รอยรักยมทูต
เขาคือเทพแห่งความตายแสนเย็นชา
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น

Tags: รอยนิรันดร์ นิรันดร์แห่งรัก ดุจดั่งดวงใจ หทัยแห่งสุริยัน ตราบนิรันดร์คือเธอ ธานาทอส เฮเดส พริมา ขวัญชีวา

ตอน: บทที่2/1 ตัวปัญหา

บทที่2

ขวัญชีวารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งทำหัวใจหล่นหาย แรกทีเดียวเธอหวาดกลัวไม่น้อยตอนมีวิญญาณผู้ชายท่าทางน่ากลัวดวงหนึ่งข่มขู่ ขโมยเหรียญทองไป วิญญาณสาวแทบจะร้องไห้เมื่อรู้ต้องถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางดินแดนแปลกถิ่นเป็นเวลานานถึงร้อยปี หลายวันและคืนต่อจากนั้น เธออยู่ด้วยความหวาดผวา แต่เพราะโชคร้ายในวันนั้น ทำให้วันนี้เธอกลับได้พบได้เขาอีกครั้ง

“เฮ้อ” ขวัญชีวาถอนหายใจ สลดไม่น้อยเมื่อนี่คงมีแต่เธอที่ยินดีกับการพบกันครั้งนี้

ไม่รู้ทำไม วิญญาณสาวรู้สึกตนเองคุ้นเคยกับเทพแห่งความตายอย่างประหลาด หรือบางทีอาจเป็นเพราะโลกแห่งความตายล้วนมีแต่สิ่งน่าสะพรึงกลัว เมื่อเห็นสิ่งสวยงามอย่างองค์เทพเจ้าจึงอดยึดเป็นหลักพึ่งพิงไม่ได้ ขวัญชีวาก้มหน้าลงมองเหรียญในมือ สลับกับเงยขึ้นมองบรรดาดวงวิญญาณทั้งหลายที่กำลังแออัด เบียดเสียดกันเพื่อให้ได้ขึ้นเรือ

“ฮือๆ...”

ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของการด่าทอและทะเลาะวิวาท ขวัญชีวาเห็นร่างของวิญญาณสาวดวงหนึ่งกำลังทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น ด้วยความสงสารทำให้เธอก้มลงช่วยพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้น

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

“ฉันไม่มีเงิน”

“เงินเหรอ จะเอาไปทำไมกัน” หญิงสาวสงสัย ก็ในเมื่อพวกเธอตายแล้วจะต้องใช้เงินทำไม

“ก็เหรียญทองในมือคุณไง ถ้าไม่มีเหรียญทอง ฉันก็คงข้ามฟากไม่ได้ ทำไมฉันถึงโชคร้ายอย่างนี้นะ หมอนั่นขโมยเหรียญของฉันไป” พูดจบ เสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกระลอก

ขวัญชีวามองดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกสงสาร เธอก้มลงมองเหรียญในมืออีกครั้ง แล้วจึงยื่นให้อีกฝ่าย

“ถ้างั้นเอาเหรียญฉันไป คุณคงอยากข้ามไปฟากนู้น”

สีหน้าของผู้กำลังเศร้าหมองชะงักงัน สองมือรีบคว้าเหรียญทันที ผิดกับสิ่งที่เอ่ยออกจากริมฝีปาก

“แล้วคุณล่ะ ยกให้ฉันแบบนี้ คุณก็ไม่ได้ข้ามเรือสิ”

แม้ปากจะเอ่ยเหมือนเห็นใจ แต่อาการกำเหรียญในมือแน่นพร้อมเขยิบถอยห่าง ก็แสดงธาตุแท้ของวิญญาณดวงนี้ให้แก่ผู้เฝ้ามองอยู่ได้เป็นอย่างดี

ขวัญชีวายิ้มอ่อนๆให้กับวิญญาณตรงหน้า

“คุณไปก่อนเถอะ” เธอตอบเพียงแค่นั้น ไม่ทักท้วงอะไรต่อเลยด้วยซ้ำ ยามอีกฝ่ายรีบปลีกตัวออกห่าง

“เจ้าให้เหรียญทองคำแก่วิญญาณชั่วนั่นทำไม”

