนิ่ม!


สนามบินสุวรรณภูมิ

สภาพผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ และเสียงอื้ออึงที่ดังออกจากลำโพงที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณสนามบินแห่งนี้ ไม่ได้ทำให้ผู้คนที่เดินไป เดินมาหยุดหันมาสนใจแต่อย่างใดเพราะทุกคนยังคงตั้งหน้า ตั้งตาเดินไปยังจุดหมายปลายทางของตนเองอย่างเร่งรีบ เช่นเดียวกันกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเดินออกมาจากส่วนของผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ มือเรียวจับจูงร่างเล็กของเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย ใบหน้าแย้มยิ้มยามเมื่อมองไปโดยรอบสถานที่แห่งนี้เรียกสายตาของคนจูงให้หันมามองด้วยความสนใจ

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะน้องจินนี่”

“มี้...จินนี่อยากถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นนั้นค่ะ”เด็กหญิงหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม ชี้นิ้วไปยังรูปปั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามทางเดินด้วยความสนใจ

“ได้สิจ๊ะ”คนถูกเรียก ‘มี้’ยิ้มรับคำ จูงมือลูกสาวของตนไปยังรูปปั้นนั้นก่อนหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา

“ยิ้มสวย ๆ นะคะ”บอกพร้อมกับนับหนึ่งถึงสาม ก่อนกดชัตเตอร์รัวติดกันสอง สามครั้ง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ กลับบ้านกันได้แล้วนะคะ”คนเป็นแม่บอกก่อนยื่นมือส่งให้ลูกสาวได้จับกุม

“ค่า...จินนี่คิดถึงพ่อเพลิงจะแย่อยู่แล้ว”เด็กหญิงบอกยิ้มกว้างยามเมื่อคิดถึงคนเป็นพ่อ

“งั้นก็ไปกันได้แล้วค่ะคนสวย เราจะได้ไปเซอร์ไพรส์คุณพ่อกันไงคะ…”พูดจบทั้งสองก็เดินตรงไปยังจุดให้บริการรถโดยสารของทางสนามบินทันที คำว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ของคนเป็นแม่ยังผลให้ลูกสาวกระตือรือร้นเต็มที่และหวังจะให้ตนเดินทางกลับถึงบ้านโดยไว


เสียงเครื่องยนต์รถที่เพิ่งเงียบเสียงไปนั้น ส่งให้ร่างสูงที่เพิ่งก้าวลงจากชั้นบนเกิดความสงสัยจนต้องถามออกไป

“รถใครมาแต่เช้าครับป้าแจ่ม”

“คนสวยของพ่อเพลิงเองค่า”เสียงแจ๋วหวานใสของเด็กหญิงดังมาก่อนตัว แทนคำตอบจากคนที่ชายหนุ่มเพิ่งจะถามออกไป ร่างสูงหยุดชะงักอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ตั้งท่าอ้าแขนรอรับร่างเล็กของลูกสาว

“กลับมาแล้วหรือครับ”ชายหนุ่มถามออกไปเมื่อรับร่างของลูกสาวเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเองแล้ว

“กลับมาแล้วค่ะ คิดถึงพ่อเพลิงที่สุดในโลกเลยค่ะ”ลูกสาวตอบเสียงหวานยกตัวขึ้นหอมแก้มสากระคายของพ่อตนแรง ๆ ทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน

“ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อนล่ะครับเจน ผมจะได้ไปรับ”อัคนีหันไปถามภรรยาของตนบ้างก่อนจะก้าวเดินนำเข้าไปในห้องอาหาร

“จินนี่อยากมาเซอร์ไพรส์พ่อเพลิงค่ะ เพลิงจะไปทำงานแล้วหรือคะ”จีรนุชถามขณะที่เดินตามร่างสูงเข้าไปในห้องอาหารด้วยอีกคน

“ครับ วันนี้มีประชุมแต่เช้า”

