Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ฝันร้ายกับไม่เป็นไร
ประตูหน้าห้องมีป้ายชื่อติดไว้แน่นหนา “นพ.สุรพิชัย เตชาสุนทร” พีรพงษ์นั่งอ่านจากเก้าอี้ที่นั่งรอซึ่งอยู่ตรงข้ามประตู อ่านชื่อจบก็ก้มลงดูนาฬิกาบนข้อมือ มันเกือบๆ จะได้เวลานัดแล้ว
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงคุยกันของสองคน เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำตามรายการที่ผมจดให้ตามนี้นะครับ แล้วอีกสองสัปดาห์มาเจอกันใหม่” คนผู้ชายบอก ส่วนหญิงสูงวัยดูมีฐานะชาติตระกูลนั่นคงเป็นคนไข้ของเขา พีรพงษ์รอจนทั้งสองร่ำลากันเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“คุณหมอสุรพิชัยนะครับ ผม...เอ่อ...ที่คุณหมอนมนต์นัดไว้น่ะครับ” พีรพงษ์รู้สึกเกร็งๆ
“อ๋อ... ครับๆ กำลังรออยู่พอดีเลย” อีกฝ่ายร้อง
“เอ้า...เข้ามาสิคุณไนท์” คุณหมอเอ่ยพร้อมเปิดประตูให้
ชายในเลื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าเดินนำเขาไปยังเก้าอี้รับแขก บรรยากาศห้องนี้แปลกๆ ชายหนุ่มคิด ทันทีที่ประตูห้องปิด เขารู้สึกเลยว่ารู้สึกเหมือนห้องนี้ตัดขาดจากโลกข้างนอกโดยสิ้นเชิง เหมือนไม่มีเวลาด้วย
“นั่งสิคุณ” คุณหมอเอ่ย โดยชายหนุ่มนั่งลงตามที่บอก
เขาไม่รู้ว่าจะทุกอย่างของการพูดคุยจะเริ่มต้นที่ตรงไหน เลยนั่งนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ รอว่าอีกฝ่ายจะเริ่มต้นอย่างไร
“นอนหงายในท่าที่สบายครับ แล้วค่อยๆ หลับตา เดี๋ยวหมอจะถามอะไรสักหน่อย ตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้ามไปนะ”
พีรพงษ์หลับตาลงตามคำบอก ใจเขาเต้นแผ่วเบาจนรู้สึกประหลาดใจ
...................
“เป็นความฝันที่เจ็บปวดเสมอ...”
ผมมักฝันซ้ำๆ ถึงสะพานกรุงเทพคืนนั้น ในฝันผมเดินข้ามสะพานจากฝั่งถนนตกข้ามไปยังฝั่งบุคคโล ข้ามไปสุดถนนแล้วผมก็เดินย้อนกลับมาฝั่งพระนครอีกรอบแต่ด้วยทางเดินคนละฝั่งถนน คนตกปลากลางคืนสิบกว่าคนเหวี่ยงเบ็ดแข่งกันจากราวสะพานลงไปยังผืนน้ำเจ้าพระยาเบื้องล่าง สายน้ำไหลลงใต้มุ่งหน้าสู่ทะเล สีน้ำดำมืดแต่ก็เต็มไปด้วยแสงพริบพราวของผิวน้ำที่อาบแสงไฟสลัวลางจากบนสะพาน ลูกคลื่นสั่นก่อริ้วระลอกไหวต้องแสงไฟเหมือนดวงดาวส่องแสง แต่มันเลือนลางเหมือนบังไว้ด้วยสายหมอก ยามมองลงไปเบื้องล่างยังผืนน้ำ มันน่าหวาดหวั่นใจ
ในคืนนั้นปลาตัวโตๆ ถูกกว้านสายลากขึ้นมาจากน้ำตัวแล้วตัวเล่า มันนอนหายใจพะงาบอยู่บนพื้นทางเดินบนสะพาน คอนกรีตเย็นเยียบ ผมสังเกตเห็นว่าตัวเองเดินเท้าเปล่า ฝ่าเท้าเย็นซีดเซียวจนรู้สึกชาแปลบ มองไปยังแววตาของปลาพวกนั้น ดูราวกับมันกำลังอ้อนวอนขอความสงสาร ร้องขอชีวิต? หรืออาจจะร้องขอความตาย? ผมรู้สึกหายใจไม่ออก อึดอัดและพะอึดพะอม รู้สึกเหมือนสายตาเหล่านั้นกำลังกล่าวโทษผม
“ใจร้าย” -- เหมือนพวกมันจะพูดแบบนั้น ใจร้าย -- จากปลาหนึ่งตัว ใจร้าย -- จากปลาสองตัว สามตัว สี่ตัว ห้าตัว -- ใจร้ายๆๆๆๆๆ เหมือนปลาทุกตัวพร้อมใจกันส่งเสียง
