รอยรักยมทูต
เขาคือเทพแห่งความตายแสนเย็นชา
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
ส่วนเธอคือวิญญาณดวงน้อยไร้กายา
แต่โชคชะตากลับดลสองดวงใจให้พบกัน
ท่ามกลางอนธการปาฏิหาริย์แห่งรักนิรันดร์จะเริ่มต้นขึ้น
Tags: รอยนิรันดร์ นิรันดร์แห่งรัก ดุจดั่งดวงใจ หทัยแห่งสุริยัน ตราบนิรันดร์คือเธอ ธานาทอส เฮเดส พริมา ขวัญชีวา
ตอน: บทที่ 4/1 อดีตที่เคยลืมเลือน
บทที่4
“ทำไมถึงตัดสินใจเลือกข้าแทนธานาทอสล่ะ” เทพแห่งการหลับใหลถามขวัญชีวา ขณะกำลังพาเธอข้ามผ่านอนธการขึ้นสู่โลกมนุษย์เบื้องบน
“คุณใจดี คุยด้วยแล้วสบายใจ”
ฮิปนอสเหลือบสายตามองผู้ติดตามทางด้านหลังด้วยแววตาคล้ายกำลังชั่งใจอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หนทางเบื้องหน้าซึ่งเริ่มปรากฏแสงสีของบ้านเรือนทำให้เขาเก็บคำถามที่เหลือไว้ พาเธอมุ่งสู่ตัวเมืองอันคลาคล่ำด้วยผู้คน
แสงเรืองรองสีทองเข้มสุกปลั่งสาดไปทั่วพื้นถนนและบรรดาตึกรามบ้านช่อง เกือบย่างเข้าสู่สนธยากว่าขวัญชีวาจะหาทางกลับบ้านตนเองพบ ยามนี้เธอและเทพแห่งการหลับใหลกำลังยืนอยู่หน้าตึกแถวสูงสี่ชั้นแห่งหนึ่งภายในซอยตันของเมืองใหญ่ ห่างจากถนนหลักมาไม่ไกล
“ที่นี่คือบ้านของเจ้าหรือ” เทพบุตรหนุ่มถามวิญญาณสาวซึ่งกำลังยืนมองประตูรั้วเหล็กสีฟ้าอ่อนอยู่ด้วยแววตาคลอหยาดน้ำตา
“ค่ะ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เกิดและอาศัยอยู่ที่นี่ตลอด”
เพียงไม่นาน สองร่างก็ก้าวผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าสู่ตัวบ้าน ทั่วทุกอย่างภายในบ้านไม่แตกต่างจากความทรงจำสุดท้าย ขวัญชีวายังจำห้องรับแขกที่เคยนั่งเล่น พูดคุยกันได้ แต่ในยามเย็นของวันนี้ห้องรับแขกบริเวณชั้นสองของตึกกลับเงียบสงัด ไม่มีเสียงหัวเราะ พูดคุย หรือแม้แต่เสียงโทรทัศน์แว่วผ่านให้ได้ยิน
วิญญาณสาวลอยนำฮิปนอสขึ้นสู่ชั้นบนของบ้าน จนหยุดลงยังบริเวณชั้นสี่ของตัวตึก ตรงนั้นมีประตูไม้สองบานตั้งเฉียงห่างกันทำมุมเก้าสิบองศา กึ่งกลางบานประตูห้องทั้งสองมีป้ายตัวอักษรดินเผาเป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงเขียนข้อความบอกชื่อเจ้าของห้องไว้ ปานชีวัน ขวัญชีวา ชื่อสองพี่น้องของบ้านหลังนี้
หัวใจดวงน้อยกระตุกเล็กๆยามอ่านทวนป้ายชื่อทั้งสอง จริงสินะ บ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่รวมกันแค่สามคนเสียหน่อย เหตุใดเธอจึงลืมพี่สาวตนเองได้
“นี่ห้องฉันค่ะ ส่วนนั่น ห้องของพี่สาว” ขวัญชีวาบอกขณะเลื่อนปลายนิ้วไปยังบานประตูซึ่งมีชื่อ ‘ปานชีวัน’ แขวนอยู่
ความทรงจำที่ผุดพรายเกี่ยวกับครอบครัวดูจะไม่ค่อยมีเรื่องราวของปานชีวันนัก แต่ไม่รู้ทำไมในความรับรู้ของเธอก็ยังย้ำชัดว่าตนเองมีพี่สาว
“จะไม่เข้าไปดูหน่อยรึ” ฮิปนอสกระตุ้นเตือน เมื่อเห็นดวงวิญาณสาวเอาแต่จ้องมองบานประตูทั้งสองบานโดยไม่ขยับกาย
“ในห้องฉันไม่น่าหลงเหลืออะไรมั้ง พ่อกับแม่น่าจะเก็บข้าวของของฉันหมดแล้ว”
“เข้าไปเถอะ เมื่อเจ้าตัดสินใจก้าวขึ้นสู่โลกมนุษย์ เจ้าก็ควรยอมรับความจริงเสีย” เทพแห่งการหลับใหลแปลท่าทีลังเลของวิญญาณสาวไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งขวัญชีวาเองก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดนั้น ยอมพยักหน้ารับ ก่อนจะลอยผ่าน ทะลุบานประตูเข้าสู่ด้านใน
แสงยามย่ำสนธยาส่องผ่านบานหน้าต่างซึ่งไม่ได้ถูกผ้าม่านบดบัง ทำให้ภายในห้องนอนกว้างถูกอาบด้วยแสงยามเย็นของอาทิตย์อัสดง ขวัญชีวากวาดสายตามองรอบห้อง ทุกสิ่งอย่างภายในห้องนอนของเธอยังถูกจัดวางไว้ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดขยับเขยื้อนหายจากวันสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เลย
ขวัญชีวาสืบเท้าเข้าใกล้โต๊ะทำงานสีขาว กระเป๋าสะพายของเธอยังวางเด่นอยู่บนโต๊ะ ณ ที่ประจำเดิมซึ่งเธอชอบวางข้าวของส่วนตัวไว้ ในขณะกำลังสำรวจรอบกาย จู่ๆเสียงบานประตูไม้ทางด้านหลังก็ถูกเปิดออกพร้อมกับแสงไฟนีออนบนเพดานสว่างขึ้น หญิงสาวหันหลังกลับมองคนทางด้านหลัง หัวใจกระตุกวาบเมื่อเห็นสองร่างเดินเข้ามาภายในห้องนอน
“พ่อจ๋า แม่จ๋า”
