น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 6.ศึกศักดิ์ศรี
6.
หลังจากที่ถูกน้ำผึ้งปฏิเสธ คชาพัฒน์ก็ทุรนทุรายเหมือนหนูติดจั่นเพราะกำหนดวันที่จะพานางงามขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวานที่ปราจีนบุรีก็ใกล้เข้ามาเต็มที แต่ว่าเขายังหาสาวงามที่คู่ควรกับการลงชิงชัยไม่ได้
“นั่งบ้างก็ได้ เดินไปเดินมาปวดหัว” นัยนิตผู้หญิงผมสั้นสวมกางยีนเสื้อเชิ้ตลายสก็อตที่นั่งตะไบเล็บของตัวเองอยู่เอ่ยออกมา
คชาพัฒน์ถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงสด
“ถ้าเด็กนังจวงจันทร์ไปคว้าตำแหน่งมาได้ มันจะต้องเยาะเย้ยพี่แน่ๆ เลย”
“การแข่งกันมันก็ต้องมีแพ้มีชนะพี่ อย่าไปซีเรียสเลย”
“ไม่ได้หรอก พี่ซีเรียสแล้ว จะเลิกง่าย ๆ ไม่ได้”
“งั้นก็เชิญทุกข์ทรมานไปตามสบาย” ว่าแล้วนัยนิตก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว โดยมีเสียงของคชาพัฒน์ไล่หลังไปว่า
“ทุกข์ทรมานมันมีแบบสบายด้วยเหรอยะ”
“แบบเจ๊นั้นแหละ”
ขณะที่สาวแท้กับสาวเทียมกับกำลังส่งเสียงโต้เถียงกัน ประตูหน้าร้านก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้ด้านบนดังกรุ๊งกริ๊ง คชาพัฒน์หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่า วิธิตเดินนำวรรณศุกร์เข้ามาในร้าน...คชาพัฒน์ปรับอารมณ์และสีหน้าให้เป็นสดชื่นได้ทันทีเช่นกัน
“ลมอะไรหอบเทพบุตรสุดหล่อมาที่นี่ได้พร้อมกัน”
“ก็เห็นผมทรงใหม่ของศุกร์มันเข้าท่าก็เลยอยากได้ทรงนี้บ้าง เลยลากตัวมันมาให้ช่างดูแบบซะหน่อย” เมื่อเข้าไปหาภัทรินที่กรุงเทพฯ วรรณศุกร์ก็ถูกภัทรินลากไปที่นั่นที่นี่ และสุดท้าย ภัทรินก็จับวรรณศุกร์ตัดผมทรงใหม่กับช่างมืออาชีพที่ค่าตัดผมแพงลิบลิ่ว และเมื่อเขาบอกกับวิธิตว่าค่าตัดผมทรงนี้เป็นเงินเท่าไหร่ วิธิตจึงตาเหลือกก่อนจะบอกว่า ถือเสียว่าจ่ายค่าความรู้สึกดี ๆ แล้วกัน และเขาก็บอกกับวรรณศุกร์ว่านัยนิตนั้นก็สามารถซอยผมทรงที่วรรณศุกร์ซอยมาได้เหมือนกัน เขาจึงได้ลากวรรณศุกร์มาที่หนิงหน่องแฮร์คัท
และเมื่อวิธิตจะตัดผม เขาจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่...ส่วนวรรณศุกร์นั้นเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์รายวันมาดูข่าวฆ่าเวลา
“ผมสระผมมาแล้วนะ ไม่ต้องสระใหม่”
“ช่างสระไม่อยู่ด้วย” คชาพัฒน์หมายถึงสำลีที่ปวดท้องประจำเดือนแล้วขอตัวกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ
“ไปไหนเสียล่ะ”
“ลาป่วย”...
“ผมจะให้นัยนิตเขาตัดให้นะ”
คชาพัฒน์จึงค้อนให้วิธิตผ่านกระจกเงา...
“หน้าตาบูดบึ้ง ดูไม่สดเหมือนเคย มีอะไรหรือเปล่า” วิธิตชวนคุย ในขณะที่คชาพัฒน์ตะโกนเรียกให้นัยนิตที่อยู่ในครัวออกมาทำงาน นัยนิตที่ไม่รู้ว่าใครมาเป็นลูกค้าตะโกนตอบกลับมาว่า
“สักครู่ค่ะ”
“กำลังกินข้าวน่ะ” คชาพัฒน์บอกธุระของนัยนิตโดยไม่ได้บอกเหตุที่หน้าตาของตนบึ้งตึง
“มื้อไหนละครับ เย็นแล้วนะ”
“เขากินได้ตลอดแหละ แต่เขาไม่อ้วน” นัยนิตนั้นเป็นคนกินจุแต่ว่าร่างกายเผาพลาญได้หมดจึงไม่อ้วนท้วนดูเป็นคนเจ้าเนื้อแบบสำลี
“เป็นบุญของเขา ผมกับนายศุกร์ ต้องหมั่นออกกำลังกายไม่งั้นพุงป่อง”
“ถึงว่าหุ่นดีด้วยกันทั้งคู่....”
“หน่องก็หุ่นดีนะ”
พอถูกชมคชาพัฒน์ก็ชะมดชม้อยมองตาของวิธิตผ่านกระจกเงา...แต่ว่าวิธิตก็เพียงยิ้ม ๆ หลบสายตา ไม่มีสัญญาณใด ๆ ว่าเขามีรสนิยมไม้ป่าเดียวกัน
และระหว่างรอให้นัยนิตกินข้าวคชาพัฒน์ยังคงชวนสองหนุ่มคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ กระทั่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น คชาพัฒน์จึงขอตัวหลบไปรับสายแต่ว่าไม่ได้ห่างจากหูของชายหนุ่มสองคนนัก
“เด็กที่จะขอคุณเพราไปขึ้นเวทีไม่ได้นะ เพราะว่า เวทีธิดากระท้อนหวานคุณเพราเขาก็ส่งเด็กไปเหมือนกัน เขาไม่อยากให้เด็กเขาไปชนกันเองบนนั้นน่ะ เสียใจด้วย...”
บอกเรื่องสำคัญแล้วปัญจพลก็ขอตัววางสายไป คชาพัฒน์ถอนหายใจอย่างแรง
“มีปัญหาอะไรหรือครับ” เมื่อเห็นสีหน้าของคชาพัฒน์วิธิตสอบถามในทันที
“เด็กที่จะส่งขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวานปราจีนบุรีน่ะฮะ หนีตามผู้ชายไป...แล้วหน่องหาเด็กมาเสียบแทนไม่ได้ ติดต่อให้น้ำผึ้งเข้าขึ้นประกวดเขาก็ไม่เอา”
“น้ำผึ้ง” ชื่อนี้ทำให้วรรณศุกร์มีความฉงนใจ
“น้ำผึ้งลูกสาวพี่น้ำอ้อยนั่นแหละหน่วยก้านดีมีแววเป็นนางงามได้ ทาบทามไปแล้วแต่เขาไม่เอา”
“ทำไมเขาไม่เอาละครับ” วิธิตแทรกเข้ามาบ้าง
“เขากลัว กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวโน่น กลัวไปหมด เสียดายโอกาสดี ๆ นะ..”