“พี่ไนท์ใจร้าย" เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงพวกนั้น
เสียงต่อว่าต่อขานของ “เกม” เหมือนลอยลมแว่วมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปดูก็มีเพียงความว่างเปล่า แล้วเสียงนี้ก็เริ่มแว่วดังมาจากทุกทิศทุกทาง ฝูงปลา ผู้คน แสงไฟ ถนน สะพาน ทุกสิ่งเริ่มจางหาย โลกค่อยๆ กลายเป็นสีมืดดำ แต่ผมเองยังอยู่ในความมืดนั้น คำว่าใจร้ายๆ ก้องในโสตรับฟัง มันทำให้ผมสั่นเทิ้มไปถึงสมอง ร่ายกายแขนขาสั่นระริก กล้ามเนื้อตึงรัด หัวใจเต้นตุบๆ รุนแรงและร้อนลน
“พี่ไนท์ใจร้าย"
......................
พีรพงษ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน เนื้อตัวรู้สึกเปียกชื้นและอึดอัดร้อน เหงื่อผุดเม็ดเต็มแผ่นหลังและต้นคอ หัวใจยังคงเต้นรัวประหนึ่งจะทะลุพ้นออกมาจากโพรงอก สองมือเปียกรื้นยกขึ้นปิดหน้า ถ้อยคำในฝันยังดังก้องอยู่ข้างใน ภาพของคนพูดประโยคนั้นผุดขึ้นมาในใจ วูบเดียวเท่านั้นเอง ภาพเธอกำลังมองเขาด้วยแววตาน้อยใจอย่างที่สุดนั่น ทำให้ต่อมน้ำตาทำงานโดยอัตโนมัติ น้ำตาไหลลงมาอาบฝ่ามือ แม้จะปาดทิ้งไปครู่เดียวมันก็ไหลลงมาอีก และแม้จะปาดทิ้งอีก มันก็ไหลลงมาใหม่
เขาควานหาผ้าเช็ดตัวที่คล้ายจำได้ว่าโยนทิ้งไว้ข้างเตียง มือสะเปะสะปะไปในความมืดจนเจอสิ่งที่ต้องการ ชายหนุ่มซุกหน้าตัวเองเข้ากับผ้าชื้นผืนนั้น ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมจนกว่าจะหยุดโดยตัวมันเอง
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอก...มันจะต้องผ่านไป"
พรายน้ำบนนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าเท่านั้น เขาเพิ่งหลับไปได้สามชั่วโมง เป็นการหลับโดยสัญชาตญาณป้องกันตัวเองของร่างกาย สมองคงสั่งปิดสวิตซ์หลังจากที่เขาไม่สามารถหลับลงได้เลยมาหลายวันติดต่อกัน
เขาสูดหายใจลึกมากๆ คว้าขวดน้ำบนโต๊ะหัวเตียงมาเปิด น่าจะมีน้ำเหลืออยู่ซักครึ่งหนึ่ง เขายกมันกรอกปากรวดเดียวหมด ความกระหายยังไม่จางไป เขาต้องผุดลุกจากเตียง เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำขวดใหม่ พื้นกระเบื้องยางเย็นยะเยือกผิวสัมผัสทะลุถุงเท้าทำงานเนื้อบางมาถึงฝ่าเท้า ความเหนื่อยหนักทำให้เขาหลับไปทั้งชุดทำงาน
ตอนนี้ในตู้เย็นมันมีแต่ขวดน้ำว่างเปล่า แน่ทีเดียวล่ะ ในเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขาซื้ออะไรเข้าตู้มันตั้งเกือบสัปดาห์มาแล้ว เมื่อไม่มีอะไรให้ดื่มก็เลยกลับมาทิ้งตัวคว่ำหน้าบนที่นอน ห้านาที สิบนาที สิบห้านาทีหรือนานกว่านั้น เสียงดนตรีจากผับใกล้อพาร์ทเม้นต์ดังแว่วมา มันแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเขาไม่ได้ยินอะไรอีก ในที่สุดเขาก็หลับไปอีกครั้ง