หญิงสาวสะดุ้งทันที เมื่อจู่ๆก็มีน้ำเสียงดุดันตวาดถามเธอจากทางด้านหลัง ทว่าเพียงหันมอง หัวใจก็ฟูฟ่องขึ้น

“ก็เขาร้องไห้” เธอบอกเสียงอ่อยๆ เก็บกักความดีใจไว้มิด

แท้จริงแล้วขวัญชีวาเองก็มองการกระทำของวิญญาณดวงเมื่อครู่ออก แม้เธอเองจะเห็นใจอีกฝ่าย แต่แท้จริงวิญญาณสาวออกจะเห็นใจตนเองมากกว่า ก็เธอไม่ได้อยากข้ามฟากนี่นา

ฝั่งทางนู้นจะมีอะไรรอคอยอยู่ก็สุดรู้ สู้คอยที่นี่ เผื่อโชคดีได้พบเทพแห่งความตายอีกสักครั้งหนึ่ง...ไม่ดีกว่าเหรอ

และดูเหมือนการณ์นี้ ขวัญชีวาจะไม่ต้องคอยนานนัก เมื่อธานาทอสลอยตามหาเธอมาติดๆ เทพแห่งความตายจ้องวิญญาณสาวตรงหน้าอยู่อึดใจใหญ่ แล้วจึงถอนหายใจ

“แค่เขาเสแสร้งให้เจ้าเห็นก็หลงเชื่อ เจ้าจะเด็กเกินไป ไม่รู้จักโลกบ้างเลยหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย นี่คุณกำลังด่าฉันโง่เหรอ” เธอชักฉุน ขวัญชีวาไม่ได้โง่ขนาดดูท่าทีของอีกฝ่ายไม่ออก เพียงแต่เธอยังไม่อยากข้ามฝั่งก็เท่านั้นเอง

“ข้ายังไม่ได้ว่าเจ้าโง่สักคำ มานี่ดีกว่า ข้าพาเจ้าไปส่งเอง ขืนรอให้เจ้าเดินขึ้นเรือ คงต้องรออีกร้อยปีกระมัง” เขาบอกขณะกระชากแขนเธอเข้าใกล้

ขวัญชีวาไม่แน่ใจนักถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ แขนของเธอข้างที่ถูกเขาจับอาจร้าวระบมหรือไม่ก็ข้อต่อหลุดเป็นแน่ แต่ในเมื่อยามนี้เธอไร้ชีวิต วิญญาณสาวจึงไม่รับรู้ถึงความรู้สึกใด ร่างของเธอถูกเทพแห่งความตายดึงตัวลอยขึ้นจากผืนดิน นำทางผ่านแม่น้ำสีดำสนิทข้ามสู่ยังอีกฟากฝั่งหนึ่ง...ดินแดนรกร้างอันปกคลุมด้วยภูเขาหินรายรอบ



ในทันทีที่สองเท้าบางแตะลงบนพื้นดินของอีกฟาก เสียงขู่กรรโชกหนึ่งก็ดังคำรามขึ้นจนผู้มาใหม่สั่นผวา เบี่ยงตัวหลบอยู่หลังร่างกำยำ ขณะมองเห็นเงาตะคุ่มหนึ่งกำลังย่างกรายออกจากเงามืด

“ใจเย็นเซอร์เบอรัส นี่ข้าเอง” เสียงของธานาทอสตะโกนแข่งกับเสียงคำรามกึกก้อง

แม้บริเวณนี้จะไม่มีแสงไฟนัก เมื่อสายตาปรับให้ชินกับความมืด ขวัญชีวาก็เกือบจะกรีดร้องลั่นเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตแสนน่าสะพรึงกลัว มันคือหมาสามหัวตัวมหึมา สูงเสียจนเธอแทบจะเป็นลมยามเห็นมันก้มหัวลงแสยะเขี้ยวให้ หัวหนึ่งของมันมองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก ก่อนอีกสองหัวจะไปส่งสายตาคำถามกับเทพแห่งความตาย

“ข้าพานางมาส่งยังตุลาการแห่งยมโลก หลีกไปสิ”

สิ้นคำสั่ง หางยาวประหนึ่งหางมังกรที่พาดขวางบานประตูอยู่ก็เปิดทางให้ ขวัญชีวาเกาะหลังเทพบุตรหนุ่มแจขณะรีบเดินผ่านบานประตูใหญ่ หลังจากเดินตามทางคดเคี้ยวเพียงไม่นาน หญิงสาวก็ได้พบกับบัลลังก์สูงเทียมฟ้าของเหล่าตุลาการแห่งยมโลกทั้งสาม

