รอยรักยมทูต
เขาคือเทพแห่งความตายแสนเย็นชา
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
Tags: รอยนิรันดร์ นิรันดร์แห่งรัก ดุจดั่งดวงใจ หทัยแห่งสุริยัน ตราบนิรันดร์คือเธอ ธานาทอส เฮเดส พริมา ขวัญชีวา
ตอน: บทที่ 3/2 หัวใจสีเทา
แม้จะรับปากฮิปนอสอย่างเป็นมั่นเหมาะ แต่เทพแห่งความตายเองก็ยังไม่สบโอกาสคุยกับขวัญชีวาตามลำพังเลย เพราะดูเหมือนตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เขาจะตามหาวิญญาณสาวไม่พบอย่างน่าประหลาด โดยปรกติเธอมักโผล่มาหาเขาเสมอโดยไม่ต้องออกตามหาเลย
“หายไปไหนของเขานะ” ธานาทอสเริ่มบ่นขึ้นด้วยความหัวเสีย
เขาแวะไปหาเธอที่แปลงกุหลาบครั้งหนึ่ง เดินวนรอบปราสาทประมาณสองรอบครึ่ง ขึ้นไปหาเธอตามหอคอยปราสาทมาแล้วครบถ้วนทุกหอ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของวิญญาณสาว
“ทำอะไรอยู่หรือธานาทอส องค์ราชันมีรับสั่งหา” เสียงของฮิปนอสตะโกนเรียกเทพแห่งความตายจากทางหน้าต่างของหอคอย
เพียงชะโงกหน้ามอง จึงเห็นร่างของเทพแห่งการหลับใหลรอคอยเขาอยู่
“อืม” เทพบุตรหนุ่มรับคำ ยอมออกจากหอคอยตามเทพแห่งการหลับใหลสู่ท้องพระโรงภายในปราสาท
ที่นั่นเอง เขาได้พบกับขวัญชีวา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันสักนิด เนื่องจากท้องพระโรงยามนี้มีเทพเฮเดสและพริมาประทับเด่นอยู่บนบัลลังก์หินอ่อนสีดำ ไม่ไกลนักคือเจ้าของร่างอรชรที่เฝ้าตามหา เธอหันมองเขาพอดีในตอนที่สองเทพบุตรก้าวเข้ามาถึงท้องพระโรง ภาพดวงตาสีน้ำตาลเข้มผินสบตาแล้วหลุบต่ำเมินใส่ ทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ จุดความรู้สึกบางอย่างแปลบขึ้นในหัวใจ แต่ยามนี้ก็หาใช่เรื่องจะพูดคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัว ธานาทอสเลยต้องเก็บความอัดอั้นไว้ภายใน หันไปโค้งศีรษะให้แก่องค์ราชันและรานีบนบัลลังก์เบื้องบน
“มีรับสั่งหากระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะ”
“ใช่ เหล่ามอยเรตามหาเชือกชีวิตของขวัญชีวาพบแล้ว”
เทพแห่งความตายมองเทวีแห่งโชคชะตาทั้งสาม เห็นลาเคซิสแบมืออันเหี่ยวย่นของนางออก เชือกแห่งชีวิตสีเทาหม่นเส้นหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่
“นี่เชือกของนางหรือ” มือหนาเอื้อมหยิบเส้นเชือกขึ้นพิจารณา
ความเปื่อยยุ่ยของมันทำให้เชือกเส้นยาวขาดจากกันเป็นท่อนๆ ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนเชือกในมืออย่างถนอม
“ทำไมถึงได้ยุ่ยขนาดนี้ล่ะ” ฮิปนอสซึ่งชะโงกหน้ามอง ขมวดคิ้วถาม
แต่ไหนแต่ไรมา สองเทพบุตรเคยเห็นเชือกชีวิตหลายต่อหลายเส้นนัก แต่ก็ยังไม่เคยมีเส้นไหนเปื่อยยุ่ยถึงขนาดนี้
“ที่มันเปื่อยยุ่ยก็เพราะวิญญาณของหญิงสาวนางนี้ถูกฆ่าตายอย่างทรมาน”
คำตอบของลาเคซิสเรียกรอยตะลึงค้างให้แก่ผู้รับฟัง รวมถึงเจ้าของเชือกชีวิตเส้นนี้ด้วย
“ฉันถูกฆ่าตายเหรอคะ ไม่เห็นจำได้เลย” ขวัญชีวาอุทานด้วยความแปลกใจ