ท่าทางว่าเขาคงจะนอนหลับในท่าเดียวกับที่จำได้เมื่อคืน และลืมตาตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น เหมือนเครื่องจักรถูกเปิดสวิตซ์ เขาคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ถอดชุดทำงานเมื่อวานออก ทิ้งลงตะกร้าผ้า เปิดฝักบัวให้น้ำไหลเป็นสายฝนรดตัวเองตั้งแต่หัวลงไปจนชุ่มโชกตัว หรือบางทีถ้ารดล้างลึกลงไปในใจได้--เขาก็คงจะทำ
หกโมงครึ่ง พีรพงษ์ก็พร้อมออกจากห้อง มีเวลาให้ได้หาข้าวเช้าทานก่อนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน เช้าสำหรับเขาแต่กับอีกหลายๆ คนมันกำลังสาย
เขาไม่รีบเร่งอะไรกับมื้อเช้ามากนัก ทั้งที่เมื่อคืนออกจะหิวมากพอดู มีกับข้าวให้เลือกสิบกว่าอย่างในถาด เขาชอบพวกกับข้าวที่มีน้ำแกง แต่ “เกม” ชอบพวกกับข้าวที่แห้งๆ ใช่... เขายังจำเรื่องเล็กเรื่องน้อยของเธอได้ แต่มันไม่ควรจำได้เลย
เลือกอาหารได้แล้วชายหนุ่มก็นั่งลง ยังไม่ทันจะลงมือทาน โทรศัพท์ก็ดัง
“ครับพี่หนึ่ง” เขารับโทรศัพท์ของหัวหน้าที่มักจะดังแบบนี้ทุกเช้าจนเคยชิน
“ฮัลโหลไนท์... เอกสารที่เตรียมประชุมไนท์เสร็จหรือยัง? เดี๋ยวให้ยัยแอนซีร็อกซ์มาสิบชุดนะ”
“ยังไม่เรียบร้อยดีครับพี่ ผมกำลังจะเข้าไปจัดการให้เสร็จเช้านี้แหละ”
“เออ... ไม่เป็น ทำให้เรียบร้อย แล้วก็ให้แอนซีร็อกซ์ไว้สิบชุด แล้วก็หยิบตัวอย่างสินค้าในห้องสโตร์มาเตรียมให้พี่ด้วย สามชุดนะ”
“วันนี้พี่หนึ่งเข้าออฟฟิศไหมพี่?” เขาถาม
“ไม่ล่ะ นัดคุยยี่ปั๊วสายตะวันออกที่โรงงานที่แปดริ้วว่ะ ยังไงฝากจัดการเอกสารให้พี่ด้วยแล้วกัน”
“ครับ” เขารับคำ
หลังจากยืนโหนราวจับของรถไฟฟ้ามาหกสถานี ท่ามกลางคนเต็มทุกพื้นที่ บางครั้งเขาก็รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่สะดวก พอรถจอด ประตูอัตโนมัติเปิด เขาก็แทบจะพุ่งตัวเองไหลตามผู้คนออกจากตัวรถเหมือนกับอยู่ในลำน้ำ คนที่นี่ต่างเร่งรีบไป ชายหนุ่มไหลไปกับกระแสคลื่นมนุษย์เงินเดือน ไหลลงบันไดชานชลา ไหลผ่านช่องตรวจตั๋ว ไหลลงบันไดสถานีไปถึงพื้นถนนข้างล่าง ถึงตรงนี้กระแสคลื่นที่พัดโถมพามาก็แตกซ่านกระเซ็นไป แล้วแต่ทิศทางใคร ตึกใครตึกมัน ออฟฟิศใครออฟฟิศมัน
พีรพงษ์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าบันได ถอนหายใจโล่งเหมือนเพิ่งเจออากาศ แหงนหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า มันสว่างสดใสเหลือเกิน มีทางเมฆสีขาวเป็นสายยาวจากไอพ่นเครื่องบินผาดผ่านตรงช่องว่างระหว่างตัวตึกคนละฝั่งปากซอย
“มันจะลอยไปถึงไหนของมันนะ?” เขากำลังคิด
“เฮ้ยไนท์! ทำอะไรอยู่วะ"
คิดยังไม่ทันจะจบ เสียงทักใกล้ๆ พร้อมสัมผัสมือที่แตะลงบนแผ่นหลังในลักษณะถูกส่งแรงไปข้างหน้า เขาถูกผลักจากภวังค์ คนที่ทักคือชิน ชินเป็นเพื่อนพนักงานร่วมบริษัท ที่ถึงจะอยู่กันคนละแผนกและคนละชั้นตึก แต่ความที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ในวันเดียวกันและลำดับต่อกัน ทำให้เขาเปรียบเหมือนเพื่อนคนแรกของพีรพงษ์ที่นี่