“ท่านธานาทอสนำดวงวิญญาณมาพบพวกข้าด้วยตัวเองเชียวหรือ” ราดาแมนธัส หนึ่งในตุลาการทั้งสามกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ นางยกเหรียญทองคำให้วิญญาณดวงอื่นไปเสียสองครั้ง จนไม่สามารถข้ามฝั่ง ข้าเลยต้องเป็นผู้พานางมาส่งด้วยตนเอง” ธานาทอสเอ่ยขึ้กับเหล่าตุลาการ ก่อนจะหันมองหญิงสาวข้างกาย “จากนี้ไป ทุกอย่างอยู่ที่ชะตาชีวิตของเจ้าแล้วที่จะตัดสินให้เจ้าเดินทางไปสู่สถานที่แห่งใด” เอ่ยจบ เขาก็ผละไป

ในจังหวะที่กำลังจะย้อนกลับสู่ทางเดิม เทพแห่งความตายก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความฉงนจากเหล่าตุลาการทั้งสาม

“น่าแปลก ไหนเจ้าลองบอกชื่อของตนเองให้ข้าฟังสิ” เออาคัส ตุลากรองค์ที่สองพิศมองวิญญาณตรงหน้าด้วยความแคลงใจ

“ขวัญชีวา แก้วจรรย์พรค่ะ”

“พวกข้าไม่มีชื่อเจ้าอยู่ในบันทึกชะตากรรม” ไมนอส ตุลาการองค์สุดท้ายกล่าว

“จะเป็นไปได้อย่างไร พวกท่านล้วนมีหน้าที่ตัดสินชะตาชีวิตมนุษย์ทุกคน เหตุใดจึงจะไม่มีบันทึกของวิญญาณดวงนี้” ธานาทอสถามด้วยความฉงน สองขาที่ตั้งท่าจะเดินจากกลับมายืนนิ่งอยู่ข้างกายหญิงสาว มองวิญญาณดวงน้อยอย่างพิจารณา

“ข้าเองก็สุดรู้ นับตั้งแต่ตัดสินชะตากรรมของเหล่ามนุษย์มา ยังไม่เคยมีวิญญาณดวงใดหลุดรอดจากบันทึกเล่มนี้ได้เลย” ราดาแมนธัสกล่าว

“พวกท่านจะทำเช่นไรกับนาง”

ตุลาการทั้งสามมองหน้ากันเพื่อตริตรองหาทางออกให้กับคำถามของเทพแห่งความตาย

“บางทีเหล่ามอยเรอาจพอล่วงรู้ชะตากรรมของมนุษย์นางนี้ แต่ระหว่างการตรวจสอบหาตัวตนนาง พวกข้าคิดว่าคงต้องขังนางไว้ยังแดนกักกัน” ไมนอสกล่าว

สิ้นคำตัดสิน ธานาทอสก็รับรู้ถึงอาการขยับกายเข้ามาหลบอยู่ทางด้านหลัง “แดนกักกันคืออะไร มันคงไม่น่ากลัวใช่ไหม”

เสียงเล็กๆที่เปล่งถามค่อยข้างสั่นไหว แต่กระนั้นธานาทอสก็ยังยืนนิ่ง ไม่มีใครตอบคำถามวิญญาณสาวสักคำ นัยน์ตาคมจ้องมองวิญญาณสาวข้างกายด้วยแววเรียบสนิท เพียงไม่นานร่างของยมทูตในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏกายขึ้น ตรงดิ่งมาหาวิญญาณสาว ส่งผลให้ขวัญชีวารีบเขยิบกายซ่อนด้านหลังเทพบุตรหนุ่มทันที

“ไม่เอานะ ฉันไม่ไปกับพวกยมทูต” เจ้าของเสียงหวานดูหวาดกลัว ร้อนรน

“ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องไปอยู่ยังแดนกักกันก่อน ที่นั่นไม่ได้ทุกข์ทรมานเหมือนนรกหรอก” ราดาแมนธัสกล่าว

