Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: งานศพกับมื้อค่ำ
ศพของเอ็มตั้งอยู่บนศาลา เพื่อนฝูงของเด็กหนุ่มพากันมาร่วมงานพอสมควร
พีรพงษ์แวะไปงานศพสามวันติดต่อกัน ความผิดนั้นยังคงคาอยู่ในใจของเขา ตอนที่มองดูรูปของเอ็มที่ตั้งอยู่ข้างหน้าโลง รอยยิ้มที่รูปกลับดูหม่นหมองในสายตาของชายหนุ่ม เรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกลับกดปุ่มเร่งเครื่องเล่นเดินหน้า
ในจำนวนคนมาร่วมงาน มีรุ่นน้องหลายคนที่จำเขาได้เดินมายกมือไหว้ พอได้พูดคุยกันพอประมาณเขาถึงได้รู้ว่าเอ็มกับฝ้ายมีปัญหาอะไรบางอย่างจนเลิกกันไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแน่ชัดนัก หรือบางทีอาจจะมีคนที่รู้เรื่องแต่เลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้
ศพนั้นตั้งไว้ห้าคืน คืนสุดท้ายก่อนเผาพีรพงษ์มาไหว้ศพครั้งสุดท้าย เขานั่งนิ่งๆ หน้าศพด้วยแววตาล่องลอย ควันธูปม้วนลอยขึ้นเป็นเกลียว
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างโลงศพ เคาะเบาๆ ที่ข้างโลงแล้วกระซิบราวกลับจะบอกคนข้างในที่บัดนี้นอนหลับสนิทไปแล้ว
“เอ็มเว้ย ฝ้ายโทร.มาฝากพี่ให้ขอโทษเอ็งให้ด้วยนะ พี่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรกัน ที่เกิดขึ้นฝ้ายมันก็ไม่ได้โกรธอะไรเอ็ง เอ็งไปแล้วก็อย่ามีอะไรติดค้างให้โกรธให้เกลียดกันอีกเลยนะ”
“ไอ้นุ่นส่งเมล์มาเสียใจด้วย มันฝากให้บอกว่าขอให้เอ็งจะไปสู่สุคติ มันอยู่อเมริกาแบบนั้นจะมาก็ไม่ง่าย”
“สำหรับพี่ พี่เสียใจที่วันนั้นพี่ไม่ฉุกคิดห้ามเอ็งไว้ ถ้าวันนั้นเราไม่กลับ ถ้าวันนั้นเราเมาหลับอยู่ที่ชะอำไปเลย ถ้า...” น้ำตาพีรพงษ์ไหลลงมาอาบแก้ม
“ถ้ามันไม่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ ทำไมเอ็งไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังวะ?”
พูดได้แค่นี้เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
พีรพงษ์กลับจากงานศพคืนนั้นด้วยความรู้สึกสับสนปนเพลียๆ เขาแวะถนนข้าวสารโดยตั้งใจว่าจะหาเหล้าซักสองสามแก้วดื่มก่อนกลับ บางทีถ้าได้ผ่อนคลายซะบ้างก็คงดี เขาคิดอย่างนั้น
ความวุ่นวายยังคงฉาบฉวยทั่วไปทุกพื้นที่บนถนนข้าวสาร ทั้งนักเที่ยว นักเดินทาง แม่ค้าพ่อค้ารถเข็น ทั้งแผงสินค้าแบบตั้งพื้นและแบบแบกับพื้นเรียงรายตลอดเส้นถนน ชั่วครั้งชั่วคราวที่รถเทศกิจจะวิ่งจากหัวถนนฟากสถานีตำรวจชนะสงครามมาออกที่ปลายทางฝั่งร้านแฮมเบอร์เกอร์เบอร์เกอร์คิงส์ บรรดาคนเดินเท้ากับร้านค้าก็จะแหวกทางเปิดช่องกันอย่างโกลาหล
พีรพงษ์แวะร้านประจำ วันนี้คนค่อนข้างแน่นร้าน คงเพราะเป็นวันสิ้นสุดสัปดาห์และเป็นช่วงเงินเดือนออกด้วย โต๊ะประจำที่เขาชอบนั่งมีเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นยึดไปเรียบร้อย ชายหนุ่มเลยเลือกนั่งที่เคาท์เตอร์แทน
“เอาเหมือนเดิมนะพี่”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับออร์เดอร์ เขาคีบน้ำแข็งหย่อนลงในแก้ว หันหลังไปเอื้อมมือหยิบเหล้าฝรั่งชั้นดีจากบนชั้นมาเทลง ผสมโซดาเย็นจัดพร้อมมะนาวฝานหนึ่งชิ้นลงไปด้วยแล้วคนเบาๆ จังหวะเดียวกันนั้นบริกรหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ขยับเข้ามาหลังเคาท์เตอร์ด้วย
“พี่...สวัสดีครับ” บริกรคนนั้นพูดพลางยกมือไหว้
“อืม”
“หายไปนานเลยนะพี่ พี่ผู้หญิงคนนั้นมาถามหาพี่ตั้งสองหนแน่ะ” เด็กหนุ่มบอก
“คนไหน?” พีรพงษ์สงสัย
“ก็คนที่พี่ช่วยหิ้วคนเมาไปนั่นไง” ตอบพลางเช็ดแก้วไวน์ด้วยผ้าไปด้วย
“เหรอ?”