เมื่อคชาพัฒน์บอกอย่างนั้น วรรณศุกร์ยิ้มนิด ๆ และพอดีกับที่นัยนิตเดินปากมันออกมาจากในครัว และเมื่อเห็นวิธิตกับวรรณศุกร์ นัยนิตก็ยิ้มทักทายสองหนุ่มก่อนจะเช็ดปากของตนกับเสื้อเชิ้ตตรงไหล่ ซึ่งคนในบ้านไพรรู้ดีว่า นัยนิตนั้นไม่ใช่คนช่างเจรจาเหมือนกับคชาพัฒน์ผู้เป็นลูกพี่ แต่ว่าฝีมือของนัยนิตนั้นนับว่าไม่แตกต่าง และนัยนิตก็สามารถซอยผมได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะผมผู้ชาย...หากหยิบนิตยสารมาให้นัยนิตดูแบบมองแวบเดียวนัยยิตก็สามารถตัดทรงนั้นได้แล้ว แต่บางทีนัยนิตก็ไม่ยอมตัดให้เพราะว่า หน้าของคนมาตัดกับไรผมของคนนั้น ไม่รับกับทรงผมที่เอามาให้ดู
“เอาทรงเดียวกับไอ้คุณศุกร์” วิธิตบอกนัยนิตหลังจากที่นัยนิตคลุมผ้าเรียบร้อยแล้ว นัยนิตปรายตาไปมองวรรณศุกร์ที่เงยหน้ายิ้มให้เพียงแย้ม นัยนิตยิ้มตอบก่อนจะบอกว่า
“ไรผมมันไม่เหมือนกันจะตัดให้เป็นทรงเดียวกันเลยไม่ได้หรอกนะ..”
“เอาทำนองนั้นก็พอ”
นัยนิตลงมือทำงาน ส่วนคชาพัฒน์ยังคงนั่งหน้าตูมอยู่ที่เคาเตอร์...โดยมีวรรณศุกร์ชำเลืองมองพลางครุ่นคิดว่างานนี้คชาพัฒน์จะแก้ปัญหาอย่างไร และอึดใจคชาพัฒน์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วเหมือนพบทางสว่าง...เรียกสายตาจากนัยนิตและวรรณศุกร์ได้อีกครั้ง
“คิดออกแล้ว...”
“เรื่องไรพี่” นัยนิตรีบถาม
“ตื๊อเท่านั้นครองโลก...ขอตัวก่อนนะฮะคุณศุกร์คุณธิต ขอไปตื๊อน้ำผึ้งหน่อย ถ้าไปเกลี้ยกล่อมที่ตลาดรับรองเลยว่า พวกบรรดาป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ รอบ ๆ ตัวน้ำผึ้ง จะต้องช่วยกันพูดอย่างแน่นอน ”...
คชาพัฒน์ผลุนผลันเปิดประตูเดินตูดบิดออกจากร้านไปแล้ววิธิตก็เอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นว่า
“ผึ้งมันสวยพอจะเป็นนางงามได้เหรอ”
นัยนิตไม่ตอบในทันทีเพราะใจของหญิงสาวนั้นอยู่กับงานตรงหน้า วรรณศุกร์เงยหน้ามองบรรดารูปนางงามที่คชาพัฒน์ติดไว้ที่หลังเคาน์เตอร์ครุ่นคิดไปว่า ถ้าน้ำผึ้งแปลงโฉมเป็นนางงามมันจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะน้ำผึ้งนั้นไม่ใช่คนสวยสะดุดตานัก แต่...น้ำผึ้งก็จมูกโด่งและริมฝีปากได้รูป ที่สะดุดตาก็คือดวงตากลมโตภายใต้คิ้วดำเข้ม จะมีจุดด้อยก็ตรงผิวพรรณที่ออกจะคล้ำ ๆ ไม่ขาวผ่องดังไข่ปอกซึ่งเป็นที่นิยมของหนุ่มไทย
“ผึ้งสวยนะ สวยมากด้วย” นัยนิตเปรยออกมาเบา ๆ คราวนี้วิธิตเงียบครุ่นคิดตามบ้าง...และพอเวลาผ่านไปอึดใจเขาก็ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า
“คิดว่าวิธีการของหน่องจะได้ผลไหม”
วรรณศุกร์วางหนังสือพิมพ์ลงสบตากับเพื่อนในกระจก...ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ส่วนนัยนิตก็บอกว่า
“คนเราถ้าลองถูกตื๊อสองครั้ง สามครั้ง มีรึจะไม่ใจอ่อน”
เรื่องที่น้ำผึ้งถูกคชาพัฒน์ทาบทามไปขึ้นเวทีนางงามถึงหูจวงจันทร์เพราะป้าสำรวยที่ไปรับผ้ามาซักปูดให้จวงจันทร์ได้รับรู้ และเมื่อรู้แล้ว จวงจันทร์ก็ครุ่นคิดว่า ควรที่จะไปสร้างความปั่นป่วนในใจน้ำผึ้ง ให้น้ำผึ้งไขว้เขวดีกว่า
“ได้ข่าวว่าหนิงหน่องติดต่อให้ขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวาน” จวงจันทร์ถามน้ำผึ้งในทันทีเมื่อไปยืนอยู่หน้ารถเข็น
“ค่ะ...” น้ำผึ้งรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันแต่ว่าเรื่องนี้มันก็มีคนรู้อยู่ไม่น้อยมัน จึงไม่แปลกที่จะกระจายไปถึงหูจวงจันทร์และคนอื่น ๆ...
