Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: เหตุผลกับงานเลี้ยง

บทที่ 8 : เหตุผลกับงานเลี้ยง

คนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ แต่อีกคนจากไปแล้ว ตอนจากกันเพราะเลิกรา กับจากลาทั้งรักกัน อย่างไหนจะเจ็บปวด และทิ้งไว้ความเศร้าใจกว่ากัน
ฝ้ายออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้เกือบสัปดาห์แล้ว ส่วนร่างของเอ็มที่ถูกพบว่าฆ่าตัวตายที่ลานจอดรถสถานตากอากาศบางปู ด้วยการใช้ปืนกระบอกที่ก่อเหตุยิงตัวเองในวันเดียวกันนั้น ทางญาติก็จัดงานศพให้แล้ว เถ้ากระดูกที่เก็บหลังการเผามีกำหนดไปลอยอังคารกันที่ปากน้ำ พีรพงษ์ก็ไปร่วมด้วยเก็บเถ้าด้วย
เขาเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไมเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เขารู้จักดีอย่างเอ็มถึงได้ทำอะไรแบบนั้นจนวันที่เขาไปเยี่ยมเด็กสาวในบ่ายของหลายวันให้หลัง

มันเป็นวันที่แดดทอแสงบนฟ้ามากกว่าวันไหนๆ ในช่วงที่ผ่านมาหลายสัปดาห์ ฝ้ายยังนอนักบนเตียง น้าแป้งแม่ของฝ้ายปล่อยเขาอยู่กับเด็กสาวตามลำพัง พีรพงษ์เอ่ยปากขอโทษเธอเพราะไม่คิดว่ารุ่นน้องที่อดีตคนรักเก่าของลูกสาวเธอจะก่อเหตุแบบนั้น เขาโทษว่าเป็นความผิดของเขาเองที่วันนั้นตามใจเอ็มจนพาเขามาในสภาพที่ยังเมากันอยู่ มันเป็นความผิดที่เขาเองก็มีส่วนให้มันเกิดขึ้น
คำให้อภัยของผู้เป็นแม่คนที่เกือบเสียลูกสาวไปคนหนึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก เหมือนคำให้อภัยและปลอบโยนจากพ่อแม่ของเอ็มเช่นกันที่ช่วยให้สภาพจิตใจเขาดีขึ้นมาด้วย

“พี่อย่าโทษตัวเองเลยนะ” เด็กสาวบอก เมื่อพีรพงษ์เอ่ยปากขอโทษในเหตุเดียวกันกับที่บอกแม่ของเด็กสาวไป
“ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอก มันเป็นเรื่องของเอ็มกับฝ้ายเอง แล้วก็บังเอิญพี่อยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นฝ้ายคงตายไปแล้ว”
“แต่ถ้าพี่เอะใจ?” เขาพยายามพูด
“ถ้าพี่ห้ามมันไว้คืนนั้น”
“ทั้งหมดเป็นเพราะฝ้ายเองแหละ มันเริ่มต้นที่ฝ้ายทั้งนั้น” เด็กสาวพยายามบอก ขณะที่น้ำตาเริ่มปริ่มไหล
“มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าฝ้ายไม่ทำร้ายลูกของเรา”

ในที่สุดพีรพงษ์ก็ได้รับรู้ว่าทำไมรุ่นน้องอย่างเอ็มถึงได้ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น ฝ้ายเล่าให้ฟังว่าเธอกับเอ็มคบหากันมา และในที่สุดก็มีอะไรกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยที่ฝ้ายยังไม่ได้ยินยอม เธอเลิกกับเอ็มทันทีและปฏิเสธที่จะให้โอกาสเขา
เพียงแต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์คืนนั้นคือเธอท้อง
เอ็มมารู้ตัวว่าฝ้ายท้องก็หลังจากเลิกกับเขาได้หลายเดือนแล้ว เขากำลังสนิทกับเด็กสาวอีกคนขณะที่เพื่อนบางคนเริ่มเล่าอาการชวนสงสัยว่าฝ้ายจะแพ้ท้องให้เขาฟัง
เขาโทร.หาอดีตคนคบหากันหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยรับสาย เวลามาหาที่บ้านก็ไม่เจอเพราะฝ้ายหนีไปอยู่บ้านญาติที่อำเภอใกล้ๆ
ความรู้สึกเป็นพ่อคนทำให้เอ็มอยากรับผิดชอบเด็กในท้องที่เป็นลูกของเขา แต่ฝ้ายไม่ยอมรับเด็กคนนี้ ฝ้ายเกลียดเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเธอก็เป็นเด็กอีกคนที่เกิดมาบนความไม่พร้อม เธอเลือกทำแท้งเพื่อเอาเด็กออก แต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เรื่องนี้

