ไฟสิเหน่หา
อัคนี : เขาแอบหลงรักเธอ ตั้งแต่แรกเจอ แต่เพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้เขาต้องแต่งงาน และพยายามลืมเธอ แต่เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และได้รับรู้ว่าเธอมีคนรู้ใจแล้ว ในใจของเขาก็เหมือนมีกองเพลิงลุกโชน จนไม่อาจทานทนได้ เขาจึงทำทุกวิถีทางให้ได้ตัวเธอมา แม้มันจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็ตาม

นิชนันท์ : สาวน้อยบองบางที่หลงพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกองเพลิงโดยไม่รู้ตัว เธอจะทำเช่นไร เมื่อต้องถูกตราหน้าว่าเป็น 'เมียน้อย' ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจ


*****************************
Tags: โรแมนติก ดราม่านิด ๆ ซี๊ดซ่า หน่อย ๆ

ตอน: ไฟสิเหน่หา บทที่ 3




3.


อาการเหม่อลอยและบางครั้งยังแอบไปนั่งร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวของลูกสาว สร้างความปวดร้าวใจให้คนเป็นแม่ไม่น้อย นางไม่รู้ว่าลูกสาวของตนเป็นอะไร แต่สิ่งที่นางรับรู้ก็คือ ลูกสาวของนางกำลังเป็นทุกข์ และดูเหมือนว่ามันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีก

“นิ่ม...”เสียงเรียกของคนเป็นแม่ทำให้ลูกสาวสะดุ้ง รีบยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา ทว่าดวงตาแดงก่ำนั้นก็ไม่สามารถซ่อนเร้นได้

“เป็นอะไรไปลูก บอกแม่ได้หรือเปล่า”คนเป็นแม่ถามออกไปพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ลูก สายตาอ่อนโยนทอดมองลูกสาวตน ความผูกพันระหว่างสองแม่ลูกนับจากที่ขาดผู้นำของครอบครัวไปมีมากขึ้นทุกวัน ทว่าความทุกข์โศกในครั้งนี้ของลูกสาวดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสเหลือเกิน เธอถึงไม่ยอมแม้แต่จะปริปากบอก

“นิ่มไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะแม่”

“เมื่อคืนวันก่อนแม่เห็นนิ่มนั่งคุยกับยุทธ์ เป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าลูกที่ทำให้นิ่มเป็นแบบนี้”คนเป็นแม่ถามไพร่นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันก่อนที่ตนบังเอิญได้พบเห็นเข้า

“ไม่ใช่หรอกค่ะแม่ นิ่มกับยุทธ์เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิม”

“ยุทธ์เองก็เป็นคนดีนะ ทำไมนิ่มถึงไม่ลองเปิดโอกาสให้ยุทธ์บ้างล่ะลูก”พูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ เมื่อเห็นว่าลูกสาวกำลังจะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง

“เพราะยุทธ์เป็นคนดีไงคะแม่ นิ่มถึงได้ไม่กล้าคิดเรื่องนั้น...นิ่ม...”เธอกลืนก้อนสะอื้นก่อนจะหยุดพูดไป

“นิ่ม...”

“นิ่มเหนื่อยจังเลยค่ะแม่”บอกออกไปน้ำเสียงสั่นก่อนที่หยดน้ำใส ๆ ที่คลอหน่วยตาอยู่จะหลั่งรินออกมา

“เหนื่อยนักก็พักสิลูก อย่าไปคิดถึงมันอีก อย่าปล่อยให้สิ่ง ๆ นั้นหรือ เรื่องนั้น ๆ มาอยู่เหนือความรู้สึกของเรา อย่าให้มันมาบีบบังคับให้ตัวเราจมอยู่แต่ในความทุกข์”

“แม่คะ...ถ้านิ่มไม่ใช่นิ่มคนเดิมของแม่แล้ว แม่จะเกลียดนิ่มไหมคะ”แม้จะไม่เห็นใบหน้ายามที่คำถามนี้ดังออกจากปากลูกสาวแต่คนฟังเองก็พอจะรับรู้ได้ว่าลูกสาวของตนนั้นจะมีสีหน้าอย่างไร กำลังอยู่ในความรู้สึกไหน

“นิ่มฟังแม่นะลูก ไม่ว่าอย่างไรนิ่มก็ยังคงเป็นนิ่มของแม่เสมอ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงลูกสาวที่แสนดีของแม่ไปได้หรอกรู้ไหมจ๊ะ ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูกของตัวเองได้หรอกจ้ะ”นางสวมกอดลูกสาวเอาไว้ยามเมื่อเห็นลูกสาวหลั่งน้ำตา สะอื้นไห้อย่างชอกช้ำ ในเวลานี้นางคิดว่าพอจะรู้แล้วว่าลูกสาวกำลังตกอยู่ในชะตากรรมไหน เพราะสำหรับผู้หญิงเราแล้วคงไม่มีเรื่องไหนสำคัญเท่าเรื่องนั้นอีกแล้ว หากนางก็หวังว่ามันคงจะไม่เป็นจริง

“นิ่มขอโทษค่ะแม่”