“ธานาทอสคะ ฉันไม่อยากไป พวกเขาน่ากลัว” วิญญาณสาวพยายามอ้อนวอน เธอเขย่าแขนธานาทอสเพื่อหวังขอความช่วยเหลือ

คราวนี้เทพบุตรพยายามจะไม่อ่อนข้อให้ เขาเสียเวลากับวิญญาณดวงนี้มามากแล้ว ธานาทอสไม่ได้พูดอะไรขณะดึงร่างเล็กทางด้านหลังส่งให้ถึงมือยมทูต สีหน้าจวนเจียนจะร้องไห้ของเธอปริ่มน้ำตาทันทีเมื่อรู้ตนเองถูกผลักไส ขวัญชีวาหันมองดวงหน้าคมคายเรียบสนิทด้วยสายตาผิดหวัง แต่คราวนี้เธอไม่กล้าฟูมฟาย ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำตัดรอน สิ่งเดียวที่เทพบุตรหนุ่มเห็นคือดวงตาผิดหวัง ชอกช้ำ ก่อนอีกฝ่ายจะยอมรับโดยดุษฎี ก้มหน้าก้มตาเดิมตามยมทูตไปอย่างไม่ปริปาก



ธานาทอสออกจากบัลลังก์ตุลาการทั้งสามมาไกลมากแล้ว อีกไม่กี่อึดใจเขาก็จะถึงปราสาทสีดำ แต่ภาพดวงตาสีน้ำตาลชอกช้ำก็ยังติดตรึงหัวใจเขาจนเป็นเหตุให้ร่างที่ลอยอยู่เหนือหมอกควันเริ่มชะลอตัวลง จนกลายเป็นหยุดค้างอยู่กลางเวหา

‘ไม่เอานะ ฉันไม่ไปกับพวกยมทูตโดยเด็ดขาด’

‘ธานาทอสคะ ฉันไม่อยากไป พวกเขาน่ากลัว’

ถ้อยคำอ้อนวอนของเธอยังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความคิด ฝ่ามือหนาของเทพบุตรหนุ่มกำแน่น นับตั้งแต่ถือกำเนิดมาเป็นเทพแห่งความตาย ไม่เคยมีคราใดเลยเขาจะใจอ่อนเพียงนี้

“บ้าจริง!”

ท้ายสุด ธานาทอสก็สบถกับความคิดของตนเอง รู้ตัวอีกที ร่างกายเขาก็ย้อนกลับสู่ทางเก่า เขาลอยผ่านบัลลังก์แห่งตุลาการทั้งสาม สู่เส้นทางอันมืดมนซึ่งทอดยาวสู่นรกภูมิ เทพบุตรหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็เดินทางถึงเขตแดนกักกันวิญญาณ ดินแดนแห่งนี้เป็นรอยต่อสู่ทาร์ทารัสซึ่งเป็นนรกขุมสุดท้าย สภาพบริเวณนี้จึงทุรกันดารและร้อนอบอ้าวเพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำแห่งไฟ...เฟลเกธอน นัยน์ตาคมกวาดมองไปทั่วผืนดินแร้นแค้น เห็นดวงวิญญาณมากมายถูกปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม บางก็นั่ง นอน หรือลอยล่องอยู่ในอากาศ พวกเขาไม่ได้ถูกทรมานเหมือนอย่างวิญญาณในนรก แต่ก็ไม่ได้มีอิสรเสรีนักเมื่อต้องถูกจำกัดอาณาเขต

“ท่านธานาทอส” ยมทูตตนหนึ่งซึ่งเขาจำได้เป็นผู้นำทางวิญญาณสาวมายังแดนกักกัน ลอยตรงมาโค้งศีรษะแก่ผู้เป็นนาย

“ข้ามาตามหาแม่หนูน้อย”

“แม่หนูน้อยคือใครหรือขอรับ”

เหมือนธานาทอสจะเพิ่งรู้ตัว เลยจำต้องขยายความคำพูดตน

“วิญญาณที่เจ้าเพิ่งพามาส่งจากบัลลังก์ตุลาการ”

“อ้อ นางค่อนข้างหวาดกลัวข้าขอรับ พอมาถึงก็ลอยหนีข้า สะเปะสะปะไปไกล ตอนนี้น่าอยู่แถวๆเขาลูกนู้น” ยมทูต ชี้มือไปยังภูเขาสีดำลูกใหญ่

