น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 4. “ฉันก็ไม่ได้จะเอาเธอไปเป็นนางงามวันสองวันนี้ซะเมื่อไหร่”

4.

ขับรถกลับมาถึงบ้าน วรรณศุกร์ก็พบว่าป้าสมานนั่งคุยอยู่กับคชาพัฒน์ที่ม้าหินใต้ต้นขนุนใหญ่ข้างรั้ว เขาลงจากรถพร้อมถุงลูกชิ้นที่ตั้งใจซื้อมากินก่อนเวลาอาหารเย็น ใจหนึ่งก็จะไม่ทักคชาพัฒน์เพราะอยู่ที่ทำงานก็เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ด้วยร้านของเขากับร้านของคชาพัฒน์อยู่ห่างกันไม่กี่คูหา และคชาพัฒน์เองก็หมั่นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขา โดยชายหนุ่มใจหญิงจะหมั่นทำอาหารหวานคาวส่งมาให้เขาได้ชิมในเวลาเที่ยงวันโดยอ้างว่าอยากตอบแทนที่เขาช่วยเป็นสปอนเซอร์นางงามให้หลายครั้งหลายหนแล้ว

เรื่องเป็นสปอนเซอร์นางงามนั้นไม่ได้อยู่ในแผนโฆษณาร้านรัตนะไพรวัลย์จักรยานยนต์เลยสักนิด แต่ด้วยเขาขัดแม่วรรณีที่ชอบช่วยเหลือคนที่มีฐานะด้อยกว่าไม่ได้ กับคชาพัฒน์เป็นหลานของป้าสมาน เขาจึงต้องยอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับคชาพัฒน์

และก่อนที่คชาพัฒน์จะพาเด็กสาวออกไปประกวดก็จะมีธรรมเนียมพาเด็กมาเข้าพบเขาเสียก่อน คชาพัฒน์ให้เขาอำนวยอวยพรให้กับเด็กสาวทำเหมือนกับเขาเป็นหมอเสน่ห์ผู้มีมนต์เรียกคะแนนจากคณะกรรมการได้ นอกจากนั้น คชาพัฒน์ก็จะย้ำอยู่เสมอว่าเงินของเขานั้นสามารถเนรมิตผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งให้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ได้ในชั่วข้ามคืน เขาเองนิยมที่จะเป็นผู้ฟังเรื่องที่คชาพัฒน์มาเพ้อฝันให้ฟังเสียมากกว่า เพราะระหว่างที่คชาพัฒน์เล่า เขาก็ได้อารมณ์สนุกสนานเหมือนดูเดี่ยวไมโครโฟนของศิลปินตลกไปด้วย

“ซื้ออะไรมากินเหรอคุณศุกร์” คชาพัฒน์ร้องทักวรรณศุกร์ที่ปิดประตูรถยนต์กระบะสี่ตูแล้วหันมายิ้มให้กับตน

“ลูกชิ้น จากร้านน้ำผึ้ง” วรรณศุกร์สงวนถ้อยคำเหมือนทุก ๆ ครั้ง

“ร้านน้ำผึ้ง...นึกอย่างไรกินลูกชิ้น” เป็นเสียงของนางสมานแม่ครัว แม่บ้าน ที่เหมางานทุกอย่างในบ้านยกเว้นงานเสื้อผ้าที่ต้องเอาไปจ้างนางสำรวยซักรีด เพราะนางสมานรีดผ้าไม่เรียบ กอปรกับคุณนายวรรณีเห็นว่างานของนางสมานนั้นมากเกินกำลัง แต่ครั้นจะหาเด็กสาว ๆ มาไว้ในบ้านเพิ่มอีกสักคนสองคน เด็กสาวที่อยากทำงานบ้านก็หายาก และอีกอย่างภัทรินที่เป็นสะใภ้อย่างไม่เป็นทางการก็ไม่ยอม นางสมานจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่คนเดียว

“หิว อยากกิน ป้า...ผมขอตัวก่อนนะ” ตัดบทแล้ววรรณศุกร์ก็เดินเลี่ยงเข้าบ้าน ปล่อยให้คชาพัฒน์คุยกับป้าสมานต่อไป และเมื่อวรรณศุกร์ลับหายเข้าไปในบ้านตึกสองชั้นทรงโรมันเด่นสง่าเกินเพื่อนบ้านในซอยนี้ไปแล้ว คชาพัฒน์ก็หันไปคุยถึงเรื่องของเขาในทันที