“เกิดอะไรขึ้นกับนิ่ม นิ่มบอกแม่ได้หรือเปล่าลูก”คนเป็นแม่ค่อย ๆ ตะล่อมถาม

“ไม่...ไม่มีอะไรค่ะแม่ นิ่มว่านิ่มไปตั้งโต๊ะดีกว่านะคะ เราจะได้ทานข้าวกัน”พูดจบก็รีบลุกหนีไปทันที ทิ้งให้คนเป็นแม่มองตามไปด้วยความเป็นห่วง


ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ เสียงหัวเราะดังกังวานของเด็กหญิงคนเดียวในบ้านดังขึ้นเรื่อย ๆ จนบรรดาสาวใช้ต่างพากันอมยิ้ม หลายเดือนมาแล้วที่บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความเงียบเหงา ทว่าเมื่อเด็กหญิงดวงใจดวงน้อย ของบ้านกลับมาความเงียบเหงาเหล่านั้นก็จางหายไป ภาพความสนิทสนมของพ่อและลูกที่มีต่อกันสร้างความสุขให้กับผู้พบเห็นไม่น้อย แม้ในคราแรกที่ใคร ๆ ต่างได้เห็นก็มักจะเกิดข้อกังขามากมายว่าเหตุใดลูกสาวถึงไม่มีเค้าโครงของพ่ออยู่เลย และเหตุใดดวงตาสีฟ้าใสนั้นจึงต่างไปจากพ่อและแม่ ทว่าความสงสัยเหล่านั้นก็เงียบหายไปเมื่อคนเป็นพ่อออกมาประกาศกร้าวว่าตนคือพ่อของเด็กหญิงอย่างแน่นอน และใครคิดที่จะรื้อฟื้น ขุดคุ้ยเรื่องนี้อีกเห็นทีว่าจะได้เห็นดีกัน

“เพลิงคะ เจนขอคุยด้วยหน่อยสิคะ”จีรนุชส่งเสียงออกไป เป็นผลให้สองพ่อลูกที่กำลังหยอกล้อกันอยู่จำต้องหยุดการกระทำนั้นลง อัคนีหันมองหน้าภรรยาสาวอย่างพินิจก็เห็นเพียงความจริงจังที่ส่งผ่านดวงตาดำขลับนั้นมา จึงจำต้องพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนปล่อยร่างเล็กของลูกสาวลงพื้น

“ไปคุยกันที่ห้องทำงานก็แล้วกันครับ”พูดจบก็หันไปเรียกสาวใช้ผู้ดูแลลูกสาวตนให้มารับตัวลูกสาวไป ก่อนที่ตนจะเดินนำภรรยาไปยังห้องทำงาน

“เจนมีอะไรจะคุยกับผมหรือ”คำถามแรกถามขึ้นหลังจากที่พาตนเองเข้ามาภายในห้องทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เจนอยากคุยเรื่อง ‘นิชนันท์’ เธอคือเด็กสาวคนนั้นใช่หรือเปล่าคะ”อัคนีเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนเต็ม ๆ ตา แม้จะไม่เคยปิดบังเรื่องนี้กับเธอ แต่เขาก็ยังไม่เคยมีความคิดที่จะเล่าให้เธอฟังเช่นเดียวกัน แล้วเธอรู้ได้อย่างไรนั่นแหละคือสิ่งที่เขาจะต้องได้รู้!

“เรื่องนี้หรือเปล่าที่ทำให้เจนไปหาผมถึงที่ทำงานวันนี้”คำถามถูกถามออกไปพร้อม ๆ กับที่คนถูกถามพยักหน้ารับเป็นคำตอบ

“เพลิงทำแบบนี้ไม่ถูกเลยนะคะ เธอดูน่าสงสารมาก....”

“เราเลิกคุยเรื่องนี้เถอะนะเจน”เสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้น วางสีหน้าเรียบเฉยทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการทำแบบนี้ มีแต่จะทำให้เธอคนนั้นห่างไกลเขาออกไปทุกที ๆ แต่หากให้เขาทนอยู่เฉยรอดูเธอเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาก็ขอเลือกที่จะทำแบบนี้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้อยู่เคียงข้างเธอแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตามที

“เราหย่ากันดีไหมคะ”จีรนุชโพล่งถามขึ้นคล้ายกับว่าเตรียมคำถามนี้มานานแล้ว พลางจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่นั้นอย่างรอคอยคำตอบ

“เอาอะไรมาพูดเจน ถ้าจะมาพูดกับผมเรื่องนี้เราก็เลิกคุยกันเถอะ”น้ำเสียงเข้มบ่งบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นทันควันเช่นกัน

“แต่เจนไม่อยากเห็นเพลิงเป็นแบบนี้อีกแล้ว เพลิงควรจะได้มีความสุขบ้าง ไม่ใช่ต้องมาทนแบกรับกับเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องของเพลิงอยู่แบบนี้”จีรนุชเอ่ยบอกเสียงสั่น ยามเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้ หากวันนั้นเธอไม่นำเรื่องที่ตนตั้งท้องมาปรึกษากับเขา เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และหากว่าคนที่ควรจะรับผิดชอบในเรื่องนี้มากที่สุด ไม่หลบหนีความรับผิดชอบนั้นไป เธอก็คงจะไม่ยินดีร่วมมือกับข้อเสนอที่มีแต่จะผูกมัดเขาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้นแน่ ๆ แต่เพราะทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่เธอปรารถนา เรื่องราวถึงได้เลยเถิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้นั่นเอง