สีหน้าของเทพแห่งความตายยังเรียบสนิทขณะพยักหน้ารับรู้ เขาลอยขึ้นจากจุดที่ยืนอยู่ ดิ่งตรงสู่ภูเขาสีดำตามคำบอกเล่าของยมทูตทันที ระหว่างทางเทพบุตรหนุ่มเห็นร่างของนางปีศาจตนหนึ่งกำลังลอยต่ำอยู่ทางเบื้องล่าง แรกทีเดียว ธานาทอสเกือบจะไม่สนใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังตามหาคือวิญญาณของมนุษย์สาว แต่เมื่อสายตาสังเกตเห็นชัดอีกฝ่ายคือผู้ใด เทพหนุ่มก็ตัดสินใจลงมาทักทายนางปีศาจ

“เฟรีอา”

เสียงเรียกชื่อตนเองทำให้นางปีศาจชราผู้มีนัยน์ตาสีมรกตถึงกับชะงัก ด้วยนางไม่คิดจะมีผู้ใดรู้จักนางในดินแดนแร้นแค้นเช่นนี้

“ท่านธานาทอส มาทำอะไรถึงแดนกักกันนี้เจ้าคะ” เฟรีอาโค้งศีรษะให้แก่เทพบุตรหนุ่ม

“ข้าน่าจะถามเจ้ามากกว่า หลายวันก่อนฮิปนอสบอกเจ้าอยู่ที่แดนกักกัน แต่ข้าก็ไม่นึกเลยเจ้าจะยังอยู่ เจ้าจะทรมานตนเองอยู่ที่ดินแดนนี้ไปถึงไหน”

ถ้อยคำตักเตือนของเทพแห่งความตาย มีผลให้ดวงหน้าเหี่ยวย่นสลดลง แต่กระนั้นเฟรีอาก็ยังปฏิเสธ

“ข้าไม่ได้ทรมานตัวเองเจ้าค่ะ การออกตามหาบุตรสาวคือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่”

ธานาทอสถอนหายใจอย่างระอา

“เจ้ามันดื้อ ทั้งๆที่ข้าส่งเหล่ายมทูตออกตามหาฟีเลียถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ร่องรอยของนางเลย เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี พวกยมทูตบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ” นัยน์ตาคมหรี่มองร่างกายเหนื่อยล้าของนางปีศาจตรงหน้าแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ

นางจะทรมานตนเองไปถึงเมื่อไรกัน...

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ตลอดมาข้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านและท่านฮิปนอสมาก แต่ยังไงข้าก็ไม่อาจทำใจได้อยู่ดีข้าสูญเสียฟีเลียไปแล้ว” เสียงของเฟรีอาเศร้ามากยามเอ่ยถึงชื่อของบุตรสาว

“แปลว่าเจ้าจะปล่อยชีวิตตัวเองเป็นเช่นนี้ไปจนตายงั้นรึ” เทพบุตรหนุ่มไม่เข้าใจ

“เจ้าค่ะ ขอเพียงได้พบนาง แม้ตัวตายข้าก็ไม่เสียใจ” เฟรีอาตอบ เห็นชัดเทพแห่งความตายตั้งท่าจะเอ่ยปากค้าน นางจึงชิงพูดเสียก่อน “ข้ารู้ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าวันหนึ่งท่านมีผู้ใดที่รักสุดหัวใจ วันนั้นท่านอาจเข้าใจข้า”

“ข้าคงไม่มีวันนั้น” ธานาทอสตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท แต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของนาง “เจ้าออกไปค้นหาฟีเลียที่อื่นเถอะ แดนกักกันกับเขตแดนปีศาจทั้งสิบสามคือบริเวณที่ยมทูตแทบจะพลิกแผ่นดินหาลูกสาวเจ้ามาแล้ว เจ้าอยู่ตรงนี้ต่อก็ไม่มีทางเจอนางหรอก”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณในความเมตตาของท่านมาก” เฟรีอายอมรับในคำแนะนำของอีกฝ่าย ไม่ช้าร่างนางก็ลอยล่องออกจากแดนกักกัน

ธานาทอสมองตามร่างอ่อนล้าของนางปีศาจ เขาส่ายหน้ากึ่งระอากึ่งไม่เข้าใจ แต่แล้วเรื่องราวของนางก็ถูกปัดทิ้งจากความคิดเมื่อสายตาคมเหลือบต่ำลงเห็นร่างหนึ่งริมหน้าผา