“มาอีกไหมอ่ะ” คชาพัฒน์หมายถึงภัทริน ‘นางฟ้า’ หนึ่งเดียวในดวงใจของวรรณศุกร์ ที่คนบ้านนี้ต่างก็มองว่าเป็น ‘แม่มด’ เพราะภัทรินคู่ตุนาหงันของวรรณศุกร์ตั้งแต่สมัยที่เขาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯนั้นขี้หึงหวาดระแวงว่าสามีที่ยังไม่ได้ตีตราของตนนั้นจะนอกใจทั้งที่ฝ่ายชายเองก็ดูจะจงรักภักดีหาได้มีสายตามองหญิงอื่นใด แต่ภัทรินก็พูดอยู่เสมอว่า ควรจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ดังนั้นนางสมานจึงเป็นหนึ่งในสายสืบที่ภัทรินวางไว้ ซึ่งนางสมานก็ทำทีเป็น ‘พวก’ ไปอย่างนั้น ทั้งที่ใจจริงอยากจะเห็นวรรณศุกร์นอกลู่นอกทาง หรือคล้อยตามความเห็นของคุณนายวรรณีที่พยายามจับคู่ลูกชายคนเดียวกับบรรดาลูกสาวเพื่อนของตนที่มีฐานะทาง
การเงินทางสังคมเสมอกัน แต่ว่าวรรณศุกร์ก็เป็นตัวของตัวเองชนิดที่มารดาไม่อาจเข้าครอบงำได้ แต่ก็ใช่ว่าคุณนายวรรณีคิดจะลามือ เพราะคุณนายวรรณีนั้นไม่ชอบภัทรินที่พยายามจะดึงวรรณศุกร์ให้ไปจากบ้านไพร

ไปมีชีวิตครอบครัวอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร โดยทิ้งให้คุณนายวรรณีอยู่กับทรัพย์สมบัติตามลำพัง

สงครามจิตวิทยาระหว่างว่าที่แม่ผัวกับว่าที่ลูกสะใภ้จึงได้เกิดขึ้นอย่างกราย ๆ

“อาทิตย์นี้คุณศุกร์จะไปหามั้ง เขาจะผลัดกันไปผลัดกันมา แล้วแต่ใครจะสะดวกน่ะ” เรื่องในบ้านนี้ ผู้เป็นป้าที่เอ็นดูหลานชายใจหญิงช่างเจรจาจะปูดออกจนเกลี้ยงเกลา ดีแต่ว่าคชาพัฒน์นั้นเมื่อรู้เรื่องอะไรดี ๆ แล้ว เขาจะไม่เอาไปพูดต่อให้ยืดยาว เพราะส่วนหนึ่งบุญคุณของคุณวรรณีเศรษฐีนีแห่งบ้านไพรก็ค้ำคออยู่ เพราะถ้าไม่ได้คุณวรรณี วรรณศุกร์ก็คงไม่ยอมเป็นสปอนเซอร์นางงามให้ไม่รู้กี่งาน และหลายเวทีทีเดียวที่ คชาพัฒน์พานางงามในสังกัดไปคว้าน้ำเหลวกลับมา แต่คุณนายวรรณีรวมถึงป้าสมานนั้นหาได้พูดโน้มน้าวใจเพื่อให้เขาเลิกปั้นสาวงามส่งเข้าประกวดชิงมงกุฏ สายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ เหมือนกับที่นัยนิตกับสำลีพยายามฉุดเขาให้อยู่กับร้านที่เขาคิดมันอยู่ตัวและปราศจากเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้น

“แล้วคุณศุกร์ไม่มีทีท่าจะเบื่อหน่ายคุณแอร์โฮสเตสนั่นเลยเหรอ” ด้วยรู้กิตติศัพท์และเห็นกิริยาท่าทางแบบสวย เริด เชิด หยิ่ง ของภัทรินมาบ้าง คชาพัฒน์จึงไม่ค่อยชอบหน้าภัทริน

“ไม่มี เอาอกเอาใจ โทรรายงานตัวอยู่ตลอดเวลา สงสารก็แต่คุณนายแหละ กังวลเหลือเกินว่า คุณศุกร์จะทิ้งกิจการ ทิ้งบ้าน กลับไปอยู่กรุงเทพฯ ตามความต้องการของคุณภัทเธอ”

“ใช่ว่าหน่องจะไม่ช่วยคุณนายนะป้า แต่ว่าคุณศุกร์ไม่มองใครเลยจริง ๆ” เหตุที่คชาพัฒน์พาเด็ก ๆ ในสังกัดของตนที่มีอยู่เกือบสิบคนไปให้วรรณศุกร์เห็นหลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จก่อนพาไปประกวดนั้นก็เพราะอยากให้ไฟในกายของชายหนุ่มลุกโชน แต่ว่าวรรณศุกร์ก็นิ่งเฉย ทำเหมือนกับบรรดาสาวน้อยในสังกัดของเธอที่ถูกแปลงโฉมเป็นแม่เทพธิดานั้นไร้ซึ่งตัวตน

และก็ใช่ว่าเด็กในสังกัดของคชาพัฒน์ที่ตระเวนหาได้ในละแวกตำบลบ้านไพรจะไม่สนใจวรรณศุกร์ บางคนเพียรพยายามที่จะสานไมตรีแต่ว่าก็คว้าความผิดหวังกลับมาเข้ามาให้เพื่อน ๆ ได้ขบขันกัน