“ถ้าคิดจะขึ้นเวที ไปกับพี่ดีกว่า พี่ให้ดีกว่าหนิงหน่อง”
หัวคิ้วของน้ำผึ้งขมวดเข้าหากัน เธอยังไม่ได้คิดจะขึ้นเวทีเลยเพราะรู้ตัวเองว่าไม่สวยแต่ว่าจวงจันทร์มาเสนอค่าตัวให้แบบนี้เพื่ออะไรกัน
“ผึ้ง ผึ้งยังไม่ได้คิดจะขึ้นเวทีเลยนะ”
“ขึ้นเถอะ ผึ้งสวยมากนะ รู้ตัวไหม”
น้ำผึ้งส่ายหน้าดิก...เธอรู้แต่ว่าเธอมีส่วนสูงเกินเพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกัน แต่เธอก็ไม่เคยแต่งตัวแบบผู้หญิงในวัยสาวเต็มตัวเลยสักครั้ง เสื้อยืด กางเกงยีนขาลีบบ้าง ขาสามส่วนบ้าง เสื้อคอปก รองเท้าผ้าใบ ไม่เคยเข้าร้านไดร์ฟผม ไม่เคยแต่งหน้า ไม่เคยใช้ครีมกันแดดครีมหน้าขาว ใช้แต่โฟมล้างหน้าเท่านั้น แล้วเธอไปสวยจนบรรดาพวกพี่เลี้ยงนางงามมาเห็นได้อย่างไร...มันเกิดอะไรขึ้น
“นะผึ้งไปกับพี่ เวทีธิดากระท้อนหวานพี่ให้ผึ้งเลยสามพันบาท ได้ตำแหน่งหรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา” ด้วยอยากตัดหน้าคชาพัฒน์จวงจันทร์จึงต้องยอมลงทุน กับเมื่อมาเพ่งพิศใบหน้าหุ่นก้านน้ำผึ้งอีกรอบจึงได้เห็นว่า น้ำผึ้งนั้นได้ตรงความสูงและรูปหน้าที่คมคาย..ส่วนเรื่องผิวสีน้ำผึ้งนั้นพอลงแป้งถูกแสงไฟบนเวทีแล้วมันก็ช่วยได้...และถ้ามีน้ำผึ้งเป็นนางงามในสังกัดเป็นการถาวรสักคน เธอก็คงจะพาน้ำผึ้งไปลุยได้อีกหลายเวที
“ผึ้ง เอ่อ ผึ้ง” น้ำผึ้งอึก ๆ อัก ๆ และยังไม่ทันที่น้ำผึ้งจะให้คำตอบ ที่หน้ารถเข็นของตนก็มีรถของคชาพัฒน์พุ่งเข้ามาจอด...แล้วคชาพัฒน์ก็รีบลงมาจากรถผลุนผันมายืนชิดกับจวงจันทร์...
“มาทำอะไรที่นี่เหรอเจ๊” คชาพัฒน์นั้นไม่ได้รู้ว่าจวงจันทร์มาทาบทามน้ำผึ้งไปขึ้นเวทีเหมือนกัน
“ก็มาหาลูกชิ้นกิน ตัวเองล่ะมาทำอะไรเหรอ”
“ก็มาหาลูกชิ้นกิน น้ำจิ้มของน้ำผึ้งอร่อยมาก เมื่อวานซื้อไปแล้วกินแล้วติดอยู่ปลายลิ้น นอนไม่หลับเลย อยากกินอีก รอให้ถึงตอนเย็นวันนี้จะแทบแย่เลย”
“ขนาดนั้นเลย ตอแหลรึเปล่าเนี่ย”
“ตอแหลค่ะ...ก็แค่ลูกชิ้นลูกเล็ก ๆ มันคงไม่ทำให้ติดอกติดใจจนนอนไม่หลับหรอก แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังดีกว่ามะเขือยาวเผาแน่ ๆ นึกแล้วขยะแขยง” ไม่ใช่แค่เบ้หน้า แต่คชาพัฒน์ไหวไหล่ชวนให้อีกฝ่ายอารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนกัน แต่ว่าจวงจันทร์ก็เก็บความไม่พอใจนั้นไว้อย่างมิดชิด เพราะคชาพัฒน์นั้นเมื่อตั้งใจจะมาธุระของตน เขาก็ไม่สนใจหรอกว่า ใครมีธุระอะไรกับน้ำผึ้งอยู่ก่อน เขาเบียดจวงจันทร์ให้ต้องผละหนีจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนจะเข้าไปยืนแทนที่
“นี่ผึ้งว่าไง เรื่องที่คุยกันไว้” เสียงของคชาพัฒน์ดังกว่าปกติเพราะอยากให้แม่ค้าผลไม้สด แม่ค้าขายผักสด แม่ค้าขายขนมแผงใกล้ ๆ ได้ยินไปด้วย และมันก็ได้ผล พอคชาพัฒน์ถามไปอย่างนั้น คนอื่น ๆ ก็มองมาหาคชาพัฒน์เป็นตาเดียวกัน แล้วคชาพัฒน์ก็ได้ทีบอกคนอื่นๆ ที่ดูจะอยากรู้ไปว่า...
“คือหน่องมาเอาคำตอบเรื่องที่ได้ไปชวนผึ้งไว้น่ะ หน่องจะชวนผึ้งไปขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวาน เพราะว่าน้ำผึ้งสวยถูกใจหน่องมาก และหน่องคิดว่า กรรมการก็ต้องเห็นแบบหน่อง”
จวงจันทร์นั้นเบ้ปาก...ด้วยคิดว่า หากน้ำผึ้งจะขึ้นเวทีน้ำผึ้งก็ต้องเลือกตน เพราะว่าจ่ายผลประโยชน์ให้มากกว่า
“จริง ๆ เหรอ...โอ้ว นังน้ำผึ้งจะไปเป็นนางงามกับเขาด้วยเหรอ” ป้าที่ขายกล้วยปิ้งตะโกนถามกลับมา
“ใช่ น้ำผึ้งบ้านไพรคนนี้แหละ ต่อไปจะเป็นนางงามเดินสายในสังกัดนังหนิงหน่อง...ใช่ไหมผึ้ง”
น้ำผึ้งนั้นปั้นหน้าไม่ถูก ใจหนึ่งก็รู้สึกคล้อยตามไปกับ ‘ฝัน’ ของคชาพัฒน์ แต่อีกใจก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้อย่างที่คชาพัฒน์ต้องการ และอีกเศษหนึ่งส่วนสี่ของใจ น้ำผึ้งก็คิดว่า ข้อเสนอที่ทางจวงจันทร์ให้มานั้นมากกว่า...และจวงจันทร์ก็สบตากับน้ำผึ้งหลิ่วตาให้ประมาณว่า อย่าได้บอกคชาพัฒน์ล่ะว่า เธอเสนอค่าตัวให้น้ำผึ้งเท่าไหร่?