ร่างของวิญญาณสาวถลาหาผู้เป็นบุพการีทันที ทว่าสิ่งที่สองมือสัมผัสได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า เธอลอยทะลุผ่านบุคคลทั้งสองโดยไม่อาจไขว่คว้าสิ่งใด
อีกครั้ง หัวใจดวงน้อยถูกกระตุกจนมันเสียวแปลบอยู่ภายใน ขวัญชีวาก้มหน้าลงมองมืออันว่างเปล่าและร่างไร้กายาของตน
“ลืมหรือไรว่าเจ้าตายแล้ว” ฮิปนอสเอ่ยปากเตือนยามเห็นท่าทีสับสนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวย
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ขวัญชีวาตระหนักถึงความไม่มีตัวตนของเธอชัดเจน ตลอดมาการใช้ชีวิตอยู่ในยมโลกกับสองเทพนักรบ ทำให้เธอยังไม่ค่อยรู้แน่ชัดนักถึงสถานภาพตัวเอง
“ฉันตายแล้วจริงๆเหรอเนี่ย” หญิงสาวครางคล้ายยังไม่อาจรับความจริงตรงหน้า
“อย่าเสียใจ เจ้าขึ้นมาบนโลกเพราะความอยากรู้ว่าบิดามารดาอยู่สุขสบายดีไหมมิใช่หรือ” ฮิปนอสพยักพเยิดไปยังร่างของมนุษย์ชายหญิงวัยกลางคนซึ่งหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานสีขาว
ฝ่ายหญิงซึ่งมีดวงหน้าละม้ายคล้ายกับขวัญชีวากำลังยกมือขึ้นลูบโต๊ะทำงานของเธอด้วยดวงตาคลอหยาดน้ำ
“ยายขวัญ เมื่อไรหนูจะกลับมาหาแม่เสียที”
ทั้งเทพบุตรหนุ่มและดวงวิญญาณสาวต่างหันมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง
“ไหนคุณบอกว่าฉันตายแล้วนี่คะ ทำไมแม่ถึงคิดว่าฉันจะกลับมาหาล่ะ”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ” ฮิปนอสนึกสงสัย
แต่ขณะที่ยังไม่มีใครหาคำตอบพบ เสียงของไชยภพผู้เป็นบิดาก็ดังขึ้นปลอบใจคนเป็นภรรยา
“อย่าร้องไห้เลยน่าคุณ ยายขวัญไม่เป็นอะไรหรอก เราต้องตามหาตัวแกพบแน่” สุ้มเสียงนั้นเหมือนพยายามจะปลอบโยน แต่หางเสียงของผู้พูดสั่นไหว จับได้ถึงความไม่มั่นใจในคำพูดตน
“นี่มันสามเดือนแล้วนะ ถ้าแกไม่เป็นอะไร ทำไมถึงไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลย ยายขวัญเป็นเด็กดี ไม่มีทางจะหายตัวออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวและไม่ติดต่อกลับ”
ขวัญชีวามองสีหน้าทุกข์ใจของผู้เป็นแม่แล้วจุกในอก เธออยากจะร่ำร้องบอกหนักหนาว่าตนเองยืนอยู่ตรงนี้ แต่วิญญาณสาวรู้ดี ต่อให้ร้องตะโกนเสียงดังเท่าไร ก็ไม่มีใครได้ยินคำพูดของเธอ ในเมื่อร่างกายของเธอยามนี้เป็นเพียงสิ่งไร้ตัวตน
ลำแสงสีทองอ่อนของตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ร่างโปร่งแสงหนึ่งยังนั่งเด่นอยู่บนดาดฟ้าตึกของอาคารสี่ชั้นซึ่งเคยเป็นบ้านของตนเอง
“เจ้าพบหน้าบิดามารดาแล้ว ยังมีสิ่งใดไม่สบายใจอีก”
เจ้าของร่างสูงกำยำทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเธอ ยามนี้ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มอับแสง เมื่อนิกซ์ เทพีแห่งราตรีผู้เป็นมารดาของเขากำลังกวาดต้อนแสงสว่างเลือนหายจากท้องนภา อีกไม่นานเทพแห่งการหลับใหลเช่นเขาก็ต้องออกทำงานเพื่อกล่อมเหล่ามนุษย์ให้จมสู่ห้วงนิทรา
“ใครจะสบายใจได้ล่ะ เห็นหน้าพ่อแม่เป็นทุกข์ขนาดนั้น”
“แล้วเจ้าปรารถนาจะทำการใดต่อ”
“ฉันยังไม่รู้เลย” ขวัญชีวาถอนหายใจ “ทำไมจนกระทั่งป่านนี้ถึงไม่มีใครรู้ว่าฉันตายล่ะ”
“บางทีอาจจะยังไม่มีใครพบศพเจ้ากระมัง” ฮิปนอสคาดการณ์
“ทำไม” เธอถามซ้ำอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยเต็มไปด้วยคำถามมากมายไร้ซึ่งคำตอบ
“คงเพราะเจ้าถูกฆ่าตายกระมัง ผู้ที่ทำร้ายเจ้าคงไม่ปล่อยให้ผู้ใดพบศพง่ายๆหรอก”
ใบหน้าของวิญญาณสาวสลดลงชัดเจนกับคำตอบที่ได้ฟัง นั่นสิ เธอตายแล้ว แถมยังถูกฆ่าด้วยมือของใครก็สุดรู้ เธอจะทำอย่างไรดีถึงตามหาตัวฆาตรกรได้เล่า
“ฮิปนอสคะ มันพอจะมีวิธีจะช่วยฉันตามหาตัวฆาตกรและศพของตนเองบ้างไหม”
เทพแห่งการหลับใหลจ้องหน้าวิญญาณสาวตรงหน้าอึดใจใหญ่
“วิธีน่ะมีอยู่ แต่ข้าคงต้องถามคำถามเดิมเหมือนที่องค์ราชันตรัสถามเจ้า จะไม่เสียใจใช่ไหมเมื่อบางครั้งความจริงอาจทำให้เจ็บปวด” เขาถามเธอซ้ำอีกครั้ง
“ฉันตอบไม่ได้หรอกค่ะว่าจะเสียใจหรือไม่ถ้ารู้ความจริง แต่ฉันมั่นใจ ฉันจะไม่เสียใจเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว”