“ก็สุดแต่บุญแต่กรรมเขาเถอะ เพราะจะว่าไปแล้ว กับคุณภัทรินก็มีอะไรกันแล้ว จะทิ้งจะขว้างก็ไม่ดีอีก แม้เราผู้เป็นชายจะไม่เสียหาย แต่มันดูไม่แมน”

“แต่ถ้าทางนั้นไม่ยอมมาอยู่ที่นี่ ทางนี้ไม่สามารถทิ้งทางนี้ไปอยู่ด้วยกับทางนั้น มันก็ยากจะลงเอยนะป้า”

“ก็คงคาราคาซังกันอยู่อย่างนี้แหละ ลูกหลานก็จะไม่มีสืบสกุลเอา คุณภัทก็ยื่นข้อต่อลองมาว่า แต่งแล้วคุณศุกร์จะต้องย้ายไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ หางานหาการทำใหม่...คนรวยกับคนรวยน่ะ...ต่างก็ไม่ง้อกัน”

“มันน่าจะมีใครสักคนที่ทำให้คุณศุกร์เปลี่ยนใจได้บ้างนะ”

“แต่มันก็ไม่มี คนอื่น ๆ ที่คุณนายพาไปดูตัว สวยกว่าคุณภัทก็มี แต่ศุกร์ก็ทำเป็นฤาษีเห็นสีกาเสียอย่างนั้น ว่าไปแล้วเขาคงเป็นเนื้อคู่กัน ถึงได้รักกันมั่นคงเสียเหลือเกิน”

ยังไม่ทันที่คชาพัฒน์จะแสดงความคิดเห็นต่อ โทรศัพท์ของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อพร้อมรูปที่หน้าจอ คชาพัฒน์ก็รีบตะครุบโทรศัพท์มากดรับสายในทันที...

“ว่าไงจ๊ะทิน” เสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ผู้เป็นป้าจึงค้อนให้เสียหนึ่งทีก่อนจะลุกขึ้นเพราะไม่อยากอาเจียนกับความหวานเลี่ยนยามที่หลานชายของตัวเองคุยกับหนุ่ม ๆ แต่กาลนั้นกลับผิดคาดเพราะหลังจากที่ฟังปลายสายบอกเล่าเรื่องสำคัญแล้ว คชาพัฒน์ก็ถึงกับร้องอุทานเสียงหลง



นอกจากจะได้ปวีณา นาน้อย ลูกสาวคนเล็กของผู้ใหญ่ประทีป นาน้อย มาเป็นเด็กในสังกัดอย่างไม่ยากเย็นเพราะว่าผู้เป็นพ่อแม่ของหญิงสาวให้การสนับสนุน คชาพัฒน์ก็อยากสานความสัมพันธ์กับประทิน นาน้อยให้หัวใจฟูฟ่องตามประสาแมลงที่ชอบดอกไม้มี่มีสีและกลิ่นหอม ข้ออ้างว่าต้องการหาเด็กในสังกัดเพิ่มโดยให้ประทินเป็นหูเป็นตาให้จึงได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ จนกระทั่งตอนนี้ คชาพัฒน์สามารถโทรหาประทินได้ทุกเวลาและประทินเองก็ดูจะให้ความสำคัญกับคชาพัฒน์ไม่น้อย เพราะทุกครั้งเขาจะรับสาย และตั้งใจฟังเรื่องที่ คชาพัฒน์เล่าอย่างยืดยาวโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ...คชาพัฒน์จึงทึกทักเอาว่าประทินนั้นเริ่มหวั่นไหวกับลมปากของตนที่ประหนึ่งน้ำหยดลงหินทุกวัน

แต่ว่าครั้งนี้ประทินโทรมารายงานว่า วาสนา บุญสูง สาวงามบ้านน้ำซับอีกคนที่ประทินติดต่อให้มาเป็นเด็กในสังกัดของคชาพัฒน์นั้น บัดนี้หนีตามผู้ชายไป และจะมีฤกษ์ส่งตัวตามธรรมเนียมคนบ้านน้ำซับในอาทิตย์หน้า

และเหตุที่คชาพัฒน์ร้องเสียงหลง เพราะว่าก่อนหน้านั้น วาสนานั้นไม่ได้สวยหยาดฟ้ามาดินแต่ว่า คชาพัฒน์เห็นหน่วยก้านผิวพรรณทรวดทรงองค์เอวกับหน้ารูปไข่แล้วคชาพัฒน์คิดว่า วาสนานั้นจะขึ้นเวทีล่าเงินรางวัลได้ไม่ยาก ดังนั้นคชาพัฒน์จึงกัดฟันพาวาสนาไปเสริมดั้งให้โด่งสมสมัยหมดเงินไปหมื่นกว่าบาท หลังจากนั้นก็พามาฝึกหัดเดิน ตอบคำถาม กินนอนอยู่ด้วยกันที่ร้านถึงเจ็ดวัน เพื่อจะเรียกใช้งานในสัปดาห์กับเวทีธิดากระท้อนหวานที่จะจัดขึ้นที่ปราจีนบุรี แต่เมื่อกาลเป็นอย่างนี้เสียแล้ว