“หรือคะ...ประชุมเสร็จกี่โมงหรือคะ”ภรรยาสาวถามขึ้นอีกครั้ง

“ยังไม่รู้เลย เจนมีอะไรกับผมหรือเปล่า”อัคนีหันมามองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ถ้ายังไงเที่ยงนี้เราไปทานข้าวด้วยกันนะคะ”ภรรยาสาวตอบ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้พร้อมกับหันไปบอกแม่บ้านวัยกลางคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว

“เจนขอกาแฟนะคะ”

“ของผมด้วยนะป้าแจ่ม”อัคนีบอกเสียงเรียบ สายตาจับจ้องอยู่ที่ภรรยาของตน ซึ่งคนถูกมองเองก็พอจะรู้แต่เธอก็ยังคงทำเฉย สิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้มาไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเธอเลย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เธอไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ หากไม่ติดที่ชื่อของผู้หญิงคนใหม่คนนั้น ‘นิชนันท์’


การปรากฏตัวของภรรยาและลูกสาวของกรรมการบริหารบริษัทอัศวภูคาอินดัสเตียล ในครั้งนี้เป็นที่โจษขานกันไปทั่ว เพราะนี่ถือเป็นการมาปรากฏตัวที่นี่เป็นครั้งแรก ทุกสายตาจับจ้องมองไปยังร่างสูงบางสมส่วนที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็คงไว้ซึ่งความสวยสง่า สมกับการเป็นภรรยาของนายอัคนี อัศวภูคา

“นี่น่ะเหรอภรรยาของท่าน ฉันเพิ่งเคยได้เห็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”พนักงานประชาสัมพันธ์สาวกระซิบบอกกับเพื่อนหลังจากที่หญิงสาวคนดังกล่าวเดินผ่านไปแล้ว

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ สวยจังเลยนะเหมือน ‘นางหงส์’ จริง ๆ”

“บอกตรง ๆ เลยนะ ทุกวันนี้ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าท่านจะมีภรรยาแล้ว นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตานะ ฉันก็ว่าเรื่องที่บอกกันว่าท่านแต่งงานแล้ว คงเป็นได้แค่ข่าวลือเท่านั้น”ประชาสัมพันธ์สาวคนเดิมบอกสายตามองตามไปจนร่างของหญิงสาวลับหายเข้าไปภายในลิฟต์โดยสาร

“สวัสดีค่ะคุณเจน”เลขานุการสาวลุกพรวดเดินเข้าไปทักทายหญิงสาวที่กำลังก้าวย่างใกล้เข้ามาอย่างประจบ ประแจง

“สวัสดีค่ะคุณเป้ย เพลิงออกจากห้องประชุมหรือยังคะ”จีรนุชทักตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะประจบ ประแจงเพื่อหวังความก้าวหน้าและเงินทอง ทว่าในเมื่อเธอยังต้องใช้คนมักมากอย่าง ‘ศรันยา’ เธอก็จำต้องเสแสร้งต่อไป แต่เธอก็เชื่อว่าคงอีกไม่นาน ผู้หญิงตรงหน้าเธอนี้ก็จะหมดประโยชน์และกระเด็นออกจากที่นี่เพราะตัวของหล่อนเองแน่นอน

“ท่านยังไม่เลิกประชุมค่ะ แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน เชิญคุณเจนในห้องของท่านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดหาของว่างให้ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ ไปค่ะ...น้องจินนี่”จีรนุชตอบรับสั้น ๆ ก่อนหันไปพูดกับลูกสาวของตน ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวเดินเข้าห้องไปเสียงแจ๋นของเลขานุการสาวคนเดิมก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ตายแล้ว! นี่หรือคะน้องจินนี่ หน้าตาน่ารักจังเลยนะคะ สวัสดีค่ะคุณน้องจินนี่”

“มี้.....”เด็กหญิงผวาเข้าไปหลบด้านหลังคนเป็นแม่ทันทีที่อีกฝ่ายพยายามจะตรงเข้ามาหาตน ร้องเรียกผู้เป็นแม่เสียงสั่น