ธานาทอสเงยหน้าขึ้นจากเส้นเชือกในมือ มองดวงวิญญาณสาวที่เขยิบกายเข้าใกล้เขา ดวงตาสีนิลอ่อนแสงลงอย่างไม่เคยเป็น
“แล้วพวกท่านเจอเชือกเส้นนี้ที่ไหน เหตุใดตุลาการยมโลกทั้งสามจึงไม่มีบันทึกชะตากรรมของขวัญชีวา” เทพแห่งความตายถามเหล่ามอยเร
“ข้าพบมันตกอยู่ข้างเครื่องปั่นด้าย เชือกเส้นนี้ไม่ได้ถูกปั่น ฟั่น หรือตัดให้ขาดด้วยมือพวกข้าเลยสักนิด ตลอดชีวิตของนาง ชะตาได้ลิขิตให้นางถือกำเนิด เติบโต และตายลงด้วยตนเอง อีกทั้งมันยังไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในถุงของพวกข้า ดังนั้นพวกตุลาการทั้งสามจึงไม่มีบันทึกชะตากรรมของนางอยู่” อะโทรพอสเป็นฝ่ายอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้บุคคลทั้งหลายในท้องพระโรงฟัง
“น่าแปลกนักที่ชะตาชีวิตของมนุษย์นางหนึ่งจะรอดพ้นจากสายตาของทั้งเหล่าตุลาการและเทวีทั้งสามได้” เทพเฮเดสทรงเปรยขึ้นด้วยความแปลกพระทัย
“แล้วฝ่าบาทจะทรงตัดสินชะตาชีวิตของนางมนุษย์ผู้นี้เช่นไรเพคะ” ลาเคซิสทูลถาม
ดวงเนตรสีนิลดำขลับทอดพระเนตรวิญญาณตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยอำนาจของราชันผู้อยู่เหนือความตาย แม้จะไม่อาจมองเห็นอดีตชาติของขวัญชีวา แต่เทพเฮเดสก็ทรงสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ของดวงจิต
“หัวใจของนางบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะพึงมี ข้าตัดสินให้เจ้าไปใช้ชีวิตหลังความตายที่ทุ่งแอสโฟเดล...”
“เดี๋ยวเพคะ”
ยังไม่ทันเสร็จสิ้นรับสั่ง วิญญาณสาวซึ่งยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นก็รีบทูลประท้วงขึ้น
“ทำไมรึ เจ้ามีสิ่งใดร้องขอ” เทพเฮเดสตรัสถามขวัญชีวาด้วยสุรเสียงดุต่ำ แต่ก็ยังแฝงด้วยความเมตตาล้นพ้น
“คือ... เมื่อครู่พวกคุณบอกฉันถูกฆ่าตายเหรอคะ” เธอยังอยากรู้ในสิ่งคาใจ
“ใช่ ดูจากสภาพเปื่อยยุ่ยของเชือกเส้นนี้ พวกข้าเชื่อเช่นนั้น” ลาเคซิสกล่าว
“แปลฉันตายแล้วจริงๆหรือ” หญิงสาวยังไม่ค่อยเชื่อถือในสิ่งที่ได้ฟังนัก
“หนูน้อย เจ้าตายมานานแล้วนับตั้งแต่มีสภาพเพียงร่างไร้กายาเช่นนี้” โคลโธพยายามอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจ
“งั้นเหรอ” เสียงหวานแผ่วลงอย่างลังเลสมควรจะเชื่อถือในสิ่งที่ได้ยินมากน้อยเพียงใด “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนฆ่าฉันล่ะ”
“พวกข้าไม่รู้หรอก การฆ่าแกงกันระหว่างมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในชะตากรรม” อะโทรพอสกล่าว
“ทำไมล่ะ ทำไมฉันถึงต้องโดนฆ่าตายด้วยล่ะคะ ฉันทำร้ายใครไว้เหรอถึงต้องโดนฆ่าตายเช่นนี้”
เมื่อเริ่มพูด ขวัญชีวาก็เริ่มรู้สึกหยาดน้ำตาตนเองกำลังรินไหล มันช่วยไม่ได้เลยที่หญิงสาวจะเริ่มรู้สึกเจ็บปวดกับความจริงตรงหน้า
“หนูน้อย เจ้าอาจไม่ได้ทำกรรมต่อผู้ใด แต่ผู้ที่กระทำกรรมต่อเจ้า วันหนึ่งเมื่อเขาตายลง เขาก็ต้องมาชดใช้กรรมที่ได้กระทำต่อผู้คนอื่นยังดินแดนแห่งนี้ เจ้าอย่าเคียดแค้นเขาเลย” เทพเฮเดสทรงปลอบ
