รอยรักยมทูต
เขาคือเทพแห่งความตายแสนเย็นชา
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
Tags: รอยนิรันดร์ นิรันดร์แห่งรัก ดุจดั่งดวงใจ หทัยแห่งสุริยัน ตราบนิรันดร์คือเธอ ธานาทอส เฮเดส พริมา ขวัญชีวา
ตอน: บทที่ 2/2 ตัวปัญหา
ปราสาทขององค์ราชันคืออะไร ขวัญชีวาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอรู้แต่เพียงมันฟังดูดีมากกว่าแดนกักกัน แต่กระนั้นยามเห็นปราสาทสีดำหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางไอหมอกหนา วิญญาณสาวก็ดันหลุดปากวิจารณ์
“อย่างกับปราสาทผีสิง”
เทพบุตรหนุ่มซึ่งกำลังปล่อยเธอลงยืนหน้าตัวปราสาท หันมาตวัดสายตาคมดุพร้อมคำถาม
“หรือเจ้าอยากกลับไปอยู่แดนกักกันแทน”
ขวัญชีวาส่ายหน้าหวือทันที ตัดสินใจสงบปากสงบคำลง ไม่กล้าวิจารณ์สิ่งใดอีก
แต่หลังจากทั้งคู่เดินผ่านบานทวารหนาหนักเข้าสู่ตัวปราสาทด้านใน วิญญาณสาวก็นึกอยากกลับคำพูดทันที เมื่อบริเวณภายในปราสาทสีดำไม่ได้น่ากลัวอย่างเหมือนอย่างภายนอกเลยสักนิด
“นั่นเจ้าพาผู้ใดมาด้วยรึ ธานาทอส” สุรเสียงดุดันดั่งฟ้าคำรนดังก้องขึ้นกลางโถงทางเดินกว้าง
ขวัญชีวาเห็นเทพบุตรหนุ่มข้างกายเธอหยุดเท้าลงพร้อมกับก้มศีรษะให้แก่ผู้มาใหม่ เธอกะพริบตาปริบๆมองการกระทำของเทพข้างกายอย่างงงๆ กว่าจะรู้ตัวศีรษะของเธอก็ถูกมือหนากดลงจนสองตามองเห็นเพียงแค่พื้นทางเดิน
“วิญญาณหลงทางพระเจ้าค่ะ ตุลาการทั้งสามหาบันทึกของนางไม่พบ ข้าเลยจะมาขอความช่วยเหลือจากเหล่ามอยเร”
เธอได้ยินธานาทอสตอบผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม จนอดไม่ได้ที่จะพยายามเหลือบตาขึ้นมอง แต่มือหนาของเทพแห่งความตายก็ยังกดศีรษะทุยไว้จนไม่สามารถเงยหน้าขึ้น
“เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก็ได้จ้ะ”
คราวนี้เสียงเอ่ยปากอนุญาตไม่ได้ดุดันเหมือนเมื่อครู่ มันเป็นเสียงหวานใสของผู้หญิง ขวัญชีวาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสนใจ จึงพบร่างสูงกำยำในพัสตราภรณ์สีดำสนิท ข้างๆกันคือร่างอรชรของหญิงสาวนางหนึ่ง เธอสวยเสียจนขวัญชีวาได้แต่ยืนตะลึงมอง
“สวยจัง” หญิงสาวหลุดปากพูดอย่างใจคิด จ้องมองสองหนุ่มสาวเบื้องหน้าอย่างอึ้งๆ ด้วยไม่คิดในยมโลกแสนน่าหวาดกลัวจะมีสิ่งสวยงามขนาดนี้ให้ชื่นชม
“ขอบใจจ้า เธอเป็นวิญญาณที่เพิ่งมาใหม่เหรอ ชื่ออะไร” หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางฟ้าถามเธอ
“ขวัญชีวาค่ะ”
“ชื่อเพราะจัง” พริมาส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้กับวิญญาณหญิงสาวตรงหน้า
ขวัญชีวาเองก็ได้แต่มองอีกฝ่ายหนึ่งเพลิน จนกระทั่งเหลือบสายตาเห็นดวงตานิลวาววับและทรงอำนาจอีกคู่กำลังจับจ้องเธออย่างสำรวจ
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอผู้นี้ก็หล่อเหลาไม่ต่างจากธานาทอสเลย แต่ท่าทีสำรวจมองเธอนี่สิ ทำให้เธอชักเริ่มทำตัวไม่ถูก...
“ทำไมพวกตุลาการถึงไม่มีบันทึกของวิญญาณดวงนี้” เทพเฮเดสตรัสถามด้วยความฉงน ขณะกวาดดวงเนตรสำรวจร่างเล็กโปร่งแสงตรงหน้า
“กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันพระเจ้าค่ะ เลยตั้งใจมาขอความช่วยเหลือจากเหล่ามอยเรเพื่อตรวจสอบหาตัวตนของนาง เพราะกระหม่อนเองก็เป็นผู้พานางลงมาจากโลกมนุษย์ตั้งแต่คราแรกที่นางเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในท้องทะเล” เทพแห่งความตายทูลอธิบาย
“เจ้าตายตั้งแต่เมื่อไร” คราวนี้เทพเฮเดสตรัสถามกับขวัญชีวาโดยตรง
ขวัญชีวามีสีหน้าเลิกลั่น เธอหันมองเทพบุตรหนุ่มข้างกายอย่างขอความเห็น
“องค์ราชันทรงถามเจ้า ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“เอ่อ... ก็ฉันจำไม่ได้นี่นาตัวเองตายรึยัง”
“แปลจำเรื่องราวก่อนตายไม่ได้หรือ”
หญิงสาวนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
“คงงั้นมั้งคะ” ขวัญชีวาไม่แน่ใจ
“เจ้าพานางไปพบเหล่ามอยเรเถอะ ถ้าได้ความคืบหน้าใดก็มาบอกข้า ส่วนตัวนางก็ไม่ต้องพาไปแดนกักกันหรอก ให้อยู่ในปราสาทจนกว่าจะสืบหาชะตากรรมของนางพบ”
“พระเจ้าค่ะ” ธานาทอสโค้งศีรษะรับพระบัญชา ก่อนจะพาตัววิญญาณสาวออกตามหาเทวีแห่งโชคชะตาทั้งสาม
พริมาเหลียวมองตามร่างโปร่งแสงของดวงวิญญาณแปลกหน้าจนลับตา แล้วจึงช้อนตามองผู้ประทับอยู่ข้างกาย
“ทำไมเธอถึงจำเรื่องราวก่อนตายไม่ได้คะ”
“ไม่ใช่วิญญาณทุกดวงจะจำทุกเรื่องราวตอนมีชีวิตอยู่ได้หรอก อย่างวิญญาณดวงเมื่อกี้ดูเหมือนนางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำตนเองตายแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
เทพเฮเดสถอนพระทัย หันพักตร์มาแย้มสรวลอ่อนๆให้กับหญิงสาวข้างพระวรกาย
“เพราะบางครั้งการตายก็ทุกข์ทรมานมากเสียจนวิญญาณบางดวงไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นหลงลืมช่วงเวลาตอนตนเองขาดใจตายน่ะสิ”
“น่าสงสารจัง”
“เจ้าจะสงสารวิญญาณทุกดวงที่พบหน้าหรืออย่างไร” เทพเฮเดสตรัสถามผู้เป็นดั่งดวงหทัยด้วยสีพระพักตร์อ่อนโยน หัตถ์ข้างหนึ่งเอื้อมโอบเอวบางพาเดินต่อไปด้วยกัน
“ไม่ใช่ทุกดวงเสียหน่อย ก็แค่เฉพาะวิญญาณบางดวงเท่านั้น” พริมาเถียงเสียงอ่อน แต่ในใจก็ยังอดนึกถึงวิญญาณสาวนามขวัญชีวาไม่ได้ “พวกมอยเรจะช่วยเธอได้ไหมคะ”
“ข้าก็ตอบไม่ได้ เดี๋ยวเรารอฟังข่าวจากธานาทอสแล้วกัน” เทพเฮเดสทรงแบ่งรับแบ่งสู้
“สองท่านนั้นเป็นใครเหรอคะ” ขวัญชีวาถามขึ้นทันทีเมื่อทั้งสองเลี้ยวพ้นโถงทางเดินบริเวณด้านหน้า
เจ้าของร่างสูงผู้กำลังก้าวเท้าตามทางเดินปรายตามองหญิงสาวข้างกายทีหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมองทางเดิน
“เทพเฮเดสและองค์รานี” เขาตอบคำถามเธอด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“เขาน่ะเหรอ ราชาผู้ปกครองยมโลก” หญิงสาวพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ร้อนถึงเทพบุตรข้างกายต้องเอ่ยปากถาม
“ทำไม น้ำเสียงของเจ้าราวกับไม่เชื่อถือ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ เพียงแต่พระองค์ดูหนุ่มกว่าที่ฉันคิด แล้วก็...ทรงหล่อเหลือเกิน” หญิงสาวอ้อมแอ้มบอกความในใจของตนเอง
เสียอยู่นิดเดียวตรงที่ดวงเนตรดุๆคู่นั้นดูจะอ่อนแสงลงยามทอดพระเนตรองค์รานีของพระองค์เท่านั้น... ขวัญชีวาคิดด้วยความเสียดายเล็กๆในใจ
ผิดกับเทพแห่งความตาย หลังฟังคำวิจารณ์ของหญิงสาวก็มีสีหน้าบึ้งตึงชัดเจน
“อย่าอาจหาญเอื้อมของสูงเลย เจ้าเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนไม่มีแม้แต่หัวนอนปลายเท้า อย่าได้คิดเทียบเคียงองค์รานีโดยเด็ดขาด” ธานาทอสเอ่ยปากเตือนเสียงดุ จากนั้นจึงสาวเท้าเร็วๆนำเธอตรงไปยังบานประตูหนึ่ง
ทิ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามองตามแผ่นหลังกำยำอย่างงงๆ