เงินหมื่นที่ลงทุนไปก็คงสูญ...สูญไปทั้งที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยสักนิด และสัปดาห์หน้าเบอร์หนึ่งอย่าง ปวีณา นาน้อยที่เรียนอยู่ในเมือง ก็ติดกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเสียอีก

“งานนี้พี่แย่แน่ ๆ นะทิน เอาไงดี มีใครพอขึ้นเวทีไหม” อันที่จริง...ถ้าจะไม่ไปมันก็ไม่มีอะไรเสียหายเพิ่มเติม แต่งานนี้คชาพัฒน์รู้มาว่าเวทีธิดากระท้อนหวานนี้จวงจันทร์ที่เห็นว่าตนหันมาทำค่ายนางงามเดินสายประกวด จวงจันทร์ก็คิดทำบ้าง และเวทีนี้จวงจันทร์ก็ไปคว้าตัวลูกสาวเพื่อนที่อยู่กรุงเทพมาขึ้นเวทีศึกศักดิ์ศรีในครั้งนี้ คชาพัฒน์จะถอยไม่ได้เด็ดขาด

“คนสวย ๆ แถวนี้ก็มีเท่านี้แหละครับ ที่มีอีกเขาก็ไม่เอากับเราหรอก เขาไม่อยากเป็นนางงามกัน เรื่องพวกนี้มันเชยไปแล้วพี่”

“หรือพี่จะแปลงกายเป็นหญิงแล้วขึ้นประกวดเสียเอง”

“เอาซิครับ แต่ผมคงไม่ไปดูนะ...” ว่าแล้วประทินก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ซึ่งคชาพัฒน์ก็พอจะนึกถึงใบหน้ายามที่ประทินหัวเราะออก และถ้าอยู่ใกล้ ๆ คชาพัฒน์ก็จะตีที่อกของเขาเบา ๆ กระแซะเบียดเอาไออุ่นให้พอมีแรงสู้ชีวิต แต่พอได้ยินแต่เสียงคชาพัฒน์จึงได้แต่สบถว่า

“ทินอ่ะ”

ประทินยังคงหัวเราะไม่เลิก...

“หรือพี่จะโทรหาปวีณาดี เผื่อปวีณาจะว่างกะทันหัน”

“เขาไม่ว่างแน่ ๆ กิจกรรมออกค่ายคราวนี้เขาตั้งใจไปมาก พี่หาคนอื่นเถอะ”

“มันไม่มีใครพอไหวเลยนะ ...”

“ก็เห็นมีตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอคับ” นอกจากจะให้ประทินช่วยควานหาตัวสาวงามจากบ้านน้ำซับน้ำซึมมาอยู่ในสังกัดแล้ว คชาพัฒน์ ยังใช้วิธีสอบถามจากลูกค้าที่มาใช้บริการ แต่ส่วนใหญ่ก็รับฟังเรื่องพวกนี้ไปอย่างนั้นเอง ทีมีพาไปดูเด็กสาวที่มีความสวยน่าจะเข้าตากรรมการบ้างก็ส่วนน้อย และพอเห็นตัวจริง ๆ ก็ใช่ว่าจะสวยสมบูรณ์แบบพร้อมขึ้นเวที มีแต่ต้องเอามาขัดสีฉวีวรรณแปลงโฉมเสียเป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญนอกจากจะสวยแล้ว คชาพัฒน์อยากได้คนกล้าและมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีด้วย ไม่ใช่ขึ้นเวทีไปอย่าง เซ่อซ่าให้ขายหน้าเหมือนกับเด็กจากบางค่าย

“ยังใช้งานไม่ได้หรอก ต้องอบรมขัดเกลากันอีกเยอะทั้งนั้น”

“ก็ส่งขึ้นเวทีขัดตาทัพไปก่อน”

“ขายหน้าแย่เลย”