“แต่หม่อมฉันอยากรู้นี่เพคะผู้ใดเป็นคนฆ่าหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากตายโดยไม่รู้เรื่องราวอันใด”
คำกราบทูลของหญิงสาวสร้างความหนักพระทัยให้แก่ราชันแห่งยมโลกไม่น้อย
“เจ้าจะอยากรู้ไปไย จะรู้เพื่อกลับไปแก้แค้นเขากระนั้นหรือ”
ขวัญชีวาส่ายหน้า ถึงจะโศกเศร้าที่รู้ว่าตนเองถูกใครบางคนฆ่าตาย แต่เธอก็ไม่คิดว่าตนเองร้ายพอจะเคืองแค้นใคร
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่อยากรู้ใครกันปรารถนาให้หม่อมฉันตาย หม่อมฉันห่วงพ่อแม่ ถ้าหากใครคนนั้นไม่ได้แค้นเคืองเพียงแค่หม่อมฉัน แต่ปรารถนาทำร้ายครอบครัวของหม่อมฉันด้วยล่ะเพคะ”
เหตุผลของความห่วงหาอันมีครอบครัวเป็นตัวตั้ง ทำให้เทพเฮเดสเริ่มพระทัยอ่อน
“แล้วเธอปรารถนาอะไรล่ะจ๊ะ” พริมาซึ่งนั่งฟังมาโดยตลอดเป็นฝ่ายตัดสินใจถาม
“หม่อมฉัน...” ขวัญชีวานิ่งคิดครู่ใหญ่ จึงเอ่ยปากถึงความปรารถนาของตน “หากเป็นได้หม่อมฉันใคร่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าหม่อมฉัน.... หม่อมฉันสัญญาจะเพียงแค่รับรู้ ไม่คิดเคียดแค้นใด และอีกเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันอยากจะแน่ใจ พ่อกับแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุขแม้ไม่มีหม่อมฉันแล้วก็ตาม”
พริมาฟังคำขอร้องของวิญญาณก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายหนึ่งจับใจ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะหันไปสบดวงเนตรสีดำสนิทซึ่งทอดพระเนตรเธอก่อนหน้าแล้ว
“ดิสคะ...”
“ข้ารู้เจ้าจะพูดอะไร” เทพเฮเดสตรัสขึ้นทันใด “ข้าคงต้องใจอ่อนทุกทีสิน่ายามพาเจ้าขึ้นนั่งบนบัลลังก์ฟังเรื่องราวร้องทุกข์ใดด้วย”
“แหม ก็เธอน่าสงสารนี่คะ คุณจะไม่ช่วยเธอหน่อยเหรอ”
เทพเฮเดสทรงส่ายพระพักตร์กับความขี้สงสารของผู้เป็นดั่งดวงหทัย แต่เมื่อทอดพระเนตรวิญญาณดวงน้อยตรงหน้าแล้วก็ทำให้ตัดสินพระทัยง่ายขึ้น
“เจ้าจะไม่เสียใจใช่ไหมหากรู้ความจริง บางครั้งการต้องรับรู้ความจริงก็ใช่เรื่องดีเสมอไป โลกมนุษย์เบื้องบนและอดีตของเจ้าเป็นเช่นไรไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ข้าไม่คิดความจริงที่เจ้าอยากพบเจอจะสวยงามนัก” ราชันแห่งยมโลกทรงเตือน
สีหน้าของหญิงสาวเกิดอาการลังเลขึ้น แต่เพียงแค่นึกถึงความปลอดภัยและความห่วงต่อครอบครัว ขวัญชีวาก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก
“หม่อมฉันจะไม่เสียใจเพคะ อย่างไรก็อยากรู้อยู่ดีว่าทุกคนจะอยู่อย่างสุขสบายดีไหม”
“ถ้าเจ้ามั่นใจและได้เลือกแล้ว เจ้าจะได้ตามที่ขอ ข้าจะให้ฮิปนอสหรือธานาทอสขึ้นไปส่งเจ้ายังโลกเบื้องบน” ตรัสจบก็ทรงเบนสายพระเนตรมายังเทพนักรบทั้งสอง “มีผู้ใดจะอาสาขึ้นไปยังโลกเบื้องบนกับนางบ้าง”
“กระหม่อมขอรับอาสาพระเจ้าค่ะ” ธานาทอสทูลทันใด นัยน์ตาคมสีนิลจับจ้องดวงหน้ากลมของหญิงสาว ราวกับจะขอความเห็นด้วยจากเธอ
แต่ดูเหมือนขวัญชีวาจะเลือกหันไปทางอื่นโดยไม่คิดสบตาเขา อากัปกิริยาของบุคคลทั้งสองหาได้รอดพ้นจากสายตาของฮิปนอสเลย