“ผะ ผะ ผึ้ง...เอ่อ”
“สรุปว่าน้ำผึ้งตกลงจะไปเป็นเด็กในสังกัดของพี่หน่องแล้วนะ” คชาพัฒน์เสียงดัง
“ไม่ใช่นะพี่หน่อง” น้ำผึ้งจึงหลุดปากปฏิเสธมาได้ก่อนจะละล่ำละลักต่อไปว่า
“ผึ้ง ผึ้งยังไม่ได้บอกพี่หน่องเลยว่าผึ้งตกลง ผึ้งคิดว่า ผึ้ง”
“น้ำผึ้งเขาจะไปกับพี่ต่างหาก” จวงจันทร์พูดขึ้นมาลอย ๆ คชาพัฒน์หันไปหาจวงจันทร์ในทันทีแล้วก็หันกลับมาหาน้ำผึ้ง
“หมายความว่าไง”
“ก็ที่ไหนให้ค่าตัวน้ำผึ้งมากกว่า น้ำผึ้งเขาก็ต้องไปที่นั่น ตัวให้เขาเท่าไหร่ละ พันเดียวไม่ใช่เหรอ”
“สองพัน” คชาพัฒน์หลุดปากออกมา
“ฉันให้น้ำผึ้งเขาสี่พันไปก่อนขึ้นเวทีเลย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าน้ำผึ้งเขาจะไปกับใคร” จวงจันทร์เพิ่มค่าตัวน้ำผึ้งให้มากกว่าที่ตกลงไว้ เพราะอยากให้คชาพัฒน์นั้นถอยหนี กับทางหนึ่งหากคชาพัฒน์คิดสู้ก็จะต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็น...
“หมายความว่าไง”
“อ้าว...ก็ได้ยินแล้วนี่ว่าฉันมีปัญญาจ่ายให้เขาสี่พันก่อนขึ้นเวที เธอมีปัญญาไหมละ”
สายตาของจวงจันทร์นั้นดูแคลนจนเลือดในกายของคชาพัฒน์ขึ้นหน้า
“งั้นฉันหะหะให้...ห้าพันไปเลยก็ได้ ห้าพัน ผึ้ง พี่ให้เธอห้าพันเลย ไปกับพี่” ด้วยอยากเอาชนะจวงจันทร์คชาพัฒน์จึงไม่ทันได้ตรึกตรองว่ามันจะคุ้มค่าเสี่ยงหรือไม่ และเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินว่าคชาพัฒน์หลุดปากจำนวนเงินมากถึงห้าพันบาท ทุกคนก็พร้อมใจกันบอกว่า
“เอาเลยผึ้ง ไปกับหนิงหน่องเถอะ ตั้งห้าพัน ขึ้นเวทีแค่วันเดียวไม่ใช่เหรอ เดินเดี๋ยวเดียวก็ได้เงินแล้ว”
“ผึ้ง เอ่อ...”
“จะเอ่ออ้าอะไรอีก รับปากไปเลย ห้าพันใช่ไหม” เจ้าของร้านขายผลไม้รีบถามคชาพัฒน์ซ้ำ...เพราะอยากให้น้ำผึ้งมั่นใจได้ว่า คชาพัฒน์นั้นจะไม่เบี้ยวค่าตัวน้ำผึ้งในภายหลัง
...และถ้าเกิดเบี้ยวขึ้นมานังป้าคนนี้แหละจะเป็นคนไปจัดการทวงคืนมาให้ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า ปากของแกนั้นเป็นอย่างไร
“ห้าพัน”
“ถ้าห้าพัน...ผึ้งก็โอเคค่ะ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องตลาดสดบ้านไพร...และเมื่อเสียงปรบมือซาลงคชาพัฒน์ก็มองไม่เห็นจวงจันทร์
เสียแล้ว....
“ได้เรื่องไหมเจ๊” คชาพัฒน์อ่อนระโหยโรยแรงเดินเข้ามาในร้าน และยังไม่ทันจะตอบคำถามของนัยนิต คชาพัฒน์ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างวรรณศุกร์ที่ค่อย ๆ กระเถิบตัวหนีโดยไม่ให้คชาพัฒน์รู้สึกตัว...
“ได้เรื่องไหมเจ๊” นัยนิตถามซ้ำ...หลังจากที่คชาพัฒน์ดึงเอาพัดจีนจากกระเป๋าถือใบโตมากระพือเรียกลมไล่ความร้อนออกจากตัวทั้งที่แอร์ในร้านก็เย็นฉ่ำ...
“ฉันพลาดไปแล้วอย่างแรงเลยนิต”
“พลาดอะไรไป” นัยนิตละมือที่กำลังเซ็ทผมให้กับวิธิตที่บัดนี้มีผมทรงเดียวกับวรรณศุกร์แล้ว แม้ว่าทรงผมจะไม่เข้ากับใบหน้าของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ว่าวิธิตก็พอใจที่ตัดผมได้ในราคาที่ถูกกว่าวรรณศุกร์เกือบสิบเท่า
“ก็...โอ้ย นึกแล้วอยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก...อีเจี๊ยบนะ อีเจี๊ยบ อีนังจิ้งจอกเก้าหาง เจอหน้าจะจิกตบซะที หน็อยมาชักใบให้เรือเสีย”
“อย่ามัวยึกยักโยกโย้ เล่ามาเร็ว ๆ” นัยนิตเสียงแข็ง
“ก็นังเจี๊ยบนะซิ ไม่รู้ มันรู้ได้ไงว่าหน่องน่ะไปทาบทามน้ำผึ้ง” คชาพัฒน์หันไปหาวรรณศุกร์ที่มีทีท่าสนใจเรื่องของตนที่เพิ่งออกไปผจญมาสรรพนามแทนตัวจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย
“มันไปให้ค่าตัวน้ำผึ้งมากกว่าหน่องให้สองเท่าแน่ะ คิดดูเถอะว่า น้ำผึ้งจะเอนไปทางไหน”
“ทางนั้น” วิธิตตอบคำถามในทันที
“ถูก...น้ำผึ้งก็ต้องไปกับมัน”
“สรุปว่าน้ำผึ้งไปกับพี่เจี๊ยบ” วรรณศุกร์เอ่ยปากถามบ้าง
“เปล่าน้ำผึ้งไปกับหน่อง”
“อ้าว..อะไร ยังไง” วิธิตที่มั่นใจว่าตัวเองหล่อเท่า ๆ กับเพื่อนแล้วลุกออกจากเก้าอี้เดินมามายืนล้วงกระเป๋าถาม นัยนิตที่เก็บอุปกรณ์นั้นเงี่ยหูฟังความไปด้วย
“ก็ มันบอกว่าจะให้น้ำผึ้งสี่พัน หน่องก็เลยต้องให้ค่าตัวน้ำผึ้งห้าพันบาท...”
