Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: งานศพกับมื้อค่ำ

ศพของเอ็มตั้งอยู่บนศาลา เพื่อนฝูงของเด็กหนุ่มพากันมาร่วมงานพอสมควร

พีรพงษ์แวะไปงานศพสามวันติดต่อกัน ความผิดนั้นยังคงคาอยู่ในใจของเขา ตอนที่มองดูรูปของเอ็มที่ตั้งอยู่ข้างหน้าโลง รอยยิ้มที่รูปกลับดูหม่นหมองในสายตาของชายหนุ่ม เรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกลับกดปุ่มเร่งเครื่องเล่นเดินหน้า

ในจำนวนคนมาร่วมงาน มีรุ่นน้องหลายคนที่จำเขาได้เดินมายกมือไหว้ พอได้พูดคุยกันพอประมาณเขาถึงได้รู้ว่าเอ็มกับฝ้ายมีปัญหาอะไรบางอย่างจนเลิกกันไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแน่ชัดนัก หรือบางทีอาจจะมีคนที่รู้เรื่องแต่เลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้

ศพนั้นตั้งไว้ห้าคืน คืนสุดท้ายก่อนเผาพีรพงษ์มาไหว้ศพครั้งสุดท้าย เขานั่งนิ่งๆ หน้าศพด้วยแววตาล่องลอย ควันธูปม้วนลอยขึ้นเป็นเกลียว

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างโลงศพ เคาะเบาๆ ที่ข้างโลงแล้วกระซิบราวกลับจะบอกคนข้างในที่บัดนี้นอนหลับสนิทไปแล้ว

“เอ็มเว้ย ฝ้ายโทร.มาฝากพี่ให้ขอโทษเอ็งให้ด้วยนะ พี่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรกัน ที่เกิดขึ้นฝ้ายมันก็ไม่ได้โกรธอะไรเอ็ง เอ็งไปแล้วก็อย่ามีอะไรติดค้างให้โกรธให้เกลียดกันอีกเลยนะ”
“ไอ้นุ่นส่งเมล์มาเสียใจด้วย มันฝากให้บอกว่าขอให้เอ็งจะไปสู่สุคติ มันอยู่อเมริกาแบบนั้นจะมาก็ไม่ง่าย”
“สำหรับพี่ พี่เสียใจที่วันนั้นพี่ไม่ฉุกคิดห้ามเอ็งไว้ ถ้าวันนั้นเราไม่กลับ ถ้าวันนั้นเราเมาหลับอยู่ที่ชะอำไปเลย ถ้า...” น้ำตาพีรพงษ์ไหลลงมาอาบแก้ม
“ถ้ามันไม่เป็นแบบนี้ก็ดีนะ ทำไมเอ็งไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังวะ?”

พูดได้แค่นี้เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก

พีรพงษ์กลับจากงานศพคืนนั้นด้วยความรู้สึกสับสนปนเพลียๆ เขาแวะถนนข้าวสารโดยตั้งใจว่าจะหาเหล้าซักสองสามแก้วดื่มก่อนกลับ บางทีถ้าได้ผ่อนคลายซะบ้างก็คงดี เขาคิดอย่างนั้น

ความวุ่นวายยังคงฉาบฉวยทั่วไปทุกพื้นที่บนถนนข้าวสาร ทั้งนักเที่ยว นักเดินทาง แม่ค้าพ่อค้ารถเข็น ทั้งแผงสินค้าแบบตั้งพื้นและแบบแบกับพื้นเรียงรายตลอดเส้นถนน ชั่วครั้งชั่วคราวที่รถเทศกิจจะวิ่งจากหัวถนนฟากสถานีตำรวจชนะสงครามมาออกที่ปลายทางฝั่งร้านแฮมเบอร์เกอร์เบอร์เกอร์คิงส์ บรรดาคนเดินเท้ากับร้านค้าก็จะแหวกทางเปิดช่องกันอย่างโกลาหล

พีรพงษ์แวะร้านประจำ วันนี้คนค่อนข้างแน่นร้าน คงเพราะเป็นวันสิ้นสุดสัปดาห์และเป็นช่วงเงินเดือนออกด้วย โต๊ะประจำที่เขาชอบนั่งมีเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นยึดไปเรียบร้อย ชายหนุ่มเลยเลือกนั่งที่เคาท์เตอร์แทน