“ไม่เอาค่ะน้องจินนี่ คุณน้าเธอไม่ใช่ผีสางที่ไหนนะคะ ไม่ทำแบบนี้ค่ะ สวัสดีคุณน้าเธอก่อนสิคะ”จีรนุชยกยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ ดูเหมือนท่าทีของลูกสาวเธอจะถูกอก ถูกใจเธอเป็นพิเศษทีเดียว แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นตรงกันข้ามกับความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง เธอไม่อยากสอนให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ แม้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นจะไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับก็ตาม

“สวัสดีค่ะคุณน้า”ลูกสาวทำตามคำบอกของคนเป็นแม่อย่างว่าง่าย ก่อนจะหลบผลุบไปอยู่ด้านหลังแม่ตนตามเดิม

“ขอตัวนะคะ”จีรนุชบอกก่อนหันหลังเดินเข้าห้องทำงานของสามีตนไป

“เด็กบ้า!”ศรันยาบ่นว่าตามหลังด้วยความขุ่นเคือง นึกโมโหไปถึงคำพูดของหญิงสาวที่เปรียบตนเองว่าเป็น ‘ผีสาง’ อีกด้วย


เวลาต่อมาของว่างพร้อมกับเครื่องดื่มก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ศรันยาพยายามส่งสัญญาณให้กับหญิงสาวได้รับรู้สารบางอย่างที่ตนต้องการจะบอกเล่าเก้าสิบต่อจากที่ตนได้พูดค้างเอาไว้เมื่อวันก่อน แต่ก็ดูเหมือนว่าคนฟังไม่ค่อยอยากจะพูดด้วยเท่าไหร่นัก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวไปทำงานนะคะ”บอกออกไปด้วยน้ำเสียงกระด้างเล็กน้อย

“เดี๋ยวค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ ใบหน้าของคนถูกเรียกก็ยิ้มกริ่มอย่างถูกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าตนเองให้เป็นปกติ หันกลับมาเผชิญหน้ากับคนเรียกอีกครั้ง

“น้องจินนี่คะ...หนูไปนั่งระบายสีตรงโน้นก่อนได้หรือเปล่าคะลูก”จีรนุชหันไปพูดกับลูกสาวตนเอง ก่อนจะหันมามองหน้าหญิงสาวอีกครั้งเมื่อลูกสาวเดินไปยังจุดที่เธอบอกเรียบร้อยแล้ว

“เรื่องที่คุณเป้ยบอกกับเจน เป็นจริงแค่ไหนกันคะ”เปิดประเด็นออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่เธอมาถึงบริษัทในวันนี้ทั้งที่ไม่เคยคิดจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของสามีตนถึงที่ทำงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็เพราะเรื่องของหญิงสาวที่ชื่อ ‘นิชนันท์’ คนเดียวเท่านั้น!

“จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกค่ะคุณเจน ยายนิ่มร้ายกาจมาก ๆ เลยนะคะ เห็นท่าทางติ๋ม ๆ หงิม ๆ ที่ไหนได้ ลื่นเสียยิ่งกว่าปลาไหลอีกค่ะ เป้ยไม่อยากจะพูดไปหรอกนะคะเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่ที่เป้ยทำนี่ก็เพราะคุณเจนเลยนะคะ...ผู้หญิงคนนี้ท่าทางร้ายไม่เบาทีเดียวเลยค่ะ เป้ยเกรงว่าหล่อนจะทำให้คุณอัคนีหลงหล่อนจนโงหัวไม่ขึ้นได้”

เมื่อได้ทีศรันยาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียไปโดยไร้ค่า คำพูดใส่สีตีไข่พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสีแดงสดแทบเรียกได้ว่า ไม่มีการหยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามด้วยแต่อย่างใด แต่ที่ทำให้เธอทนไม่ได้จนต้องพูดเตือนกันออกไปคงเป็นเพราะคำพูดดูหมิ่นชายหนุ่มนั่นเอง

“ระวังคำพูดเอาไว้บ้างนะคะคุณเป้ย เจนไม่คิดว่าเพลิงจะพอใจนักที่ได้ยินพนักงานของตัวเองว่าตัวเองลับหลังแบบนี้”

“เอ่อ....”เจอเข้าแบบนี้ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก หน้าถอดสีชนิดที่คนมองเห็นแล้วก็รู้สึกสาใจไม่น้อย