“ห้าพัน!!” นัยนิตแหวในทันที
“ขาดทุนเห็น ๆ เลยนะนั่น แล้วน้ำผึ้งมันก็ใหม่สำหรับคำว่านางงาม มันไม่ได้ตำแหน่งมาแน่ ๆ แล้วเวลามันก็จำกัดด้วย เหลือกี่วันเองจะไปทันเทรนอะไรได้...เจ๊นะเจ๊ ไปใจป้ำอะไรขนาดนั้น”
“ศึกศักดิ์ศรีน่ะ...” ถอนหายใจแล้ว คชาพัฒน์ก็กระพริบตามองสปอนเซอร์หลักที่เคยให้การสนับสนุนตนเองตลอดมา... วรรณศุกร์เสองหน้าวิธิตทำนองว่าควรจะไปจากร้านนี้ได้แล้ว แต่หูของเขาก็ได้ยินคชาพัฒน์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า
“คุณศุกร์ครับ..คือ ถ้างานธิดากระท้อนหวานนี้ หน่องจะขอเพิ่มค่าสปอนเซอร์อีกสักนิดจะได้ไหมครับ...ช่วยหน่องหน่อยนะ ...แล้วหน่องจะไม่ลืมพระคุณในครั้งนี้เลยจริง ๆ”
ออกมาจากร้านหนิงหน่องแฮร์คัทแล้ววิธิตกับวรรณศุกร์ก็เดินเคียงกันกลับมายังหน้าร้านของวรรณศุกร์ที่บัดนี้ลูกน้องปิดร้านเรียบร้อยแล้ว
“เจอกันที่ร้านนะ ขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำแป๊บ”...วิธิตบอกจุดหมายที่จะไปต่อในภาคค่ำแล้วก็ขึ้นรถขับรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ข้างรถของวรรณศุกร์ออกไป วรรณศุกร์เองก็ทำเช่นนั้น แต่ว่าเมื่อจะผ่านตลาดกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกมาดื่มกินกับวิธิตในสวนอาหารบรรยากาศร่มรื่นที่ตั้งอยู่นอกเมือง เขาก็นึกได้ว่า เมื่อวันก่อนนั้นเขายังติดค้างเงินน้ำผึ้งอยู่ 40 บาท
เขาจอดรถแล้วหยิบแบงก์ยี่สิบสองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ลงจากรถไปแล้วเขาก็เดินไปหาน้ำผึ้งที่บัดนี้กำลังยืนก้มหน้าดูลูกชิ้นบนเตาพลางหมุนไม้ลูกชิ้นไปด้วย...ภวังค์นั้นวรรณศุกร์หวนคิดไปว่า น้ำผึ้งนั้นมีความงามตรงไหน ทำไมคชาพัฒน์ถึงได้เชื่อมั่นว่า น้ำผึ้งจะสามารถไปเดินบนเวทีได้ และการขึ้นเวทีครั้งแรกของน้ำผึ้งนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เพราะมีค่ายนางงามเล็ก ๆ ถึงสองค่ายทุ่มค่าตัวแข่งกันเสียด้วย
...และเหมือนน้ำผึ้งก็จะรู้สึกว่ามีคนยืนมองอยู่ น้ำผึ้งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าวรรณศุกร์ยืนนิ่งมองตน น้ำผึ้งยิ้มกว้างให้เขาในทันที และรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาตินั้นวรรณศุกร์จึงได้รู้สึกได้ว่า ในความเป็นเด็กกะโปโลนั้นซ่อนเสน่ห์ไว้ไม่น้อยทีเดียว...ฟันของน้ำผึ้งเรียงเสมอกัน ริมฝีปากล่างและบนสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่และดวงตาคมภายใต้คิ้วเข้มที่ไร้การกันแต่งนั้นก็เหมาะเจาะลงตัว...ตำหนิของน้ำผึ้งนั้นก็คือสีผิวที่ไม่ได้ขาวผ่องสะดุดตา...
“ฉันเอาเงินมาใช้หนี้น่ะ” วรรณศุกร์รู้สึกตัวจึงรีบบอกจุดประสงค์ที่มายืนอยู่ตรงนั้น... เขาเดินมาหาน้ำผึ้งที่หน้าร้านแล้วก็ส่งแบงก์ยี่สิบสองใบในมือไปให้น้ำผึ้ง...
“ขอบคุณค่ะ...แล้ววันนี้ไม่รับอะไรเพิ่มเหรอคะ”
วรรณศุกร์มองลูกชิ้นบนเตาที่ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยแล้วหยิบมาถือไว้หนึ่งไม้ ก่อนจะรูดลูกบนสุดเข้าปาก...แต่ด้วยลูกชิ้นยังคงอมความร้อนไว้เขาจึงทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก...น้ำผึ้งจึงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองหากระติกน้ำดื่มที่ตนนั้นเตรียมมาจากบ้าน...
“กินน้ำไหม...”
“ไม่ ๆ ๆ...”
“ไม่จุ่มน้ำจิ้มก่อนละคะ มันจะได้ไม่ร้อน”
“คำแรก อยากได้รสชาติลูกชิ้นแท้ ๆ น่ะ....”เขาเคี้ยวพลางบอกไปพลางกระทั่งกลืนลูกชิ้นลูกนั้นลงคอไปแล้ว เขาก็รูดลูกชิ้นลูกที่สองขึ้นมาที่ปลายไม้ก่อนจะจุ่มลงไปหม้อน้ำจิ้มหมุน ๆ เพื่อให้น้ำจิ้มเหนียว ๆ ไม่หยดระหว่างทาง...และเมื่อลูกชิ้นลูกนั้นอยู่ในปาก เขาก็เคี้ยวเบา ๆ คล้ายกับว่าจะพยายามแยกสะสารที่อยู่ในน้ำจิ้มนั้นออกมา...
“มีอะไรหรือคะ”
“อร่อยดี ได้สูตรมาจากไหน”
“แม่ทำค่ะ ผึ้งไม่รู้หรอกว่าใส่อะไรบ้าง” อันที่จริงน้ำผึ้งรู้ แต่แม่น้ำอ้อยได้บอกไว้ว่า อย่าได้ไปบอกสูตรทำน้ำจิ้มนี้กับใครเด็ดขาด เพราะถ้าคนไม่ติดใจที่น้ำจิ้มแล้วร้านลูกชิ้นของเราก็จะอยู่อย่างลำบาก เพราะลูกชิ้นเอ็นหมูที่น้ำผึ้งนำมาปิ้งนั้นก็หาซื้อได้ในตลาดสดแห่งนี้
“รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่”
น้ำผึ้งย่นจมูกที่เขารู้ทัน...