รอยยิ้มพรายฉายแววเจ้าเล่ห์ปรากฏชัดขึ้นบนดวงหน้าเทพแห่งการหลับใหล
“กระหม่อมก็ขออาสาด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ ช่วงนี้ธานาทอสกำลังยุ่งเพราะเกิดทั้งอุทกภัย ไฟป่า วาตภัย คร่าชีวิตมนุษย์ไปตั้งเท่าไร ให้กระหม่อมทำแทนดีกว่า เขาจะได้มีเวลาคุมเหล่ายมทูตไปเก็บดวงวิญญาณทั้งหลาย”
“ข้าไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น” น้ำเสียงดุดันแสดงชัดถึงแรงโทสะ “โลกมนุษย์มีคนตายทุกวี่วันเป็นปรกติอยู่แล้ว จะเกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้นพวกมนุษย์ก็ต้องตายอยู่ดี”
“อ้าว แต่ข้าเห็นเจ้ายุ่งนี่นา”
“ข้าบอกแล้วไง..ไม่ได้ยุ่ง”
คราวนี้น้ำเสียงที่ดูเหมือนลอดไรฟันตอนแรกเข้มและดังขึ้นจนเทพเฮเดสจำต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพ
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้วพวกเจ้าทั้งสองอยากอาสา เช่นนั้นข้ายกให้เป็นการตัดสินใจของนางดีกว่า” ทรงหันพักตร์หาขวัญชีวาซึ่งกำลังฟังสองหนุ่มทุ่มเถียงกันอยู่
“ให้หม่อมฉันเป็นคนเลือกเหรอเพคะ”
“ใช่ ทั้งสองอาสาจะขึ้นไปส่งเจ้าทั้งคู่ ก็จงตัดสินใจเอาเองเถอะเจ้าอยากไปกับผู้ใด”
ขวัญชีวามองหน้าเทพบุตรทั้งสอง เธอสบตากับเจ้าของนัยน์ตาระริกด้วยความขี้เล่นแวบหนึ่ง แล้วจึงเผลอเหลือบมองดวงตาสีนิลอีกคู่ ดวงตาดุคมลึกล้ำประหนึ่งท้องฟ้าไร้ดาราที่เคยเห็นมาตลอดเดือนดูจะเจือแววประหลาดหนึ่งขึ้น มันคลับคล้ายจะเป็นรอยเว้าวอนขอ ทว่าเพียงชั่วครู่ที่เพ่งมอง แววประหลาดนั้นก็เลือนหายจากนัยน์ตาสีดำสิ้น
เมื่อครู่นี้อะไร ขวัญชีวาถามตัวเองอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อคำนึงคิดถึงเหตุผล เธอก็สรุปได้ทันทีตนเองคงจะตาฝาดมากกว่า เทพบุตรหัวใจด้านชาอย่างเขา จะมามองเธอด้วยสายตาเว้าวอนได้อย่างไรกัน
“หม่อมฉันอยากขอร้องให้ฮิปนอสขึ้นไปเพคะ”
---------------------------------------------------------------------------
ฉากนี้มีใครแอบสะใจไหมคะที่หนูขวัญเลือกฮิปนอสแทนตาลุงอย่างธานาทอส ^^
“หายไปไหนของเขานะ” ธานาทอสเริ่มบ่นขึ้นด้วยความหัวเสีย
เขาแวะไปหาเธอที่แปลงกุหลาบครั้งหนึ่ง เดินวนรอบปราสาทประมาณสองรอบครึ่ง ขึ้นไปหาเธอตามหอคอยปราสาทมาแล้วครบถ้วนทุกหอ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของวิญญาณสาว
“ทำอะไรอยู่หรือธานาทอส องค์ราชันมีรับสั่งหา” เสียงของฮิปนอสตะโกนเรียกเทพแห่งความตายจากทางหน้าต่างของหอคอย
เพียงชะโงกหน้ามอง จึงเห็นร่างของเทพแห่งการหลับใหลรอคอยเขาอยู่
“อืม” เทพบุตรหนุ่มรับคำ ยอมออกจากหอคอยตามเทพแห่งการหลับใหลสู่ท้องพระโรงภายในปราสาท