“เรื่องนี้ปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเองเถอะ เจนไม่ต้องคิดมากหรอก ผมจัดการเรื่องทุกอย่างได้”อัคนีพูดออกมาในที่สุด หลังจากที่เงียบไปนาน

“ด้วยการทำร้ายจิตใจของคนที่เพลิงรัก...หรือคะ”

“ผมไม่มีทางเลือก”

“เจนไม่อยากให้เพลิงทำแบบนั้นเลย บอกตรง ๆ นะคะ เจนมองไม่เห็นเลยว่า เพลิงจะมีความสุขได้อย่างไรกับสิ่งที่เพลิงกำลังทำอยู่นี้”

“....................”

“เก็บเอาเรื่องที่เจนพูดกลับไปคิดดูนะคะเพลิง เจนพร้อมมอบอิสรภาพคืนให้กับเพลิงทุกเมื่อ ถ้าเพลิงต้องการ”เธอบอกอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นั่งเงียบก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป เหลือไว้เพียงร่างสูงที่นั่งนิ่ง ทว่าแววตากลับหม่นแสงและเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ถึงแม้ในใจก็หวังอยากที่จะทำตามสิ่งที่ภรรยาสาวบอก แต่ปัญหาที่จะตามมาอีกมากมายนั่นล่ะ เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาจะรับมันไหวและเผชิญหน้ากับมันได้ เท่าที่ทุกวันที่เป็นอยู่นี้ เขาก็เชื่อแน่ว่าเธอเองก็ยังคงต้องทนต่อสายตาสงสัยใคร่รู้ของใครต่อใครอยู่ และหากเรื่องต่าง ๆ ไปถึงหูบิดา มารดาของเธอจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก เพียงแค่คิดปัญหาต่าง ๆ มากมายก็พรั่งพรูออกมาเต็มไปหมด แล้วอย่างนี้เขาจะทนเห็นน้องสาวที่เขารักคนนี้เผชิญหน้ากับมันคนเดียวได้อย่างไรกัน


หลังจากที่หายหน้า หายตาไปหลายวัน วันนี้สุรศักดิ์ก็พร้อมที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ตนจำต้องคิดอยู่เสมอว่าเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่งได้อีกครั้ง

“นิ่ม...”ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกไปไม่เบานักเป็นผลให้หญิงสาวที่กำลังก้าวเดินอยู่นั้นชะงักและหันไปมองตามเสียงเรียก

“ขึ้นรถสินิ่ม ไปด้วยกันนะ”

“ขอบใจจ้ะ”กล่าวขอบคุณเพื่อนออกไปเบา ๆ ก่อนจะเดินมาขึ้นรถของเพื่อนด้วยความเต็มใจ สุรศักดิ์ลอบมองใบหน้าของเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ทว่าเวลานี้เพื่อนของเขาดูจะผอมซีดจนน่าเป็นห่วงเหลือเกิน

“นิ่มไม่สบายหรือเปล่า ทำไมดูหน้าซีด ๆ ล่ะ”

“นิ่มไม่ได้เป็นอะไรหรอก ยุทธ์ล่ะหายไปไหนมาตั้งหลายวัน”นิชนันท์ถามออกไป หันมามองเพื่อนที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่อย่างต้องการคำตอบ

“ยุทธ์ไปชลบุรีมา พอดีระบบคอมพิวเตอร์ที่นั่นขัดข้อง ยุทธ์ก็เลยต้องเข้าไปดูกับหัวหน้า”

สุรศักดิ์ตอบถึงสาเหตุที่ทำให้ตนหายหน้าหายตาไป แม้สาเหตุนี้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแต่มันก็ช่วยทำให้เขาหลุดพ้นจากความสงสัยของหญิงสาวไปได้

“ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าเจ้านายเรา จับงานอะไรก็รุ่งไปหมด ดูอย่างโรงงานที่ชลบุรีสิ เปิดมาได้แค่ไม่ถึงปีก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วทีเดียว”สุรศักดิ์หันมาชวนคุย เพราะไม่อยากปล่อยให้ความเงียบที่เขาไม่ใคร่จะชอบเท่าไหร่เข้ามาปกคลุมบรรยากาศภายในรถ เขายกเอาเรื่องโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งบริษัทของเขาได้รับสิทธิ์ขาดในการจัดการทั้งหมดแต่เพียงแห่งเดียวในทวีปเอเชียขึ้นมาพูด การเอ่ยชื่นชมผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ยังผลให้ผู้ร่วมเดินทางยิ่งนิ่งเงียบเข้าไปอีก สุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องหยุดพูด และหันไปขับรถเงียบ ตามเดิม ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นอาการกระตุกเกร็งของหญิงสาวยามที่ตนเองเอ่ยถึงชายหนุ่มเจ้าของบริษัทที่ตนทำงานอยู่