“เป็นสูตรลับของครอบครัวค่ะ แต่คุณศุกร์อยากรู้ไปทำไมละคะ”
“ก็อยากจะรู้ว่าน้ำจิ้มนี้เราทำเองหรือเปล่า”
“ทำเองค่ะ แม่สอนจนผึ้งทำได้เอง แล้วเป็นไงบ้าง” น้ำผึ้งจำต้องยอมรับความจริง
“อร่อยดี เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เผ็ดนิด ๆ เค็มหน่อย ๆ ไม่เหนียวจนเกินไปด้วย”
“คุณศุกร์นี่ท่าทางจะเป็นนักชิม”
“ฉันก็ไปกินอาหารมาทั่วสารทิศแหละ ถ้าที่ไหนไม่อร่อยก็จะไม่ไปซ้ำสอง”
“ผึ้งดีใจที่น้ำจิ้มของผึ้งเอาคุณศุกร์อยู่ค่ะ”
“ฉลาดพูดนักนะเรา”
ระหว่างนั้นสายตาของหนุ่มวัยสามสิบกว่า ๆ กับสาววัยสิบแปดประสานกันประปราย...แล้ววรรณศุกร์ก็เคี้ยวลูกชิ้นอีกสองลูกโดยไม่ได้จุ่มน้ำจิ้มจนหมด ก่อนจะบอกว่า...
“ไม้นี้ห้าบาทใช่ไหม”
“ค่ะ...”
“ติดไว้ก่อนนะ พอดีไม่ได้เอาเงินลงมาจากรถ หวังว่าคงไม่มีดอกเบี้ยนะ”
“ทำไมกินน้อยจังละคะ”
“พอดีมีนัดกินข้าวกับพี่วิธิตน่ะเดี๋ยวต้องรีบกลับบ้านไปอาบน้ำ”
“ขอบคุณนะคะ”
“แล้วอนาคตยังจะขายลูกชิ้นอีกหรือเปล่า”
เจอคำถามอย่างไม่มีอารัมภบทของเขาทำให้น้ำผึ้งต้องย่นหัวคิ้วชักสีหน้าเป็นคำถามว่าเขาถามแบบนั้นทำไม
“ได้ยินมาว่ากำลังจะไปเป็นนางงาม”
พอถูกเขาล้อใบหน้าของน้ำผึ้งแดงซ่านขึ้นมา ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอก ตั้งแต่ตกปากรับคำไปว่าไปขึ้น
เวทีธิดากระท้อนหวานที่ปราจีนบุรีให้คชาพัฒน์ บรรดาพี่ป้าน้าอาที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เรียกน้ำผึ้งว่า ‘ธิดากระท้อนหวาน’ กันไปแล้ว และไม่ว่าน้ำผึ้งจะกระเง้ากระงอดห้ามปรามอย่างไร ก็หาได้มีใครสนใจ...และเขาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ก็รู้เรื่องเร็วเหลือเกิน เขารู้ได้อย่างไรกัน
“คุณศุกร์อย่าล้อผึ้งเลย”
“ล้อที่ไหน...กำลังให้กำลังใจต่างหาก” ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ สายตานั้นเอ็นดูน้ำผึ้งอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กมากกว่า
“แม่รู้อาจจะให้ผึ้งถอนตัวก็ได้ค่ะ”
“จะถอนทำไม ไปเถอะ ไปลองดู โอกาสมันเข้ามาแล้วก็ต้องไขว่คว้าไว้”
“ผึ้งกลัวจะไปทำเด๋อด๋า ๆ ขายหน้าประชาชี”
“แล้วถ้าได้รางวัลขึ้นมาผึ้งจะทำอย่างไร”
“จะให้ผึ้งทำอย่างไรล่ะคะ...เวทีเล็ก ๆ แค่นั้นคงไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตผึ้งทั้งชีวิตหรอก ผึ้งตั้งใจไว้แล้วค่ะ ว่าปีหน้าผึ้งจะไปเรียนคหกรรมเรียนทำอาหารตามที่คุณศุกร์เคยแนะนำไว้” น้ำผึ้งเผยให้เขารู้ว่าเธอนั้นใส่ใจกับคำแนะนำของเขาเป็นอย่างมาก
“ฉันเคยแนะนำไว้”
“ก็เมื่อปลายปีที่แล้วคุณศุกร์เคยบอกผึ้งไว้ว่า....ต่อไปคนจะกินขนมปังของแห้ง ๆ กันมากขึ้น ลืมไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่ลืม...ไม่ลืม แต่เราเชื่อฉันด้วยเหรอ”
“เชื่อค่ะ” สายตาของน้ำผึ้งเผยความรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเขา ให้เขาได้รับรู้...
“งั้นก็ลุยไป มีอะไรขาดเหลือก็บอกนะ ช่วยได้ก็ช่วย” เมื่อสักครู่เมื่อคชาพัฒน์ขอขึ้นค่าสปอนเซอร์นั้น เขาก็ตกปากรับคำไปแล้วว่าจะขยับจากเดิม เพราะเด็กสาวที่คชาพัฒน์จะพาไปประกวดธิดากระท้อนหวานนั้นคือน้ำผึ้งซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกล เหมือนบรรดาเด็กสาวคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักเทือกเถาเหล่าก่อ
น้ำผึ้งเป็นลูกของคนงานในร้านที่เสียชีวิตไป เขาก็ควรสนับสนุนอนาคตของน้ำผึ้งในทางอ้อม และเขาก็บอกคชาพัฒน์ไปว่า จะพิเศษให้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น...
“ขอบคุณค่ะ” น้ำผึ้งยกมือพนมไว้ระดับอกแล้วค้อมศีรษะลงด้วยความนอบน้อม...และวรรณศุกร์ก็เห็นว่า ความอ่อนน้อมของน้ำผึ้งนั้นไม่ได้ขัดหูขัดตาเลย...ดูเป็นธรรมชาติ...และคนที่เป็นธรรมชาติแบบนี้เมื่อแปลงโฉมแต่งเติมสีสันลงไปแล้ว มันจะเป็นอย่างไร?