ฮิปนอสยิ้มกับคำตอบของเธอ ฝ่ามือบางวางลงบนศีรษะทุยสวย ก่อนจะโยกไปมาด้วยความเอ็นดู
“เก่ง” เขาชมเธอจากใจจริง “ถึงข้าจะรู้จักเจ้าไม่นาน แต่ข้ามั่นใจว่าหัวใจเจ้าเข้มแข็งพอจะเผชิญหน้ากับทุกความจริง”
“แปลว่าคุณจะช่วยฉันตามหาฆาตกรใช่ไหมคะ”
“เปล่าเลย แต่เป็นเจ้าเองต่างหากต้องออกค้นหาปริศนาของเรื่องราวนี้”
“ฉันเนี่ยนะคะ วิญญาณอย่างฉันจะค้นหาความจริงได้ยังไง” เธอถามอย่างฉงน
“จริงอยู่ที่สภาพวิญญาณคงสร้างความลำบากแก่เจ้าไม่น้อย ดังนั้นก่อนขึ้นมาโลกมนุษย์ เทพเฮเดสจึงประทานพรให้เจ้าข้อหนึ่ง”
ขาดคำ ฮิปนอสก็แบฝ่ามือข้างหนึ่งออก สิ่งที่ปรากฏอยู่กลางมือหนาคือดวงไฟขนาดเท่ากำปั้น มีลักษณะคล้ายลูกแก้ว ส่องแสงแวววับ
“มันคืออะไรคะ” ขวัญชีวาจ้องลูกแก้วไฟสีสวยด้วยความสนใจ
“พรจากฝ่าบาท พระองค์ทรงฝากข้าไว้ก่อนพาเจ้าขึ้นมา สิ่งนี้จะทำให้เจ้ามีร่างจำแลงดั่งมนุษย์”
“คะ? คุณจะให้ชีวิตใหม่แก่ฉันหรือ”
“ไม่ใช่” เขารีบแก้ไขความเข้าใจผิดของเธอทันที “สิ่งที่เทพเฮเดสประทานให้เจ้าคือร่างกายอันเกิดจากมนตรา เจ้าจะกลับมามีร่าง มีความรู้สึกอีกครั้ง แต่นั่นหาใช่ชีวิตแท้จริง และเจ้าจะมีวันเวลาอยู่บนโลกในร่างนี้เพียงแค่เจ็ดวัน ต่อจากนั้นหากเจ้ายังไม่สามารถตามหาฆาตกรหรือศพตนเองพบ ข้าจะพาวิญญาณเจ้ากลับสู่ยมโลกตามเดิม”
คำตอบของฮิปนอสแม้จะไม่ช่วยให้เธอยินดีมากเหมือนตอนฟังครั้งแรก แต่เธอก็รู้ว่านั่นคือพระเมตตาที่ใช่วิญญาณทุกดวงจะได้รับ
รัตติกาลบนโลกมนุษย์ข้ามผ่านกว่าครึ่งราตรีแล้ว ตอนเทพแห่งการหลับใหลจัดการกับภารกิจของตนเสร็จ แรกทีเดียวเขาตั้งใจจะกลับไปหาขวัญชีวาด้วยความเป็นห่วง กายาใหม่อาจสร้างความไม่คุ้นชินแก่หญิงสาว เมื่อเธอตกอยู่ในสภาพร่างไร้กายามายาวนาน
ร่างกำยำของเทพบุตรหนุ่มในอาภรณ์สีเฉดเดียวกับบรรยากาศทะมึนโดยรอบทิ้งตัวผ่านหมู่เมฆาลงสู่บ้านเรือนเบื้องล่าง ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็มาหยุดลงหน้าตึกแถวหนึ่งซึ่งเคยเป็นตึกร้างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ด้วยอำนาจมนตรา นอกจากกายจำแลงอันเป็นพรจากราชันแห่งยมโลกแล้ว ฮิปนอสยังเสกบ้านหลังใหม่ให้เธอโดยดัดแปลงตึกร้างฝั่งตรงข้ามเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวแก่ขวัญชีวา เทพแห่งการหลับใหลร่อนกายลงมายังหน้าต่างบานหนึ่งของตัวตึก และเมื่อชะโงกหน้าเข้าไปจึงเห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา สายตาจับจ้องจอโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโศกเศร้าชัดเจนกว่าครั้งไหน จนฮิปนอสเองแทบอยากจะแล่นไปปลอบโยนเธอ ทว่าเพียงแค่ปลายเท้าแตะลงบนพื้นห้อง ความคิดหนึ่งก็วาบผ่าน
บางที นี่อาจถึงเวลาพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัดบนดวงหน้าคมคาย เทพแห่งการหลับใหลตัดสินใจหันหลังกลับ มุ่งหน้าออกจากเมืองเพื่อดำดิ่งลงสู่โลกแห่งความตาย…จุดหมายใหม่ที่เขาต้องการพิสูจน์หัวใจบางดวง
ดังนั้นในยามกลับมาถึงปราสาทสีดำ ฮิปนอสไม่เสียเวลาคิดสักนิด รีบพาตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของเทพบางองค์
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ แล้วแม่หนูน้อยล่ะ”
ไม่ผิดจากการคาดการณ์ สีหน้าและแววตาร้อนรนของแฝดคู่หูจุดรอยยิ้มยียวนขึ้นบนดวงหน้าของผู้เพิ่งกลับมาถึง
“ก็อยู่บนโลกข้างบนสิ นางอยากตามหาศพตัวเองกับฆาตกรที่ฆ่านางให้พบ”
“หมายความอย่างไร” สุ้มเสียงของธานาทอสต่ำลงชัดเจน นัยน์ตาคมหรี่เล็ก มองอีกฝ่ายด้วยแววกรุ่นโกรธ
ฮิปนอสเล่าเรื่องราวเมื่อตอนขวัญชีวาได้พบหน้าบุพการีทั้งสองให้ธานาทอสฟัง ก่อนสำทับต่อตอนท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาหัวใจของผู้ฟังร้อนรนดั่งมีไฟแผดเผา
“ข้ามอบพรของฝ่าบาทพร้อมที่พำนักแก่นางแล้ว นางจะมีเวลาเจ็ดวันในร่างจำแลงเพื่อทำทุกเรื่องราวค้างคาใจให้เสร็จ”
“แล้วเจ้ากลับลงมาทำไม เหตุใดจึงไม่อยู่เป็นเพื่อนนาง เกิดนางในร่างใหม่พบตัวฆาตกรแล้วถูกฆ่าตายอีกเล่า”
ฮิปนอสหัวเราะเบาๆกับจินตนาการแสนร้อนรนของแฝดคู่หู มือข้างหนึ่งตบลงบนบ่าของเทพแห่งความตาย