เมื่อเดินทางมาถึงบริษัทสุรศักดิ์ก็เอ่ยปากขอทำหน้าที่เพื่อนที่ดีโดยการขอขึ้นไปส่งถึงชั้นที่เธอทำงานอยู่ เรียกสายตาสอดรู้ สอดเห็นจากบรรดาพนักงานขาเม้าท์ต่าง ๆ ให้หันมาสนใจ

“ยุทธ์ไม่ต้องขึ้นไปส่งนิ่มก็ได้นะ ดูสิ...ยุทธ์เลยโดนมองเหมือนตัวประหลาดไปด้วยเลย”น้ำเสียงขื่นบอกถึงความรู้สึกลึก ๆ ของคนพูดยิ่งทำให้ชายหนุ่มอดเป็นห่วงมากขึ้นไม่ได้

“ยุทธ์ไม่เห็นจะแคร์เลย นิ่มเองก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ”บอกก่อนจะตวัดสายตาไปมองกลุ่มที่กำลังส่งเสียงซุบซิบกันอยู่อย่างเอาเรื่อง แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกนั้นซุบซิบกันคืออะไร แต่ที่เขารู้แน่ ๆ ก็คือ มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“จ้ะ...ขอบใจนะ แต่ยุทธ์ไปทำงานเถอะนะ นิ่มไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ”นิชนันท์ตอบรับคำพูดของเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะบอกให้เพื่อนกลับไปทำงานของตนเองแทนที่จะไปส่งเธอ สุรศักดิ์ยอมจากไปแต่โดยดี โดยไม่ลืมที่จะนัดหมายกับเพื่อนสาวของตนเอาไว้ด้วย

“กลางวันนี้ยุทธ์มารับไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“จ้ะ”

นิชนันท์ยืนรอจนกระทั่งเพื่อนเดินลับสายตาไปยังส่วนที่เป็นสถานที่ทำงานของเขา และเตรียมหันหลังเดินไปยังลิฟต์โดยสาร แต่เพียงแค่เธอหมุนร่างกลับมาเท่านั้นเธอก็มีอันต้องผวา หงายหลังด้วยความตกใจ ดีที่คนที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้วเอื้อมมือไปคว้าร่างเล็กนั้นได้ทันไม่เช่นนั้นแล้วเธอก็คงจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเป็นแน่

“เอ่อ...ขอโทษค่ะ”

“ขึ้นไปข้างบนแล้วเข้าไปพบฉันในห้องด้วย เดี๋ยวนี้!”อัคนีบอกเสียงเรียบ ก่อนจะปล่อยร่างที่ตนพยุงไว้ให้เป็นอิสระ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองตวัดมองพนักงานในปกครองของตนที่ต่างพากันเฝ้ามองด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ก่อนจะประกาศกร้าวออกไปเสียงดัง

“ถ้าไม่มีงานทำกันนัก ก็เอาใบลาออกมายื่นให้ฉัน ฉันจะเซ็นให้”เพียงเท่านั้นความอยากรู้ อยากเห็นก็มอดดับลงจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น อัคนีตวัดสายตากลับมามองหน้าหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอีกครั้ง และหันหลังเดินกลับไปยังจุดที่ตนเพิ่งเดินจากมา แม้ว่าผู้ที่ออกคำสั่งกับเธอจะยังไม่ได้ขึ้นไปยังห้องทำงานของเขา แต่นิชนันท์เองก็ไม่อาจหลบหลีกคำสั่งนั้นไปได้ เธอก้าวเดินเข้าไปในลิฟต์หลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออก รับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่เต้นแรงและรัวเร็วจนน่าใจหาย หวาดเกรงกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


เสียงเปิดประตูผลัวะเข้ามาด้วยแรงอารมณ์ที่คนรอไม่อาจคาดคิดว่ามันรุนแรงแค่ไหนดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของห้อง ใบหน้าถมึงทึงของเขาจ้องมองอยู่ที่ร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่นั้นอย่างหมายมาด หันกลับไปออกคำสั่งกับเลขาฯ ส่วนตัวของตนเองเสียงเครียด

“ผมไม่รับแขก ถ้าไม่มีธุระสำคัญไม่ต้องติดต่อเข้ามา”จบคำสั่งประตูห้องก็ถูกปิดสนิทลงทันที อีกทั้งเจ้าของห้องยังกดล๊อคประตูห้องเอาไว้อย่างแน่นหนาอีกด้วย
ชายหนุ่มเอาแต่จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ทั้งที่เขาพร่ำบอกกับตัวเองเป็นนักหนาว่า นับแต่นี้ต่อไป เขาจะพยายามทำดีกับเธอ และจะพยายามไม่ทำให้เธอเสียน้ำตาเพราะเขาอีก ทว่ายังไม่ทันที่ความมุ่งหมายของเขาจะประสบความสำเร็จ ทุกอย่างก็มีอันต้องพังครืนลงเพราะน้ำมือของเธอเอง ภาพที่เธอยืนคุยกับเพื่อนหนุ่มคนนั้น รอยยิ้มที่เธอมีให้กับชายหนุ่มคนนั้นเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดที่จะได้รับจากเธอ แต่เขาก็ไม่เคยได้รับมันเลย ทุกอย่างบีบคั้นให้เขาต้องหาทางออก และทางออกนั้นก็คือเธอ!