วรรณศุกร์อยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ เหลือเกิน
หลังจากที่ถูกน้ำผึ้งปฏิเสธ คชาพัฒน์ก็ทุรนทุรายเหมือนหนูติดจั่นเพราะกำหนดวันที่จะพานางงามขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวานที่ปราจีนบุรีก็ใกล้เข้ามาเต็มที แต่ว่าเขายังหาสาวงามที่คู่ควรกับการลงชิงชัยไม่ได้
“นั่งบ้างก็ได้ เดินไปเดินมาปวดหัว” นัยนิตผู้หญิงผมสั้นสวมกางยีนเสื้อเชิ้ตลายสก็อตที่นั่งตะไบเล็บของตัวเองอยู่เอ่ยออกมา
คชาพัฒน์ถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงสด
“ถ้าเด็กนังจวงจันทร์ไปคว้าตำแหน่งมาได้ มันจะต้องเยาะเย้ยพี่แน่ๆ เลย”
“การแข่งกันมันก็ต้องมีแพ้มีชนะพี่ อย่าไปซีเรียสเลย”
“ไม่ได้หรอก พี่ซีเรียสแล้ว จะเลิกง่าย ๆ ไม่ได้”
“งั้นก็เชิญทุกข์ทรมานไปตามสบาย” ว่าแล้วนัยนิตก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว โดยมีเสียงของคชาพัฒน์ไล่หลังไปว่า
“ทุกข์ทรมานมันมีแบบสบายด้วยเหรอยะ”
“แบบเจ๊นั้นแหละ”
ขณะที่สาวแท้กับสาวเทียมกับกำลังส่งเสียงโต้เถียงกัน ประตูหน้าร้านก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้ด้านบนดังกรุ๊งกริ๊ง คชาพัฒน์หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่า วิธิตเดินนำวรรณศุกร์เข้ามาในร้าน...คชาพัฒน์ปรับอารมณ์และสีหน้าให้เป็นสดชื่นได้ทันทีเช่นกัน
“ลมอะไรหอบเทพบุตรสุดหล่อมาที่นี่ได้พร้อมกัน”
“ก็เห็นผมทรงใหม่ของศุกร์มันเข้าท่าก็เลยอยากได้ทรงนี้บ้าง เลยลากตัวมันมาให้ช่างดูแบบซะหน่อย” เมื่อเข้าไปหาภัทรินที่กรุงเทพฯ วรรณศุกร์ก็ถูกภัทรินลากไปที่นั่นที่นี่ และสุดท้าย ภัทรินก็จับวรรณศุกร์ตัดผมทรงใหม่กับช่างมืออาชีพที่ค่าตัดผมแพงลิบลิ่ว และเมื่อเขาบอกกับวิธิตว่าค่าตัดผมทรงนี้เป็นเงินเท่าไหร่ วิธิตจึงตาเหลือกก่อนจะบอกว่า ถือเสียว่าจ่ายค่าความรู้สึกดี ๆ แล้วกัน และเขาก็บอกกับวรรณศุกร์ว่านัยนิตนั้นก็สามารถซอยผมทรงที่วรรณศุกร์ซอยมาได้เหมือนกัน เขาจึงได้ลากวรรณศุกร์มาที่หนิงหน่องแฮร์คัท
และเมื่อวิธิตจะตัดผม เขาจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่...ส่วนวรรณศุกร์นั้นเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์รายวันมาดูข่าวฆ่าเวลา
“ผมสระผมมาแล้วนะ ไม่ต้องสระใหม่”
“ช่างสระไม่อยู่ด้วย” คชาพัฒน์หมายถึงสำลีที่ปวดท้องประจำเดือนแล้วขอตัวกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ
“ไปไหนเสียล่ะ”
“ลาป่วย”...
“ผมจะให้นัยนิตเขาตัดให้นะ”
คชาพัฒน์จึงค้อนให้วิธิตผ่านกระจกเงา...
“หน้าตาบูดบึ้ง ดูไม่สดเหมือนเคย มีอะไรหรือเปล่า” วิธิตชวนคุย ในขณะที่คชาพัฒน์ตะโกนเรียกให้นัยนิตที่อยู่ในครัวออกมาทำงาน นัยนิตที่ไม่รู้ว่าใครมาเป็นลูกค้าตะโกนตอบกลับมาว่า
“สักครู่ค่ะ”
“กำลังกินข้าวน่ะ” คชาพัฒน์บอกธุระของนัยนิตโดยไม่ได้บอกเหตุที่หน้าตาของตนบึ้งตึง
“มื้อไหนละครับ เย็นแล้วนะ”
“เขากินได้ตลอดแหละ แต่เขาไม่อ้วน” นัยนิตนั้นเป็นคนกินจุแต่ว่าร่างกายเผาพลาญได้หมดจึงไม่อ้วนท้วนดูเป็นคนเจ้าเนื้อแบบสำลี
“เป็นบุญของเขา ผมกับนายศุกร์ ต้องหมั่นออกกำลังกายไม่งั้นพุงป่อง”
“ถึงว่าหุ่นดีด้วยกันทั้งคู่....”
“หน่องก็หุ่นดีนะ”
พอถูกชมคชาพัฒน์ก็ชะมดชม้อยมองตาของวิธิตผ่านกระจกเงา...แต่ว่าวิธิตก็เพียงยิ้ม ๆ หลบสายตา ไม่มีสัญญาณใด ๆ ว่าเขามีรสนิยมไม้ป่าเดียวกัน
และระหว่างรอให้นัยนิตกินข้าวคชาพัฒน์ยังคงชวนสองหนุ่มคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ กระทั่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น คชาพัฒน์จึงขอตัวหลบไปรับสายแต่ว่าไม่ได้ห่างจากหูของชายหนุ่มสองคนนัก
“เด็กที่จะขอคุณเพราไปขึ้นเวทีไม่ได้นะ เพราะว่า เวทีธิดากระท้อนหวานคุณเพราเขาก็ส่งเด็กไปเหมือนกัน เขาไม่อยากให้เด็กเขาไปชนกันเองบนนั้นน่ะ เสียใจด้วย...”
บอกเรื่องสำคัญแล้วปัญจพลก็ขอตัววางสายไป คชาพัฒน์ถอนหายใจอย่างแรง
“มีปัญหาอะไรหรือครับ” เมื่อเห็นสีหน้าของคชาพัฒน์วิธิตสอบถามในทันที
“เด็กที่จะส่งขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวานปราจีนบุรีน่ะฮะ หนีตามผู้ชายไป...แล้วหน่องหาเด็กมาเสียบแทนไม่ได้ ติดต่อให้น้ำผึ้งเข้าขึ้นประกวดเขาก็ไม่เอา”
“น้ำผึ้ง” ชื่อนี้ทำให้วรรณศุกร์มีความฉงนใจ
“น้ำผึ้งลูกสาวพี่น้ำอ้อยนั่นแหละหน่วยก้านดีมีแววเป็นนางงามได้ ทาบทามไปแล้วแต่เขาไม่เอา”
“ทำไมเขาไม่เอาละครับ” วิธิตแทรกเข้ามาบ้าง
“เขากลัว กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวโน่น กลัวไปหมด เสียดายโอกาสดี ๆ นะ..”