จริงสินะ... หลังจากคืนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็โทรศัพท์หาเขาตั้งหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้รับสาย แถมยังไม่ได้ติดต่อกลับด้วยเพราะวุ่นอยู่กับเรื่องน้องสองคน นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วคงไม่จำเป็นต้องโทรศัพท์กลับไปแล้วมั้ง—พีรพงษ์คิด แต่จบความคิดมือถือที่วางไว้ข้างแก้วก็สั่น
ราวกับรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง เป็นหญิงสาวจริงๆ ที่โทรเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณไนท์” เสียงนั้นทักอย่างแปลกใจ คงเป็นเพราะครั้งนี้ปลายสายรับโทรศัพท์ด้วยก็เป็นได้
“ครับ สวัสดีครับ” เขาตอบติดประหม่า
“โห กว่าจูนจะโทรหาแล้วคุณรับสายได้นี่ลำบากจังเลยนะคะ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ พอดีผมติดธุระเกือบตลอดสัปดาห์”
“เห็นที่โทรเข้าอยู่นะครับ แต่ไม่ได้โทรกลับคงไม่ว่าอะไรนะ” เขาแก้ตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีจูนแวะมาแถวข้าวสารก็เลยลองโทรหาเผื่อว่าคุณจะมาแถวนั้น”
“ตอนนี้อยู่ไหนคะ?” เธอถาม
“ผมอยู่ที่ข้าวสารครับ”
“โห.... โชคดีจัง จูนเพิ่งเสร็จธุระที่เยาวราช ยังไงเดี๋ยวกินข้าวกันนะคะ ให้จูนตอบแทนเรื่องวันนั้นด้วย”
“เอ่อ คง...” พีรพงษ์พยายามปฏิเสธ
“ห้ามปฏิเสธนะคะ ติดบุญคุณใครนานๆ จูนก็ไม่อยากเป็นนะ” เธอชิงจังหวะทำให้เขาหมดสิทธิจะบอกปัดได้อีก
“ครับ ได้ครับ” เขาต้องตกลงตามนั้น
“งั้นรอยี่สิบนาทีเดี๋ยวจูนไปถึง”
....................