“ฉันเคยเตือนเธอแล้วใช่ไหม?”แม้จะยืนอยู่ห่างกันพอสมควร แต่รัศมีความน่าเกรงขามของเขาก็แผ่ออกมาถึงตัวเธอได้ดีทีเดียว และยิ่งไม่ได้รับคำตอบจากเธอก็เหมือนกับกองเพลิงที่ถูกโหมกระพือจากน้ำมัน อัคนีก้าวพรวดเข้ามาประชิดร่างเล็กของเธอ คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเรียวเล็ก บีบเค้นด้วยความโมโหจากเหตุการณ์ที่ตนได้พบเห็น ทว่าเธอก็ยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม

“ต้องให้ฉันลงมือทำจริง ๆ ใช่ไหม เธอถึงจะเชื่อฟังคำของฉัน!”แรงบีบยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากคนร่างเล็ก

“จะพูด หรือไม่พูด!”เสียงเข้มตวาดขึ้นดังลั่น หากทำได้เขาก็เชื่อแน่ว่าเขาจะต้องบีบคอเธอให้ตายคามือเป็นแน่ และเมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบอีกเช่นเดิม ความอดทนทุกอย่างก็มีอันต้องหมดลง

“ดี! พรุ่งนี้เธอเตรียมตัวฟังข่าวร้ายของเพื่อนเธอได้เลย จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้นหน้าฉันซะ!”พูดจบก็ผลักร่างเล็กออกห่างจากตนด้วยความแรง เป็นผลให้ร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวกระแทกเข้าที่ขอบโต๊ะทำงานของเขาเต็มแรงเรียกเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดจากเธอ

อัคนีชะงักไปในทันทีที่ได้ยินเสียงร้องนั้น ดวงตาไหววูบเมื่อเห็นอาการกุมท้องของเธอ และทั้งที่อยากจะตรงเข้าไปกอดเธอสักแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เขาทำกลับกลายเป็นการหันหลังให้กับภาพนั้น นิชนันท์ค่อยพยุงตัวเองให้ยืนได้อย่างมั่นคง หันหลังก้าวเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะมองไปที่ชายหนุ่ม เสียงประตูที่ถูกปิดลงทำให้ร่างสูงที่ยืนอย่างมั่นคงอยู่เป็นเวลานานทรุดลงคุกเข่ากับพื้นห้อง สองมือทุบลงที่พื้นอย่างแรงเป็นการระบายความรู้สึกทั้งหมดของตนออกมา เขาทำผิดอีกแล้ว...เขาปล่อยให้ความหึงหวง และอิจฉาริษยากับสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากเธอ เข้ามาอยู่เหนือจิตใจของเขา จนทำให้เธอต้องเจ็บปวดเพราะตัวเขาอีกครั้งจนได้ ทั้งที่ไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้เลยก็ตาม

“นิ่ม ผมขอโทษ ผมขอโทษ...”


หญิงสาวพาร่างตนเองกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างไม่มั่นคงนัก ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นบริเวณท้องของตนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอต้องนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บยามเมื่อขยับร่างกายตนเอง และเพราะอาการนั้นของเธอ ทำให้คนที่คอยสอดรู้ สอดเห็นอยู่ก่อนแล้ว รีบลุกพรวดเข้ามาประชิดขอบโต๊ะส่งเสียงถามคล้ายจะเป็นห่วงออกไป แม้พอจะเดาได้ว่าหญิงสาวโดนอะไรมาบ้างจากเสียงที่ดังแว่วออกมาให้ได้ยิน แต่อย่างน้อยก็ขอเข้าไปปะเหลาะถามหน่อยล่ะ

“เป็นอะไรไปคะน้องนิ่ม”

“ปะ...เปล่าค่ะ นิ่มไม่ได้เป็นอะไร นิ่มขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”พูดจบก็ลุกเดินจากไปทันที ปล่อยให้คนอยากรู้ อยากเห็นยืนกระฟัดกระเฟียดด้วยความขัดใจอยู่คนเดียว

นิชนันท์เดินเข้ามาภายในห้องน้ำด้วยกิริยาท่าทางอ่อนแรง มือบางค่อยยกขึ้นดึงชายเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวออกจากกระโปรงเพื่อสังเกตอาการภายนอก ดวงตาหม่นเศร้าก้มดูที่หน้าท้องตัวเองที่ปรากฏรอยม่วงช้ำเป็นวงกว้างบริเวณจุดที่กระแทกเข้ากับขอบโต๊ะทำงาน มือบางลูบลงไปที่บริเวณนั้นอย่างเบามือ แต่มันก็ยังคงสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอได้ไม่น้อย ประจวบกับการที่เธอมีรอบเดือนอยู่ด้วยก็ยิ่งทำให้อาการเจ็บปวดนั้นดูจะยิ่งทบทวีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ร่างบางค่อย ๆ จัดการกับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางหลังจากที่สำรวจบาดแผลเรียบร้อยแล้ว หันหลังเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ทว่ายังไม่ทันที่ร่างบางจะได้ก้าวเดินเข้าห้องน้ำไป ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก็วิ่งเข้าใส่จนเธอยืนไม่อยู่ สองมือผวาคว้าจับบริเวณของอ่างล้างหน้าเพื่อใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้กับตน หายใจเข้าลึก ๆ สอง สามครั้งเพื่อเรียกกำลังของตนให้กลับคืน แต่ดูเหมือนว่าอาการนั้นจะไม่ทุเลาลงง่าย ๆ เพราะยิ่งเธอยืนอยู่นานเท่าไหร่ ขาของเธอก็ดูจะอ่อนแรงมากขึ้นเท่านั้น แล้วจู่ ๆ ภาพเบื้องหน้าก็เกิดเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด และก่อนที่สติของเธอจะดับวูบลงเสียงเปิดประตูเข้าห้องน้ำมาของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“ว้าย! ตายแล้วคุณคะ”แม่บ้านคนหนึ่งส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจ ผวาเข้ารับร่างบางเอาไว้แต่ก็ไม่ทันการ