“เอาเหมือนเดิมนะพี่”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับออร์เดอร์ เขาคีบน้ำแข็งหย่อนลงในแก้ว หันหลังไปเอื้อมมือหยิบเหล้าฝรั่งชั้นดีจากบนชั้นมาเทลง ผสมโซดาเย็นจัดพร้อมมะนาวฝานหนึ่งชิ้นลงไปด้วยแล้วคนเบาๆ จังหวะเดียวกันนั้นบริกรหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ขยับเข้ามาหลังเคาท์เตอร์ด้วย

“พี่...สวัสดีครับ” บริกรคนนั้นพูดพลางยกมือไหว้
“อืม”
“หายไปนานเลยนะพี่ พี่ผู้หญิงคนนั้นมาถามหาพี่ตั้งสองหนแน่ะ” เด็กหนุ่มบอก
“คนไหน?” พีรพงษ์สงสัย
“ก็คนที่พี่ช่วยหิ้วคนเมาไปนั่นไง” ตอบพลางเช็ดแก้วไวน์ด้วยผ้าไปด้วย
“เหรอ?”

จริงสินะ... หลังจากคืนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็โทรศัพท์หาเขาตั้งหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้รับสาย แถมยังไม่ได้ติดต่อกลับด้วยเพราะวุ่นอยู่กับเรื่องน้องสองคน นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วคงไม่จำเป็นต้องโทรศัพท์กลับไปแล้วมั้ง—พีรพงษ์คิด แต่จบความคิดมือถือที่วางไว้ข้างแก้วก็สั่น

ราวกับรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง เป็นหญิงสาวจริงๆ ที่โทรเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณไนท์” เสียงนั้นทักอย่างแปลกใจ คงเป็นเพราะครั้งนี้ปลายสายรับโทรศัพท์ด้วยก็เป็นได้
“ครับ สวัสดีครับ” เขาตอบติดประหม่า
“โห กว่าจูนจะโทรหาแล้วคุณรับสายได้นี่ลำบากจังเลยนะคะ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ พอดีผมติดธุระเกือบตลอดสัปดาห์”
“เห็นที่โทรเข้าอยู่นะครับ แต่ไม่ได้โทรกลับคงไม่ว่าอะไรนะ” เขาแก้ตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีจูนแวะมาแถวข้าวสารก็เลยลองโทรหาเผื่อว่าคุณจะมาแถวนั้น”
“ตอนนี้อยู่ไหนคะ?” เธอถาม
“ผมอยู่ที่ข้าวสารครับ”
“โห.... โชคดีจัง จูนเพิ่งเสร็จธุระที่เยาวราช ยังไงเดี๋ยวกินข้าวกันนะคะ ให้จูนตอบแทนเรื่องวันนั้นด้วย”
“เอ่อ คง...” พีรพงษ์พยายามปฏิเสธ
“ห้ามปฏิเสธนะคะ ติดบุญคุณใครนานๆ จูนก็ไม่อยากเป็นนะ” เธอชิงจังหวะทำให้เขาหมดสิทธิจะบอกปัดได้อีก
“ครับ ได้ครับ” เขาต้องตกลงตามนั้น
“งั้นรอยี่สิบนาทีเดี๋ยวจูนไปถึง”
....................

จริงอย่างที่เธอว่า ยี่สิบนาทีพอดิบพอดีหญิงสาวก็ก้าวเท้าผ่านประตูร้านเข้ามา เธอมองหาเขาอยู่ครู่หนึ่ง พีรพงษ์มองตอบกลับไป ร่างบางในสูทลำลองยิ้มพรายขณะเดินเข้ามายังเคาท์เตอร์ วันนี้หญิงสาวทำสีผมเป็นสีน้ำตาลแดงและดัดเป็นลอนเล็กๆ มันพลิ้วตามจังหวะก้าว รูปหน้าสวยนั้นสะกดสายตาเขาไว้จนเธอเดินมาถึง ชายหนุ่มขยับเก้าอี้นั่งให้เธอตามมารยาท