“อาจเอื้อมตรงไหน ยังไม่ได้คิดอะไรไกลเลย ก็แค่ชมหล่อเท่านั้นเอง” ขวัญชีวาเกาศีรษะตนเอง ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายเตือนเท่าไร
จากนั้นเธอจึงเร่งฝีเท้าตามธานาทอส เห็นบานประตูเบื้องหน้ากำลังเปิดออกต้อนรับ ขวัญชีวารีบเขยิบกายเข้าใกล้เทพบุตรหนุ่มทันที เบื้องหลังบานประตูสีดำคือห้องขนาดไม่ใหญ่นัก มีร่างของหญิงชราสามนางนั่งอยู่ นางหนึ่งกำลังนั่งปั่นด้าย โดยมีกองด้ายมากมายรายล้อม ส่วนอีกนางหนึ่งก็กำลังฟั่นด้ายที่คนแรกปั่นให้เป็นเกลียว ใส่ลงในถุงผ้าข้างกาย โดยมีหญิงชรานางสุดท้ายหยิบเส้นเชือกจากถุงผ้าขึ้นมาใช้กรรไกรตัด
ทันทีที่ธานาทอสหยุดฝีเท้าลงตรงหน้านางทั้งสาม ขวัญชีวาก็เห็นพวกนางเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน อีกทั้งยังเหลือบสายตามองเธออย่างสำรวจ
“ข้ามีเรื่องขอให้พวกท่านช่วย”
“เจ้าพาดวงวิญญาณติดตามมาด้วยหรือ” อะโทรพอสวางกรรไกรในมือลง มองเทพบุตรหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีแปลกใจ
“นางไม่มีบันทึกชะตากรรม ตุลาการยมโลกทั้งสามเลยไม่อาจตัดสินชะตาชีวิตได้ ข้าเลยพานางมาพบพวกท่าน เผื่อจะมีผู้ใดบอกตัวตนของนางได้”
“น่าแปลกจริง มนุษย์เช่นนางจะไม่มีชะตากรรมได้อย่างไรกัน” ลาเคซิสกล่าว พลางล้วงมือลงควานหาเชือกชีวิตภายในถุงผ้า ไม่ว่านางจะควานอย่างไร ก็ไม่อาจหยิบเชือกชีวิตของวิญญาณมนุษย์ตรงหน้าขึ้นได้ “หรือท่านพี่ตัดเชือกของนางแล้ว” เทวีองค์รองถามผู้เป็นพี่สาว
“ไม่นี่ ข้าจำได้ยังไม่ได้ตัดเชือกชีวิตนาง ถ้านางตายก็เพราะเชือกมันเปื่อยอยู่ในถุงผ้านั่นแหละ” อะโทรพอสติง
“แต่ข้าหาเชือกของนางไม่เจอ”
“เดี๋ยวก่อนพี่ข้าทั้งสอง ความจริงข้าไม่คุ้นเลยว่าข้าเคยปั่นเชือกของนางขึ้นมา” โคลโธเอ่ยกับผู้เป็นพี่สาวทั้งสอง ก่อนเบนสายตามองร่างโปร่งแสงเบื้องหน้าอีกครั้ง “เจ้าเป็นมนุษย์แน่ใช่ไหม”
แม้เทวีแห่งโชคชะตาจะถามออกไปเช่นนั้น แต่ด้วยรูปลักษณ์ของดวงวิญญาณที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีสิ่งใดผิดแผกจากวิญญาณมนุษย์ที่เคยพบเห็น
ขวัญชีวามองหน้าหญิงชราทั้งสามสลับกับธานาทอสด้วยสีหน้างุนงง
“เอ่อ...ฉันก็คิดว่าฉันเป็นมนุษย์นะคะ” เธอตอบข้อสงสัยของหญิงชราทั้งสามอย่างงงๆ
“หากพวกท่านไม่ได้สร้างนางขึ้น นางจะมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างไร” ธานาทอสถามด้วยความสงสัย
“บางทีอาจมีเชือกหลงหูหลงตาเทวีแก่ๆอย่างพวกข้าไปก็เป็นได้” อะโทรพอสตอบ ก่อนจะกวาดตามองรอบๆห้อง “ข้าคิดว่าถึงเวลาเก็บกวาดห้องให้สะอาดเสียที”
“พวกท่านจะหาเชือกชีวิตของนางพบใช่ไหม” ธานาทอสถาม
“ขอเวลาหน่อย พวกข้าเองก็ไม่ได้ทำความสะอาดห้องนี้มาเกือบสองร้อยปีแล้ว เชือกของนางอาจตกอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องก็เป็นได้”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ท้ายสุดขวัญชีวาก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ภายในปราสาทสีดำระหงรอเหล่ามอยเรทั้งสามทำความสะอาดห้องและตามหาเชือกชีวิตของเธอ ตลอดเดือนที่ผ่านมา ชีวิตภายในปราสาทไม่ได้ย่ำแย่เหมือนอย่างที่เธอหวาดหวั่น ความจริงบุคคลเดียวที่ดูไม่ค่อยรื่นรมย์กับการมาของเธอก็เห็นจะมีแต่ธานาทอสเท่านั้น เทพแห่งความตายยังแสดงสีหน้านิ่งเฉย เอนเอียงไปทางบึ้งตึงในทุกครั้งยามพบหน้า ทำให้เธอได้แต่แอบลอบมองเขาอยู่ห่างๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเธอทำอะไรให้เขาเกลียดขี้หน้าหนักหนา
“เจ้ากำลังเหม่อ” ฮิปนอสซึ่งกำลังรดน้ำแปลงกุหลาบในสวนหันมามองผีที่นั่งตาลอยอยู่ข้างๆ
“เปล่าสักหน่อย”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก โกหกไม่ดีนะรู้ไหม”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะคะ อายุตั้งยี่สิบแล้ว” ผีที่ไม่ค่อยอยากเป็นเด็กเถียงเสียงแข็งทันใด
“อ้าว จำอายุตัวเองได้แล้วหรือ”
ถ้อยคำกระเซ้าของเทพแห่งการหลับใหล ส่งผลให้ใบหน้ากลมเริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา ขวัญชีวามีชีวิตค่อนข้างสงบสุขภายใต้ปราสาทสีดำหลังใหญ่ แต่กระนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหาย เมื่อถูกกระตุ้นด้วยถ้อยคำเย้าแหย่ของเทพแห่งการหลับใหล ความทรงจำครั้งยังมีชีวิตอยู่จึงเริ่มหวนกลับ
‘ขวัญ แต่งตัวเสร็จรึยังจ๊ะ คุณพ่อรอนานแล้วนะ’
‘ค่ะ แม่’ เสียงจากในห้องนอนดังขึ้นพร้อมบานประตูถูกเปิดออก
ร่างอรชรในชุดเดรสสีชมพูหวานกำลังยืนส่งยิ้มให้มารดา
‘สวยจริง จัดเต็มเชียวนะลูกแม่’ กุลยากระเซ้าบุตรสาว
ผลที่ได้คือรอยยิ้มหวานสดใส พร้อมกับเรียวแขนบางทั้งสองข้างเลื่อนมาโอบกอดรอบเอวมารดา
‘ได้ออกไปเที่ยวกับพ่อแม่ทั้งที ก็ต้องจัดเต็มหน่อยสิคะ’ หญิงสาวบอกเสียงใส ก่อนชักชวนมารดาเดินลงจากชั้นสี่ของตัวบ้าน มายังชั้นสองซึ่งถูกกั้นไว้เป็นห้องนั่งเล่น
ร่างท้วมไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไปของชายมีอายุคนหนึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ทันทีที่เบนสายตาจากหน้าจอมาเห็นร่างของสองสาว รอยยิ้มอบอุ่นก็ประดับขึ้นเต็มดวงหน้าซึ่งปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาชัดเจน
‘แต่งตัวกันซะสวยเลยนะสองแม่ลูก ท่าทางวันนี้พ่อจะกระเป๋าแฟบซะแล้ว’
‘แหม คุณพ่อขา ป๋าหน่อยสิคะ วันนี้อุตส่าห์ควงสาวตั้งสองคนนะ’ ขวัญชีวาตรงเข้าคว้าแขนผู้เป็นบิดากอดแน่น
‘จ้ะๆ ถ้าจะหมดตัวก็วันนี้’
คำตอบรับคล้ายปลงๆของไชยภพเรียกเสียงหัวเราะทั้งจากตัวบุตรสาวและผู้เป็นภรรยาดังลั่นห้อง... ทั้งหมดนั้นคือภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นในมโนสำนึกของวิญญาณสาว
“อ้าว จู่ๆเป็นอะไร ทำไมทำหน้าหมองเสียล่ะ” เทพแห่งการหลับใหลสาวเท้าเข้าใกล้ เอ่ยเตือนสติเธอ
“ฉันจำพ่อกับแม่ได้แล้ว” พูดจบ ดวงตาสีน้ำตาลก็คลอด้วยหยาดน้ำใส
มันเกือบจะกลิ้งลงอาบพวงแก้มอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยื่นอะไรบางอย่างให้
“เอ้า อย่าเพิ่งร้อง รับนี่ไปก่อน”
กุหลาบสีแดงสดดอกงามถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว
“คุณให้ฉันเหรอคะ” ขวัญชีวาถาม ความรู้สึกเศร้าถูกแทรกด้วยเรื่องราวฉงน น่าประหลาดใจตรงหน้าแทน
“ตรงนี้มีแค่ข้ากับเจ้า ไม่ให้เจ้าแล้วจะให้ใคร”
“แต่ฉันจับมันไม่ได้นี่นา” เธอครางเสียงละห้อย
นับตั้งแต่ตายเป็นผี หญิงสาวก็ไม่มีสิทธิ์จับต้องสิ่งของใดได้เลย ดวงตาสีน้ำตาลหม่นแสงลงขณะมองกุหลาบตูมดอกใหญ่ด้วยความเสียดาย
“ยังไม่ลองจับดูเลย รู้ได้อย่างไรเจ้าจับมันไม่ได้” ฮิปนอสท้าทายเธอด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เล็กๆ