“เรียกเธอมาพบเจนหน่อยสิคะ”

“ไม่อยู่ค่ะ เข้าประชุมกับท่านค่ะ”ตอบออกไปเสียงเบา ไม่กล้าเสริมแต่งประโยคอะไรอีก

“งั้นหรือ คุณเป้ยไปทำงานต่อเถอะค่ะ เจนไม่มีอะไรแล้ว”

ศรันยารีบถอยฉากออกมาทันทีโดยไม่คิดจะอยู่ต่อเพื่อพูดบอกในสิ่งที่ตนยังอยากจะพูดอีก ด้วยรู้จักนิสัยของภรรยาเจ้านายตนเองเป็นอย่างดี ถึงไม่ร้ายกาจวีนแตกแต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่าย ๆ เรียกได้ว่า เห็นเงียบ แบบนี้แต่พิษสงก็มีอยู่รอบตัวเช่นกัน


เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงเต็ม ๆ ที่จีรนุชและลูกสาวใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในห้องทำงานของสามีและบิดาของทั้งสอง จวบจนเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงตรงนั่นแหละ ร่างสูงของผู้เป็นสามีและบิดาถึงได้เดินเข้ามาภายในห้องทำงานใหญ่พร้อมกับหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ดูสวยใสกระจ่างตาที่เดินตามหลังมาห่าง ๆ

“เจน...”

“เจนกับน้องจินนี่มารับเพลิงไปทานข้าวกลางวันด้วยกันค่ะ”จีรนุชบอกลุกเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่สายตากลับเอาแต่จับจ้องอยู่ที่หญิงสาวทางด้านหลังของสามี จนคนถูกมองถึงกับยืนกระสับกระส่าย แม้จะไม่รู้ว่าสองคนตรงหน้ามีความสัมพันธ์กันเช่นไร แต่เธอก็เชื่อว่าทั้งสองต้องมีบางอย่างลึกซึ้งต่อกันแน่ แล้วเธอเล่า...ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพไหนกัน....ในอารมณ์หนึ่งของเธอเฝ้าถามคำถามนี้ออกมา

“เจน...นี่ผู้ช่วยคนใหม่ของศรันยาครับ เธอชื่อ นิชนันท์”เสียงทุ้มบอกราบเรียบไม่ได้แสดงออกถึงความตื่นตกใจหรือแม้แต่ความรู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจับผิดแต่อย่างใด ก่อนหันไปบอกประโยคที่คล้ายกับเหล็กแหลมที่ตรงเข้าทิ่มแทงหัวใจของเธอให้เจ็บปวดกับสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่อีกครั้ง

“ส่วนนี่ จรีนุช ภรรยาของผม”

“พ่อเพลิง...มาแล้วหรือคะ”น้ำเสียงงัวเงียบของลูกสาวร้องเรียก สองมือยกขึ้นขยี้ดวงตาสีฟ้าใสดังน้ำทะเลของตนไปมาซึ่งเป็นอากัปกิริยาเคยชินของตน นิชนันท์หันขวับไปมองตามเสียง รู้สึกได้ถึงน้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อคลอเต็มหน่วยตา เธอพยายามตั้งสติตนเองให้มั่นทั้งที่ในสมองของตนมีแต่คำว่า ‘เมียน้อย’ และ ‘นางบำเรอ’วนเวียนอยู่ในนั้นเต็มไปหมด คำที่เธอไม่เคยปรารถนาจะเป็น และไม่เคยคิดอยากจะได้รับมันด้วยซ้ำ

“ดิฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”พูดจบก็รีบก้าวเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มไปทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามไปด้วยดวงตานิ่งงัน

“พ่อเพลิงคะ...”