“เหม่ออะไรของมึงวะ ไปๆ เดี๋ยวก็ตอกบัตรเข้างานสายหรอก"
เขาเซไปข้างหน้าตามแรงผลักเบาๆ ครึ่งก้าว ก่อนก้าวเท้าต่อเพื่อขึ้นบันได ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดปิดเองตอนที่เดินผ่านเข้าสู่ตัวตึก เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยส่งยิ้มให้ ท่าทางวันนี้เขาดูมีความสุข สงสัยเมื่อวานคงได้เจออะไรดีๆ มาล่ะมั้ง
น่าอิจฉา--เขาคิดในใจ
ชินมันทักทายกับคนนั้นคนนี้ไปตลอดทางโดยเฉพาะสาวๆ ปากขยับพูดเรื่องอะไรสักอย่างคล้ายๆ จะเป็นเรื่องสาวๆ บริษัทนำเข้าเครื่องสำอางที่อยู่ชั้นถัดจากพวกเราขึ้นไปกับเรื่องลิฟท์อะไรนี่แหละ หูของชายหนุ่มไม่ยอมรับข้อมูลให้มากพอเอามาประมวลสรุปให้เป็นเรื่อง
“อิจฉาว่ะ” มันพูด
“อิจฉาอะไรว่ะ?” เขาไม่ทันตั้งสติ ได้ยินแค่คำว่าอิจฉาก็เลยไม่เข้าใจ
“ก็อิจฉาหัวหน้ากูไง เงินเดือนก็มาก โบนัสก็เยอะ นี่ยังได้ตั๋วเครื่องบินฟรีให้พาอีหนูไปฟาดที่สิงคโปร์ตั้งสองวันกับอีกคืนนึง” มันพูดเสียงขุ่นๆ
ชินหยุดพูดตอนที่เราหยุดยืนรอลิฟท์ร่วมกับคนอื่นอีกจำนวนหนึ่ง วงจรชีวิตของเราและพวกเขาหรือเธอในฐานะพนักงานบริษัทเป็นเหมือนดังชีวิตประจำวัน ตื่นแต่เช้า เร่งรีบมาทำงาน จัดการกับงานที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง สร้างผลงานหรือไม่ก็พยายามสร้างความสำเร็จ วันหนึ่งแปดชั่วโมงบ้าง สิบชั่วโมงบ้าง ตกเย็นๆ ก็เลิกงานกลับไปพักผ่อน เก็บเรี่ยวแรงไว้มาเผชิญวันใหม่
มีความฝันใฝ่และฝันเฟื่อง บางคนพยายามไขว่คว้าและบางคนได้ละความฝัน
วูบหนึ่งชายหนุ่มคิดถึงเครื่องบินลำเมื่อครู่ มันจะไปที่นั่นหรือเปล่า--ภูเขาสีแดงเหมือนก้อนอิฐดินเผา วาบแสงพระอาทิตย์ตกที่เบื้องหลัง กลางคืนภายใต้แสงดวงดาว เขาคงนอนอยู่บนพื้นฝุ่นทรายจ้องมอง วูบหนึ่งเขาแวบคิดถึงเวลากลางคืนคืนนี้ที่จะต้องเจอ อีกวูบต่อมาเขาคิดถึงความฝันที่ฝันซ้ำๆ
ความทรงจำส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากสมองลงไปที่หัวใจ มือเขาชาและสั่น อาการมวนท้องเกิดขึ้นเบาๆ ที่ท้องส่วนล่างสุด
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอกน่า... สักวันมันจะต้องดีขึ้น สักวันมันจะต้องผ่านไป"
เขาปลอบตัวเองเช่นนี้ และก็เป็นการปลอบใจตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอในตอนมีชีวิตต่อจากฝันร้าย เมื่อสูดลมหายใจเต็มๆ ปอดอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าตามเพื่อนชายที่เดินนำหน้าเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดรออยู่
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงคุยกันของสองคน เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำตามรายการที่ผมจดให้ตามนี้นะครับ แล้วอีกสองสัปดาห์มาเจอกันใหม่” คนผู้ชายบอก ส่วนหญิงสูงวัยดูมีฐานะชาติตระกูลนั่นคงเป็นคนไข้ของเขา พีรพงษ์รอจนทั้งสองร่ำลากันเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“คุณหมอสุรพิชัยนะครับ ผม...เอ่อ...ที่คุณหมอนมนต์นัดไว้น่ะครับ” พีรพงษ์รู้สึกเกร็งๆ