เธอเลยตัดสินใจยื่นมือออกรับ มันไม่มีความรู้สึกใดยามแตะต้องก้านสีเขียวสดอันเต็มไปด้วยหนามแหลม แต่ทันทีที่ฮิปนอสปล่อยมือ กุหลาบงามดอกนั้นก็ไม่ได้ร่วงหล่นสู่พื้นดิน มันยังติดอยู่ในอุ้งมือเธอ
“คุณทำได้อย่างไรกัน” ขวัญชีวาอุทานด้วยตื่นเต้น
“ข้าเป็นเทพนะแม่หนูน้อย อิทธิฤทธิ์เล็กๆน้อยๆแค่นี้จะยากอะไร” เทพแห่งการหลับใหลบอกเธอด้วยน้ำเสียงโอ้อวดเล็กๆ ..ผู้ฟังยิ้มหวานตอบกลับอย่างยินดี
“ขอบคุณค่ะ”
“ข้าดีใจ..ดอกไม้ทำให้เจ้าหายเศร้า ข้ารู้มันฟังดูยากไปสักหน่อย แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่โลกมนุษย์แล้ว ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องปล่อยวางชีวิตเบื้องบนทิ้งเสีย”
คำเตือนสติของเทพแห่งการหลับใหล ส่งรอยหม่นแสงสู่ดวงตาสีน้ำตาลอีกครั้ง ขวัญชีวาเลยเสประคองกุหลาบในมือขึ้นดมเพื่อหวังจะลืมเรื่องราวทุกข์ใจ อากัปกิริยาก้มหน้าลงจรดปลายจมูกแตะลงบนกลีบกุหลาบ เรียกรอยยิ้มอ่อนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย
“เจ้าได้กลิ่นมันด้วยรึ” ฮิปนอสแกล้งถาม รู้ดีวิญญาณอย่างเธอไม่อาจมีสัมผัสใด
“จะได้กลิ่นได้ยังไง” หญิงสาวตวัดสายตาค้อนใส่ เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งสวน
ผลของเสียงนั้นดังไกลถึงภายในปราสาท เร่งเร้าให้ผู้เพิ่งกลับมาถึงชะโงกหน้ามอง ภาพหญิงสาวถือดอกกุหลาบแดง แสดงสีหน้าตะบึงตะบอนใส่เทพบุตรหนุ่มซึ่งยังไม่หยุดขำ เรียกริ้วรอยของความหงุดหงิดแล่นพล่านทั่วกาย
“อ้าว เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ฮิปนอสซึ่งยังขำไม่หาย เหลือบสายตาเห็นใบหน้าบูดบึ้งของคู่หู
“อืม” ธานาทอสรับคำเพียงสั้นๆ เขาตวัดสายตามองสองหนุ่มสาวเพียงแวบเดียวก็ตัดสินใจหันหลังกลับออกจากสวน โดยไม่คิดเอ่ยปากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับขวัญชีวาเลย
“ไปทำอะไรมา หน้าบูดเชียว” ฮิปนอสพึมพำอย่างไม่เข้าใจ
ผิดกับวิญญาณสาวซึ่งกลับมาหน้าสลดลงอีกครั้ง
“ธานาทอสคงไม่พอใจเพราะฉันมาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”
“ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้น”
“ก็เขาดูไม่ค่อยชอบหน้าฉัน” เธอตอบ..นึกถึงสีหน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิตย์ของเทพแห่งความตาย
“ข้าว่าไม่นะ เขาดูออกจะชอบเจ้า”
“ไม่จริงหรอก เจอหน้ากับทีไรก็เอาแต่ตีหน้าดุตลอด” ขวัญชีวาไม่เชื่อถือ
“ก็เขาขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาไร้หัวใจ บางทีข้าก็คิดตอนพวกข้าถือกำเนิด ท่านแม่อาจมีหัวใจอยู่แค่ดวงเดียวเลยเอามาใส่ไว้ที่ข้า แทนที่จะเป็นธานาทอส”
วิญญาณสาวค่อนข้างสะดุดหูคำพูดของเทพแห่งการหลับใหลไม่น้อย
“คุณพูดอย่างกับคุณทั้งสองเป็นพี่น้องกัน”
“ไม่ใช่แค่พี่น้อง ฝาแฝดต่างหาก” คำตอบของฮิปนอสเรียกแววตะลึงค้างจากดวงตากลมโต “ทำไมข้ากับเขาดูต่างกันมากนักหรือ”
พอถูกถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเข้า ขวัญชีวาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นความเหมือนของเทพบุตรสององค์ เมื่อทั้งฮิปนอสและธานาทอสต่างมีสีผมและนัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนกัน และแม้โครงหน้าของทั้งสองจะไม่ได้ใกล้กันมาก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ ทว่าด้วยอุปนิสัยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นนิตย์ของฮิปนอสช่างแตกต่างกับสีหน้าบึ้งตึงแทบตลอดเวลาของธานาทอสโดยสิ้นเชิง ขวัญชีวาเลยไม่เคยเฉลียวใจคิดเรื่องนี้สักนิด
“ก็ดูจะอยู่กันคนละขั้ว ใครจะนึกว่าเป็นฝาแฝดกัน”
ฮิปนอสหัวเราะกับคำนิยามที่หลุดออกจากปากวิญญาณสาว จริงอย่างที่เธอพูดเมื่อเขาและธานาทอสแทบจะมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว สำหรับฮิปนอส เขามีนิสัยค่อนข้างเปิดเผย ทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผิดกับธานาทอสซึ่งใบหน้าแทบจะบึ้งตึงตลอดเวลา เทพแห่งความตายมักเก็บกักอารมณ์และความรู้สึกตนเองไว้ภายในหน้ากากนิ่งเฉย บางทีฮิปนอสก็คิดว่าสาเหตุความเย็นชาในหัวใจฝาแฝดอาจมาจากความเดียวดายตลอดหลายพันหมื่นปี เมื่อมารดาของพวกเขาคือนิกซ์...เทพีแห่งราตรี นางมักจะอุ้มเขาซึ่งเป็นเทพแห่งการหลับใหลติดตามไปเสมอเพื่อให้เหล่ามนุษย์เกิดความง่วงยามรัตติกาลมาเยือน โดยทิ้งธานาทอสให้เดียวดายอยู่ในยมโลกเพียงลำพังเสมอ
“มันก็จริงอยู่ที่ข้ากับเขาค่อนข้างแตกต่าง ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังยืนยันว่าเขาค่อนข้างชอบเจ้า โดยปรกติแล้วธานาทอสแทบไม่เคยสนใจไยดีมนุษย์หรือดวงวิญญาณเลย แต่เจ้าคือกรณีพิเศษ เพราะถ้าเขาไม่ชอบ เขาจะพาเจ้าข้ามฝั่งไปส่งถึงบัลลังก์ตุลาการหรือ แถมยังช่วยให้รอดพ้นจากการถูกส่งตัวสู่แดนกักกัน”
คำปลอบโยนของเทพแห่งการหลับใหลช่วยหัวใจดวงน้อยฟูฟ่องขึ้นใหม่
“นั่นสินะ” เธอเริ่มเออออเห็นด้วย ก่อนจะตั้งข้อสังเกต “แต่ทำไมธานาทอสถึงไม่ชอบมนุษย์ล่ะคะ”
“คงเป็นเพราะเขาเป็นเทพแห่งความตายมาแสนนานกระมัง เห็นความชั่วช้าของพวกมนุษย์มากมายนัก ทั้งพวกที่คิดฆ่าได้แม้แต่บิดามารดาตนเอง พวกคิดทรยศหักหลังพี่น้อง สำหรับธานาทอส เขาเคยเปรยไว้มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแสนสกปรก”
ขวัญชีวาอึ้งกับคำเปรียบเปรย
“แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะชั่วร้ายนี่คะ พวกเทพเจ้าเองไม่เคยมีคนชั่วบ้างเลยเหรอ” เธอเถียงอย่างมีอารมณ์ เมื่อพูดออกแล้วก็เริ่มรู้สึกผิด
ทว่าฮิปนอสกลับยิ้มรับในคำวิจารณ์ของหญิงสาว
“มีสิ ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนแต่มีดีชั่วปะปนกันทั้งนั้นแหละ จะมนุษย์ เทพ อสูร หรือแม้แต่พวกปีศาจก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกัน เผ่าพันธุ์หาได้เป็นตัวแบ่งแยกเสียหน่อย ว่าผู้ใดจะดีหรือชั่ว”
ขวัญชีวายิ้มปลื้มกับความคิดของเทพแห่งการหลับใหล แต่ไม่นานเธอก็เริ่มจับได้ถึงอะไรบางอย่างแฝงมาในบทสนทนานั้น
“เดี๋ยวนะคะ คุณบอกมนุษย์ เทพ อสูร แล้วก็ปีศาจหรือคะ โลกนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์กับเทพเหรอ” ขวัญชีวาถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เลย โลกใบนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลากหลายเผ่าพันธุ์นัก อย่างแดนยมโลกเองนอกจากเทพอย่างพวกข้าที่มีหน้าที่คอยดูแลดินแดนโลกันต์ ก็ยังมีเหล่าปีศาจซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแดนทั้งสิบสาม อสูรอีกหลายตนถูกขังอยู่ในคุกทาร์ทารัส และบางตนที่อาศัยอยู่ทั่วไปในเขตแดนยมโลก”
“ฟังดูน่างุนงงจัง แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรใครเป็นอสูร เป็นเทพ หรือเป็นปีศาจ”