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยคนเป็นลมค่า คนเป็นลม ช่วยด้วย!”หญิงสาววัยกลางคนวิ่งพรวดออกจากห้องน้ำไป ส่งเสียงร้องเรียกหาคนช่วยเหลือเสียงลั่น

“อะไร! ป้าเป็นอะไร ร้องตะโกนเสียงดังลั่นขนาดนี้ อยากโดนไล่ออกหรือไงฮะ ป้า!”ศรันยากระแทกเท้าเดินเข้ามาเอาเรื่องเต็มที่ เมื่อเห็นแม่บ้านประจำบริษัทวิ่งออกมาโวยวายเสียงดังลั่นไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้บริหารที่ทำงานอยู่ในชั้นนี้

“มีคนเป็นลมค่ะคุณ เป็นลมอยู่ในห้องน้ำค่ะ”แม่บ้านคนดังกล่าวละล่ำละลักบอก

“เอ๊า...เป็นลมป้าก็ไปโทรเรียกรถพยาบาลสิ มาตะโกนเสียงดังอะไรอย่างนี้....”

“เอะอะอะไรกัน?”เสียงเข้มเอ่ยถามแทรกการสนทนาระหว่างสองสาวต่างวัย ดวงตาคมตวัดมองคนทั้งสองด้วยความไม่พอใจ ทว่ายังไม่ทันที่คนเป็นเลขาฯ จะได้บอกเล่าแถลงความออกไป คนที่ทำหน้าที่แม่บ้านก็โพล่งบอกขึ้นเสียก่อน เหตุเพราะเป็นห่วงว่าคนที่หมดสติอยู่ในห้องน้ำจะได้รับอันตราย

“มีคนเป็นลมค่ะท่าน”

“เป็นลม? ใครเป็น...แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน!”ในครั้งแรกที่ได้ยินอัคนีก็เกือบจะปล่อยผ่านไปแล้ว พลันภาพใบหน้าของหญิงสาวก่อนที่ออกจากห้องเขามาก็ทำให้หวนคิดขึ้นมาได้ หันขวับไปมองหน้าเลขาฯ ของตนพร้อมกับถามออกไปเสียงเข้ม

“นิชนันท์อยู่ไหน?”

“เอ่อ...เห็นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำค่ะ ตายแล้ว! หรือว่า....”

อัคนีรีบพุ่งตัวไปยังห้องน้ำนั้นในทันทีโดยไม่ต้องรอให้เลขาฯ ของเขาได้พูดจบประโยค เปิดประตูผลัวะเข้าไปก็พบร่างบางนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ร่างสูงถลาเข้าไปหากอดประคองร่างนั้นขึ้นแนบอก

“นิ่ม!....นิ่มได้ยินผมไหม....นิ่ม อย่าเป็นอะไรไปนะ ผมขอโทษ”อัคนีพร่ำเรียกชื่อของหญิงสาวหวังให้เธอได้ยินเสียงของเขาทว่าร่างนั้นก็ยังคงนิ่งเงียบไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากเธอ

“ท่านคะ....พาออกไปข้างนอกก่อนดีกว่าค่ะ”แม่บ้านที่วิ่งตามหลังมา แม้จะไม่เข้าใจเหตุการณ์เบื้องหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เลือกที่จะบอกเตือนคนที่ดูเหมือนจะขาดสติไปแล้วออกไป


อัคนีรีบอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมอกของตัวเองแล้วพาเดินออกจากห้องน้ำนั้นมาด้วยความเร่งรีบโดยมีแม่บ้านคนเดิมเดินตามไปติด ๆ

“ยาดมค่ะท่าน”แม่บ้านคนเดิมยื่นส่งยาดมที่ตนวิ่งไปหามาจากห้องพยาบาล ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่เอาแต่ยืนดูไม่ยอมเข้ามาช่วยเหลืออย่างโกรธเคือง นึกต่อว่าผู้หญิงคนนั้นในใจที่เป็นคนไร้น้ำใจแบบนี้

“ขอบคุณครับ”อัคนีรับยาดมนั้นมา ยื่นไปใกล้จมูกของหญิงสาว แกว่งไปมาเพื่อให้กลิ่นที่อยู่ภายในกระจายตัวให้หญิงสาวได้สูดดมเข้าไป พลางส่งเสียงเรียกเธอเป็นระยะ