“อ๋อ... ครับๆ กำลังรออยู่พอดีเลย” อีกฝ่ายร้อง
“เอ้า...เข้ามาสิคุณไนท์” คุณหมอเอ่ยพร้อมเปิดประตูให้
ชายในเลื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าเดินนำเขาไปยังเก้าอี้รับแขก บรรยากาศห้องนี้แปลกๆ ชายหนุ่มคิด ทันทีที่ประตูห้องปิด เขารู้สึกเลยว่ารู้สึกเหมือนห้องนี้ตัดขาดจากโลกข้างนอกโดยสิ้นเชิง เหมือนไม่มีเวลาด้วย
“นั่งสิคุณ” คุณหมอเอ่ย โดยชายหนุ่มนั่งลงตามที่บอก
เขาไม่รู้ว่าจะทุกอย่างของการพูดคุยจะเริ่มต้นที่ตรงไหน เลยนั่งนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ รอว่าอีกฝ่ายจะเริ่มต้นอย่างไร
“นอนหงายในท่าที่สบายครับ แล้วค่อยๆ หลับตา เดี๋ยวหมอจะถามอะไรสักหน่อย ตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้ามไปนะ”
พีรพงษ์หลับตาลงตามคำบอก ใจเขาเต้นแผ่วเบาจนรู้สึกประหลาดใจ
...................
“เป็นความฝันที่เจ็บปวดเสมอ...”
ผมมักฝันซ้ำๆ ถึงสะพานกรุงเทพคืนนั้น ในฝันผมเดินข้ามสะพานจากฝั่งถนนตกข้ามไปยังฝั่งบุคคโล ข้ามไปสุดถนนแล้วผมก็เดินย้อนกลับมาฝั่งพระนครอีกรอบแต่ด้วยทางเดินคนละฝั่งถนน คนตกปลากลางคืนสิบกว่าคนเหวี่ยงเบ็ดแข่งกันจากราวสะพานลงไปยังผืนน้ำเจ้าพระยาเบื้องล่าง สายน้ำไหลลงใต้มุ่งหน้าสู่ทะเล สีน้ำดำมืดแต่ก็เต็มไปด้วยแสงพริบพราวของผิวน้ำที่อาบแสงไฟสลัวลางจากบนสะพาน ลูกคลื่นสั่นก่อริ้วระลอกไหวต้องแสงไฟเหมือนดวงดาวส่องแสง แต่มันเลือนลางเหมือนบังไว้ด้วยสายหมอก ยามมองลงไปเบื้องล่างยังผืนน้ำ มันน่าหวาดหวั่นใจ
ในคืนนั้นปลาตัวโตๆ ถูกกว้านสายลากขึ้นมาจากน้ำตัวแล้วตัวเล่า มันนอนหายใจพะงาบอยู่บนพื้นทางเดินบนสะพาน คอนกรีตเย็นเยียบ ผมสังเกตเห็นว่าตัวเองเดินเท้าเปล่า ฝ่าเท้าเย็นซีดเซียวจนรู้สึกชาแปลบ มองไปยังแววตาของปลาพวกนั้น ดูราวกับมันกำลังอ้อนวอนขอความสงสาร ร้องขอชีวิต? หรืออาจจะร้องขอความตาย? ผมรู้สึกหายใจไม่ออก อึดอัดและพะอึดพะอม รู้สึกเหมือนสายตาเหล่านั้นกำลังกล่าวโทษผม
“ใจร้าย” -- เหมือนพวกมันจะพูดแบบนั้น ใจร้าย -- จากปลาหนึ่งตัว ใจร้าย -- จากปลาสองตัว สามตัว สี่ตัว ห้าตัว -- ใจร้ายๆๆๆๆๆ เหมือนปลาทุกตัวพร้อมใจกันส่งเสียง
“พี่ไนท์ใจร้าย" เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงพวกนั้น
เสียงต่อว่าต่อขานของ “เกม” เหมือนลอยลมแว่วมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปดูก็มีเพียงความว่างเปล่า แล้วเสียงนี้ก็เริ่มแว่วดังมาจากทุกทิศทุกทาง ฝูงปลา ผู้คน แสงไฟ ถนน สะพาน ทุกสิ่งเริ่มจางหาย โลกค่อยๆ กลายเป็นสีมืดดำ แต่ผมเองยังอยู่ในความมืดนั้น คำว่าใจร้ายๆ ก้องในโสตรับฟัง มันทำให้ผมสั่นเทิ้มไปถึงสมอง ร่ายกายแขนขาสั่นระริก กล้ามเนื้อตึงรัด หัวใจเต้นตุบๆ รุนแรงและร้อนลน
“พี่ไนท์ใจร้าย"
......................