ฮิปนอสยิ้มให้กับคำถามของหญิงสาว
“ประสบการณ์จะสอนเจ้าเองกระมัง เพราะบางทีพวกเทพอย่างข้ากับอสูรก็แยกจากกันไม่ค่อยออกหรอก ต่างจากพวกปีศาจ พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุขัย อืม...ก็น่าจะสักราวๆหมื่นปีได้มั้งสำหรับอายุของปีศาจตนหนึ่ง”
คำตอบของเทพแห่งการหลับใหลเรียกรอยตะลึงค้างแก่ผู้ฟังทันใด
“หมื่นปีเชียวเหรอคะ” เธออึ้งกับตัวเลขนั้น “แล้วพวกอสูรกับเทพอย่างคุณล่ะมีอายุขัยยาวนานขนาดไหนกัน”
“ไม่มีหรอก เวลาของพวกข้าล้วนเป็นนิรันดร์”
ขวัญชีวากะพริบตาปริบๆ มองเทพบุตรตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก นิรันดร์มีความหมายกว้างไกลขนาดไหน เธอเองก็จินตนาการไม่ออกเสียด้วยสิ มันคงยาวนานมากเสียจนไม่อาจหามาตราใดวัดได้
สีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิตย์ของเทพแห่งความตายดูบูดบึ้งลงหนักกว่าเดิม สองเท้าที่ก้าวไปตามทางเดินก็ดูจะทิ้งน้ำหนักลงมากกว่าเคย แม้จะเดินผ่านแปลงกุหลาบมาไกล แต่ธานาทอสกลับไม่อาจสลัดภาพวิญญาณสาวออกจากความคิดได้ ภาพร่างโปร่งแสงของขวัญชีวากำลังยืนถือกุหลาบดอกงามอยู่กลางสวน ข้างกายเธอมีเทพแห่งการหลับใหลกำลังหัวเราะหน้าดำหน้าแดงอยู่ เรียกความหงุดหงิดแล่นพล่านเต็มหัวใจ
เขาจะหงุดหงิดเรื่องของนางทำไมกัน นางมีฮิปนอสคอยดูก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ... เทพบุตรหนุ่มพยายามใช้เหตุผลข่มอารมณ์ในหัวใจ ฝีเท้าของเขาจึงผ่อนแรงกระแทกลงขณะกำลังเลี้ยวพ้นมุมหนึ่งของทางเดิน เสียงเล็กๆก็ดังเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง
“เดี๋ยวสิคะธานาทอส รอฉันด้วย”
แม้ไม่ได้หันหลังมอง เทพแห่งความตายก็รู้ดีผู้ใดเรียกชื่อเขา สองเท้าที่ชะลออยู่ในทีแรกหยุดเดิน ตัดสินใจยืนรอเธออยู่กลางโถงทางเดิน เพียงไม่นานเขาก็รับรู้ถึงแรงปะทะจากทางด้านหลัง
“ตายเป็นผีมาเป็นเดือน เจ้ายังลอยตัวไม่เป็นอีกรึ” ธานาทอสดุผีมือใหม่ จัดแจงหิ้วปีกเธอขึ้นมา เมื่อร่างของวิญญาณสาวล้มลงกองกับพื้นหลังจากรีบลอยตามเขาจนเบรกไม่ทัน
“ต้องเป็นสิ ไม่งั้นจะตามคุณทันได้ไง” เธอเถียงคำไม่ตกฟาก เรียกสีหน้าระอาปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย
“แบบนี้เขาเรียกไม่เป็นต่างหาก ถ้าเจ้าลอยตัวเป็น ทำไมมาชนหลังข้า” เสียงดุติง เมื่อเห็นสีหน้าละห้อยบวกกับท่าทีคอตกก็ถอนหายใจ “ข้าจะสอนเจ้าเอง” กล่าวจบมือหนาก็ฉุดเธอลอยขึ้นจากพื้น
ธานาทอสพาเธอลอยออกจากปราสาท สู่ท้องทุ่งกว้างบริเวณด้านข้างซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกหนาตา เพียงไม่นานเขาก็ปล่อยข้อมือบางออก เขยิบกายลอยห่างเธอไปไกลเกือบสิบเมตร
“เดี๋ยวสิ คุณอย่าไปไกลนักสิ ฉันมองไม่เห็น” ขวัญชีวาร้องตะโกนด้วยความหวั่นใจ
“ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้านี่ไง ลอยมาหาสิ อย่าพุ่งชนข้าล่ะ ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าลอยกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องกลับปราสาทแน่” สุ้มเสียงดุๆของเทพแห่งความตายข่มขู่เธอ เรียกแรงฮึดจากผีมือใหม่ทันใด
“ฉันลอยตัวเป็นน่า” เธอบ่นงึมงำอย่างไม่ใคร่ชอบใจนัก
ร่างอรชรโปร่งแสงค่อยๆเขยิบกายผ่านไอหมอกอย่างช้าๆ ด้วยหมายใจอย่างไรเสียเธอก็จะไม่พุ่งชนอีกฝ่ายให้โดนกระแหนะกระแหนอีกรอบแน่ ทว่าเพียงแค่ลอยไปได้ไม่ถึงสามเมตร จู่ๆสายลมแรงหนึ่งก็พัดผ่าน หอบเอาร่างของขวัญชีวาลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้ทิศทาง
“กรี๊ด-ด-ด” หญิงสาวกรีดเสียงร้องลั่น แม้จะไม่มีความรู้สึกใดแล่นผ่านผิวสัมผัส แต่ภาพรอบกายหมุนติ้ว ไม่อาจจับโฟกัสใด ขวัญชีวารู้ตัวว่าเธอกำลังถูกลมพัดลอยไปไกล
หัวใจดวงน้อยชักหวั่นวิตก วิญญาณสาวพยายามจะบังคับร่างกายตนเองให้ต้านลม แต่ก็ทำได้ยากเหลือแสนเมื่อเธอไม่คุ้นเคยเลยกับการมีสภาพไร้กายา
“หนูน้อย เจ้าอยู่ไหน”
ท่ามกลางสายลมแรงดั่งพายุ หูของเธอได้ยินเสียงหนึ่งดังผ่านไอหมอกหนา “ธานาทอส ฉันอยู่นี่ค่ะ” เธอตะโกนเรียกชื่อเทพบุตรหนุ่มเสียงดังแข่งกับเสียงสายลม
ไม่นานภาพท้องฟ้ากลับหัวก็เริ่มเข้าที่ทาง ร่างอรชรโปร่งแสงถูกดึงมาซุกไว้กับอกแกร่ง ขณะธานาทอสพาเธอดิ่งกลับสู่ปราสาท
“เจ้ายังลอยตัวไม่เป็นจริงๆนั่นแหละ” เทพบุตรหนุ่มพึมพำบ่น ขณะล้มเลิกความตั้งใจจะฝึกผีมือใหม่ในวันนี้ลง
“อย่างกับปราสาทผีสิง”
เทพบุตรหนุ่มซึ่งกำลังปล่อยเธอลงยืนหน้าตัวปราสาท หันมาตวัดสายตาคมดุพร้อมคำถาม
“หรือเจ้าอยากกลับไปอยู่แดนกักกันแทน”
ขวัญชีวาส่ายหน้าหวือทันที ตัดสินใจสงบปากสงบคำลง ไม่กล้าวิจารณ์สิ่งใดอีก
แต่หลังจากทั้งคู่เดินผ่านบานทวารหนาหนักเข้าสู่ตัวปราสาทด้านใน วิญญาณสาวก็นึกอยากกลับคำพูดทันที เมื่อบริเวณภายในปราสาทสีดำไม่ได้น่ากลัวอย่างเหมือนอย่างภายนอกเลยสักนิด
“นั่นเจ้าพาผู้ใดมาด้วยรึ ธานาทอส” สุรเสียงดุดันดั่งฟ้าคำรนดังก้องขึ้นกลางโถงทางเดินกว้าง
ขวัญชีวาเห็นเทพบุตรหนุ่มข้างกายเธอหยุดเท้าลงพร้อมกับก้มศีรษะให้แก่ผู้มาใหม่ เธอกะพริบตาปริบๆมองการกระทำของเทพข้างกายอย่างงงๆ กว่าจะรู้ตัวศีรษะของเธอก็ถูกมือหนากดลงจนสองตามองเห็นเพียงแค่พื้นทางเดิน
“วิญญาณหลงทางพระเจ้าค่ะ ตุลาการทั้งสามหาบันทึกของนางไม่พบ ข้าเลยจะมาขอความช่วยเหลือจากเหล่ามอยเร”
เธอได้ยินธานาทอสตอบผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม จนอดไม่ได้ที่จะพยายามเหลือบตาขึ้นมอง แต่มือหนาของเทพแห่งความตายก็ยังกดศีรษะทุยไว้จนไม่สามารถเงยหน้าขึ้น
“เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก็ได้จ้ะ”
คราวนี้เสียงเอ่ยปากอนุญาตไม่ได้ดุดันเหมือนเมื่อครู่ มันเป็นเสียงหวานใสของผู้หญิง ขวัญชีวาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสนใจ จึงพบร่างสูงกำยำในพัสตราภรณ์สีดำสนิท ข้างๆกันคือร่างอรชรของหญิงสาวนางหนึ่ง เธอสวยเสียจนขวัญชีวาได้แต่ยืนตะลึงมอง
“สวยจัง” หญิงสาวหลุดปากพูดอย่างใจคิด จ้องมองสองหนุ่มสาวเบื้องหน้าอย่างอึ้งๆ ด้วยไม่คิดในยมโลกแสนน่าหวาดกลัวจะมีสิ่งสวยงามขนาดนี้ให้ชื่นชม
“ขอบใจจ้า เธอเป็นวิญญาณที่เพิ่งมาใหม่เหรอ ชื่ออะไร” หญิงสาวผู้งดงามเหมือนนางฟ้าถามเธอ
“ขวัญชีวาค่ะ”
“ชื่อเพราะจัง” พริมาส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้กับวิญญาณหญิงสาวตรงหน้า
ขวัญชีวาเองก็ได้แต่มองอีกฝ่ายหนึ่งเพลิน จนกระทั่งเหลือบสายตาเห็นดวงตานิลวาววับและทรงอำนาจอีกคู่กำลังจับจ้องเธออย่างสำรวจ
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอผู้นี้ก็หล่อเหลาไม่ต่างจากธานาทอสเลย แต่ท่าทีสำรวจมองเธอนี่สิ ทำให้เธอชักเริ่มทำตัวไม่ถูก...