“นางอาจตายลงอีกครั้ง แต่มันจะเป็นอะไรไป อย่างไรนางก็ตายแล้ว”
สีหน้าบูดบึ้งถมึงทึงลงชัดเจนยามได้ยินคำตอบไม่ชวนระรื่นหู ธานาทอสปัดมือที่วางอยู่บนบ่าเขาออก
“หากเจ้าไม่ห่วงนางก็ให้ข้าดูแลแทน ข้าจะทูลเรื่องนี้กับองค์ราชันเอง” เทพแห่งความตายกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างดุดัน
เขาเตรียมจะก้าวเท้าออกตามหาเทพเฮเดสอยู่แล้ว ในจังหวะเดียวกับที่ราชันแห่งยมโลกเสด็จมาถึงพร้อมพริมา
“มีอะไรกันหรือฮิปนอส ธานาทอส ทะเลาะกันเสียงดังจนถึงห้องข้า” เทพเฮเดสรับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย เพราะแต่ไหนแต่ไรฝาแฝดคู่นี้แทบจะมีเรื่องผิดใจกันนับครั้งได้
“ขออภัยพระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมกำลังมีเรื่องจะทูลขอฝ่าบาทอยู่พอดี กระหม่อมจะขอรับหน้าที่ขึ้นไปดูแลขวัญชีวาแทนฮิปนอสพระเจ้าค่ะ”
“อ้าว ทำไมกัน” พริมามองหน้าเทพแห่งความตายอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกพระเจ้าค่ะ ก็แค่พวกกระหม่อมความเห็นไม่ตรงกัน ธานาทอสค่อนข้างห่วงแม่หนูน้อยมากก็เท่านั้น ทั้งๆที่ทรงมีรับสั่งแค่ให้ขึ้นไปส่งนางเฉยๆ นางไม่ใช่เด็กจะได้ต้องนั่งเฝ้าตลอดวันตลอดคืน” ท้ายประโยค ผู้พูดเหร่ตามองฝาแฝดด้วยดวงตาพราวระยับ
“เอาละ ตามใจธานาทอสเขาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป” เทพเฮเดสตรัสอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญใด
เพียงเท่านั้น ธานาทอสก็รีบโค้งศีรษะรับ เร่งรุดออกจากปราสาทสีดำท่ามกลางสายตาวิบวับมองตามหลังคล้ายกำลังสะใจ ซึ่งนั่นไม่อาจพ้นจากความช่างสังเกตของพริมาได้
“ฮิปนอส นี่คุณคงไม่ได้อยากยั่วโมโหธานาทอสเฉยๆหรอกใช่ไหม”
เทพแห่งการหลับใหลหัวเราะร่ากับน้ำเสียงหวานของคนพยายามจะเค้นเสียงดุ
“ยอมรับว่ากระหม่อมอยากยั่วเขาจริงๆพระเจ้าค่ะ ธานาทอสดูท่าทางจะยั่วขึ้นเสียด้วยสิสำหรับแม่หนูนางนี้” ฮิปนอสรับสารภาพ
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าฝาแฝดของเจ้าหลงรักนางงั้นรึ” เทพเฮเดสตรัสถาม สีพระพักตร์ฉายชัดถึงความแปลกพระทัย
“จะหลงรักรึเปล่ากระหม่อมไม่แน่ใจพระเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าสำหรับธานาทอสแล้ว นางดูพิเศษกว่าสาวไหน เพราะแต่ไหนแต่ไร ฝาแฝดของกระหม่อมไม่เคยแสดงท่าทีห่วงใยผู้ใดมากถึงเกรี้ยวกราด อยากจะฆ่ากระหม่อมขนาดนี้” เทพบุตรหนุ่มทูล ยังขำไม่หยุดยามนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นฝาแฝด
“พริ้งว่า คนร้ายกาจที่สุดในเรื่องนี้คือคุณนะฮิปนอส” พริมาส่ายหน้ายิ้มๆ เห็นอีกฝ่ายยอมรับอย่างหน้าชื่น
“ก็ถ้าต้องรอเทพแสนเย็นชาอย่างธานาทอสขยับตัวทำอะไรเพื่อหัวใจ กระหม่อมว่าอีกสักแสนปีคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เทพแห่งการหลับใหลซึ่งผันตัวเองกลายเป็นกามเทพให้เหตุผลในการกระทำของตนเอง
“ทำไมถึงตัดสินใจเลือกข้าแทนธานาทอสล่ะ” เทพแห่งการหลับใหลถามขวัญชีวา ขณะกำลังพาเธอข้ามผ่านอนธการขึ้นสู่โลกมนุษย์เบื้องบน
“คุณใจดี คุยด้วยแล้วสบายใจ”
ฮิปนอสเหลือบสายตามองผู้ติดตามทางด้านหลังด้วยแววตาคล้ายกำลังชั่งใจอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หนทางเบื้องหน้าซึ่งเริ่มปรากฏแสงสีของบ้านเรือนทำให้เขาเก็บคำถามที่เหลือไว้ พาเธอมุ่งสู่ตัวเมืองอันคลาคล่ำด้วยผู้คน
แสงเรืองรองสีทองเข้มสุกปลั่งสาดไปทั่วพื้นถนนและบรรดาตึกรามบ้านช่อง เกือบย่างเข้าสู่สนธยากว่าขวัญชีวาจะหาทางกลับบ้านตนเองพบ ยามนี้เธอและเทพแห่งการหลับใหลกำลังยืนอยู่หน้าตึกแถวสูงสี่ชั้นแห่งหนึ่งภายในซอยตันของเมืองใหญ่ ห่างจากถนนหลักมาไม่ไกล
“ที่นี่คือบ้านของเจ้าหรือ” เทพบุตรหนุ่มถามวิญญาณสาวซึ่งกำลังยืนมองประตูรั้วเหล็กสีฟ้าอ่อนอยู่ด้วยแววตาคลอหยาดน้ำตา
“ค่ะ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เกิดและอาศัยอยู่ที่นี่ตลอด”
เพียงไม่นาน สองร่างก็ก้าวผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าสู่ตัวบ้าน ทั่วทุกอย่างภายในบ้านไม่แตกต่างจากความทรงจำสุดท้าย ขวัญชีวายังจำห้องรับแขกที่เคยนั่งเล่น พูดคุยกันได้ แต่ในยามเย็นของวันนี้ห้องรับแขกบริเวณชั้นสองของตึกกลับเงียบสงัด ไม่มีเสียงหัวเราะ พูดคุย หรือแม้แต่เสียงโทรทัศน์แว่วผ่านให้ได้ยิน