ที่นั่นเอง เขาได้พบกับขวัญชีวา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันสักนิด เนื่องจากท้องพระโรงยามนี้มีเทพเฮเดสและพริมาประทับเด่นอยู่บนบัลลังก์หินอ่อนสีดำ ไม่ไกลนักคือเจ้าของร่างอรชรที่เฝ้าตามหา เธอหันมองเขาพอดีในตอนที่สองเทพบุตรก้าวเข้ามาถึงท้องพระโรง ภาพดวงตาสีน้ำตาลเข้มผินสบตาแล้วหลุบต่ำเมินใส่ ทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ จุดความรู้สึกบางอย่างแปลบขึ้นในหัวใจ แต่ยามนี้ก็หาใช่เรื่องจะพูดคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัว ธานาทอสเลยต้องเก็บความอัดอั้นไว้ภายใน หันไปโค้งศีรษะให้แก่องค์ราชันและรานีบนบัลลังก์เบื้องบน
“มีรับสั่งหากระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะ”
“ใช่ เหล่ามอยเรตามหาเชือกชีวิตของขวัญชีวาพบแล้ว”
เทพแห่งความตายมองเทวีแห่งโชคชะตาทั้งสาม เห็นลาเคซิสแบมืออันเหี่ยวย่นของนางออก เชือกแห่งชีวิตสีเทาหม่นเส้นหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่
“นี่เชือกของนางหรือ” มือหนาเอื้อมหยิบเส้นเชือกขึ้นพิจารณา
ความเปื่อยยุ่ยของมันทำให้เชือกเส้นยาวขาดจากกันเป็นท่อนๆ ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนเชือกในมืออย่างถนอม
“ทำไมถึงได้ยุ่ยขนาดนี้ล่ะ” ฮิปนอสซึ่งชะโงกหน้ามอง ขมวดคิ้วถาม
แต่ไหนแต่ไรมา สองเทพบุตรเคยเห็นเชือกชีวิตหลายต่อหลายเส้นนัก แต่ก็ยังไม่เคยมีเส้นไหนเปื่อยยุ่ยถึงขนาดนี้
“ที่มันเปื่อยยุ่ยก็เพราะวิญญาณของหญิงสาวนางนี้ถูกฆ่าตายอย่างทรมาน”
คำตอบของลาเคซิสเรียกรอยตะลึงค้างให้แก่ผู้รับฟัง รวมถึงเจ้าของเชือกชีวิตเส้นนี้ด้วย
“ฉันถูกฆ่าตายเหรอคะ ไม่เห็นจำได้เลย” ขวัญชีวาอุทานด้วยความแปลกใจ
ธานาทอสเงยหน้าขึ้นจากเส้นเชือกในมือ มองดวงวิญญาณสาวที่เขยิบกายเข้าใกล้เขา ดวงตาสีนิลอ่อนแสงลงอย่างไม่เคยเป็น
“แล้วพวกท่านเจอเชือกเส้นนี้ที่ไหน เหตุใดตุลาการยมโลกทั้งสามจึงไม่มีบันทึกชะตากรรมของขวัญชีวา” เทพแห่งความตายถามเหล่ามอยเร
“ข้าพบมันตกอยู่ข้างเครื่องปั่นด้าย เชือกเส้นนี้ไม่ได้ถูกปั่น ฟั่น หรือตัดให้ขาดด้วยมือพวกข้าเลยสักนิด ตลอดชีวิตของนาง ชะตาได้ลิขิตให้นางถือกำเนิด เติบโต และตายลงด้วยตนเอง อีกทั้งมันยังไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในถุงของพวกข้า ดังนั้นพวกตุลาการทั้งสามจึงไม่มีบันทึกชะตากรรมของนางอยู่” อะโทรพอสเป็นฝ่ายอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้บุคคลทั้งหลายในท้องพระโรงฟัง
“น่าแปลกนักที่ชะตาชีวิตของมนุษย์นางหนึ่งจะรอดพ้นจากสายตาของทั้งเหล่าตุลาการและเทวีทั้งสามได้” เทพเฮเดสทรงเปรยขึ้นด้วยความแปลกพระทัย
“แล้วฝ่าบาทจะทรงตัดสินชะตาชีวิตของนางมนุษย์ผู้นี้เช่นไรเพคะ” ลาเคซิสทูลถาม
ดวงเนตรสีนิลดำขลับทอดพระเนตรวิญญาณตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยอำนาจของราชันผู้อยู่เหนือความตาย แม้จะไม่อาจมองเห็นอดีตชาติของขวัญชีวา แต่เทพเฮเดสก็ทรงสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ของดวงจิต
“หัวใจของนางบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะพึงมี ข้าตัดสินให้เจ้าไปใช้ชีวิตหลังความตายที่ทุ่งแอสโฟเดล...”