“นัยนิตไงครับ ผมว่าเขาสวยนะ” ประทินมาที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัทอยู่บ่อย ๆ เพราะผู้เป็นแม่ของเขานั้นชอบนิสัยคุยสนุกของคชาพัฒน์เป็นอย่างมาก ทำอาหารหวานคาวเป็นต้องใส่ปิ่นโตให้ประทินเอามาส่งให้ คชาพัฒน์ได้ลิ้มลองฝีมือ ซึ่งคชาพัฒน์ก็สัญญากับแม่ของประทินไปว่า หากมีการประกวดทำอาหารจะส่งแม่ของประทินเข้าประกวดบ้าง และเมื่อมาที่ร้านเขาก็ชอบดูท่าทางกระโดกกระเดกของนัยนิตหญิงสาวหน้าสวยผู้มีผมซอยสั้นทำตัวเหมือนผู้ชาย ประทินยอมรับว่าเขาชอบนัยนิตแบบผู้ชายชอบผู้หญิง แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เพราะดูแล้วใจของนัยนิตนั้นห่างไกลความต้องการไออุ่นจากผู้ชายสักคน และผู้ชายอย่างเขาก็ไม่รู้จะจีบผู้หญิงอย่างไรเช่นกัน การส่งสายตาว่าชอบและหาเรื่องไปที่ร้านอยู่เนือง ๆ จึงเป็นช่องทางเดียวที่เขากระทำอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนองกลับในแบบที่เขาต้องการแต่เขาก็รู้สึกว่ามีความสุขใจที่ได้ทำอย่างนั้น

“หล่อนคงจะยอมหรอก”

“ก็น่าจะลองคะยั้นคะยอเขาดูนะครับ ผมอยากเห็นตอนเขาสวยแบบผู้หญิงจังเลย”

“อยากเห็นผู้ชายเป็นผู้หญิงนี่มันอารมณ์ของเกย์เลยนะ”

“ผมผู้ชายครับพี่” ประทินยืนยันหนักแน่นเหมือนที่เคยยืนยัน

“คิดจะลองเป็นเกย์เมื่อไหร่ก็อย่าลืมนึกถึงพี่แล้วกัน พี่ยินดีสอนงานให้ฟรี ๆ”

“ตลอด ๆ”

“พี่พูดจริง ๆ นะทิน จริงใจเป็นที่สุด”

แล้วประทินก็หัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องชวนคุยฆ่าเวลาเหงา ๆ ของตน



เดินกลับเข้าบ้านมาแล้ววรรณศุกร์ก็พบว่าแม่วรรณีของตนนั่งคุยโทรศัพท์เครื่องตั้งโต๊ะอยู่ที่มุมโซฟา เขายิ้มทักทายแม่ก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในครัว จัดการกับลูกชิ้นปิ้งที่ซื้อมากินรองท้องก่อนเวลาอาหารเย็นแล้วก็เดินออกมาจากในครัว
นางวรรณีวางโทรศัพท์ลงกับแป้น เมื่อเห็นว่าลูกชายเดินออกมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟายาวตัวเดียวกัน

“จะไปกรุงเทพวันไหนนะ” อันที่จริงลูกชายได้บอกกับนางแล้วว่าจะเข้ากรุงเทพพรุ่งนี้ในเวลาหลังเที่ยงวันซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ภัทรินไม่มีบินและวันอาทิตย์ก็เป็นวันหยุดของร้านขายมอเตอร์ไซค์

“พรุ่งนี้หลังเที่ยงครับ แต่ผมจะเก็บกระเป๋าแล้วออกไปเลย ไม่ได้กลับเข้ามาบ้านอีก แม่มีอะไรเหรอครับ” อันที่จริงภัทรินอยากให้ไปเสียแต่เย็นนี้ เพราะจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ แต่เขามีงานที่ต้องสะสางในตอนเช้าประกอบกับบอกแม่ไว้แล้วว่าจะไปตอนเที่ยง เขาจึงต้องขัดใจภัทริน แต่เขาก็สัญญากับหญิงสาวว่าพรุ่งนี้ถ้าออกไปได้ก่อนหลังเที่ยงวันได้ เขาก็จะรีบออกไปทันที เพราะเขาเองก็ ‘คิดถึง’ ภัทรินเป็นอย่างมากเช่นกัน

“เมื่อกี้เพื่อนแม่โทรมาบอกว่า แม่เขาตายน่ะ คืนนี้จะมีสวดพระอภิธรรมคืนแรก แม่ว่าจะไปซะวันนี้เลย เพราะคืนวันเสาร์ วันอาทิตย์จะไม่มีคนขับรถให้ วันจันทร์เขาจะเผาแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะไปหรือเปล่า”

“สนิทกันมากไหมละครับ”

“ก็เรียนมัยธมมาด้วยกัน ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก แต่เขาโทรมาบอกแล้วก็ต้องไปซะหน่อย ตอนที่พ่อเราเสียเขาก็มา ต้องไปใช้แรง” อันที่จริงนางวรรณีขับรถเก๋งคันของตนไปไหนมาไหนเองได้ แต่ยามค่ำคืนสายตาของนางจะไม่ดีเท่าเมื่อก่อน ลูกชายจึงห้ามขับรถ และขันอาสาดูแลยามเมื่อแม่จะไปไหนมาไหนเสียเอง
และธุระของนางวรรณีนั้นก็จะเป็นจำพวกงานเลี้ยงสังสรรค์ งานแต่ง งานบวช งานทำบุญฉลองครบรอบวันเกิดซึ่งแต่ละงานนั้นนางก็พยายามมองหาผู้หญิงที่มีฐานะเสมอกัน และพร้อมจะมาอยู่ที่บ้านไพรตลอดไปให้ลูกชายด้วย แต่ว่าก็หายากเหลือเกิน เพราะผู้หญิงสมัยนี้ต่างทำมาหาเงินได้เอง และก็อยากอยู่ที่ที่เจริญมากกว่าอยู่ที่นี่