จริงอย่างที่เธอว่า ยี่สิบนาทีพอดิบพอดีหญิงสาวก็ก้าวเท้าผ่านประตูร้านเข้ามา เธอมองหาเขาอยู่ครู่หนึ่ง พีรพงษ์มองตอบกลับไป ร่างบางในสูทลำลองยิ้มพรายขณะเดินเข้ามายังเคาท์เตอร์ วันนี้หญิงสาวทำสีผมเป็นสีน้ำตาลแดงและดัดเป็นลอนเล็กๆ มันพลิ้วตามจังหวะก้าว รูปหน้าสวยนั้นสะกดสายตาเขาไว้จนเธอเดินมาถึง ชายหนุ่มขยับเก้าอี้นั่งให้เธอตามมารยาท
“จูนไม่มาช้าไปนะคะ” เธอเอ่ย
“ไม่เลย ยี่สิบนาทีพอดีเป๊ะ” พีรพงษ์ตอบโดยมีหญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“หิวมากๆ เลย...” เธอเปรยก่อนหยิบรายการอาหารที่พนักงานร้านยื่นให้มาเปิดเลือก พอเจอที่ต้องการก็สั่งจนเรียบร้อย ก่อนยื่นเมนูให้ชายหนุ่ม แต่เขาบอกไม่ต้องเพราะสั่งไว้เรียบร้อยแล้วแต่รอให้ทำพร้อมกับเธอ
“กว่าจะนัดมาเลี้ยงข้าวได้นี่ยากจังเลยนะคุณไนท์” เธอบ่นน้อยใจแต่ดวงหน้านั้นฉายแววมีความสุข
“โทษทีครับ อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ผมติดงานหลายเรื่อง” เขาอธิบาย
“สำคัญมากขนาดมีผู้หญิงขอเลี้ยงข้าวนี่คงต้องเป็นเรื่องคนสำคัญสินะคะ” น้ำเสียงน้อยใจออกจะจริงจังกว่าเมื่อครู่
“ผมติดงานศพน้องที่สนิทกันครับ” เขาตอบกลับเบาๆ
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ จูนไม่รู้เลยพูดไม่ดีออกไป” เธอรีบขอโทษขอโพย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกคุณ มันเป็นเหตุกะทันหันน่ะ”
“เอาเป็นทานข้าวดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปรับอาหารที่ยกมาเสิร์ฟพอดี วางจานของหญิงสาวไว้ตรงหน้าเธอ แล้วก็รับของตัวเองมา
สองหนุ่มสาวนั่งดื่มต่อหลังอาหารโดยพีรพงษ์ขอเป็นคนจ่ายค่าเครื่องดื่มรอบนี้ แต่หญิงสาวยืนกรานที่จะปฏิเสธ โดยเธอบอกว่ามันยังอยู่ในรอบของเธอ ถ้าเขาอยากจะจ่ายจริงก็ให้เป็นครั้งหน้า นั่นหมายถึงต้องมีการนัดพบกันอีกครั้งเท่านั้น
เวลาผ่านไปรวดเร็ว พีรพงษ์จำไม่ได้ว่าคุยกับหญิงสาวเรื่องอะไรไปบ้าง เขาจำได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เคาท์เตอร์เอ่ยชวนเขาคุยไม่หยุด บางครั้งก็ถามคำถาม บางครั้งก็ขอความเห็น บางครั้งก็เล่าเรื่องส่วนตัว แต่เป็นส่วนน้อยที่ชายหนุ่มจะหลุดเรื่องของตัวเองออกไปบ้าง
พีรพงษ์เองก็รู้สึกแปลกที่ตัวเองยินดีที่จะฟังเสียงใสนั้นเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งเธอก็หัวเราะออกมากับเรื่องเปิ่นๆ ของตัวเอง
พนักงานในร้านเริ่มต้นเก็บของบนเคาท์เตอร์ นั่นคือตอนที่สองหนุ่มสาวรู้สึกตัวว่าเวลานั้นผ่านไปจนดึกมากแล้วตั้งแต่ลงมือทานมื้อเย็น มาถึงตอนนี้หญิงสาวถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองหน้าแดงกล่ำเป็นตำลึงสุกเพราะฤทธิ์เหล้า พีรพงษ์เองก็ให้รู้สึกตึงๆ
“ขอบคุณสำหรับการอนุญาตให้จูนเลี้ยงขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าว
“ผมสิครับที่ต้องขอบคุณสำหรับคืนนี้ ไว้ผมขอเลี้ยงกลับบ้างแล้วกัน”
“อาทิตย์หน้าเลี้ยงจูนคืนด้วยนะคะ” เธอว่ายิ้มๆ
“อ้อ...เกือบลืมเลย รบกวนจูนขอนามบัตรคุณได้ไหม?”