“เดี๋ยวเพคะ”
ยังไม่ทันเสร็จสิ้นรับสั่ง วิญญาณสาวซึ่งยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นก็รีบทูลประท้วงขึ้น
“ทำไมรึ เจ้ามีสิ่งใดร้องขอ” เทพเฮเดสตรัสถามขวัญชีวาด้วยสุรเสียงดุต่ำ แต่ก็ยังแฝงด้วยความเมตตาล้นพ้น
“คือ... เมื่อครู่พวกคุณบอกฉันถูกฆ่าตายเหรอคะ” เธอยังอยากรู้ในสิ่งคาใจ
“ใช่ ดูจากสภาพเปื่อยยุ่ยของเชือกเส้นนี้ พวกข้าเชื่อเช่นนั้น” ลาเคซิสกล่าว
“แปลฉันตายแล้วจริงๆหรือ” หญิงสาวยังไม่ค่อยเชื่อถือในสิ่งที่ได้ฟังนัก
“หนูน้อย เจ้าตายมานานแล้วนับตั้งแต่มีสภาพเพียงร่างไร้กายาเช่นนี้” โคลโธพยายามอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจ
“งั้นเหรอ” เสียงหวานแผ่วลงอย่างลังเลสมควรจะเชื่อถือในสิ่งที่ได้ยินมากน้อยเพียงใด “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนฆ่าฉันล่ะ”
“พวกข้าไม่รู้หรอก การฆ่าแกงกันระหว่างมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในชะตากรรม” อะโทรพอสกล่าว
“ทำไมล่ะ ทำไมฉันถึงต้องโดนฆ่าตายด้วยล่ะคะ ฉันทำร้ายใครไว้เหรอถึงต้องโดนฆ่าตายเช่นนี้”
เมื่อเริ่มพูด ขวัญชีวาก็เริ่มรู้สึกหยาดน้ำตาตนเองกำลังรินไหล มันช่วยไม่ได้เลยที่หญิงสาวจะเริ่มรู้สึกเจ็บปวดกับความจริงตรงหน้า
“หนูน้อย เจ้าอาจไม่ได้ทำกรรมต่อผู้ใด แต่ผู้ที่กระทำกรรมต่อเจ้า วันหนึ่งเมื่อเขาตายลง เขาก็ต้องมาชดใช้กรรมที่ได้กระทำต่อผู้คนอื่นยังดินแดนแห่งนี้ เจ้าอย่าเคียดแค้นเขาเลย” เทพเฮเดสทรงปลอบ
“แต่หม่อมฉันอยากรู้นี่เพคะผู้ใดเป็นคนฆ่าหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากตายโดยไม่รู้เรื่องราวอันใด”
คำกราบทูลของหญิงสาวสร้างความหนักพระทัยให้แก่ราชันแห่งยมโลกไม่น้อย
“เจ้าจะอยากรู้ไปไย จะรู้เพื่อกลับไปแก้แค้นเขากระนั้นหรือ”
ขวัญชีวาส่ายหน้า ถึงจะโศกเศร้าที่รู้ว่าตนเองถูกใครบางคนฆ่าตาย แต่เธอก็ไม่คิดว่าตนเองร้ายพอจะเคืองแค้นใคร
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่อยากรู้ใครกันปรารถนาให้หม่อมฉันตาย หม่อมฉันห่วงพ่อแม่ ถ้าหากใครคนนั้นไม่ได้แค้นเคืองเพียงแค่หม่อมฉัน แต่ปรารถนาทำร้ายครอบครัวของหม่อมฉันด้วยล่ะเพคะ”
เหตุผลของความห่วงหาอันมีครอบครัวเป็นตัวตั้ง ทำให้เทพเฮเดสเริ่มพระทัยอ่อน
“แล้วเธอปรารถนาอะไรล่ะจ๊ะ” พริมาซึ่งนั่งฟังมาโดยตลอดเป็นฝ่ายตัดสินใจถาม
“หม่อมฉัน...” ขวัญชีวานิ่งคิดครู่ใหญ่ จึงเอ่ยปากถึงความปรารถนาของตน “หากเป็นได้หม่อมฉันใคร่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าหม่อมฉัน.... หม่อมฉันสัญญาจะเพียงแค่รับรู้ ไม่คิดเคียดแค้นใด และอีกเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันอยากจะแน่ใจ พ่อกับแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุขแม้ไม่มีหม่อมฉันแล้วก็ตาม”
พริมาฟังคำขอร้องของวิญญาณก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายหนึ่งจับใจ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะหันไปสบดวงเนตรสีดำสนิทซึ่งทอดพระเนตรเธอก่อนหน้าแล้ว
“ดิสคะ...”