“ทำไมพวกตุลาการถึงไม่มีบันทึกของวิญญาณดวงนี้” เทพเฮเดสตรัสถามด้วยความฉงน ขณะกวาดดวงเนตรสำรวจร่างเล็กโปร่งแสงตรงหน้า
“กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันพระเจ้าค่ะ เลยตั้งใจมาขอความช่วยเหลือจากเหล่ามอยเรเพื่อตรวจสอบหาตัวตนของนาง เพราะกระหม่อนเองก็เป็นผู้พานางลงมาจากโลกมนุษย์ตั้งแต่คราแรกที่นางเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในท้องทะเล” เทพแห่งความตายทูลอธิบาย
“เจ้าตายตั้งแต่เมื่อไร” คราวนี้เทพเฮเดสตรัสถามกับขวัญชีวาโดยตรง
ขวัญชีวามีสีหน้าเลิกลั่น เธอหันมองเทพบุตรหนุ่มข้างกายอย่างขอความเห็น
“องค์ราชันทรงถามเจ้า ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“เอ่อ... ก็ฉันจำไม่ได้นี่นาตัวเองตายรึยัง”
“แปลจำเรื่องราวก่อนตายไม่ได้หรือ”
หญิงสาวนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
“คงงั้นมั้งคะ” ขวัญชีวาไม่แน่ใจ
“เจ้าพานางไปพบเหล่ามอยเรเถอะ ถ้าได้ความคืบหน้าใดก็มาบอกข้า ส่วนตัวนางก็ไม่ต้องพาไปแดนกักกันหรอก ให้อยู่ในปราสาทจนกว่าจะสืบหาชะตากรรมของนางพบ”
“พระเจ้าค่ะ” ธานาทอสโค้งศีรษะรับพระบัญชา ก่อนจะพาตัววิญญาณสาวออกตามหาเทวีแห่งโชคชะตาทั้งสาม
พริมาเหลียวมองตามร่างโปร่งแสงของดวงวิญญาณแปลกหน้าจนลับตา แล้วจึงช้อนตามองผู้ประทับอยู่ข้างกาย
“ทำไมเธอถึงจำเรื่องราวก่อนตายไม่ได้คะ”
“ไม่ใช่วิญญาณทุกดวงจะจำทุกเรื่องราวตอนมีชีวิตอยู่ได้หรอก อย่างวิญญาณดวงเมื่อกี้ดูเหมือนนางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำตนเองตายแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
เทพเฮเดสถอนพระทัย หันพักตร์มาแย้มสรวลอ่อนๆให้กับหญิงสาวข้างพระวรกาย
“เพราะบางครั้งการตายก็ทุกข์ทรมานมากเสียจนวิญญาณบางดวงไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นหลงลืมช่วงเวลาตอนตนเองขาดใจตายน่ะสิ”
“น่าสงสารจัง”
“เจ้าจะสงสารวิญญาณทุกดวงที่พบหน้าหรืออย่างไร” เทพเฮเดสตรัสถามผู้เป็นดั่งดวงหทัยด้วยสีพระพักตร์อ่อนโยน หัตถ์ข้างหนึ่งเอื้อมโอบเอวบางพาเดินต่อไปด้วยกัน
“ไม่ใช่ทุกดวงเสียหน่อย ก็แค่เฉพาะวิญญาณบางดวงเท่านั้น” พริมาเถียงเสียงอ่อน แต่ในใจก็ยังอดนึกถึงวิญญาณสาวนามขวัญชีวาไม่ได้ “พวกมอยเรจะช่วยเธอได้ไหมคะ”
“ข้าก็ตอบไม่ได้ เดี๋ยวเรารอฟังข่าวจากธานาทอสแล้วกัน” เทพเฮเดสทรงแบ่งรับแบ่งสู้
“สองท่านนั้นเป็นใครเหรอคะ” ขวัญชีวาถามขึ้นทันทีเมื่อทั้งสองเลี้ยวพ้นโถงทางเดินบริเวณด้านหน้า
เจ้าของร่างสูงผู้กำลังก้าวเท้าตามทางเดินปรายตามองหญิงสาวข้างกายทีหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมองทางเดิน
“เทพเฮเดสและองค์รานี” เขาตอบคำถามเธอด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“เขาน่ะเหรอ ราชาผู้ปกครองยมโลก” หญิงสาวพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ร้อนถึงเทพบุตรข้างกายต้องเอ่ยปากถาม
“ทำไม น้ำเสียงของเจ้าราวกับไม่เชื่อถือ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ เพียงแต่พระองค์ดูหนุ่มกว่าที่ฉันคิด แล้วก็...ทรงหล่อเหลือเกิน” หญิงสาวอ้อมแอ้มบอกความในใจของตนเอง
เสียอยู่นิดเดียวตรงที่ดวงเนตรดุๆคู่นั้นดูจะอ่อนแสงลงยามทอดพระเนตรองค์รานีของพระองค์เท่านั้น... ขวัญชีวาคิดด้วยความเสียดายเล็กๆในใจ
ผิดกับเทพแห่งความตาย หลังฟังคำวิจารณ์ของหญิงสาวก็มีสีหน้าบึ้งตึงชัดเจน
“อย่าอาจหาญเอื้อมของสูงเลย เจ้าเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนไม่มีแม้แต่หัวนอนปลายเท้า อย่าได้คิดเทียบเคียงองค์รานีโดยเด็ดขาด” ธานาทอสเอ่ยปากเตือนเสียงดุ จากนั้นจึงสาวเท้าเร็วๆนำเธอตรงไปยังบานประตูหนึ่ง
ทิ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามองตามแผ่นหลังกำยำอย่างงงๆ
“อาจเอื้อมตรงไหน ยังไม่ได้คิดอะไรไกลเลย ก็แค่ชมหล่อเท่านั้นเอง” ขวัญชีวาเกาศีรษะตนเอง ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายเตือนเท่าไร
จากนั้นเธอจึงเร่งฝีเท้าตามธานาทอส เห็นบานประตูเบื้องหน้ากำลังเปิดออกต้อนรับ ขวัญชีวารีบเขยิบกายเข้าใกล้เทพบุตรหนุ่มทันที เบื้องหลังบานประตูสีดำคือห้องขนาดไม่ใหญ่นัก มีร่างของหญิงชราสามนางนั่งอยู่ นางหนึ่งกำลังนั่งปั่นด้าย โดยมีกองด้ายมากมายรายล้อม ส่วนอีกนางหนึ่งก็กำลังฟั่นด้ายที่คนแรกปั่นให้เป็นเกลียว ใส่ลงในถุงผ้าข้างกาย โดยมีหญิงชรานางสุดท้ายหยิบเส้นเชือกจากถุงผ้าขึ้นมาใช้กรรไกรตัด
ทันทีที่ธานาทอสหยุดฝีเท้าลงตรงหน้านางทั้งสาม ขวัญชีวาก็เห็นพวกนางเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน อีกทั้งยังเหลือบสายตามองเธออย่างสำรวจ
“ข้ามีเรื่องขอให้พวกท่านช่วย”
“เจ้าพาดวงวิญญาณติดตามมาด้วยหรือ” อะโทรพอสวางกรรไกรในมือลง มองเทพบุตรหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีแปลกใจ
“นางไม่มีบันทึกชะตากรรม ตุลาการยมโลกทั้งสามเลยไม่อาจตัดสินชะตาชีวิตได้ ข้าเลยพานางมาพบพวกท่าน เผื่อจะมีผู้ใดบอกตัวตนของนางได้”
“น่าแปลกจริง มนุษย์เช่นนางจะไม่มีชะตากรรมได้อย่างไรกัน” ลาเคซิสกล่าว พลางล้วงมือลงควานหาเชือกชีวิตภายในถุงผ้า ไม่ว่านางจะควานอย่างไร ก็ไม่อาจหยิบเชือกชีวิตของวิญญาณมนุษย์ตรงหน้าขึ้นได้ “หรือท่านพี่ตัดเชือกของนางแล้ว” เทวีองค์รองถามผู้เป็นพี่สาว
“ไม่นี่ ข้าจำได้ยังไม่ได้ตัดเชือกชีวิตนาง ถ้านางตายก็เพราะเชือกมันเปื่อยอยู่ในถุงผ้านั่นแหละ” อะโทรพอสติง
“แต่ข้าหาเชือกของนางไม่เจอ”
“เดี๋ยวก่อนพี่ข้าทั้งสอง ความจริงข้าไม่คุ้นเลยว่าข้าเคยปั่นเชือกของนางขึ้นมา” โคลโธเอ่ยกับผู้เป็นพี่สาวทั้งสอง ก่อนเบนสายตามองร่างโปร่งแสงเบื้องหน้าอีกครั้ง “เจ้าเป็นมนุษย์แน่ใช่ไหม”
แม้เทวีแห่งโชคชะตาจะถามออกไปเช่นนั้น แต่ด้วยรูปลักษณ์ของดวงวิญญาณที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีสิ่งใดผิดแผกจากวิญญาณมนุษย์ที่เคยพบเห็น
ขวัญชีวามองหน้าหญิงชราทั้งสามสลับกับธานาทอสด้วยสีหน้างุนงง
“เอ่อ...ฉันก็คิดว่าฉันเป็นมนุษย์นะคะ” เธอตอบข้อสงสัยของหญิงชราทั้งสามอย่างงงๆ
“หากพวกท่านไม่ได้สร้างนางขึ้น นางจะมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างไร” ธานาทอสถามด้วยความสงสัย
“บางทีอาจมีเชือกหลงหูหลงตาเทวีแก่ๆอย่างพวกข้าไปก็เป็นได้” อะโทรพอสตอบ ก่อนจะกวาดตามองรอบๆห้อง “ข้าคิดว่าถึงเวลาเก็บกวาดห้องให้สะอาดเสียที”