“ฮือ...ฮือ...” เสียงร้องไห้เบาๆของวิญญาณสาวดังกระทบโสตประสาทของเทพบุตรหนุ่ม

ธานาทอสชะงักปลายเท้าตนเอง ยืนมองวิญญาณดวงน้อยซึ่งนั่งห้อยขาอยู่ริมหน้าผาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตาคมสีนิลกลับฉายประกายอ่อนแสงลง

“เจ้าจะร้องไห้อยู่ตรงนี้ ให้แผ่นดินเบื้องล่างกลายเป็นทะเลเลยรึไง”

ถ้อยคำประชดของเทพบุตรหนุ่มส่งผลให้ขวัญชีวารีบหันกลับมามองทันที เมื่อเธอจำน้ำเสียงดุของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ

“ธานาทอส” วิญญาณสาวอุทานด้วยความดีใจ

วินาทีนั้นเธอรีบหมุนกายกลับเพื่อจะเขยิบหาผู้อยู่ทางด้านหลัง โดยไม่รู้ตัวเลยยามนี้ตนเองนั่งหมิ่นเหม่อยู่ริมขอบผา ดังนั้นเพียงแค่ขยับกาย ร่างของหญิงสาวก็พลัดหลุดจากแผ่นหิน

“ว้าย! ช่วยด้วย” เสียงวิญญาณสาวร้องโวยวาย เรียกสายตาคมดุให้หันมอง

“จะให้ช่วยอะไร เจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้ตกลงไปข้างล่างได้”

พอถูกเตือน ขวัญชีวาจึงเพิ่งรู้ตัว เธอก้มหน้าลงมองเห็นตนเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

“ฉันลืมไปว่าตัวเองลอยได้” เธอบอกด้วยสีหน้าเขินๆ พยายามจะลอยเข้าใกล้เทพแห่งความตาย แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เมื่อตนเองยังไม่คุ้นชินกับสภาพร่างไร้กายา

“ทำอะไรของเจ้าน่ะ”

ธานาทอสชักโมโหเมื่อเห็นเธอยังละล้าละลังอยู่ที่เดิม จนเขาทนไม่ได้ต้องลอยไปกระชากแขนอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แทน

“แล้ว เอ่อ...คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”

“มาตามหาเจ้า”

“เอ๊ะ” ดวงตาสีน้ำตาลโตช้อนมองอีกฝ่ายคล้ายไม่เชื่อหู “มาตามหาฉันทำไมกัน”

“ข้าตั้งใจจะพาเจ้าไปพบมอยเรที่ปราสาท ขืนอยู่ที่แดนกักกันนี่ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรกว่าพวกตุลาการจะมีเวลาว่างมาสะสางชะตากรรมของเจ้า”

“แปลว่าฉันไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว คุณมารับฉันจริงๆใช่ไหม”

คราวนี้สีหน้าตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้งจัด หยาดน้ำตาที่เพิ่งเหือดหายค่อยๆปริ่มอยู่ตรงหัวตาทั้งสอง

“จะร้องไห้ทำไม หรือเจ้าอยากอยู่ที่แดนกักกันนี่มาก” ขาดคำ ธานาทอสก็ปล่อยมือที่จับต้นแขนเธอออกทันที

ร้อนถึงวิญญาณสาวแสนขี้กลัว เธอรีบคว้าแขนอีกฝ่ายเป็นหลักยึดแน่นหนา

“ไม่ค่ะไม่ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คุณพาฉันออกไปจากที่นี่นะคะ” ขวัญชีวาละล่ำละลักอ้อนวอน กอดแขนกำยำแน่นไม่ยอมปล่อย

“รู้แล้ว ก็จะพาออกไปอยู่นี่ไง” น้ำเสียงของเทพบุตรหนุ่มแสดงออกชัดถึงความรำคาญ ทว่าอากัปกิริยาที่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเกาะแขนโดยไม่คิดผลักไส ก็สร้างรอยยิ้มให้แก่วิญญาณสาว