“นิ่ม....นิ่มได้ยินเสียงผมหรือเปล่า นิ่ม”

“พาไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมคะท่าน ดูท่าอาการไม่ดีขึ้นเลยค่ะ”

อัคนีไม่รอช้ารีบทำตามคำบอกนั้น เขายกร่างบางของหญิงสาวขึ้นแนบอก หันไปสั่งการกับเลขาฯ ของตนที่ยืนนิ่งเงียบอยู่เสียงเครียด

“คุณเป้ย...โทรไปสั่งข้างล่างให้เตรียมรถไว้ให้ผม เดี๋ยวนี้!”คำสั่งสุดท้ายตะคอกบอกไปเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าคนรับคำสั่งยังคงยืนเฉยอยู่ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไปด้วยความรีบร้อน จิตใจพะว้าพะวงและรู้สึกเหมือนจะขาดใจให้ได้ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอก็ยิ่งให้เป็นห่วง

“นิ่ม....อย่าเป็นอะไรไปนะ ผมขอโทษ ผมขอโทษ...”


อัคนีนั่งมองร่างบางที่ยังคงนอนหลับอยู่ด้วยสายตาห่วงหา อาทร หลังจากที่ได้รับคำบอกจากแพทย์ผู้ทำการรักษาแล้วว่าอาการของหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่อ่อนเพลียซึ่งคาดว่าอาจจะเกิดจากการอดนอน ประจวบกับการที่เธอมีรอบเดือนด้วย จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้น และเป็นเหตุให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมหมดสติลงเช่นนี้ มือหนาเอื้อมคว้ามือบางที่มีสายน้ำเกลือพันธนาการอยู่มาจับกุมเอาไว้ บีบกระชับเบา ๆ ก่อนยกขึ้นแนบริมฝีปากตัวเอง เลื่อนสายตาลงมองบริเวณท้องของหญิงสาวใช้มือที่ว่างอยู่เลิกชุดของโรงพยาบาลที่เธอใส่อยู่ขึ้น เพื่อดูร่องรอยบาดแผลอันเกิดจากการกระทำของเขา

รอยแผลฟกช้ำสีม่วงคล้ำที่กินบริเวณเป็นวงกว้างปรากฏขึ้นในสายตา เรียกแววไหววูบจากดวงตาสีน้ำตาลทองด้วยรู้สึกผิดเหลือคณะ มือหนานั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปแตะบริเวณนั้นอย่างเบามือ ลูบไล้ไปมา หวังให้รอยนั้นจางหาย ก่อนที่เขาจะก้มลงแนบริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ที่รอยแผลนั้น

“ผมขอโทษ...ขอโทษที่มีแต่จะทำให้คุณเจ็บตัวแบบนี้ คุณให้อภัยผมได้ไหมนิ่ม ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า”

แม้จะไม่ได้รับรู้ถึงคำขอโทษนั้นแต่ร่างบางที่หลับไร้สติอยู่นั้น ก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ให้เขาได้คลายความเป็นห่วงลงได้บ้าง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ ปรือขึ้นเล็กน้อย

“นิ่ม!”เสียงเรียกที่ให้ความรู้สึกคุ้นหูและดังอยู่ใกล้ ๆ ตัวเธอ เรียกสายตาจากเธอให้หันไปมอง ในคราแรกที่ได้พบใบหน้าคมของชายหนุ่ม เธอก็ข่มตาให้หลับลงทันทีด้วยคิดว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น และเธอหวังให้ฝันนั้นหายไปเมื่อเธอลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ทว่าความหวังของเธอก็ไม่เป็นจริง เมื่อชายหนุ่มตรงหน้ายังคงอยู่ที่เดิมยามเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างนิ่ม...”เสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง แต่สิ่งที่ได้รับจากเธอกลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น อัคนีรู้สึกเจ็บปวดกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากเธอไม่น้อยแต่เขาก็จำต้องรับมันเมื่อเขาเองที่เป็นฝ่ายบีบบังคับให้เธอเป็นแบบนี้

“เดี๋ยวผมไปตามหมอนะ นิ่มพักผ่อนก่อนนะ”ชายหนุ่มบอกอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

นิชนันท์มองตามร่างสูงไปจนเขาลับหายไปจากห้อง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ก็พร้อมกันพรั่งพรูออกมาตามด้วยเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้ร่างสูงที่เตรียมจะก้าวเข้าห้องมาต้องหยุดชะงักอยู่เพียงหน้าห้องเท่านั้น สองมือกำแน่นด้วยความขื่นขม เสียงสะอื้นของเธอคล้ายดังเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของเขาจนแทบทนไม่ไหว

“ไม่เข้าห้องหรือครับ”นายแพทย์หนุ่มถามออกไปเมื่อเห็นร่างสูงหยุดยืนอยู่หน้าห้องโดยไม่ยอมเข้าไปด้านใน

“เชิญคุณหมอเข้าไปก่อนเลยครับ พอดีผมจะลงไปทำธุระด้านล่างนิดหน่อย ฝากดูแลด้วยนะครับ”พูดจบก็ตัดใจหันหลังเดินจากไปทันที เขายังไม่พร้อมที่จะเห็นหญิงสาวในสภาพน้ำตานองหน้าและไม่พร้อมที่จะทนเห็นอาการแบบเมื่อครู่จากเธออีก