“จูนไม่มาช้าไปนะคะ” เธอเอ่ย
“ไม่เลย ยี่สิบนาทีพอดีเป๊ะ” พีรพงษ์ตอบโดยมีหญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“หิวมากๆ เลย...” เธอเปรยก่อนหยิบรายการอาหารที่พนักงานร้านยื่นให้มาเปิดเลือก พอเจอที่ต้องการก็สั่งจนเรียบร้อย ก่อนยื่นเมนูให้ชายหนุ่ม แต่เขาบอกไม่ต้องเพราะสั่งไว้เรียบร้อยแล้วแต่รอให้ทำพร้อมกับเธอ
“กว่าจะนัดมาเลี้ยงข้าวได้นี่ยากจังเลยนะคุณไนท์” เธอบ่นน้อยใจแต่ดวงหน้านั้นฉายแววมีความสุข
“โทษทีครับ อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ผมติดงานหลายเรื่อง” เขาอธิบาย
“สำคัญมากขนาดมีผู้หญิงขอเลี้ยงข้าวนี่คงต้องเป็นเรื่องคนสำคัญสินะคะ” น้ำเสียงน้อยใจออกจะจริงจังกว่าเมื่อครู่
“ผมติดงานศพน้องที่สนิทกันครับ” เขาตอบกลับเบาๆ
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ จูนไม่รู้เลยพูดไม่ดีออกไป” เธอรีบขอโทษขอโพย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกคุณ มันเป็นเหตุกะทันหันน่ะ”
“เอาเป็นทานข้าวดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปรับอาหารที่ยกมาเสิร์ฟพอดี วางจานของหญิงสาวไว้ตรงหน้าเธอ แล้วก็รับของตัวเองมา

สองหนุ่มสาวนั่งดื่มต่อหลังอาหารโดยพีรพงษ์ขอเป็นคนจ่ายค่าเครื่องดื่มรอบนี้ แต่หญิงสาวยืนกรานที่จะปฏิเสธ โดยเธอบอกว่ามันยังอยู่ในรอบของเธอ ถ้าเขาอยากจะจ่ายจริงก็ให้เป็นครั้งหน้า นั่นหมายถึงต้องมีการนัดพบกันอีกครั้งเท่านั้น

เวลาผ่านไปรวดเร็ว พีรพงษ์จำไม่ได้ว่าคุยกับหญิงสาวเรื่องอะไรไปบ้าง เขาจำได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เคาท์เตอร์เอ่ยชวนเขาคุยไม่หยุด บางครั้งก็ถามคำถาม บางครั้งก็ขอความเห็น บางครั้งก็เล่าเรื่องส่วนตัว แต่เป็นส่วนน้อยที่ชายหนุ่มจะหลุดเรื่องของตัวเองออกไปบ้าง

พีรพงษ์เองก็รู้สึกแปลกที่ตัวเองยินดีที่จะฟังเสียงใสนั้นเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งเธอก็หัวเราะออกมากับเรื่องเปิ่นๆ ของตัวเอง

พนักงานในร้านเริ่มต้นเก็บของบนเคาท์เตอร์ นั่นคือตอนที่สองหนุ่มสาวรู้สึกตัวว่าเวลานั้นผ่านไปจนดึกมากแล้วตั้งแต่ลงมือทานมื้อเย็น มาถึงตอนนี้หญิงสาวถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองหน้าแดงกล่ำเป็นตำลึงสุกเพราะฤทธิ์เหล้า พีรพงษ์เองก็ให้รู้สึกตึงๆ

“ขอบคุณสำหรับการอนุญาตให้จูนเลี้ยงขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกล่าว
“ผมสิครับที่ต้องขอบคุณสำหรับคืนนี้ ไว้ผมขอเลี้ยงกลับบ้างแล้วกัน”
“อาทิตย์หน้าเลี้ยงจูนคืนด้วยนะคะ” เธอว่ายิ้มๆ
“อ้อ...เกือบลืมเลย รบกวนจูนขอนามบัตรคุณได้ไหม?”
“ครับ” พีรพงษ์ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เช่นเดียวกับหญิงสาวที่เปิดหานามบัตรในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ

ต่างคนต่างยื่นนามบัตรให้กัน

“พีรพงษ์ นคประพันธ์” หญิงสาวอ่านชื่อในนามบัตร
“สรัญญา ประสิทธิพงษ์” ชายหนุ่มอ่านชื่อบนนามบัตรในใจ



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2556, 01:28:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2556, 01:28:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 960





<< เสียงฟ้ากับเสียงปืน   เหตุผลกับงานเลี้ยง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account