และที่พร้อมจะอยู่ที่นี่ได้ ก็ฐานะด้อยกว่า ซึ่งนางวรรณีถือว่าไม่คู่ควร ส่วนภัทรินคู่ปรับของนางวรรณีนั้นมีความเห็นว่าผู้เป็นแม่นั้นอ้อนเอาลูกชายไว้ใช้งานทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่แก่และที่สำคัญเงินทองที่มีอยู่มากมายนั้น น่าจะจ้างคนขับรถมาช่วยขับให้เสียดีกว่าใช้ลูกชายที่ต้องทำงานตลอดทั้งวัน

“จะไปกี่โมงครับ”

“สักทุ่มหนึ่งแล้วกัน เดี๋ยวจะให้สมานตั้งโต๊ะกินข้าวเลยแล้วกัน อาบน้ำแล้วก็ไปกันเลย”

“หรือจะไปวันเผาซะทีเดียวไปเลย ผมว่าไปวันเผาดีกว่านะแม่ ไม่ต้องไปสองวันหรอก” เมื่อครู่นั้นแม่บอกว่าวันเผายังไม่รู้จะไปหรือเปล่าและเขาเดาใจว่าแม่จะต้องไปอย่างแน่นอน และเขาก็ต้องเป็นคนขับรถไปให้เพราะแม้จะเป็นตอนกลางวัน แม่คงมีแผนที่จะพาเขาไปเพื่อน ๆ หรือลูกสาวของเพื่อน ๆ ดูตัวเช่นเคย

“ไปวันนี้แหละ วันจันทร์ค่อยว่ากันอีกที”

จังหวะนั้นนางสมานเดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี คุณนายวรรณีจึงรีบสั่งคนสนิทให้รีบตั้งโต๊ะอาหารก่อนที่ลูกชายจะหาเหตุผลมาอ้างให้ล้มล้างเรื่องที่ตั้งใจจะออกจากบ้านในวันนี้



หลังจากที่ขับรถออกมาจากบ้านของคุณนายวรรณีแล้วก่อนที่จะเลี้ยวขวาตรงสามแยกกลับไปยังร้านของตัวเองคชาพัฒน์ก็หักพวงมาลัยนำรถเข้าชิดทางเท้าก่อนจะจอดรถแล้วข้ามถนนมายังฝั่งตลาดสด และสายตาก็ของคชาพัฒน์ก็พบว่าจวงจันทร์นั้นยืนคุยอยู่กับเจ้าของร้านขายผลไม้สดที่มีรถเข็นของน้ำผึ้งจอดอยู่ใกล้ ๆ..และจวงจันทร์ก็หันมาเห็นคชาพัฒน์เช่นกัน

คชาพัฒน์ยิ้มให้จวงจันทร์ด้วยสีหน้าเสแสร้งแกล้งมีไมตรีจิตใจ โดยที่จวงจันทร์รู้สึกได้ และจวงจันทร์ก็ยิ้มกลับพร้อมกับทักทายด้วยสีหน้าไม่ได้ต่างกัน

“ซื้ออะไรเหรอเจ๊”

“มาหาซื้อแอปเปิลไปกินน่ะ อยากกินน้ำแอปเปิล แล้วหน่องล่ะ แวะมาหาซื้ออะไร”
พอเจอคำถามจากจวงจันทร์หนิงหน่องก็กวาดตามองไปยังแผงขายผลไม้สด แล้วก็หันซ้ายหันขวาจนกระทั่งไปสะดุดอยู่กับใบหน้าของน้ำผึ้งที่กำลังก้มหน้าก้มตาพลิกไม้ลูกชิ้นบนเตา ส่วนน้ำผึ้งนั้นเงยหน้ามาเห็นสายตาของคชาพัฒน์ก็ฉีกยิ้มให้ตามประสาคนคุ้นเคยกัน แต่ว่าน้ำผึ้งก็ไม่ได้ร้องทัก..ก่อนจะหันไปใช้พู่กันจุ่มน้ำมันลูบไปบนลูกชิ้นบนเตาที่ร้อนระอุ...