“ครับ” พีรพงษ์ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เช่นเดียวกับหญิงสาวที่เปิดหานามบัตรในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ
ต่างคนต่างยื่นนามบัตรให้กัน
“พีรพงษ์ นคประพันธ์” หญิงสาวอ่านชื่อในนามบัตร
“สรัญญา ประสิทธิพงษ์” ชายหนุ่มอ่านชื่อบนนามบัตรในใจ
พีรพงษ์แวะไปงานศพสามวันติดต่อกัน ความผิดนั้นยังคงคาอยู่ในใจของเขา ตอนที่มองดูรูปของเอ็มที่ตั้งอยู่ข้างหน้าโลง รอยยิ้มที่รูปกลับดูหม่นหมองในสายตาของชายหนุ่ม เรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกลับกดปุ่มเร่งเครื่องเล่นเดินหน้า
ในจำนวนคนมาร่วมงาน มีรุ่นน้องหลายคนที่จำเขาได้เดินมายกมือไหว้ พอได้พูดคุยกันพอประมาณเขาถึงได้รู้ว่าเอ็มกับฝ้ายมีปัญหาอะไรบางอย่างจนเลิกกันไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแน่ชัดนัก หรือบางทีอาจจะมีคนที่รู้เรื่องแต่เลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้
ศพนั้นตั้งไว้ห้าคืน คืนสุดท้ายก่อนเผาพีรพงษ์มาไหว้ศพครั้งสุดท้าย เขานั่งนิ่งๆ หน้าศพด้วยแววตาล่องลอย ควันธูปม้วนลอยขึ้นเป็นเกลียว
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างโลงศพ เคาะเบาๆ ที่ข้างโลงแล้วกระซิบราวกลับจะบอกคนข้างในที่บัดนี้นอนหลับสนิทไปแล้ว
“เอ็มเว้ย ฝ้ายโทร.มาฝากพี่ให้ขอโทษเอ็งให้ด้วยนะ พี่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรกัน ที่เกิดขึ้นฝ้ายมันก็ไม่ได้โกรธอะไรเอ็ง เอ็งไปแล้วก็อย่ามีอะไรติดค้างให้โกรธให้เกลียดกันอีกเลยนะ”
“ไอ้นุ่นส่งเมล์มาเสียใจด้วย มันฝากให้บอกว่าขอให้เอ็งจะไปสู่สุคติ มันอยู่อเมริกาแบบนั้นจะมาก็ไม่ง่าย”
“สำหรับพี่ พี่เสียใจที่วันนั้นพี่ไม่ฉุกคิดห้ามเอ็งไว้ ถ้าวันนั้นเราไม่กลับ ถ้าวันนั้นเราเมาหลับอยู่ที่ชะอำไปเลย ถ้า...” น้ำตาพีรพงษ์ไหลลงมาอาบแก้ม
“ถ้ามันไม่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ ทำไมเอ็งไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังวะ?”
พูดได้แค่นี้เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
พีรพงษ์กลับจากงานศพคืนนั้นด้วยความรู้สึกสับสนปนเพลียๆ เขาแวะถนนข้าวสารโดยตั้งใจว่าจะหาเหล้าซักสองสามแก้วดื่มก่อนกลับ บางทีถ้าได้ผ่อนคลายซะบ้างก็คงดี เขาคิดอย่างนั้น
ความวุ่นวายยังคงฉาบฉวยทั่วไปทุกพื้นที่บนถนนข้าวสาร ทั้งนักเที่ยว นักเดินทาง แม่ค้าพ่อค้ารถเข็น ทั้งแผงสินค้าแบบตั้งพื้นและแบบแบกับพื้นเรียงรายตลอดเส้นถนน ชั่วครั้งชั่วคราวที่รถเทศกิจจะวิ่งจากหัวถนนฟากสถานีตำรวจชนะสงครามมาออกที่ปลายทางฝั่งร้านแฮมเบอร์เกอร์เบอร์เกอร์คิงส์ บรรดาคนเดินเท้ากับร้านค้าก็จะแหวกทางเปิดช่องกันอย่างโกลาหล
พีรพงษ์แวะร้านประจำ วันนี้คนค่อนข้างแน่นร้าน คงเพราะเป็นวันสิ้นสุดสัปดาห์และเป็นช่วงเงินเดือนออกด้วย โต๊ะประจำที่เขาชอบนั่งมีเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นยึดไปเรียบร้อย ชายหนุ่มเลยเลือกนั่งที่เคาท์เตอร์แทน
“เอาเหมือนเดิมนะพี่”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับออร์เดอร์ เขาคีบน้ำแข็งหย่อนลงในแก้ว หันหลังไปเอื้อมมือหยิบเหล้าฝรั่งชั้นดีจากบนชั้นมาเทลง ผสมโซดาเย็นจัดพร้อมมะนาวฝานหนึ่งชิ้นลงไปด้วยแล้วคนเบาๆ จังหวะเดียวกันนั้นบริกรหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ขยับเข้ามาหลังเคาท์เตอร์ด้วย
“พี่...สวัสดีครับ” บริกรคนนั้นพูดพลางยกมือไหว้
“อืม”
“หายไปนานเลยนะพี่ พี่ผู้หญิงคนนั้นมาถามหาพี่ตั้งสองหนแน่ะ” เด็กหนุ่มบอก
“คนไหน?” พีรพงษ์สงสัย
“ก็คนที่พี่ช่วยหิ้วคนเมาไปนั่นไง” ตอบพลางเช็ดแก้วไวน์ด้วยผ้าไปด้วย
“เหรอ?”