วิญญาณสาวลอยนำฮิปนอสขึ้นสู่ชั้นบนของบ้าน จนหยุดลงยังบริเวณชั้นสี่ของตัวตึก ตรงนั้นมีประตูไม้สองบานตั้งเฉียงห่างกันทำมุมเก้าสิบองศา กึ่งกลางบานประตูห้องทั้งสองมีป้ายตัวอักษรดินเผาเป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงเขียนข้อความบอกชื่อเจ้าของห้องไว้ ปานชีวัน ขวัญชีวา ชื่อสองพี่น้องของบ้านหลังนี้
หัวใจดวงน้อยกระตุกเล็กๆยามอ่านทวนป้ายชื่อทั้งสอง จริงสินะ บ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่รวมกันแค่สามคนเสียหน่อย เหตุใดเธอจึงลืมพี่สาวตนเองได้
“นี่ห้องฉันค่ะ ส่วนนั่น ห้องของพี่สาว” ขวัญชีวาบอกขณะเลื่อนปลายนิ้วไปยังบานประตูซึ่งมีชื่อ ‘ปานชีวัน’ แขวนอยู่
ความทรงจำที่ผุดพรายเกี่ยวกับครอบครัวดูจะไม่ค่อยมีเรื่องราวของปานชีวันนัก แต่ไม่รู้ทำไมในความรับรู้ของเธอก็ยังย้ำชัดว่าตนเองมีพี่สาว
“จะไม่เข้าไปดูหน่อยรึ” ฮิปนอสกระตุ้นเตือน เมื่อเห็นดวงวิญาณสาวเอาแต่จ้องมองบานประตูทั้งสองบานโดยไม่ขยับกาย
“ในห้องฉันไม่น่าหลงเหลืออะไรมั้ง พ่อกับแม่น่าจะเก็บข้าวของของฉันหมดแล้ว”
“เข้าไปเถอะ เมื่อเจ้าตัดสินใจก้าวขึ้นสู่โลกมนุษย์ เจ้าก็ควรยอมรับความจริงเสีย” เทพแห่งการหลับใหลแปลท่าทีลังเลของวิญญาณสาวไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งขวัญชีวาเองก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดนั้น ยอมพยักหน้ารับ ก่อนจะลอยผ่าน ทะลุบานประตูเข้าสู่ด้านใน
แสงยามย่ำสนธยาส่องผ่านบานหน้าต่างซึ่งไม่ได้ถูกผ้าม่านบดบัง ทำให้ภายในห้องนอนกว้างถูกอาบด้วยแสงยามเย็นของอาทิตย์อัสดง ขวัญชีวากวาดสายตามองรอบห้อง ทุกสิ่งอย่างภายในห้องนอนของเธอยังถูกจัดวางไว้ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดขยับเขยื้อนหายจากวันสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เลย
ขวัญชีวาสืบเท้าเข้าใกล้โต๊ะทำงานสีขาว กระเป๋าสะพายของเธอยังวางเด่นอยู่บนโต๊ะ ณ ที่ประจำเดิมซึ่งเธอชอบวางข้าวของส่วนตัวไว้ ในขณะกำลังสำรวจรอบกาย จู่ๆเสียงบานประตูไม้ทางด้านหลังก็ถูกเปิดออกพร้อมกับแสงไฟนีออนบนเพดานสว่างขึ้น หญิงสาวหันหลังกลับมองคนทางด้านหลัง หัวใจกระตุกวาบเมื่อเห็นสองร่างเดินเข้ามาภายในห้องนอน
“พ่อจ๋า แม่จ๋า”
ร่างของวิญญาณสาวถลาหาผู้เป็นบุพการีทันที ทว่าสิ่งที่สองมือสัมผัสได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า เธอลอยทะลุผ่านบุคคลทั้งสองโดยไม่อาจไขว่คว้าสิ่งใด
อีกครั้ง หัวใจดวงน้อยถูกกระตุกจนมันเสียวแปลบอยู่ภายใน ขวัญชีวาก้มหน้าลงมองมืออันว่างเปล่าและร่างไร้กายาของตน
“ลืมหรือไรว่าเจ้าตายแล้ว” ฮิปนอสเอ่ยปากเตือนยามเห็นท่าทีสับสนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวย
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ขวัญชีวาตระหนักถึงความไม่มีตัวตนของเธอชัดเจน ตลอดมาการใช้ชีวิตอยู่ในยมโลกกับสองเทพนักรบ ทำให้เธอยังไม่ค่อยรู้แน่ชัดนักถึงสถานภาพตัวเอง
“ฉันตายแล้วจริงๆเหรอเนี่ย” หญิงสาวครางคล้ายยังไม่อาจรับความจริงตรงหน้า
“อย่าเสียใจ เจ้าขึ้นมาบนโลกเพราะความอยากรู้ว่าบิดามารดาอยู่สุขสบายดีไหมมิใช่หรือ” ฮิปนอสพยักพเยิดไปยังร่างของมนุษย์ชายหญิงวัยกลางคนซึ่งหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานสีขาว
ฝ่ายหญิงซึ่งมีดวงหน้าละม้ายคล้ายกับขวัญชีวากำลังยกมือขึ้นลูบโต๊ะทำงานของเธอด้วยดวงตาคลอหยาดน้ำ
“ยายขวัญ เมื่อไรหนูจะกลับมาหาแม่เสียที”
ทั้งเทพบุตรหนุ่มและดวงวิญญาณสาวต่างหันมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง
“ไหนคุณบอกว่าฉันตายแล้วนี่คะ ทำไมแม่ถึงคิดว่าฉันจะกลับมาหาล่ะ”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ” ฮิปนอสนึกสงสัย
แต่ขณะที่ยังไม่มีใครหาคำตอบพบ เสียงของไชยภพผู้เป็นบิดาก็ดังขึ้นปลอบใจคนเป็นภรรยา