คชาพัฒน์ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อยเพราะ ‘เซ้นส์’ มันบอกว่า เขาเจอคนที่อยากเจอเข้าแล้ว แต่พอเพ่งพิศน้ำผึ้งอีกที เขาก็รู้สึกว่าน้ำผึ้งนั้นยังเป็นเด็ก ‘กะโปโล’ อยู่มาก ยังไม่เป็นสาวเต็มตัว ยังเหมือนเด็กบ้าน ๆ คนหนึ่ง...แต่ทำไม ‘รอยยิ้ม’ ของน้ำผึ้งมันทำให้เขารู้สึกประหลาด ๆ ได้

“ถามก็ไม่ตอบนะ”

“ว่าจะเดินดูอะไรหน่อย”

“นึกว่าจะหาซื้อแห้วไปไว้กิน”

คชาพัฒน์ค้อนให้ ก่อนจะบอกว่า “แล้วเจ๊ละกินแต่แอปเปิลเหรอ ไม่เอากล้วยหอมไปด้วยเหรอ”

พูดแค่นั้นก็เป็นอันรู้กันว่า ตอนนี้นั้นบ้านใหญ่นั้นเริ่มระแคะระคายแล้วว่า ผู้อำนวยการนั้น มีจวงจันทร์ เป็น ‘อีหนู’ บ้านใหญ่จึงได้ตามมาประกาศแสนยานุภาพโดยการ พกปืนเข้ามาทำผมที่ร้านจวงจันทร์ ซึ่งเรื่องนี้ เด็กในร้านของจวงจันทร์นำมาบอกเล่าให้สำลีได้รับรู้ คชาพัฒน์จึงถือเป็นโอกาสที่จะเหน็บเข้าให้

“เคยกินแล้ว เบื่อแล้ว ตัวเถอะ แค่กล้วยไข่น่ะตกถึงท้องบ้างหรือเปล่า ดูเหมือนจะอดยากปากแห้งอยู่นะ”

“เคยกินแล้วเหมือนกัน แล้วช่วงนี้ก็ไม่มีอารมณ์จะกินด้วย”

“แล้วมีอารมณ์อะไรล่ะ”

“อารมณ์อะไรก็ได้...แต่หน่องนะไม่กินน้ำใต้ศอกก็แล้วกัน..”

เจอตอกกลับไปแบบนี้จวงจันทร์ต้องระงับใจไม่ถลึงตาให้...แต่คชาพัฒน์ก็ปั้นหน้าระรื่นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดเหน็บแนมของตน

“ไม่คุยกับเจ๊แล้ว...ขอตัวเดินดูอะไรต่ออะไรหน่อย ไม่ได้มาตลาดซะนาน แปลกหูแปลกตาไปเยอะเลย”

ตัดบทแล้วคชาพัฒน์ก็กรีดกรายเดินตลาดตอนใกล้ค่ำ ท่ามกลางเสียงร้องทักของแม่ค้าแม่ขายที่รู้จัก คชาพัฒน์กันทั้งนั้น กระทั่งเวลาผ่านไป คชาพัฒน์ก็หอบหิ้วถุงใส่สินค้าปะดามีมาหยุดที่หน้าร้านขายลูกชิ้นของน้ำผึ้ง

“ขายดีไหมผึ้ง”

“ขายดีมาก ๆ ๆ ๆ เลยพี่หนิงหน่อง”

“ถามทีไรก็ตอบแบบนี้ทุกที”

“ก็จะให้ตอบว่าไง ขายไม่ดีเลย ช่วยซื้อหน่อยอย่างนั้นเหรอ...แม่บอกว่า คนเรานะมันสำคัญที่ปาก” น้ำเสียงของน้ำผึ้งร่าเริงผิดกับเวลาที่คุยกับคนอื่น ๆ เพราะรู้ว่าคชาพัฒน์นั้นสามารถหยอกล้อได้

“ชิชะ เจ้าคารมคมคายนะเรา”

น้ำผึ้งยิ้มกว้างให้เป็นคำตอบ

“ยิ้มสวยดีนะ...”

น้ำผึ้งยิ้มกว้างขึ้นอีก

“ฟันเรียงเสมอกันดี...ยิงฟันซิ”

“ยิงทำไม”

“เหอะ...เร็ว”

น้ำผึ้งรีบทำแล้วหุบปากไว้เหมือนเดิมก่อนจะบอกว่า

“ลูกชิ้นเหลือสิบไม้ เหมาไปเลยไหมพี่ ผึ้งจะได้เก็บของกลับบ้าน”

“ได้..แต่เดี๋ยวมาเอา เอาของไปเก็บไว้ที่รถแป๊บ”

ด้วยรถอยู่อีกฟากของถนน ทำให้น้ำผึ้งต้องบอกว่า

“เอาของวางไว้บนรถเข็นก่อนไหม เดี๋ยวผึ้งช่วยหิ้วไปส่งให้ นิ้วพี่จะล็อคเสียก่อน”

“ฉลาดดีนี่”

“ก็แหม...มันเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง...แล้วอีกอย่าง ผึ้งก็ขายหมดพอดีด้วย แต่รอแป๊บนะ ขอผึ้งอุ่นให้ ร้อน ๆ หน่อย จะแยกน้ำจิ้มไหม”