จริงสินะ... หลังจากคืนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็โทรศัพท์หาเขาตั้งหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้รับสาย แถมยังไม่ได้ติดต่อกลับด้วยเพราะวุ่นอยู่กับเรื่องน้องสองคน นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วคงไม่จำเป็นต้องโทรศัพท์กลับไปแล้วมั้ง—พีรพงษ์คิด แต่จบความคิดมือถือที่วางไว้ข้างแก้วก็สั่น
ราวกับรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง เป็นหญิงสาวจริงๆ ที่โทรเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณไนท์” เสียงนั้นทักอย่างแปลกใจ คงเป็นเพราะครั้งนี้ปลายสายรับโทรศัพท์ด้วยก็เป็นได้
“ครับ สวัสดีครับ” เขาตอบติดประหม่า
“โห กว่าจูนจะโทรหาแล้วคุณรับสายได้นี่ลำบากจังเลยนะคะ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ พอดีผมติดธุระเกือบตลอดสัปดาห์”
“เห็นที่โทรเข้าอยู่นะครับ แต่ไม่ได้โทรกลับคงไม่ว่าอะไรนะ” เขาแก้ตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีจูนแวะมาแถวข้าวสารก็เลยลองโทรหาเผื่อว่าคุณจะมาแถวนั้น”
“ตอนนี้อยู่ไหนคะ?” เธอถาม
“ผมอยู่ที่ข้าวสารครับ”
“โห.... โชคดีจัง จูนเพิ่งเสร็จธุระที่เยาวราช ยังไงเดี๋ยวกินข้าวกันนะคะ ให้จูนตอบแทนเรื่องวันนั้นด้วย”
“เอ่อ คง...” พีรพงษ์พยายามปฏิเสธ
“ห้ามปฏิเสธนะคะ ติดบุญคุณใครนานๆ จูนก็ไม่อยากเป็นนะ” เธอชิงจังหวะทำให้เขาหมดสิทธิจะบอกปัดได้อีก
“ครับ ได้ครับ” เขาต้องตกลงตามนั้น
“งั้นรอยี่สิบนาทีเดี๋ยวจูนไปถึง”
....................