หลังจากที่แพทย์เจ้าของไข้ออกจากห้องไปแล้ว หญิงสาวก็ค่อยพยุงร่างตัวเองขึ้นนั่งช้า ๆ มือบางยื่นออกไปหมายจะหยิบแก้วน้ำที่วางห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่แล้วยังไม่ทันที่มือของเธอจะได้สัมผัสกับแก้วน้ำอย่างที่ต้องการ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มคนเดิม

“จะดื่มน้ำหรือ เดี๋ยวผมหยิบให้”พูดจบก็รีบตรงไปยังแก้วน้ำจัดการรินน้ำใส่แก้วแล้วหยิบยื่นส่งให้เธอถึงปาก นิชนันท์เบี่ยงใบหน้าหลบแก้วน้ำที่ยื่นมาในทันทีและไม่ยอมปริปากพูดกับเขาเช่นเดิม ในเวลานี้เธอไม่อาจทนต่อความร้ายกาจที่เขาทำกับเธอได้อีกแล้ว แม้จะรู้ว่าการกระทำของเธออาจส่งผลให้ตัวเองถูกทำร้ายอีกครั้ง แต่เธอก็ไม่หวั่น ขอเพียงแค่ทำให้เขาได้รับรู้ว่า นับจากนี้ไปเธอจะไม่ฟังคำเขาอีกแล้ว!

“นิ่ม...ดื่มน้ำก่อนนะ ผมขอร้อง”เสียงทุ้มเอ่ยขอด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจก่อนจะพูดขึ้นต่อเมื่อยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากเธอเช่นเดิม

“ผมวางไว้ตรงนี้นะ นิ่มหยิบดื่มเองก็แล้วกัน ถ้านิ่มไม่อยากเห็นหน้าผมอีก ผมก็จะไป...แต่ก่อนไปผมขอพูดอะไรสักนิดเถอะนะ...ผมขอโทษและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ขอร้อง...อย่าขอให้ผมปล่อยคุณไปเลยนะ ผมทำไม่ได้จริง ๆ”ทันทีที่จบคำพูดของเขา น้ำตาของหญิงสาวก็หลั่งรินออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้

“วันนี้ผมจะกลับก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ คุณพักผ่อนมาก ๆ นะ หมอบอกว่าคุณพักผ่อนน้อยเกินไป ถึงได้หน้ามืดเป็นลมไปแบบนั้น ดูแลตัวเองดี ๆ นะนิ่ม ผมเป็นห่วง...”

ร่างสูงเดินออกจากห้องไปแล้ว ทว่าคำพูดของเขายังคงดังก้องอยู่ในใจของเธอ ‘เป็นห่วง’ คำที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากเขาทำให้ความรู้สึกของเธอกำลังตีกันวุ่นวาย แต่แล้วภาพการกระทำอันป่าเถื่อนของเขาก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งกลบความรู้สึกว้าวุ่นนั้นจนหมดไป


****************************************

สวัสดีค่ะ

นิยายของนก อาจเป็นการดำเนินเรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่มีปมซ่อนปม (หรือบางทีก็ไม่มีปมเอาซะเลย)....ซึ่งตรงจุดนี้ (ที่ไม่มีปม เดาเรื่องได้ง่าย) อาจทำให้ใครหลาย ๆ คนอ่านแล้วเบื่อ นก็ต้องขออภัยมา ณ จุดนี้ด้วย แต่อย่างหนึ่งที่นกมั่นใจ คือ มันต้องมีความสนุกอยู่บ้างล่ะน่าาาา... ^___^

ขอให้สนุกในการอ่านนะคะ

รักทุกคนค่ะ อิ..อิ..







ภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2556, 09:43:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2556, 09:43:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2202





<< ไฟสิเหน่หา บทที่ 2   ไฟสิเหน่หา บทที่ 4 >>
sugar 12 มิ.ย. 2556, 11:22:13 น.
สนุกดีค่ะ แต่ก็ออกจะงงๆกับการกระทำของพระเอกนิดหน่อยว่าทำไมจะต้องทำตัวใจร้ายขนาดนั้น


wind 12 มิ.ย. 2556, 11:51:20 น.
พระเอกดูงงๆนะคะ ทำไมต้องทำร้ายนางเอกขนาดนี้


คิมหันตุ์ 12 มิ.ย. 2556, 12:45:42 น.
หึงเบาๆก็ได้นะคุณเพลิง หึงแบบนี้ผู้หญิงเข้าใจผิดหมด


supayalak 12 มิ.ย. 2556, 15:55:30 น.
เฮ้ออออ ดีกะคนอื่น แต่ร้ายกับคนที่รักเนี่ยนะ ไม่ยุติธรรม โลกนี้ไม่ยุติธรรมค้า


มะเหมี่ยว 12 มิ.ย. 2556, 22:02:12 น.
สงสานนิ่มจริงนะ


violette 12 มิ.ย. 2556, 23:43:43 น.
สงสารนิ่มค่ะ


วนัน 16 มิ.ย. 2556, 12:00:11 น.
oมาตอนหน้าคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account