พีรพงษ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน เนื้อตัวรู้สึกเปียกชื้นและอึดอัดร้อน เหงื่อผุดเม็ดเต็มแผ่นหลังและต้นคอ หัวใจยังคงเต้นรัวประหนึ่งจะทะลุพ้นออกมาจากโพรงอก สองมือเปียกรื้นยกขึ้นปิดหน้า ถ้อยคำในฝันยังดังก้องอยู่ข้างใน ภาพของคนพูดประโยคนั้นผุดขึ้นมาในใจ วูบเดียวเท่านั้นเอง ภาพเธอกำลังมองเขาด้วยแววตาน้อยใจอย่างที่สุดนั่น ทำให้ต่อมน้ำตาทำงานโดยอัตโนมัติ น้ำตาไหลลงมาอาบฝ่ามือ แม้จะปาดทิ้งไปครู่เดียวมันก็ไหลลงมาอีก และแม้จะปาดทิ้งอีก มันก็ไหลลงมาใหม่
เขาควานหาผ้าเช็ดตัวที่คล้ายจำได้ว่าโยนทิ้งไว้ข้างเตียง มือสะเปะสะปะไปในความมืดจนเจอสิ่งที่ต้องการ ชายหนุ่มซุกหน้าตัวเองเข้ากับผ้าชื้นผืนนั้น ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมจนกว่าจะหยุดโดยตัวมันเอง
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอก...มันจะต้องผ่านไป"
พรายน้ำบนนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าเท่านั้น เขาเพิ่งหลับไปได้สามชั่วโมง เป็นการหลับโดยสัญชาตญาณป้องกันตัวเองของร่างกาย สมองคงสั่งปิดสวิตซ์หลังจากที่เขาไม่สามารถหลับลงได้เลยมาหลายวันติดต่อกัน
เขาสูดหายใจลึกมากๆ คว้าขวดน้ำบนโต๊ะหัวเตียงมาเปิด น่าจะมีน้ำเหลืออยู่ซักครึ่งหนึ่ง เขายกมันกรอกปากรวดเดียวหมด ความกระหายยังไม่จางไป เขาต้องผุดลุกจากเตียง เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำขวดใหม่ พื้นกระเบื้องยางเย็นยะเยือกผิวสัมผัสทะลุถุงเท้าทำงานเนื้อบางมาถึงฝ่าเท้า ความเหนื่อยหนักทำให้เขาหลับไปทั้งชุดทำงาน
ตอนนี้ในตู้เย็นมันมีแต่ขวดน้ำว่างเปล่า แน่ทีเดียวล่ะ ในเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขาซื้ออะไรเข้าตู้มันตั้งเกือบสัปดาห์มาแล้ว เมื่อไม่มีอะไรให้ดื่มก็เลยกลับมาทิ้งตัวคว่ำหน้าบนที่นอน ห้านาที สิบนาที สิบห้านาทีหรือนานกว่านั้น เสียงดนตรีจากผับใกล้อพาร์ทเม้นต์ดังแว่วมา มันแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเขาไม่ได้ยินอะไรอีก ในที่สุดเขาก็หลับไปอีกครั้ง
ท่าทางว่าเขาคงจะนอนหลับในท่าเดียวกับที่จำได้เมื่อคืน และลืมตาตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น เหมือนเครื่องจักรถูกเปิดสวิตซ์ เขาคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ถอดชุดทำงานเมื่อวานออก ทิ้งลงตะกร้าผ้า เปิดฝักบัวให้น้ำไหลเป็นสายฝนรดตัวเองตั้งแต่หัวลงไปจนชุ่มโชกตัว หรือบางทีถ้ารดล้างลึกลงไปในใจได้--เขาก็คงจะทำ
หกโมงครึ่ง พีรพงษ์ก็พร้อมออกจากห้อง มีเวลาให้ได้หาข้าวเช้าทานก่อนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน เช้าสำหรับเขาแต่กับอีกหลายๆ คนมันกำลังสาย