“พวกท่านจะหาเชือกชีวิตของนางพบใช่ไหม” ธานาทอสถาม
“ขอเวลาหน่อย พวกข้าเองก็ไม่ได้ทำความสะอาดห้องนี้มาเกือบสองร้อยปีแล้ว เชือกของนางอาจตกอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องก็เป็นได้”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ท้ายสุดขวัญชีวาก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ภายในปราสาทสีดำระหงรอเหล่ามอยเรทั้งสามทำความสะอาดห้องและตามหาเชือกชีวิตของเธอ ตลอดเดือนที่ผ่านมา ชีวิตภายในปราสาทไม่ได้ย่ำแย่เหมือนอย่างที่เธอหวาดหวั่น ความจริงบุคคลเดียวที่ดูไม่ค่อยรื่นรมย์กับการมาของเธอก็เห็นจะมีแต่ธานาทอสเท่านั้น เทพแห่งความตายยังแสดงสีหน้านิ่งเฉย เอนเอียงไปทางบึ้งตึงในทุกครั้งยามพบหน้า ทำให้เธอได้แต่แอบลอบมองเขาอยู่ห่างๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเธอทำอะไรให้เขาเกลียดขี้หน้าหนักหนา
“เจ้ากำลังเหม่อ” ฮิปนอสซึ่งกำลังรดน้ำแปลงกุหลาบในสวนหันมามองผีที่นั่งตาลอยอยู่ข้างๆ
“เปล่าสักหน่อย”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก โกหกไม่ดีนะรู้ไหม”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะคะ อายุตั้งยี่สิบแล้ว” ผีที่ไม่ค่อยอยากเป็นเด็กเถียงเสียงแข็งทันใด
“อ้าว จำอายุตัวเองได้แล้วหรือ”
ถ้อยคำกระเซ้าของเทพแห่งการหลับใหล ส่งผลให้ใบหน้ากลมเริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา ขวัญชีวามีชีวิตค่อนข้างสงบสุขภายใต้ปราสาทสีดำหลังใหญ่ แต่กระนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหาย เมื่อถูกกระตุ้นด้วยถ้อยคำเย้าแหย่ของเทพแห่งการหลับใหล ความทรงจำครั้งยังมีชีวิตอยู่จึงเริ่มหวนกลับ
‘ขวัญ แต่งตัวเสร็จรึยังจ๊ะ คุณพ่อรอนานแล้วนะ’
‘ค่ะ แม่’ เสียงจากในห้องนอนดังขึ้นพร้อมบานประตูถูกเปิดออก
ร่างอรชรในชุดเดรสสีชมพูหวานกำลังยืนส่งยิ้มให้มารดา
‘สวยจริง จัดเต็มเชียวนะลูกแม่’ กุลยากระเซ้าบุตรสาว
ผลที่ได้คือรอยยิ้มหวานสดใส พร้อมกับเรียวแขนบางทั้งสองข้างเลื่อนมาโอบกอดรอบเอวมารดา
‘ได้ออกไปเที่ยวกับพ่อแม่ทั้งที ก็ต้องจัดเต็มหน่อยสิคะ’ หญิงสาวบอกเสียงใส ก่อนชักชวนมารดาเดินลงจากชั้นสี่ของตัวบ้าน มายังชั้นสองซึ่งถูกกั้นไว้เป็นห้องนั่งเล่น
ร่างท้วมไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไปของชายมีอายุคนหนึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ทันทีที่เบนสายตาจากหน้าจอมาเห็นร่างของสองสาว รอยยิ้มอบอุ่นก็ประดับขึ้นเต็มดวงหน้าซึ่งปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาชัดเจน
‘แต่งตัวกันซะสวยเลยนะสองแม่ลูก ท่าทางวันนี้พ่อจะกระเป๋าแฟบซะแล้ว’
‘แหม คุณพ่อขา ป๋าหน่อยสิคะ วันนี้อุตส่าห์ควงสาวตั้งสองคนนะ’ ขวัญชีวาตรงเข้าคว้าแขนผู้เป็นบิดากอดแน่น
‘จ้ะๆ ถ้าจะหมดตัวก็วันนี้’
คำตอบรับคล้ายปลงๆของไชยภพเรียกเสียงหัวเราะทั้งจากตัวบุตรสาวและผู้เป็นภรรยาดังลั่นห้อง... ทั้งหมดนั้นคือภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นในมโนสำนึกของวิญญาณสาว
“อ้าว จู่ๆเป็นอะไร ทำไมทำหน้าหมองเสียล่ะ” เทพแห่งการหลับใหลสาวเท้าเข้าใกล้ เอ่ยเตือนสติเธอ
“ฉันจำพ่อกับแม่ได้แล้ว” พูดจบ ดวงตาสีน้ำตาลก็คลอด้วยหยาดน้ำใส
มันเกือบจะกลิ้งลงอาบพวงแก้มอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยื่นอะไรบางอย่างให้
“เอ้า อย่าเพิ่งร้อง รับนี่ไปก่อน”
กุหลาบสีแดงสดดอกงามถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว
“คุณให้ฉันเหรอคะ” ขวัญชีวาถาม ความรู้สึกเศร้าถูกแทรกด้วยเรื่องราวฉงน น่าประหลาดใจตรงหน้าแทน
“ตรงนี้มีแค่ข้ากับเจ้า ไม่ให้เจ้าแล้วจะให้ใคร”
“แต่ฉันจับมันไม่ได้นี่นา” เธอครางเสียงละห้อย
นับตั้งแต่ตายเป็นผี หญิงสาวก็ไม่มีสิทธิ์จับต้องสิ่งของใดได้เลย ดวงตาสีน้ำตาลหม่นแสงลงขณะมองกุหลาบตูมดอกใหญ่ด้วยความเสียดาย
“ยังไม่ลองจับดูเลย รู้ได้อย่างไรเจ้าจับมันไม่ได้” ฮิปนอสท้าทายเธอด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เล็กๆ
เธอเลยตัดสินใจยื่นมือออกรับ มันไม่มีความรู้สึกใดยามแตะต้องก้านสีเขียวสดอันเต็มไปด้วยหนามแหลม แต่ทันทีที่ฮิปนอสปล่อยมือ กุหลาบงามดอกนั้นก็ไม่ได้ร่วงหล่นสู่พื้นดิน มันยังติดอยู่ในอุ้งมือเธอ
“คุณทำได้อย่างไรกัน” ขวัญชีวาอุทานด้วยตื่นเต้น
“ข้าเป็นเทพนะแม่หนูน้อย อิทธิฤทธิ์เล็กๆน้อยๆแค่นี้จะยากอะไร” เทพแห่งการหลับใหลบอกเธอด้วยน้ำเสียงโอ้อวดเล็กๆ ..ผู้ฟังยิ้มหวานตอบกลับอย่างยินดี
“ขอบคุณค่ะ”
“ข้าดีใจ..ดอกไม้ทำให้เจ้าหายเศร้า ข้ารู้มันฟังดูยากไปสักหน่อย แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่โลกมนุษย์แล้ว ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องปล่อยวางชีวิตเบื้องบนทิ้งเสีย”
คำเตือนสติของเทพแห่งการหลับใหล ส่งรอยหม่นแสงสู่ดวงตาสีน้ำตาลอีกครั้ง ขวัญชีวาเลยเสประคองกุหลาบในมือขึ้นดมเพื่อหวังจะลืมเรื่องราวทุกข์ใจ อากัปกิริยาก้มหน้าลงจรดปลายจมูกแตะลงบนกลีบกุหลาบ เรียกรอยยิ้มอ่อนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย
“เจ้าได้กลิ่นมันด้วยรึ” ฮิปนอสแกล้งถาม รู้ดีวิญญาณอย่างเธอไม่อาจมีสัมผัสใด
“จะได้กลิ่นได้ยังไง” หญิงสาวตวัดสายตาค้อนใส่ เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งสวน
ผลของเสียงนั้นดังไกลถึงภายในปราสาท เร่งเร้าให้ผู้เพิ่งกลับมาถึงชะโงกหน้ามอง ภาพหญิงสาวถือดอกกุหลาบแดง แสดงสีหน้าตะบึงตะบอนใส่เทพบุตรหนุ่มซึ่งยังไม่หยุดขำ เรียกริ้วรอยของความหงุดหงิดแล่นพล่านทั่วกาย
“อ้าว เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ฮิปนอสซึ่งยังขำไม่หาย เหลือบสายตาเห็นใบหน้าบูดบึ้งของคู่หู
“อืม” ธานาทอสรับคำเพียงสั้นๆ เขาตวัดสายตามองสองหนุ่มสาวเพียงแวบเดียวก็ตัดสินใจหันหลังกลับออกจากสวน โดยไม่คิดเอ่ยปากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับขวัญชีวาเลย
“ไปทำอะไรมา หน้าบูดเชียว” ฮิปนอสพึมพำอย่างไม่เข้าใจ
ผิดกับวิญญาณสาวซึ่งกลับมาหน้าสลดลงอีกครั้ง
“ธานาทอสคงไม่พอใจเพราะฉันมาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”
“ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้น”