“ข้ารู้เจ้าจะพูดอะไร” เทพเฮเดสตรัสขึ้นทันใด “ข้าคงต้องใจอ่อนทุกทีสิน่ายามพาเจ้าขึ้นนั่งบนบัลลังก์ฟังเรื่องราวร้องทุกข์ใดด้วย”
“แหม ก็เธอน่าสงสารนี่คะ คุณจะไม่ช่วยเธอหน่อยเหรอ”
เทพเฮเดสทรงส่ายพระพักตร์กับความขี้สงสารของผู้เป็นดั่งดวงหทัย แต่เมื่อทอดพระเนตรวิญญาณดวงน้อยตรงหน้าแล้วก็ทำให้ตัดสินพระทัยง่ายขึ้น
“เจ้าจะไม่เสียใจใช่ไหมหากรู้ความจริง บางครั้งการต้องรับรู้ความจริงก็ใช่เรื่องดีเสมอไป โลกมนุษย์เบื้องบนและอดีตของเจ้าเป็นเช่นไรไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ข้าไม่คิดความจริงที่เจ้าอยากพบเจอจะสวยงามนัก” ราชันแห่งยมโลกทรงเตือน
สีหน้าของหญิงสาวเกิดอาการลังเลขึ้น แต่เพียงแค่นึกถึงความปลอดภัยและความห่วงต่อครอบครัว ขวัญชีวาก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก
“หม่อมฉันจะไม่เสียใจเพคะ อย่างไรก็อยากรู้อยู่ดีว่าทุกคนจะอยู่อย่างสุขสบายดีไหม”
“ถ้าเจ้ามั่นใจและได้เลือกแล้ว เจ้าจะได้ตามที่ขอ ข้าจะให้ฮิปนอสหรือธานาทอสขึ้นไปส่งเจ้ายังโลกเบื้องบน” ตรัสจบก็ทรงเบนสายพระเนตรมายังเทพนักรบทั้งสอง “มีผู้ใดจะอาสาขึ้นไปยังโลกเบื้องบนกับนางบ้าง”
“กระหม่อมขอรับอาสาพระเจ้าค่ะ” ธานาทอสทูลทันใด นัยน์ตาคมสีนิลจับจ้องดวงหน้ากลมของหญิงสาว ราวกับจะขอความเห็นด้วยจากเธอ
แต่ดูเหมือนขวัญชีวาจะเลือกหันไปทางอื่นโดยไม่คิดสบตาเขา อากัปกิริยาของบุคคลทั้งสองหาได้รอดพ้นจากสายตาของฮิปนอสเลย
รอยยิ้มพรายฉายแววเจ้าเล่ห์ปรากฏชัดขึ้นบนดวงหน้าเทพแห่งการหลับใหล
“กระหม่อมก็ขออาสาด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ ช่วงนี้ธานาทอสกำลังยุ่งเพราะเกิดทั้งอุทกภัย ไฟป่า วาตภัย คร่าชีวิตมนุษย์ไปตั้งเท่าไร ให้กระหม่อมทำแทนดีกว่า เขาจะได้มีเวลาคุมเหล่ายมทูตไปเก็บดวงวิญญาณทั้งหลาย”
“ข้าไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น” น้ำเสียงดุดันแสดงชัดถึงแรงโทสะ “โลกมนุษย์มีคนตายทุกวี่วันเป็นปรกติอยู่แล้ว จะเกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้นพวกมนุษย์ก็ต้องตายอยู่ดี”
“อ้าว แต่ข้าเห็นเจ้ายุ่งนี่นา”
“ข้าบอกแล้วไง..ไม่ได้ยุ่ง”
คราวนี้น้ำเสียงที่ดูเหมือนลอดไรฟันตอนแรกเข้มและดังขึ้นจนเทพเฮเดสจำต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพ
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้วพวกเจ้าทั้งสองอยากอาสา เช่นนั้นข้ายกให้เป็นการตัดสินใจของนางดีกว่า” ทรงหันพักตร์หาขวัญชีวาซึ่งกำลังฟังสองหนุ่มทุ่มเถียงกันอยู่
“ให้หม่อมฉันเป็นคนเลือกเหรอเพคะ”
“ใช่ ทั้งสองอาสาจะขึ้นไปส่งเจ้าทั้งคู่ ก็จงตัดสินใจเอาเองเถอะเจ้าอยากไปกับผู้ใด”
ขวัญชีวามองหน้าเทพบุตรทั้งสอง เธอสบตากับเจ้าของนัยน์ตาระริกด้วยความขี้เล่นแวบหนึ่ง แล้วจึงเผลอเหลือบมองดวงตาสีนิลอีกคู่ ดวงตาดุคมลึกล้ำประหนึ่งท้องฟ้าไร้ดาราที่เคยเห็นมาตลอดเดือนดูจะเจือแววประหลาดหนึ่งขึ้น มันคลับคล้ายจะเป็นรอยเว้าวอนขอ ทว่าเพียงชั่วครู่ที่เพ่งมอง แววประหลาดนั้นก็เลือนหายจากนัยน์ตาสีดำสิ้น
เมื่อครู่นี้อะไร ขวัญชีวาถามตัวเองอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อคำนึงคิดถึงเหตุผล เธอก็สรุปได้ทันทีตนเองคงจะตาฝาดมากกว่า เทพบุตรหัวใจด้านชาอย่างเขา จะมามองเธอด้วยสายตาเว้าวอนได้อย่างไรกัน
“หม่อมฉันอยากขอร้องให้ฮิปนอสขึ้นไปเพคะ”
---------------------------------------------------------------------------
ฉากนี้มีใครแอบสะใจไหมคะที่หนูขวัญเลือกฮิปนอสแทนตาลุงอย่างธานาทอส ^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2556, 10:01:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2556, 10:01:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 2910
<< บทที่ 3/1 หัวใจสีเทา | บทที่ 4/1 อดีตที่เคยลืมเลือน >> |

ริญจน์ธร 12 มิ.ย. 2556, 10:04:50 น.