“อย่าร้องไห้เลยน่าคุณ ยายขวัญไม่เป็นอะไรหรอก เราต้องตามหาตัวแกพบแน่” สุ้มเสียงนั้นเหมือนพยายามจะปลอบโยน แต่หางเสียงของผู้พูดสั่นไหว จับได้ถึงความไม่มั่นใจในคำพูดตน
“นี่มันสามเดือนแล้วนะ ถ้าแกไม่เป็นอะไร ทำไมถึงไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลย ยายขวัญเป็นเด็กดี ไม่มีทางจะหายตัวออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวและไม่ติดต่อกลับ”
ขวัญชีวามองสีหน้าทุกข์ใจของผู้เป็นแม่แล้วจุกในอก เธออยากจะร่ำร้องบอกหนักหนาว่าตนเองยืนอยู่ตรงนี้ แต่วิญญาณสาวรู้ดี ต่อให้ร้องตะโกนเสียงดังเท่าไร ก็ไม่มีใครได้ยินคำพูดของเธอ ในเมื่อร่างกายของเธอยามนี้เป็นเพียงสิ่งไร้ตัวตน
ลำแสงสีทองอ่อนของตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ร่างโปร่งแสงหนึ่งยังนั่งเด่นอยู่บนดาดฟ้าตึกของอาคารสี่ชั้นซึ่งเคยเป็นบ้านของตนเอง
“เจ้าพบหน้าบิดามารดาแล้ว ยังมีสิ่งใดไม่สบายใจอีก”
เจ้าของร่างสูงกำยำทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเธอ ยามนี้ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มอับแสง เมื่อนิกซ์ เทพีแห่งราตรีผู้เป็นมารดาของเขากำลังกวาดต้อนแสงสว่างเลือนหายจากท้องนภา อีกไม่นานเทพแห่งการหลับใหลเช่นเขาก็ต้องออกทำงานเพื่อกล่อมเหล่ามนุษย์ให้จมสู่ห้วงนิทรา
“ใครจะสบายใจได้ล่ะ เห็นหน้าพ่อแม่เป็นทุกข์ขนาดนั้น”
“แล้วเจ้าปรารถนาจะทำการใดต่อ”
“ฉันยังไม่รู้เลย” ขวัญชีวาถอนหายใจ “ทำไมจนกระทั่งป่านนี้ถึงไม่มีใครรู้ว่าฉันตายล่ะ”
“บางทีอาจจะยังไม่มีใครพบศพเจ้ากระมัง” ฮิปนอสคาดการณ์
“ทำไม” เธอถามซ้ำอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยเต็มไปด้วยคำถามมากมายไร้ซึ่งคำตอบ
“คงเพราะเจ้าถูกฆ่าตายกระมัง ผู้ที่ทำร้ายเจ้าคงไม่ปล่อยให้ผู้ใดพบศพง่ายๆหรอก”
ใบหน้าของวิญญาณสาวสลดลงชัดเจนกับคำตอบที่ได้ฟัง นั่นสิ เธอตายแล้ว แถมยังถูกฆ่าด้วยมือของใครก็สุดรู้ เธอจะทำอย่างไรดีถึงตามหาตัวฆาตรกรได้เล่า
“ฮิปนอสคะ มันพอจะมีวิธีจะช่วยฉันตามหาตัวฆาตกรและศพของตนเองบ้างไหม”
เทพแห่งการหลับใหลจ้องหน้าวิญญาณสาวตรงหน้าอึดใจใหญ่
“วิธีน่ะมีอยู่ แต่ข้าคงต้องถามคำถามเดิมเหมือนที่องค์ราชันตรัสถามเจ้า จะไม่เสียใจใช่ไหมเมื่อบางครั้งความจริงอาจทำให้เจ็บปวด” เขาถามเธอซ้ำอีกครั้ง
“ฉันตอบไม่ได้หรอกค่ะว่าจะเสียใจหรือไม่ถ้ารู้ความจริง แต่ฉันมั่นใจ ฉันจะไม่เสียใจเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว”
ฮิปนอสยิ้มกับคำตอบของเธอ ฝ่ามือบางวางลงบนศีรษะทุยสวย ก่อนจะโยกไปมาด้วยความเอ็นดู
“เก่ง” เขาชมเธอจากใจจริง “ถึงข้าจะรู้จักเจ้าไม่นาน แต่ข้ามั่นใจว่าหัวใจเจ้าเข้มแข็งพอจะเผชิญหน้ากับทุกความจริง”
“แปลว่าคุณจะช่วยฉันตามหาฆาตกรใช่ไหมคะ”
“เปล่าเลย แต่เป็นเจ้าเองต่างหากต้องออกค้นหาปริศนาของเรื่องราวนี้”
“ฉันเนี่ยนะคะ วิญญาณอย่างฉันจะค้นหาความจริงได้ยังไง” เธอถามอย่างฉงน
“จริงอยู่ที่สภาพวิญญาณคงสร้างความลำบากแก่เจ้าไม่น้อย ดังนั้นก่อนขึ้นมาโลกมนุษย์ เทพเฮเดสจึงประทานพรให้เจ้าข้อหนึ่ง”
ขาดคำ ฮิปนอสก็แบฝ่ามือข้างหนึ่งออก สิ่งที่ปรากฏอยู่กลางมือหนาคือดวงไฟขนาดเท่ากำปั้น มีลักษณะคล้ายลูกแก้ว ส่องแสงแวววับ
“มันคืออะไรคะ” ขวัญชีวาจ้องลูกแก้วไฟสีสวยด้วยความสนใจ
“พรจากฝ่าบาท พระองค์ทรงฝากข้าไว้ก่อนพาเจ้าขึ้นมา สิ่งนี้จะทำให้เจ้ามีร่างจำแลงดั่งมนุษย์”
“คะ? คุณจะให้ชีวิตใหม่แก่ฉันหรือ”
“ไม่ใช่” เขารีบแก้ไขความเข้าใจผิดของเธอทันที “สิ่งที่เทพเฮเดสประทานให้เจ้าคือร่างกายอันเกิดจากมนตรา เจ้าจะกลับมามีร่าง มีความรู้สึกอีกครั้ง แต่นั่นหาใช่ชีวิตแท้จริง และเจ้าจะมีวันเวลาอยู่บนโลกในร่างนี้เพียงแค่เจ็ดวัน ต่อจากนั้นหากเจ้ายังไม่สามารถตามหาฆาตกรหรือศพตนเองพบ ข้าจะพาวิญญาณเจ้ากลับสู่ยมโลกตามเดิม”
คำตอบของฮิปนอสแม้จะไม่ช่วยให้เธอยินดีมากเหมือนตอนฟังครั้งแรก แต่เธอก็รู้ว่านั่นคือพระเมตตาที่ใช่วิญญาณทุกดวงจะได้รับ
รัตติกาลบนโลกมนุษย์ข้ามผ่านกว่าครึ่งราตรีแล้ว ตอนเทพแห่งการหลับใหลจัดการกับภารกิจของตนเสร็จ แรกทีเดียวเขาตั้งใจจะกลับไปหาขวัญชีวาด้วยความเป็นห่วง กายาใหม่อาจสร้างความไม่คุ้นชินแก่หญิงสาว เมื่อเธอตกอยู่ในสภาพร่างไร้กายามายาวนาน