ขวัญชีวาเลือกจะเกาะอีกฝ่ายหนึ่งแน่น ลอยตามธานาทอสออกจากแดนกักกันโดยไม่คิดเหลียวหันกลับไปมอง เธอลอยผ่านหุบเขาสีดำมาเรื่อยๆ แต่ยิ่งลอยมาไกล เธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายตนเองกำลังมุ่งหน้าด้วยความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ดะ...เดี๋ยวก่อน ช้าลงหน่อยได้ไหมคะ ฉันกลัว” เสียงหวานตะโกนแข่งกับสายลม ส่งผลให้ผู้กำลังจะมุ่งหน้ากลับปราสาทจำต้องชะลอความเร็วลง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เจ้านี่มันเรื่องมากจริง เดี๋ยวก็ปล่อยทิ้งไว้แถวนี้เสียเลย” เทพแห่งความตายกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ

“ไม่เอานะ อย่าปล่อยฉันตกลงไปนะคะ” เธอถึงกับผวา รีบเปลี่ยนจากอาการกอดแขนเขา ตะกายขึ้นมากอดลำคอแกร่งแทน

“เป็นผีขี้กลัวไปได้ ข้าจะปล่อยเจ้าตกทำไม อุตส่าห์ออกมาตามหา” เทพบุตรหนุ่มดุ แต่ก็ยอมใช้มือข้างหนึ่งยึดต้นแขนบางไว้แน่นเช่นกัน

ไม่นานเขาก็ข้ามเขตแดนนรกมุ่งสู่ที่ตั้งของตัวปราสาทสีดำ ธานาทอสเหลือบสายตามองผีตัวน้อยซึ่งยามนี้ตะกายขี่หลังเขาอยู่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เจ้าเด็กนี่ท่าจะก่อปัญหาให้เขาอีกนาน






ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2556, 11:15:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2556, 11:15:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2946





<< บทที่1(2/2) โลกหลังความตาย   บทที่ 2/2 ตัวปัญหา >>
ริญจน์ธร 5 มิ.ย. 2556, 11:20:21 น.
ตอบคอมเม้นค่ะ
คุณ คิมหันตุ์ ฮิปนอสจะออกแนวขี้เล่นกว่าธานาทอสค่ะ และค่อนข้างรู้ใจกันเพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด

คุณ ภาวิน แหะๆ แอบมีแปะเล็กๆน้อยๆไว้ในเพจ หลอกล่อคนอ่านค่า

คุณ goldensun หนูขวัญไว้ใจธานาทอสมากจริงๆค่ะ ส่วนธานาทอสเองแม้จะปากแข็งก็ยังเอ็นดูผีตัวนี้มากกว่าใคร เพราะอะไรน้าาา ไว้กลางๆเรื่องจะเฉลยค่า

คุณ Zephyr 55 เทพปากแข็งก็งี้อ่ะ พูดจาได้ขวานผ่าซากตลอด เดี๋ยวไว้ต้องรอเจ้าตัวเขาหลงรักก่อนค่ะ แล้วน่าจะน่ารักขึ้น

คุณ lovemuay อืม ใช่รึเปล่าน้อ


wind 5 มิ.ย. 2556, 12:08:42 น.
ธานาทอสใจดีนะเนี่ย


คิมหันตุ์ 5 มิ.ย. 2556, 12:35:03 น.
ตัวปัญหาที่น่ารัก นะ ธานาทอส


nako 5 มิ.ย. 2556, 13:02:52 น.
เป็นห่วงเขาละซิ


goldensun 5 มิ.ย. 2556, 13:35:00 น.
ทำไมชื่อขวัญไม่ปรากฎล่ะคะ หรือจะเป็นฟีเลีย
ธานาทอสปากแข็งใจอ่อนเห็นๆ ห่วงจนต้องย้อนกลับไปช่วย


หมูอ้วน 5 มิ.ย. 2556, 14:59:00 น.
ฮิ..นางเอกน่ารักมาก ๆ ค่ะ


Zephyr 5 มิ.ย. 2556, 18:06:48 น.
หลานตัวน้อยตะกายหลัง ชอบใช่ม้า ลุงธานาทอส เอ หรือปู่ดี
ปัญหาที่เต็มใจแบกรึป่าว จ้ะ ลุง ปากไม่ตรงกะการกระทำเลยหนิ
ฟอร์มเยอะจุง ลุงหลุดฟอร์มเมื่อไรดีน้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account