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ หมูอ้วน เพราะปากแข็งเกิ้น ตอนนี้เลยจัดสักหน่อย หนูขวัญไม่สนใจตาลุงแล้วค่า

คุณ คิมหันตุ์ 55 จริงค่ะ เรื่องนี้ฮิปนอสเป็นคนที่รู้ใจใครๆที่ดีสุดเลยล่ะ
คุณ nako งานนี้ตาลุงต้องขึ้นไปง้อหนูขวัญบนโลกมนุษย์แล้วล่ะค่ะ
คุณ lovemuay 555 อยากกลับ อยากอยู่ใกล้ใจจะขาดดด แต่... ก็ดันปากแข็งเองเนอะ
คุณ Zephyr ถึงจะหงุดหงิด แต่ตัวเองก็เป็นคนผิดนะ เพราะงั้นควรตามไปง้อเนอะๆ
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ หมูอ้วน เพราะปากแข็งเกิ้น ตอนนี้เลยจัดสักหน่อย หนูขวัญไม่สนใจตาลุงแล้วค่า

คุณ คิมหันตุ์ 55 จริงค่ะ เรื่องนี้ฮิปนอสเป็นคนที่รู้ใจใครๆที่ดีสุดเลยล่ะ
คุณ nako งานนี้ตาลุงต้องขึ้นไปง้อหนูขวัญบนโลกมนุษย์แล้วล่ะค่ะ
คุณ lovemuay 555 อยากกลับ อยากอยู่ใกล้ใจจะขาดดด แต่... ก็ดันปากแข็งเองเนอะ
คุณ Zephyr ถึงจะหงุดหงิด แต่ตัวเองก็เป็นคนผิดนะ เพราะงั้นควรตามไปง้อเนอะๆ

คิมหันตุ์ 12 มิ.ย. 2556, 12:06:33 น.
อ้าวววววว ฮ่าฮ่า ลุงทอสโดนเมินบ้างซะแล้ว เป็นไงหล่ะ เล่นตัวดีนัก
อ้าวววววว ฮ่าฮ่า ลุงทอสโดนเมินบ้างซะแล้ว เป็นไงหล่ะ เล่นตัวดีนัก

nako 12 มิ.ย. 2556, 12:52:39 น.
อ้าวซวยแล้วธานาทอส โดนงอน ฮ่าฮ่า
อ้าวซวยแล้วธานาทอส โดนงอน ฮ่าฮ่า

หมูอ้วน 12 มิ.ย. 2556, 13:59:17 น.
แอบสงสารลุงอ่ะค่ะ
แอบสงสารลุงอ่ะค่ะ


lovemuay 12 มิ.ย. 2556, 19:08:03 น.
55 โสนนะหน้าลุงจัง แต่ลุงก้คงหาทางไปด้วยอยู่ดีแหละ อิอิ
55 โสนนะหน้าลุงจัง แต่ลุงก้คงหาทางไปด้วยอยู่ดีแหละ อิอิ

Zephyr 12 มิ.ย. 2556, 22:21:19 น.
ไงล่ะลุง หน้าบูดนัก หลานหนีเลย ไม่ยอมไปด้วย
ฮ่าๆๆๆ แต่หลานคะ หลานจะสร้างงานเพิ่มให้พวกยมทูตนะคะ
ต้องมาคอยรับอารมณ์วัยทอง ฮ่าๆๆๆ
ไงล่ะลุง หน้าบูดนัก หลานหนีเลย ไม่ยอมไปด้วย
ฮ่าๆๆๆ แต่หลานคะ หลานจะสร้างงานเพิ่มให้พวกยมทูตนะคะ
ต้องมาคอยรับอารมณ์วัยทอง ฮ่าๆๆๆ

konhin 13 มิ.ย. 2556, 03:11:45 น.
โดนงอนซะแล้ว
โดนงอนซะแล้ว