ร่างกำยำของเทพบุตรหนุ่มในอาภรณ์สีเฉดเดียวกับบรรยากาศทะมึนโดยรอบทิ้งตัวผ่านหมู่เมฆาลงสู่บ้านเรือนเบื้องล่าง ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็มาหยุดลงหน้าตึกแถวหนึ่งซึ่งเคยเป็นตึกร้างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ด้วยอำนาจมนตรา นอกจากกายจำแลงอันเป็นพรจากราชันแห่งยมโลกแล้ว ฮิปนอสยังเสกบ้านหลังใหม่ให้เธอโดยดัดแปลงตึกร้างฝั่งตรงข้ามเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวแก่ขวัญชีวา เทพแห่งการหลับใหลร่อนกายลงมายังหน้าต่างบานหนึ่งของตัวตึก และเมื่อชะโงกหน้าเข้าไปจึงเห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา สายตาจับจ้องจอโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววโศกเศร้าชัดเจนกว่าครั้งไหน จนฮิปนอสเองแทบอยากจะแล่นไปปลอบโยนเธอ ทว่าเพียงแค่ปลายเท้าแตะลงบนพื้นห้อง ความคิดหนึ่งก็วาบผ่าน
บางที นี่อาจถึงเวลาพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัดบนดวงหน้าคมคาย เทพแห่งการหลับใหลตัดสินใจหันหลังกลับ มุ่งหน้าออกจากเมืองเพื่อดำดิ่งลงสู่โลกแห่งความตาย…จุดหมายใหม่ที่เขาต้องการพิสูจน์หัวใจบางดวง
ดังนั้นในยามกลับมาถึงปราสาทสีดำ ฮิปนอสไม่เสียเวลาคิดสักนิด รีบพาตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของเทพบางองค์
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ แล้วแม่หนูน้อยล่ะ”
ไม่ผิดจากการคาดการณ์ สีหน้าและแววตาร้อนรนของแฝดคู่หูจุดรอยยิ้มยียวนขึ้นบนดวงหน้าของผู้เพิ่งกลับมาถึง
“ก็อยู่บนโลกข้างบนสิ นางอยากตามหาศพตัวเองกับฆาตกรที่ฆ่านางให้พบ”
“หมายความอย่างไร” สุ้มเสียงของธานาทอสต่ำลงชัดเจน นัยน์ตาคมหรี่เล็ก มองอีกฝ่ายด้วยแววกรุ่นโกรธ
ฮิปนอสเล่าเรื่องราวเมื่อตอนขวัญชีวาได้พบหน้าบุพการีทั้งสองให้ธานาทอสฟัง ก่อนสำทับต่อตอนท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาหัวใจของผู้ฟังร้อนรนดั่งมีไฟแผดเผา
“ข้ามอบพรของฝ่าบาทพร้อมที่พำนักแก่นางแล้ว นางจะมีเวลาเจ็ดวันในร่างจำแลงเพื่อทำทุกเรื่องราวค้างคาใจให้เสร็จ”
“แล้วเจ้ากลับลงมาทำไม เหตุใดจึงไม่อยู่เป็นเพื่อนนาง เกิดนางในร่างใหม่พบตัวฆาตกรแล้วถูกฆ่าตายอีกเล่า”
ฮิปนอสหัวเราะเบาๆกับจินตนาการแสนร้อนรนของแฝดคู่หู มือข้างหนึ่งตบลงบนบ่าของเทพแห่งความตาย
“นางอาจตายลงอีกครั้ง แต่มันจะเป็นอะไรไป อย่างไรนางก็ตายแล้ว”
สีหน้าบูดบึ้งถมึงทึงลงชัดเจนยามได้ยินคำตอบไม่ชวนระรื่นหู ธานาทอสปัดมือที่วางอยู่บนบ่าเขาออก
“หากเจ้าไม่ห่วงนางก็ให้ข้าดูแลแทน ข้าจะทูลเรื่องนี้กับองค์ราชันเอง” เทพแห่งความตายกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างดุดัน
เขาเตรียมจะก้าวเท้าออกตามหาเทพเฮเดสอยู่แล้ว ในจังหวะเดียวกับที่ราชันแห่งยมโลกเสด็จมาถึงพร้อมพริมา
“มีอะไรกันหรือฮิปนอส ธานาทอส ทะเลาะกันเสียงดังจนถึงห้องข้า” เทพเฮเดสรับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย เพราะแต่ไหนแต่ไรฝาแฝดคู่นี้แทบจะมีเรื่องผิดใจกันนับครั้งได้
“ขออภัยพระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมกำลังมีเรื่องจะทูลขอฝ่าบาทอยู่พอดี กระหม่อมจะขอรับหน้าที่ขึ้นไปดูแลขวัญชีวาแทนฮิปนอสพระเจ้าค่ะ”
“อ้าว ทำไมกัน” พริมามองหน้าเทพแห่งความตายอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกพระเจ้าค่ะ ก็แค่พวกกระหม่อมความเห็นไม่ตรงกัน ธานาทอสค่อนข้างห่วงแม่หนูน้อยมากก็เท่านั้น ทั้งๆที่ทรงมีรับสั่งแค่ให้ขึ้นไปส่งนางเฉยๆ นางไม่ใช่เด็กจะได้ต้องนั่งเฝ้าตลอดวันตลอดคืน” ท้ายประโยค ผู้พูดเหร่ตามองฝาแฝดด้วยดวงตาพราวระยับ
“เอาละ ตามใจธานาทอสเขาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป” เทพเฮเดสตรัสอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญใด
เพียงเท่านั้น ธานาทอสก็รีบโค้งศีรษะรับ เร่งรุดออกจากปราสาทสีดำท่ามกลางสายตาวิบวับมองตามหลังคล้ายกำลังสะใจ ซึ่งนั่นไม่อาจพ้นจากความช่างสังเกตของพริมาได้