เขาไม่รีบเร่งอะไรกับมื้อเช้ามากนัก ทั้งที่เมื่อคืนออกจะหิวมากพอดู มีกับข้าวให้เลือกสิบกว่าอย่างในถาด เขาชอบพวกกับข้าวที่มีน้ำแกง แต่ “เกม” ชอบพวกกับข้าวที่แห้งๆ ใช่... เขายังจำเรื่องเล็กเรื่องน้อยของเธอได้ แต่มันไม่ควรจำได้เลย
เลือกอาหารได้แล้วชายหนุ่มก็นั่งลง ยังไม่ทันจะลงมือทาน โทรศัพท์ก็ดัง
“ครับพี่หนึ่ง” เขารับโทรศัพท์ของหัวหน้าที่มักจะดังแบบนี้ทุกเช้าจนเคยชิน
“ฮัลโหลไนท์... เอกสารที่เตรียมประชุมไนท์เสร็จหรือยัง? เดี๋ยวให้ยัยแอนซีร็อกซ์มาสิบชุดนะ”
“ยังไม่เรียบร้อยดีครับพี่ ผมกำลังจะเข้าไปจัดการให้เสร็จเช้านี้แหละ”
“เออ... ไม่เป็น ทำให้เรียบร้อย แล้วก็ให้แอนซีร็อกซ์ไว้สิบชุด แล้วก็หยิบตัวอย่างสินค้าในห้องสโตร์มาเตรียมให้พี่ด้วย สามชุดนะ”
“วันนี้พี่หนึ่งเข้าออฟฟิศไหมพี่?” เขาถาม
“ไม่ล่ะ นัดคุยยี่ปั๊วสายตะวันออกที่โรงงานที่แปดริ้วว่ะ ยังไงฝากจัดการเอกสารให้พี่ด้วยแล้วกัน”
“ครับ” เขารับคำ
หลังจากยืนโหนราวจับของรถไฟฟ้ามาหกสถานี ท่ามกลางคนเต็มทุกพื้นที่ บางครั้งเขาก็รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่สะดวก พอรถจอด ประตูอัตโนมัติเปิด เขาก็แทบจะพุ่งตัวเองไหลตามผู้คนออกจากตัวรถเหมือนกับอยู่ในลำน้ำ คนที่นี่ต่างเร่งรีบไป ชายหนุ่มไหลไปกับกระแสคลื่นมนุษย์เงินเดือน ไหลลงบันไดชานชลา ไหลผ่านช่องตรวจตั๋ว ไหลลงบันไดสถานีไปถึงพื้นถนนข้างล่าง ถึงตรงนี้กระแสคลื่นที่พัดโถมพามาก็แตกซ่านกระเซ็นไป แล้วแต่ทิศทางใคร ตึกใครตึกมัน ออฟฟิศใครออฟฟิศมัน
พีรพงษ์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าบันได ถอนหายใจโล่งเหมือนเพิ่งเจออากาศ แหงนหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า มันสว่างสดใสเหลือเกิน มีทางเมฆสีขาวเป็นสายยาวจากไอพ่นเครื่องบินผาดผ่านตรงช่องว่างระหว่างตัวตึกคนละฝั่งปากซอย
“มันจะลอยไปถึงไหนของมันนะ?” เขากำลังคิด
“เฮ้ยไนท์! ทำอะไรอยู่วะ"
คิดยังไม่ทันจะจบ เสียงทักใกล้ๆ พร้อมสัมผัสมือที่แตะลงบนแผ่นหลังในลักษณะถูกส่งแรงไปข้างหน้า เขาถูกผลักจากภวังค์ คนที่ทักคือชิน ชินเป็นเพื่อนพนักงานร่วมบริษัท ที่ถึงจะอยู่กันคนละแผนกและคนละชั้นตึก แต่ความที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ในวันเดียวกันและลำดับต่อกัน ทำให้เขาเปรียบเหมือนเพื่อนคนแรกของพีรพงษ์ที่นี่
“เหม่ออะไรของมึงวะ ไปๆ เดี๋ยวก็ตอกบัตรเข้างานสายหรอก"