และนั่นคือคำอธิบายว่าทำไมเอ็มตัดสินใจจะบวช เด็กหนุ่มคงตั้งใจว่าเมื่อสึกออกมาจะได้ให้ที่บ้านมาขอฝ้าย เขาจะมารับผิดชอบลูกในท้องของเธอ
แต่วันนั้นฝ้ายบอกกับอดีตคนเคยคบกันว่าเธอเอาเด็กออกแล้ว
ฝ้ายเลือกทำแท้ง!!

นั่นคงทำให้เอ็มโกรธเธอมาก โกรธที่เธอฆ่าลูกของเขา บางทีปืนที่พกมาด้วยเขาอาจจะตั้งใจแค่เอามาขู่ แต่โทสะนั้นทำให้เขาขาดสติที่จะครองตัวเองไว้ แล้วกระสุนเม็ดนั้นก็ทำร้ายหนึ่งชีวิต
และกระสุนอีกเม็ดก็ทำลายหนึ่งชีวิต

ฝนบ่ายตกลงมาไม่ขาดสาย และตกเหมือนไม่มีวันจะหยุด ทั้งที่ท้องฟ้าสว่างใสเพิ่งจะปรากฏตัวเมื่อเช้านี้เอง ฝนตกไม่หยุดเช่นเดียวกับความเสียใจก็คงไม่มีวันเลือนหายไปจากหัวใจเด็กสาว

พีรพงษ์นั่งรถแท็กซี่กลับจากบ้านของฝ้าย เขาได้คำตอบที่ทำให้หายข้องใจว่าทำไมเอ็มถึงทำอะไรอย่างนั้น พวกเค้าเพิ่งจะอายุแค่ 20 ปีด้วยกันทั้งคู่ การตัดสินใจ การควบคุมอารมณ์ การใช้ชีวิต ย่างก้าวแต่ละย่างก้าวนั้นเปราะบางและสั่นคลอนอย่างน่าหวั่นหวาด
แต่ก็ไม่แปลกอะไรที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะคนที่อายุมากกว่าพวกเขาทั้งคู่ ก็มีอีกมากมายที่ยังไม่สามารถจัดการชีวิต อารมณ์และความนึกคิดชั่ววูบของตัวเองได้ และอาจจะหมายถึงเขาด้วย
....................

วันอาทิตย์ถัดมาจะเป็นวันนัดสังสรรค์ บรรดาเพื่อนฝูงก็เทียวโทรศัพท์มาคอนเฟิร์มกับชายหนุ่มว่าเขาจะไปโผล่ที่งานเลี้ยงอย่างแน่นอนใช่หรือไม่ ไม่วายรับปากว่าไปแน่นอนก็ยังมีคนโทรศัพท์มาเช็คซ้ำ
พีรพงษ์กดปุ่มเซฟไฟล์งานเรียบร้อยก่อนปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมลงไปกินข้าวเที่ยง

“ไนท์... เดี๋ยวเข้าประชุมกับพี่กับคุณชุมชาติตอนบ่ายสองนะ” พี่หนึ่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดตะโกนบอกออกมาจากในห้อง หลังเห็นเขาลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ครับพี่” เขารับคำ
“อย่าลืมตัวอย่างสินค้าของโปรโมชั่นประจำหน้าฝนด้วยล่ะ” ผู้เป็นหัวหน้าสั่ง
“เตรียมไว้ให้แล้วครับพี่ เดี๋ยวผมขึ้นมาเช็คให้อีกที”
“เออ ขอบใจ กินข้าวให้อร่อยล่ะ”
“ครับ”

อากาศข้างนอกตึกของเที่ยงวันนั้นค่อนข้างร้อน หรืออย่างน้อยพีรพงษ์ก็คิดว่ามันร้อนอบอ้าวผิดปกติ เพราะธรรมดาเห็นมีเมฆครึ้มฟ้าตั้งเค้าจะมีฝนแต่เช้านั่น แต่วันนี้แปลกที่มีแดดแรงผิดแผกไปจากทุกวัน
สมองบีบเหมือนถูกรัดด้วยผ้าแน่นๆ ชายหนุ่มพิงตัวเองใส่ผนังลิฟท์ รู้สึกมวนท้องเหมือนจะอาเจียน คนแน่นลิฟท์เพราะต่างคนต่างแย่งกันลง ยิ่งคนมากยิ่งเบียดกัน อากาศก็น้อยจนหายใจลำบาก มันก็พอจะเกิดอาการแบบนี้ได้—ชายหนุ่มคิดหาเหตุผล
พอที่กับที่ลิฟท์ลงถึงชั้นล่าง ประตูที่เปิดออกดูดอากาศดีๆ ข้างนอกเข้ามาแทนที่ เขาถึงได้รู้สึกหายใจคล่องหน่อย