“ก็เขาดูไม่ค่อยชอบหน้าฉัน” เธอตอบ..นึกถึงสีหน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิตย์ของเทพแห่งความตาย
“ข้าว่าไม่นะ เขาดูออกจะชอบเจ้า”
“ไม่จริงหรอก เจอหน้ากับทีไรก็เอาแต่ตีหน้าดุตลอด” ขวัญชีวาไม่เชื่อถือ
“ก็เขาขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาไร้หัวใจ บางทีข้าก็คิดตอนพวกข้าถือกำเนิด ท่านแม่อาจมีหัวใจอยู่แค่ดวงเดียวเลยเอามาใส่ไว้ที่ข้า แทนที่จะเป็นธานาทอส”
วิญญาณสาวค่อนข้างสะดุดหูคำพูดของเทพแห่งการหลับใหลไม่น้อย
“คุณพูดอย่างกับคุณทั้งสองเป็นพี่น้องกัน”
“ไม่ใช่แค่พี่น้อง ฝาแฝดต่างหาก” คำตอบของฮิปนอสเรียกแววตะลึงค้างจากดวงตากลมโต “ทำไมข้ากับเขาดูต่างกันมากนักหรือ”
พอถูกถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเข้า ขวัญชีวาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นความเหมือนของเทพบุตรสององค์ เมื่อทั้งฮิปนอสและธานาทอสต่างมีสีผมและนัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนกัน และแม้โครงหน้าของทั้งสองจะไม่ได้ใกล้กันมาก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ ทว่าด้วยอุปนิสัยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นนิตย์ของฮิปนอสช่างแตกต่างกับสีหน้าบึ้งตึงแทบตลอดเวลาของธานาทอสโดยสิ้นเชิง ขวัญชีวาเลยไม่เคยเฉลียวใจคิดเรื่องนี้สักนิด
“ก็ดูจะอยู่กันคนละขั้ว ใครจะนึกว่าเป็นฝาแฝดกัน”
ฮิปนอสหัวเราะกับคำนิยามที่หลุดออกจากปากวิญญาณสาว จริงอย่างที่เธอพูดเมื่อเขาและธานาทอสแทบจะมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว สำหรับฮิปนอส เขามีนิสัยค่อนข้างเปิดเผย ทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผิดกับธานาทอสซึ่งใบหน้าแทบจะบึ้งตึงตลอดเวลา เทพแห่งความตายมักเก็บกักอารมณ์และความรู้สึกตนเองไว้ภายในหน้ากากนิ่งเฉย บางทีฮิปนอสก็คิดว่าสาเหตุความเย็นชาในหัวใจฝาแฝดอาจมาจากความเดียวดายตลอดหลายพันหมื่นปี เมื่อมารดาของพวกเขาคือนิกซ์...เทพีแห่งราตรี นางมักจะอุ้มเขาซึ่งเป็นเทพแห่งการหลับใหลติดตามไปเสมอเพื่อให้เหล่ามนุษย์เกิดความง่วงยามรัตติกาลมาเยือน โดยทิ้งธานาทอสให้เดียวดายอยู่ในยมโลกเพียงลำพังเสมอ
“มันก็จริงอยู่ที่ข้ากับเขาค่อนข้างแตกต่าง ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังยืนยันว่าเขาค่อนข้างชอบเจ้า โดยปรกติแล้วธานาทอสแทบไม่เคยสนใจไยดีมนุษย์หรือดวงวิญญาณเลย แต่เจ้าคือกรณีพิเศษ เพราะถ้าเขาไม่ชอบ เขาจะพาเจ้าข้ามฝั่งไปส่งถึงบัลลังก์ตุลาการหรือ แถมยังช่วยให้รอดพ้นจากการถูกส่งตัวสู่แดนกักกัน”
คำปลอบโยนของเทพแห่งการหลับใหลช่วยหัวใจดวงน้อยฟูฟ่องขึ้นใหม่
“นั่นสินะ” เธอเริ่มเออออเห็นด้วย ก่อนจะตั้งข้อสังเกต “แต่ทำไมธานาทอสถึงไม่ชอบมนุษย์ล่ะคะ”
“คงเป็นเพราะเขาเป็นเทพแห่งความตายมาแสนนานกระมัง เห็นความชั่วช้าของพวกมนุษย์มากมายนัก ทั้งพวกที่คิดฆ่าได้แม้แต่บิดามารดาตนเอง พวกคิดทรยศหักหลังพี่น้อง สำหรับธานาทอส เขาเคยเปรยไว้มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแสนสกปรก”
ขวัญชีวาอึ้งกับคำเปรียบเปรย
“แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะชั่วร้ายนี่คะ พวกเทพเจ้าเองไม่เคยมีคนชั่วบ้างเลยเหรอ” เธอเถียงอย่างมีอารมณ์ เมื่อพูดออกแล้วก็เริ่มรู้สึกผิด
ทว่าฮิปนอสกลับยิ้มรับในคำวิจารณ์ของหญิงสาว
“มีสิ ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนแต่มีดีชั่วปะปนกันทั้งนั้นแหละ จะมนุษย์ เทพ อสูร หรือแม้แต่พวกปีศาจก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกัน เผ่าพันธุ์หาได้เป็นตัวแบ่งแยกเสียหน่อย ว่าผู้ใดจะดีหรือชั่ว”
ขวัญชีวายิ้มปลื้มกับความคิดของเทพแห่งการหลับใหล แต่ไม่นานเธอก็เริ่มจับได้ถึงอะไรบางอย่างแฝงมาในบทสนทนานั้น
“เดี๋ยวนะคะ คุณบอกมนุษย์ เทพ อสูร แล้วก็ปีศาจหรือคะ โลกนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์กับเทพเหรอ” ขวัญชีวาถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เลย โลกใบนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลากหลายเผ่าพันธุ์นัก อย่างแดนยมโลกเองนอกจากเทพอย่างพวกข้าที่มีหน้าที่คอยดูแลดินแดนโลกันต์ ก็ยังมีเหล่าปีศาจซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแดนทั้งสิบสาม อสูรอีกหลายตนถูกขังอยู่ในคุกทาร์ทารัส และบางตนที่อาศัยอยู่ทั่วไปในเขตแดนยมโลก”
“ฟังดูน่างุนงงจัง แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรใครเป็นอสูร เป็นเทพ หรือเป็นปีศาจ”
ฮิปนอสยิ้มให้กับคำถามของหญิงสาว
“ประสบการณ์จะสอนเจ้าเองกระมัง เพราะบางทีพวกเทพอย่างข้ากับอสูรก็แยกจากกันไม่ค่อยออกหรอก ต่างจากพวกปีศาจ พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุขัย อืม...ก็น่าจะสักราวๆหมื่นปีได้มั้งสำหรับอายุของปีศาจตนหนึ่ง”
คำตอบของเทพแห่งการหลับใหลเรียกรอยตะลึงค้างแก่ผู้ฟังทันใด
“หมื่นปีเชียวเหรอคะ” เธออึ้งกับตัวเลขนั้น “แล้วพวกอสูรกับเทพอย่างคุณล่ะมีอายุขัยยาวนานขนาดไหนกัน”
“ไม่มีหรอก เวลาของพวกข้าล้วนเป็นนิรันดร์”
ขวัญชีวากะพริบตาปริบๆ มองเทพบุตรตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก นิรันดร์มีความหมายกว้างไกลขนาดไหน เธอเองก็จินตนาการไม่ออกเสียด้วยสิ มันคงยาวนานมากเสียจนไม่อาจหามาตราใดวัดได้
สีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิตย์ของเทพแห่งความตายดูบูดบึ้งลงหนักกว่าเดิม สองเท้าที่ก้าวไปตามทางเดินก็ดูจะทิ้งน้ำหนักลงมากกว่าเคย แม้จะเดินผ่านแปลงกุหลาบมาไกล แต่ธานาทอสกลับไม่อาจสลัดภาพวิญญาณสาวออกจากความคิดได้ ภาพร่างโปร่งแสงของขวัญชีวากำลังยืนถือกุหลาบดอกงามอยู่กลางสวน ข้างกายเธอมีเทพแห่งการหลับใหลกำลังหัวเราะหน้าดำหน้าแดงอยู่ เรียกความหงุดหงิดแล่นพล่านเต็มหัวใจ
เขาจะหงุดหงิดเรื่องของนางทำไมกัน นางมีฮิปนอสคอยดูก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ... เทพบุตรหนุ่มพยายามใช้เหตุผลข่มอารมณ์ในหัวใจ ฝีเท้าของเขาจึงผ่อนแรงกระแทกลงขณะกำลังเลี้ยวพ้นมุมหนึ่งของทางเดิน เสียงเล็กๆก็ดังเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง
“เดี๋ยวสิคะธานาทอส รอฉันด้วย”