จริงอย่างที่เธอว่า ยี่สิบนาทีพอดิบพอดีหญิงสาวก็ก้าวเท้าผ่านประตูร้านเข้ามา เธอมองหาเขาอยู่ครู่หนึ่ง พีรพงษ์มองตอบกลับไป ร่างบางในสูทลำลองยิ้มพรายขณะเดินเข้ามายังเคาท์เตอร์ วันนี้หญิงสาวทำสีผมเป็นสีน้ำตาลแดงและดัดเป็นลอนเล็กๆ มันพลิ้วตามจังหวะก้าว รูปหน้าสวยนั้นสะกดสายตาเขาไว้จนเธอเดินมาถึง ชายหนุ่มขยับเก้าอี้นั่งให้เธอตามมารยาท
“จูนไม่มาช้าไปนะคะ” เธอเอ่ย
“ไม่เลย ยี่สิบนาทีพอดีเป๊ะ” พีรพงษ์ตอบโดยมีหญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“หิวมากๆ เลย...” เธอเปรยก่อนหยิบรายการอาหารที่พนักงานร้านยื่นให้มาเปิดเลือก พอเจอที่ต้องการก็สั่งจนเรียบร้อย ก่อนยื่นเมนูให้ชายหนุ่ม แต่เขาบอกไม่ต้องเพราะสั่งไว้เรียบร้อยแล้วแต่รอให้ทำพร้อมกับเธอ
“กว่าจะนัดมาเลี้ยงข้าวได้นี่ยากจังเลยนะคุณไนท์” เธอบ่นน้อยใจแต่ดวงหน้านั้นฉายแววมีความสุข
“โทษทีครับ อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ผมติดงานหลายเรื่อง” เขาอธิบาย
“สำคัญมากขนาดมีผู้หญิงขอเลี้ยงข้าวนี่คงต้องเป็นเรื่องคนสำคัญสินะคะ” น้ำเสียงน้อยใจออกจะจริงจังกว่าเมื่อครู่
“ผมติดงานศพน้องที่สนิทกันครับ” เขาตอบกลับเบาๆ
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ จูนไม่รู้เลยพูดไม่ดีออกไป” เธอรีบขอโทษขอโพย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกคุณ มันเป็นเหตุกะทันหันน่ะ”
“เอาเป็นทานข้าวดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปรับอาหารที่ยกมาเสิร์ฟพอดี วางจานของหญิงสาวไว้ตรงหน้าเธอ แล้วก็รับของตัวเองมา
สองหนุ่มสาวนั่งดื่มต่อหลังอาหารโดยพีรพงษ์ขอเป็นคนจ่ายค่าเครื่องดื่มรอบนี้ แต่หญิงสาวยืนกรานที่จะปฏิเสธ โดยเธอบอกว่ามันยังอยู่ในรอบของเธอ ถ้าเขาอยากจะจ่ายจริงก็ให้เป็นครั้งหน้า นั่นหมายถึงต้องมีการนัดพบกันอีกครั้งเท่านั้น
เวลาผ่านไปรวดเร็ว พีรพงษ์จำไม่ได้ว่าคุยกับหญิงสาวเรื่องอะไรไปบ้าง เขาจำได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เคาท์เตอร์เอ่ยชวนเขาคุยไม่หยุด บางครั้งก็ถามคำถาม บางครั้งก็ขอความเห็น บางครั้งก็เล่าเรื่องส่วนตัว แต่เป็นส่วนน้อยที่ชายหนุ่มจะหลุดเรื่องของตัวเองออกไปบ้าง
พีรพงษ์เองก็รู้สึกแปลกที่ตัวเองยินดีที่จะฟังเสียงใสนั้นเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งเธอก็หัวเราะออกมากับเรื่องเปิ่นๆ ของตัวเอง
พนักงานในร้านเริ่มต้นเก็บของบนเคาท์เตอร์ นั่นคือตอนที่สองหนุ่มสาวรู้สึกตัวว่าเวลานั้นผ่านไปจนดึกมากแล้วตั้งแต่ลงมือทานมื้อเย็น มาถึงตอนนี้หญิงสาวถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองหน้าแดงกล่ำเป็นตำลึงสุกเพราะฤทธิ์เหล้า พีรพงษ์เองก็ให้รู้สึกตึงๆ
“ขอบคุณสำหรับการอนุญาตให้จูนเลี้ยงขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าว
“ผมสิครับที่ต้องขอบคุณสำหรับคืนนี้ ไว้ผมขอเลี้ยงกลับบ้างแล้วกัน”
“อาทิตย์หน้าเลี้ยงจูนคืนด้วยนะคะ” เธอว่ายิ้มๆ
“อ้อ...เกือบลืมเลย รบกวนจูนขอนามบัตรคุณได้ไหม?”
“ครับ” พีรพงษ์ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เช่นเดียวกับหญิงสาวที่เปิดหานามบัตรในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ
ต่างคนต่างยื่นนามบัตรให้กัน
“พีรพงษ์ นคประพันธ์” หญิงสาวอ่านชื่อในนามบัตร
“สรัญญา ประสิทธิพงษ์” ชายหนุ่มอ่านชื่อบนนามบัตรในใจ
นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2556, 01:28:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2556, 01:28:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 960
<< เสียงฟ้ากับเสียงปืน | เหตุผลกับงานเลี้ยง >> |