“แยกซิ กินคนเดียวไม่หมดหรอก อาจจะต้องเอาไปอุ่นกินตอนเช้าด้วยซ้ำ”

“ขอบคุณค่ะ”

“ปีนี้เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเนี่ย”

“เพิ่งขึ้น ม. 6 ทำไมถึงชอบถามกันจังเลยนะ”

“คนแก่นี่เขาไม่จำอะไรกันหรอก แล้วเจอเด็ก ๆ มันก็ไม่มีอะไรให้ถามด้วย นอกเสียจากเรื่องเรียน แล้วผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็พอไปได้พี่ จะเอาเป็นหมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจละคงไม่ได้หรอก” ตอบคชาพัฒน์ไปแล้วน้ำผึ้งก็นึกถึงวรรณศุกร์ขึ้นมา เขายังติดค่าลูกชิ้นเธออยู่ 40 บาทแล้วเขาจะเอามาให้วันไหนนะ เขาจะลืมไหม ถ้าเขาลืมเธอจะทวงเขาไหม? แล้วจะเข้าไปทวงอย่างไร

“แล้วอยากเป็นนางงามบ้างไหม”

“นางงาม” น้ำผึ้งขึ้นเสียงสูงในทันที เพราะเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในความคิด ยิ่งวรรณศุกร์มาจุดไฟให้เห็นว่า เธอควรที่จะเรียนสายคหกรรม น้ำผึ้งก็ทุ่มเทให้กับตำรับตำราทำอาหารทั้งหวานทั้งคาว เพราะคิดว่าอย่างไรคนมันก็ต้องกินวันละสามมื้อ น้ำผึ้งปรารถนาที่จะเป็นเชฟมือหนึ่งให้ได้นั่นเอง

“สูงเท่าไหร่นะเรา”

“ร้อยห้าสิบ”

“บอกความจริงมา”

“ร้อยเจ็ดกว่า ๆ”

“สูงมาก แล้วหนักเท่าไหร่”

“พี่หน่อง ผึ้งว่า ผึ้งขายลูกชิ้นอย่างนี้แหละดีแล้ว”

“ฉันก็ไม่ได้จะเอาเธอไปเป็นนางงามวันสองวันนี้ซะเมื่อไหร่”

น้ำผึ้งพ่นล่มออกจากปากในทันที...ก่อนจะรีบหลบสายตาที่เหมือนเรดาร์ค้นหาดวงดาวของคชาพัฒน์หยิบลูกชิ้นใส่ถุงตามด้วยถุงน้ำจิ้มรสเด็ดที่เป็นหัวใจของลูกชิ้นปิ้งร้านนี้ที่ได้เตรียมไว้แล้ว

“ลูกชิ้นพี่ได้แล้วค่ะ” น้ำผึ้งรีบตัดบทก่อนจะถือถุงลูกชิ้นเดินอ้อมรถมาหา และพอมาหยุดอยู่ข้าง ๆ คชาพัฒน์เขาก็มองน้ำผึ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง

“หรือว่าพี่จะเอาเธอขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวานดีนะ”

“อะไรนะพี่”

“ไป ๆ หิ้วของไปส่งพี่ที่รถแล้วก็รีบเข็นรถกลับบ้าน แล้วอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่บ้าน บอกแม่ด้วยละพี่จะไปหา”

“จะไปทำไมละพี่”

“เหอะ เร็ว ๆ หิ้วของตามมา”





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2556, 09:28:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2556, 09:28:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1861





<< 3. หายไปซะนานนนนนนนนนนมากกกกกก   5. “มันจะยากตรงไหน แต่งตัวสวยเดินไปบนเวทีแล้วก็ตอบคำถาม" >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 12 มิ.ย. 2556, 09:29:22 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ แล้วถ้ามีเพิ่มมาอีกจะดีมาก ๆ เลย...


mottanoy 12 มิ.ย. 2556, 11:24:58 น.
พยายามล๊อกอินมากลายเดือนแล้ว เข้าไม่ได้ซักที
ดีใจที่เจอกันอีกนะคะ


เดิมเดิม 12 มิ.ย. 2556, 12:13:53 น.
น้ำผึ้งจะได้เป็นนางงามไหม


คิมหันตุ์ 12 มิ.ย. 2556, 12:29:50 น.
ฮ่าฮ่า.......แววออกแล้ว น้ำผึ้ง สู้ๆ


Zephyr 12 มิ.ย. 2556, 22:57:25 น.
แหม ร้อยห้าสิบ กับร้อยเจ็ดสิบนี่ต่างกันเยอะนะผึ้ง
ตัวเองจะเอาแค่ร้อยห้าสิบ งั้นอีก ยี่สิบเซ็น เค้าขอนะ


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:29:09 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account