แม้ไม่ได้หันหลังมอง เทพแห่งความตายก็รู้ดีผู้ใดเรียกชื่อเขา สองเท้าที่ชะลออยู่ในทีแรกหยุดเดิน ตัดสินใจยืนรอเธออยู่กลางโถงทางเดิน เพียงไม่นานเขาก็รับรู้ถึงแรงปะทะจากทางด้านหลัง
“ตายเป็นผีมาเป็นเดือน เจ้ายังลอยตัวไม่เป็นอีกรึ” ธานาทอสดุผีมือใหม่ จัดแจงหิ้วปีกเธอขึ้นมา เมื่อร่างของวิญญาณสาวล้มลงกองกับพื้นหลังจากรีบลอยตามเขาจนเบรกไม่ทัน
“ต้องเป็นสิ ไม่งั้นจะตามคุณทันได้ไง” เธอเถียงคำไม่ตกฟาก เรียกสีหน้าระอาปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย
“แบบนี้เขาเรียกไม่เป็นต่างหาก ถ้าเจ้าลอยตัวเป็น ทำไมมาชนหลังข้า” เสียงดุติง เมื่อเห็นสีหน้าละห้อยบวกกับท่าทีคอตกก็ถอนหายใจ “ข้าจะสอนเจ้าเอง” กล่าวจบมือหนาก็ฉุดเธอลอยขึ้นจากพื้น
ธานาทอสพาเธอลอยออกจากปราสาท สู่ท้องทุ่งกว้างบริเวณด้านข้างซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกหนาตา เพียงไม่นานเขาก็ปล่อยข้อมือบางออก เขยิบกายลอยห่างเธอไปไกลเกือบสิบเมตร
“เดี๋ยวสิ คุณอย่าไปไกลนักสิ ฉันมองไม่เห็น” ขวัญชีวาร้องตะโกนด้วยความหวั่นใจ
“ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้านี่ไง ลอยมาหาสิ อย่าพุ่งชนข้าล่ะ ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าลอยกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องกลับปราสาทแน่” สุ้มเสียงดุๆของเทพแห่งความตายข่มขู่เธอ เรียกแรงฮึดจากผีมือใหม่ทันใด
“ฉันลอยตัวเป็นน่า” เธอบ่นงึมงำอย่างไม่ใคร่ชอบใจนัก
ร่างอรชรโปร่งแสงค่อยๆเขยิบกายผ่านไอหมอกอย่างช้าๆ ด้วยหมายใจอย่างไรเสียเธอก็จะไม่พุ่งชนอีกฝ่ายให้โดนกระแหนะกระแหนอีกรอบแน่ ทว่าเพียงแค่ลอยไปได้ไม่ถึงสามเมตร จู่ๆสายลมแรงหนึ่งก็พัดผ่าน หอบเอาร่างของขวัญชีวาลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้ทิศทาง
“กรี๊ด-ด-ด” หญิงสาวกรีดเสียงร้องลั่น แม้จะไม่มีความรู้สึกใดแล่นผ่านผิวสัมผัส แต่ภาพรอบกายหมุนติ้ว ไม่อาจจับโฟกัสใด ขวัญชีวารู้ตัวว่าเธอกำลังถูกลมพัดลอยไปไกล
หัวใจดวงน้อยชักหวั่นวิตก วิญญาณสาวพยายามจะบังคับร่างกายตนเองให้ต้านลม แต่ก็ทำได้ยากเหลือแสนเมื่อเธอไม่คุ้นเคยเลยกับการมีสภาพไร้กายา
“หนูน้อย เจ้าอยู่ไหน”
ท่ามกลางสายลมแรงดั่งพายุ หูของเธอได้ยินเสียงหนึ่งดังผ่านไอหมอกหนา “ธานาทอส ฉันอยู่นี่ค่ะ” เธอตะโกนเรียกชื่อเทพบุตรหนุ่มเสียงดังแข่งกับเสียงสายลม
ไม่นานภาพท้องฟ้ากลับหัวก็เริ่มเข้าที่ทาง ร่างอรชรโปร่งแสงถูกดึงมาซุกไว้กับอกแกร่ง ขณะธานาทอสพาเธอดิ่งกลับสู่ปราสาท
“เจ้ายังลอยตัวไม่เป็นจริงๆนั่นแหละ” เทพบุตรหนุ่มพึมพำบ่น ขณะล้มเลิกความตั้งใจจะฝึกผีมือใหม่ในวันนี้ลง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2556, 11:28:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2556, 11:28:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 2782
<< บทที่2/1 ตัวปัญหา | บทที่ 3/1 หัวใจสีเทา >> |

ริญจน์ธร 7 มิ.ย. 2556, 11:36:28 น.
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ wind ธานาทอสเขาขี้เก๊กค่า แต่จริงๆก็ใจดีกับหนูขวัญอยู่แหละ แค่ท่าเยอะไปหน่อย^^
คุณ คิมหันตุ์ 555 ใช่ค่า แต่ตอนนี้พระเอกของเราอาจยังไม่รู้สึก เอาไว้รู้สึกเมื่อไร อาจจะโดนฮิปนอสซ้ำได้
คุณ nako ท่าเยอะค่ะพระเอกคนนี้ ถึงห่วงก็ไม่พูดหรอก
คุณ goldensun เรื่องของหนูขวัญกับฟีเลียจะค่อยๆไล่เฉลยไปเรื่อยๆนะคะ ส่วนธานาทอสนี่คงปากแข็งได้ไม่นานหรอกค่ะ แต่ตอนนี้ยังท่ามากอยู่^^
คุณ หมูอ้วน เรื่องนี้นางเอกออกแนวสาวน้อยค่ะ น่าจะเหมาะกับเทพแก่ๆอย่างธานาทอส
คุณ Zephyr ถ้านับกันจริง สงสัยเกินปู่ของปู่เลยอ่ะ (แก่จังพระเอกของเรา)
ตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยเต็มใจค่ะ แต่อีกไม่ช้าคงอยากทั้งแบกทั้งกอดไว้แน่นอน
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ wind ธานาทอสเขาขี้เก๊กค่า แต่จริงๆก็ใจดีกับหนูขวัญอยู่แหละ แค่ท่าเยอะไปหน่อย^^
คุณ คิมหันตุ์ 555 ใช่ค่า แต่ตอนนี้พระเอกของเราอาจยังไม่รู้สึก เอาไว้รู้สึกเมื่อไร อาจจะโดนฮิปนอสซ้ำได้

คุณ nako ท่าเยอะค่ะพระเอกคนนี้ ถึงห่วงก็ไม่พูดหรอก

คุณ goldensun เรื่องของหนูขวัญกับฟีเลียจะค่อยๆไล่เฉลยไปเรื่อยๆนะคะ ส่วนธานาทอสนี่คงปากแข็งได้ไม่นานหรอกค่ะ แต่ตอนนี้ยังท่ามากอยู่^^
คุณ หมูอ้วน เรื่องนี้นางเอกออกแนวสาวน้อยค่ะ น่าจะเหมาะกับเทพแก่ๆอย่างธานาทอส
คุณ Zephyr ถ้านับกันจริง สงสัยเกินปู่ของปู่เลยอ่ะ (แก่จังพระเอกของเรา)
ตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยเต็มใจค่ะ แต่อีกไม่ช้าคงอยากทั้งแบกทั้งกอดไว้แน่นอน


คิมหันตุ์ 7 มิ.ย. 2556, 14:41:07 น.
คำเรียกแทนตัวว่า หนูน้อย....แอร๊...อยากให้ ขวัญ เรียกกลับว่าอย่างอืนบ้างนอกจากธานาทอสน่ะ อิอิ ตาลุงธานาทอส ฯลฯ
คำเรียกแทนตัวว่า หนูน้อย....แอร๊...อยากให้ ขวัญ เรียกกลับว่าอย่างอืนบ้างนอกจากธานาทอสน่ะ อิอิ ตาลุงธานาทอส ฯลฯ

หมูอ้วน 7 มิ.ย. 2556, 15:31:08 น.
ฮิ... เริ่มออกอาการหึงแย้ววว
ฮิ... เริ่มออกอาการหึงแย้ววว

goldensun 7 มิ.ย. 2556, 15:34:34 น.
เรื่องของขวัญท่าจะลึกลับ ไม่มีประวัติ ไม่มีด้ายชีวิต แต่ขวัญก็มีความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่
ธานาทอสแอบหวงขวัญ ยังไม่รู้ตัวอีก
ว่าแต่ ทำไมขวัญเสียดายเล็กๆ ที่ตาดุๆของเฮเดสอ่อนแสงตอนมองพริมาล่ะคะ หรือทำให้หล่อน้อยลง
เรื่องของขวัญท่าจะลึกลับ ไม่มีประวัติ ไม่มีด้ายชีวิต แต่ขวัญก็มีความทรงจำตอนมีชีวิตอยู่
ธานาทอสแอบหวงขวัญ ยังไม่รู้ตัวอีก
ว่าแต่ ทำไมขวัญเสียดายเล็กๆ ที่ตาดุๆของเฮเดสอ่อนแสงตอนมองพริมาล่ะคะ หรือทำให้หล่อน้อยลง

konhin 7 มิ.ย. 2556, 19:52:02 น.
นางเอกต๊องดีค่ะ ขำ
นางเอกต๊องดีค่ะ ขำ

lovemuay 7 มิ.ย. 2556, 20:22:15 น.
เห็นมะ เห็นม้าา นางเอกต้องเป็นลูกสาวที่นางปีศาจตามหาอยู่แน่เบย
เห็นมะ เห็นม้าา นางเอกต้องเป็นลูกสาวที่นางปีศาจตามหาอยู่แน่เบย

Zephyr 7 มิ.ย. 2556, 20:58:09 น.
อั้ยย่ะ สอนฝึกลอย ฮ่าๆๆๆ ทำยังกะสอนขับรถ
จบคอร์สแล้วออกใบลอยตัวให้ด้วยนะ ปู่ทอส
ตานอสก้อ แหย่หลาน แต่ทำแฝดหึง เดี๋ยวเถอะ!!!
หนูน้อย ปู่ทอส ตานอส ฮี่ๆๆๆๆ
อั้ยย่ะ สอนฝึกลอย ฮ่าๆๆๆ ทำยังกะสอนขับรถ
จบคอร์สแล้วออกใบลอยตัวให้ด้วยนะ ปู่ทอส
ตานอสก้อ แหย่หลาน แต่ทำแฝดหึง เดี๋ยวเถอะ!!!
หนูน้อย ปู่ทอส ตานอส ฮี่ๆๆๆๆ