“ว่าไงครับน้องจินนี่”อัคนีละสายตาจากบานประตูที่หญิงสาวคนนั้นเพิ่งหายออกไป หันมามองหน้าลูกสาวตน อ้าแขนกว้างเป็นการเรียกให้ลูกสาวเข้ามาหาตน

“น้องจินนี่หิวข้าวแล้วค่ะพ่อเพลิง”

“บอกไปแบบนั้นจะดีหรือคะเพลิง....เจนว่า....”จีรนุชพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นของลูกสาวที่มีให้กับผู้เป็นพ่อ

“ช่างเถอะ...”พูดจบก็หันไปพูดเสียงหวานกับลูกสาวตน

“เราไปทานข้าวกันดีกว่านะครับ น้องจินนี่อยากทานอะไรคะ วันนี้พ่อเพลิงตามใจน้องจินนี่”

“จริงหรือคะ จินนี่อยากทานซูชิหน้าไข่กุ้งค่ะ”ลูกสาวร้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ

“ได้เลยครับ”พูดจบก็จัดการยกตัวลูกสาวขึ้นสู่อ้อมแขนตนเองก้าวนำคนเป็นภรรยาออกจากห้องไป พร้อมกับหยุดสั่งการกับเลขานุการสาวของตนแล้วหันไปคว้ามือภรรยาสาวเดินจากตรงนั้นมา ไม่วายเบนสายตาไปมองหญิงสาวอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้างุดไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามามองที่ตน มือหนาที่จับกุมมือภรรยาอยู่เผลอกำแน่นออกไปโดยไม่รู้ตัว จนอีกฝ่ายต้องประท้วงออกมาเบา ๆ นั่นแหละเขาถึงได้คืนสติ เอ่ยขอโทษภรรยาตนเองออกไป

“ผมขอโทษ”

“เพลิงคะ...เจนว่าถึงเวลาแล้วนะคะที่เราควรจะคุยเรื่องนั้นกันสักที”จีรนุชบอกเสียงเบาในขณะที่ตัวเองและเขากับลูกเข้ามาอยู่ภายในห้องโดยสารขนาดเล็กที่กำลังพาพวกตนลงไปยังชั้นล่างของตัวอาคาร

“........................”

อาการนิ่งเงียบของชายหนุ่มทำให้คนที่เปิดประเด็นออกมาถึงกับถอนใจและหนักใจเหลือเกินกับปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความผิดของเธอเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ เพราะตัวเธอเองทำให้เขาถูกบ่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์พันธนาการเอาไว้จนเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก นับตั้งแต่วินาทีที่เขาตัดสินใจจรดปลายปากกาลงในแผ่นกระดาษใบเล็ก ๆ นั้น



*********************************************

Happy Monday กันนะคะ ^O^



ภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2556, 14:31:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2556, 14:31:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2085





<< ไฟสิเหน่หา บทที่ 1   ไฟสิเหน่หา บทที่ 3 >>
คิมหันตุ์ 3 มิ.ย. 2556, 14:51:07 น.
มีปม นี่เอง....รอเฉลยปม นะจ๊ะ


mhengjhy 3 มิ.ย. 2556, 21:07:07 น.
โอเค พอเข้าใจ สู้ๆ นะคุณเพลิง เอาชนะใจหนูนิ่มให้ได้


wii 4 มิ.ย. 2556, 07:56:11 น.
อย่าบอกนะว่า อีตาเพลิงโดนจับให้เป็นพ่อของเด็กโดยที่ตัวเองไม่ใด้เป็นคนทำ ถ้าผู้หญิงทำเเบบนั้นจริงๆก็หน้าด้านสุดๆเเล้ว เพราะของไม่ใช่ของตัวก็ไปตู่เอา เเละเอาเขามาทรมานเพราะการกระทำชั่วช้าของตัวเอง เเต่คนอื่นต้องมารับกรรม เพราะความใจง่ายของตัวเอง คนที่น่าสงสารก็คือผู้ชายเเละคนที่น่าสมนํ้าหน้าก็คือผู้ชายเพราะอยากโง่เอง เลยโดนจูงจมูกเอา


supayalak 5 มิ.ย. 2556, 17:34:56 น.
อะไรกันค้า ทำแบบนี้ต้องมีเคลียร์กันหน่อยน้าค่ะ


วนัน 6 มิ.ย. 2556, 14:39:17 น.
;hoo


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account