“ฮิปนอส นี่คุณคงไม่ได้อยากยั่วโมโหธานาทอสเฉยๆหรอกใช่ไหม”
เทพแห่งการหลับใหลหัวเราะร่ากับน้ำเสียงหวานของคนพยายามจะเค้นเสียงดุ
“ยอมรับว่ากระหม่อมอยากยั่วเขาจริงๆพระเจ้าค่ะ ธานาทอสดูท่าทางจะยั่วขึ้นเสียด้วยสิสำหรับแม่หนูนางนี้” ฮิปนอสรับสารภาพ
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าฝาแฝดของเจ้าหลงรักนางงั้นรึ” เทพเฮเดสตรัสถาม สีพระพักตร์ฉายชัดถึงความแปลกพระทัย
“จะหลงรักรึเปล่ากระหม่อมไม่แน่ใจพระเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าสำหรับธานาทอสแล้ว นางดูพิเศษกว่าสาวไหน เพราะแต่ไหนแต่ไร ฝาแฝดของกระหม่อมไม่เคยแสดงท่าทีห่วงใยผู้ใดมากถึงเกรี้ยวกราด อยากจะฆ่ากระหม่อมขนาดนี้” เทพบุตรหนุ่มทูล ยังขำไม่หยุดยามนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นฝาแฝด
“พริ้งว่า คนร้ายกาจที่สุดในเรื่องนี้คือคุณนะฮิปนอส” พริมาส่ายหน้ายิ้มๆ เห็นอีกฝ่ายยอมรับอย่างหน้าชื่น
“ก็ถ้าต้องรอเทพแสนเย็นชาอย่างธานาทอสขยับตัวทำอะไรเพื่อหัวใจ กระหม่อมว่าอีกสักแสนปีคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เทพแห่งการหลับใหลซึ่งผันตัวเองกลายเป็นกามเทพให้เหตุผลในการกระทำของตนเอง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2556, 11:15:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2556, 11:15:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 3117
<< บทที่ 3/2 หัวใจสีเทา | บทที่ 4/2 อดีตที่เคยลืมเลือน >> |

ริญจน์ธร 14 มิ.ย. 2556, 11:25:46 น.
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ คิมหันตุ์ ตอนนี้เล่นตัวมากไม่ได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ได้เจอหนูขวัญ
คุณ nako โดนงอนแล้วก็ต้องตามไปง้อเนอะ
คุณ หมูอ้วน ฮ่า มีคนสงสารตาลุงด้วย^^ แต่งานนี้ตาลุงผิด เพราะงั้นต้องเป็นฝ่ายตามหนูขวัญขึ้นไปเนอะ
คุณ omelate ตาลุงโดนยั่วอีกรอบ คราวนี้เลยไม่กั๊กแล้วค่า
คุณ lovemuay หาทางได้แล้วเนอะ โดยมีฮิปนอสช่วย เพราะไม่งั้นอีกกี่นานตาลุงของเราก็คงไม่รู้ตัว
คุณ Zephyr 555 คราวนี้ธานาทอสต้องเป็นฝ่ายตามขึ้นไปแล้วค่ะ แต่จะง้อหนูขวัญได้รึเปล่านี่สิ
คุณ kohin โดนงอนแล้ว เพราะงั้นต้องรีบตามง้อเนอะ
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ คิมหันตุ์ ตอนนี้เล่นตัวมากไม่ได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ได้เจอหนูขวัญ
คุณ nako โดนงอนแล้วก็ต้องตามไปง้อเนอะ
คุณ หมูอ้วน ฮ่า มีคนสงสารตาลุงด้วย^^ แต่งานนี้ตาลุงผิด เพราะงั้นต้องเป็นฝ่ายตามหนูขวัญขึ้นไปเนอะ
คุณ omelate ตาลุงโดนยั่วอีกรอบ คราวนี้เลยไม่กั๊กแล้วค่า
คุณ lovemuay หาทางได้แล้วเนอะ โดยมีฮิปนอสช่วย เพราะไม่งั้นอีกกี่นานตาลุงของเราก็คงไม่รู้ตัว
คุณ Zephyr 555 คราวนี้ธานาทอสต้องเป็นฝ่ายตามขึ้นไปแล้วค่ะ แต่จะง้อหนูขวัญได้รึเปล่านี่สิ
คุณ kohin โดนงอนแล้ว เพราะงั้นต้องรีบตามง้อเนอะ


หมูอ้วน 14 มิ.ย. 2556, 12:12:26 น.
เทพแห่งการหลับใหลน่ารักจังเลยค่ะ หาคู่ให้สักคนนะค่ะ
เทพแห่งการหลับใหลน่ารักจังเลยค่ะ หาคู่ให้สักคนนะค่ะ

nako 14 มิ.ย. 2556, 12:59:54 น.
เป็นห่วงหนูขวัญละซิ ธานาทอส อิอิ
เป็นห่วงหนูขวัญละซิ ธานาทอส อิอิ

konhin 14 มิ.ย. 2556, 20:09:48 น.
ฮา เค้าไม่เลือกก็ยังไปหาอยู่ดี หึๆ
ฮา เค้าไม่เลือกก็ยังไปหาอยู่ดี หึๆ

lovemuay 14 มิ.ย. 2556, 21:09:23 น.
โชคดีของพระเอกเรานะเนี่ย ที่ได้ฝาแฝดดี อิอิ
โชคดีของพระเอกเรานะเนี่ย ที่ได้ฝาแฝดดี อิอิ

Zephyr 14 มิ.ย. 2556, 22:51:37 น.
ลุงนี่ ความรู้สึกช้านะ
ได้เวลาทำคะแนนแล้วค่ะลุงขาาาาา
ลุงฮิปอุตส่าห์กรุยทางให้แล้ว ลุงธอสอย่าทำเจ๊งนะ
ลุงนี่ ความรู้สึกช้านะ
ได้เวลาทำคะแนนแล้วค่ะลุงขาาาาา
ลุงฮิปอุตส่าห์กรุยทางให้แล้ว ลุงธอสอย่าทำเจ๊งนะ

goldensun 14 มิ.ย. 2556, 23:22:03 น.
ได้โอกาสแล้ว อย่ามัวแต่เก๊กดุจนขวัญเข้าใจผิดอีกล่ะ
ว่าแต่ชีวิตขวัญ จะลึกลับไปถึงไหน
ได้โอกาสแล้ว อย่ามัวแต่เก๊กดุจนขวัญเข้าใจผิดอีกล่ะ
ว่าแต่ชีวิตขวัญ จะลึกลับไปถึงไหน