เขาเซไปข้างหน้าตามแรงผลักเบาๆ ครึ่งก้าว ก่อนก้าวเท้าต่อเพื่อขึ้นบันได ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดปิดเองตอนที่เดินผ่านเข้าสู่ตัวตึก เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยส่งยิ้มให้ ท่าทางวันนี้เขาดูมีความสุข สงสัยเมื่อวานคงได้เจออะไรดีๆ มาล่ะมั้ง
น่าอิจฉา--เขาคิดในใจ
ชินมันทักทายกับคนนั้นคนนี้ไปตลอดทางโดยเฉพาะสาวๆ ปากขยับพูดเรื่องอะไรสักอย่างคล้ายๆ จะเป็นเรื่องสาวๆ บริษัทนำเข้าเครื่องสำอางที่อยู่ชั้นถัดจากพวกเราขึ้นไปกับเรื่องลิฟท์อะไรนี่แหละ หูของชายหนุ่มไม่ยอมรับข้อมูลให้มากพอเอามาประมวลสรุปให้เป็นเรื่อง
“อิจฉาว่ะ” มันพูด
“อิจฉาอะไรว่ะ?” เขาไม่ทันตั้งสติ ได้ยินแค่คำว่าอิจฉาก็เลยไม่เข้าใจ
“ก็อิจฉาหัวหน้ากูไง เงินเดือนก็มาก โบนัสก็เยอะ นี่ยังได้ตั๋วเครื่องบินฟรีให้พาอีหนูไปฟาดที่สิงคโปร์ตั้งสองวันกับอีกคืนนึง” มันพูดเสียงขุ่นๆ
ชินหยุดพูดตอนที่เราหยุดยืนรอลิฟท์ร่วมกับคนอื่นอีกจำนวนหนึ่ง วงจรชีวิตของเราและพวกเขาหรือเธอในฐานะพนักงานบริษัทเป็นเหมือนดังชีวิตประจำวัน ตื่นแต่เช้า เร่งรีบมาทำงาน จัดการกับงานที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง สร้างผลงานหรือไม่ก็พยายามสร้างความสำเร็จ วันหนึ่งแปดชั่วโมงบ้าง สิบชั่วโมงบ้าง ตกเย็นๆ ก็เลิกงานกลับไปพักผ่อน เก็บเรี่ยวแรงไว้มาเผชิญวันใหม่
มีความฝันใฝ่และฝันเฟื่อง บางคนพยายามไขว่คว้าและบางคนได้ละความฝัน
วูบหนึ่งชายหนุ่มคิดถึงเครื่องบินลำเมื่อครู่ มันจะไปที่นั่นหรือเปล่า--ภูเขาสีแดงเหมือนก้อนอิฐดินเผา วาบแสงพระอาทิตย์ตกที่เบื้องหลัง กลางคืนภายใต้แสงดวงดาว เขาคงนอนอยู่บนพื้นฝุ่นทรายจ้องมอง วูบหนึ่งเขาแวบคิดถึงเวลากลางคืนคืนนี้ที่จะต้องเจอ อีกวูบต่อมาเขาคิดถึงความฝันที่ฝันซ้ำๆ
ความทรงจำส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากสมองลงไปที่หัวใจ มือเขาชาและสั่น อาการมวนท้องเกิดขึ้นเบาๆ ที่ท้องส่วนล่างสุด
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรหรอกน่า... สักวันมันจะต้องดีขึ้น สักวันมันจะต้องผ่านไป"
เขาปลอบตัวเองเช่นนี้ และก็เป็นการปลอบใจตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอในตอนมีชีวิตต่อจากฝันร้าย เมื่อสูดลมหายใจเต็มๆ ปอดอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าตามเพื่อนชายที่เดินนำหน้าเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดรออยู่
นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2556, 08:27:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2556, 08:27:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1077
<< ตั๋วเดินทางกับการรอคอย | อารมณ์ร้อนกับผลร้าย >> |