“หาตัวอยู่พอดีเลย ป่ะ...ไปกินข้าวท้ายซอยกัน” ชินเอ่ยทักเมื่อเขาเดินออกจากลิฟท์ที่ชั้นล่าง คนทักนั้นรออยู่พักใหญ่แล้ว
“เอาสิ” พีรพงษ์นึกถึงข้าวผัดแหนมกับไข่ดาวเมนูประจำทันทีเมื่อตกลงไปร้านนั้น
“เฮ้ยไนท์ เดี๋ยวสิ้นเดือนกูจะยื่นใบลาออกนะ” ชินพูดระหว่างเดินรุดไปในซอย
“อ้าว... จริงเหรอ? ทำไมวะ?” พีรพงษ์ตกใจ
“ย้ายงานเอาเงินเดือนเพิ่มว่ะ” ชินพูดเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“แล้วมีที่ใหม่แล้วเหรอ” ชายหนุ่มเป็นห่วงเพื่อน
“สบาย เรียบร้อย”
“ว่าแต่ทำไมหน้ามึงดูซีดๆวะไนท์” ชินเอ่ยทักเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูผิดสังเกต
“เหรอวะ? ไม่เป็นไรมั้ง สงสัยอากาศมันร้อนๆ” เขาตอบ
“อย่าแดกเหล้าเยอะนักล่ะ” ชินแซว

พีรพงษ์รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด มีแรงบีบหนักๆ กดทับบริเวณขมับกับต้นคอแรงๆ อาการหน่วงๆ ครู่เดียวก็หายไป แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกแต่การที่สักพักก็หายทำให้เขาไม่ค่อยใส่ใจมากนัก
กว่าจะหมดเย็นวันนั้นเขาก็ลืมอาการเมื่อกลางวันนี้ไปเสียสนิท
....................

งานสังสรรค์เลี้ยงรุ่นปีนี้ย้ายไปจัดที่ร้านอาหารใหญ่โตแถวชานเมือง บางคนเปลี่ยนแปลงไปจนพีรพงษ์เองจำไม่ได้ บางคนมีครอบครัวมาด้วยแถมพ่วงเจ้าตัวเล็กๆ มาให้เพื่อนได้ชื่นชม ขณะที่พีรพงษ์ต้องตอบคำถามเพื่อนคนนั้นคนนี้อยู่เกือบตลอดว่าทำไมเขาไม่ยอมมางานเลี้ยงรุ่นทั้งสองหนที่จัดขึ้น

“เป็นไงบ้างวะมึง?” เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งข้างกันเอ่ยถามตอนที่เริ่มลงมือกินข้าว
“ก็ดี งานยุ่งพอตัวเลยล่ะ” พีรพงษ์ตอบ
“ไอ้กอล์ฟมันจะแต่งงานสิ้นปียังไงอย่าลืมไปนะเว้ย” อีกฝ่ายพูดถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา พีรพงษ์หันไปมองเพื่อนสนิทสมัยเรียนของตัวเองกำลังเฮฮาอยู่กับเพื่อนคนอื่นพอดี
“เหรอวะ? เพิ่งรู้นะเนี่ย เออ...ดีๆ” เขาบอก
“แล้วมึงล่ะจะแต่งเมื่อไหร่?” พีรพงษ์ถูกถาม
“เฮ้ย...ยังอีกนาน ตอนนี้ยังไม่มีใคร” พีรพงษ์รีบตอบปฏิเสธ อีกฝ่ายทำหน้างงๆ
“อ้าว... แล้วน้องคนที่มึงคบด้วยตอนนั้นเลิกกันแล้วเหรอ? ชื่ออะไรน้า??”
“เกม” พีรพงษ์ตอบคำถามด้วยความรู้สึกว่าคำตอบนั้นขื่นคอ
“ใช่ๆ มึงเลิกกับเค้าแล้วเหรอ?”
“อืม หลายปีแล้วล่ะ” พีรพงษ์ตอบ สีหน้าเศร้าคงปรากฏให้เห็นชัดเจน
“เฮ้ย... โทษทีว่ะ กูไม่รู้ โทษทีๆ” ฝ่ายนั้นรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไร”

คำถามนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดสังเกต คนชวนคุยเลยเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่น นั่นเพราะเพื่อนส่วนใหญ่รู้ว่าระหว่างความสัมพันธ์ในฐานะคนรักกันของเขากับเกมนั้นมากขนาดไหน อาจจะเป็นหนึ่งในคู่รักที่แสดงออกแบบเปิดเผยจากไม่กี่คู่ในเวลานั้น คบหากันหลายปีและเพื่อนฝูงยอมรับ

พีรพงษ์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เสียงหัวเราะเฮฮายังดังไม่ขาด เพื่อนบางส่วนโดยเฉพาะสาวๆ ย้ายไปร้องคาราโอเกะในห้องข้างใน เหลือพวกหนุ่มๆ นั่งคุยหารือกันเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
ชายหนุ่มขยับไปยืนข้างๆ กลุ่มเพื่อน ฟังเพื่อนร่วมรุ่นคนนั้นคนนี้พูดคุย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่คือไม่รู้เรื่องเพราะเขาแทบไม่ได้สุงสิงกับใครเลยเมื่อจบจากมหาวิทยาลัยมา

“เฮ้ย...ไนท์” กอล์ฟทักหลังตัวเองเปลี่ยนที่จากเพื่อนกลุ่มอื่นมาอยู่ร่วมตรงกลุ่มที่ชายหนุ่มยืนอยู่
“เออ” เขาตอบ
“กูมีข่าวเกมมาบอกมึงว่ะ” กอล์ฟพูดจริงจัง
“หา” เขาอุทานเบาๆ ใช่สินะ นอกจากไม่ได้สุงสิงกับเพื่อนฝูงแล้ว เขายังไม่เคยติดตามข่าวคราวของเกมด้วยเช่นกัน
“เพื่อนนมนต์ที่ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียบอกว่าเค้ามีเพื่อนคนไทยอยู่คนหนึ่งชื่อเกม” กอล์ฟเริ่มเล่า โดยมีพีรพงษ์ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง แต่ความคิดนั้นลอยไปไกลถึงใครคนที่พูดถึง
“กูเลยให้นมนต์ลองถามดูว่าเป็นใครยังไง ฝั่งนู้นเล่ามากูเลยคิดว่าน่าจะใช่คนเดียวกัน” เขาเล่าต่อ ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งเงียบ
“มึงไม่ได้ข่าวเกมเลยเหรอวะ?” คนเป็นเพื่อนถาม
“ไม่เลย กูไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่เลิก” พีรพงษ์ตอบเจื่อนๆ
“อะไรของมึงเนี่ย โกรธอะไรกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“แต่กูก็รู้มาเท่านี้แหละ ใช่ไม่ใช่ก็ไม่รู้ แต่กูก็ว่าน่าจะใช่” กอล์ฟออกความเห็น
“อืม” เขาตอบกลับเพียงเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่ได้รู้ข่าวนี้แม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ก็ตามที

พีรพงษ์นั่งลงเบาๆ บนราวกั้นกันตก เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าสีเทาลางๆ ด้านหลังเขาเป็นสระน้ำใหญ่กลางร้าน ไฟสัญญาณใต้ท้องเครื่องบินกระพริบสว่างวาบเป็นจุดสีแดงเล็กอยู่สูงลิบขึ้นไป ชายหนุ่มมองแล้วยิ้มที่มุมปากพลางหันคอตามไปจนสุดระยะหมุน
จังหวะหันกลับพีรพงษ์รู้สึกวูบเหมือนจะหน้ามืดขึ้นมา เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็คะมำคว่ำไป โชคดีแต่ว่าเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ทันคว้าตัวชายหนุ่มเอาไว้ได้ก่อนที่จะกระแทกไปกับโต๊ะที่อยู่ตรงนั้น
ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนๆ หลายคนต้องทิ้งงานเลี้ยงเพื่อส่งเขาไปโรงพยาบาลโดยมีกอล์ฟเป็นคนอาสาพาไป เพื่อนคนอื่นจับกลุ่มคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนปล่อยบรรยากาศกลับไปสู่ความสนุกสนานอีกครั้งเมื่อใครบางคนพยายามไม่ให้เพื่อนๆ แตกตื่นตกใจโดยบอกว่าเขาไม่เป็นไรมาก
....................



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2556, 20:34:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2556, 20:34:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 831





<< งานศพกับมื้อค่ำ   ความลับกับยานอนหลับ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account