เมื่อคชาพัฒน์บอกอย่างนั้น วรรณศุกร์ยิ้มนิด ๆ และพอดีกับที่นัยนิตเดินปากมันออกมาจากในครัว และเมื่อเห็นวิธิตกับวรรณศุกร์ นัยนิตก็ยิ้มทักทายสองหนุ่มก่อนจะเช็ดปากของตนกับเสื้อเชิ้ตตรงไหล่ ซึ่งคนในบ้านไพรรู้ดีว่า นัยนิตนั้นไม่ใช่คนช่างเจรจาเหมือนกับคชาพัฒน์ผู้เป็นลูกพี่ แต่ว่าฝีมือของนัยนิตนั้นนับว่าไม่แตกต่าง และนัยนิตก็สามารถซอยผมได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะผมผู้ชาย...หากหยิบนิตยสารมาให้นัยนิตดูแบบมองแวบเดียวนัยยิตก็สามารถตัดทรงนั้นได้แล้ว แต่บางทีนัยนิตก็ไม่ยอมตัดให้เพราะว่า หน้าของคนมาตัดกับไรผมของคนนั้น ไม่รับกับทรงผมที่เอามาให้ดู
“เอาทรงเดียวกับไอ้คุณศุกร์” วิธิตบอกนัยนิตหลังจากที่นัยนิตคลุมผ้าเรียบร้อยแล้ว นัยนิตปรายตาไปมองวรรณศุกร์ที่เงยหน้ายิ้มให้เพียงแย้ม นัยนิตยิ้มตอบก่อนจะบอกว่า
“ไรผมมันไม่เหมือนกันจะตัดให้เป็นทรงเดียวกันเลยไม่ได้หรอกนะ..”
“เอาทำนองนั้นก็พอ”
นัยนิตลงมือทำงาน ส่วนคชาพัฒน์ยังคงนั่งหน้าตูมอยู่ที่เคาเตอร์...โดยมีวรรณศุกร์ชำเลืองมองพลางครุ่นคิดว่างานนี้คชาพัฒน์จะแก้ปัญหาอย่างไร และอึดใจคชาพัฒน์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วเหมือนพบทางสว่าง...เรียกสายตาจากนัยนิตและวรรณศุกร์ได้อีกครั้ง
“คิดออกแล้ว...”
“เรื่องไรพี่” นัยนิตรีบถาม
“ตื๊อเท่านั้นครองโลก...ขอตัวก่อนนะฮะคุณศุกร์คุณธิต ขอไปตื๊อน้ำผึ้งหน่อย ถ้าไปเกลี้ยกล่อมที่ตลาดรับรองเลยว่า พวกบรรดาป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ รอบ ๆ ตัวน้ำผึ้ง จะต้องช่วยกันพูดอย่างแน่นอน ”...
คชาพัฒน์ผลุนผลันเปิดประตูเดินตูดบิดออกจากร้านไปแล้ววิธิตก็เอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นว่า
“ผึ้งมันสวยพอจะเป็นนางงามได้เหรอ”
นัยนิตไม่ตอบในทันทีเพราะใจของหญิงสาวนั้นอยู่กับงานตรงหน้า วรรณศุกร์เงยหน้ามองบรรดารูปนางงามที่คชาพัฒน์ติดไว้ที่หลังเคาน์เตอร์ครุ่นคิดไปว่า ถ้าน้ำผึ้งแปลงโฉมเป็นนางงามมันจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะน้ำผึ้งนั้นไม่ใช่คนสวยสะดุดตานัก แต่...น้ำผึ้งก็จมูกโด่งและริมฝีปากได้รูป ที่สะดุดตาก็คือดวงตากลมโตภายใต้คิ้วดำเข้ม จะมีจุดด้อยก็ตรงผิวพรรณที่ออกจะคล้ำ ๆ ไม่ขาวผ่องดังไข่ปอกซึ่งเป็นที่นิยมของหนุ่มไทย
“ผึ้งสวยนะ สวยมากด้วย” นัยนิตเปรยออกมาเบา ๆ คราวนี้วิธิตเงียบครุ่นคิดตามบ้าง...และพอเวลาผ่านไปอึดใจเขาก็ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า
“คิดว่าวิธีการของหน่องจะได้ผลไหม”
วรรณศุกร์วางหนังสือพิมพ์ลงสบตากับเพื่อนในกระจก...ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ส่วนนัยนิตก็บอกว่า
“คนเราถ้าลองถูกตื๊อสองครั้ง สามครั้ง มีรึจะไม่ใจอ่อน”
เรื่องที่น้ำผึ้งถูกคชาพัฒน์ทาบทามไปขึ้นเวทีนางงามถึงหูจวงจันทร์เพราะป้าสำรวยที่ไปรับผ้ามาซักปูดให้จวงจันทร์ได้รับรู้ และเมื่อรู้แล้ว จวงจันทร์ก็ครุ่นคิดว่า ควรที่จะไปสร้างความปั่นป่วนในใจน้ำผึ้ง ให้น้ำผึ้งไขว้เขวดีกว่า
“ได้ข่าวว่าหนิงหน่องติดต่อให้ขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวาน” จวงจันทร์ถามน้ำผึ้งในทันทีเมื่อไปยืนอยู่หน้ารถเข็น
“ค่ะ...” น้ำผึ้งรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันแต่ว่าเรื่องนี้มันก็มีคนรู้อยู่ไม่น้อยมัน จึงไม่แปลกที่จะกระจายไปถึงหูจวงจันทร์และคนอื่น ๆ...
“ถ้าคิดจะขึ้นเวที ไปกับพี่ดีกว่า พี่ให้ดีกว่าหนิงหน่อง”
หัวคิ้วของน้ำผึ้งขมวดเข้าหากัน เธอยังไม่ได้คิดจะขึ้นเวทีเลยเพราะรู้ตัวเองว่าไม่สวยแต่ว่าจวงจันทร์มาเสนอค่าตัวให้แบบนี้เพื่ออะไรกัน
“ผึ้ง ผึ้งยังไม่ได้คิดจะขึ้นเวทีเลยนะ”
“ขึ้นเถอะ ผึ้งสวยมากนะ รู้ตัวไหม”
น้ำผึ้งส่ายหน้าดิก...เธอรู้แต่ว่าเธอมีส่วนสูงเกินเพื่อนนักเรียนหญิงด้วยกัน แต่เธอก็ไม่เคยแต่งตัวแบบผู้หญิงในวัยสาวเต็มตัวเลยสักครั้ง เสื้อยืด กางเกงยีนขาลีบบ้าง ขาสามส่วนบ้าง เสื้อคอปก รองเท้าผ้าใบ ไม่เคยเข้าร้านไดร์ฟผม ไม่เคยแต่งหน้า ไม่เคยใช้ครีมกันแดดครีมหน้าขาว ใช้แต่โฟมล้างหน้าเท่านั้น แล้วเธอไปสวยจนบรรดาพวกพี่เลี้ยงนางงามมาเห็นได้อย่างไร...มันเกิดอะไรขึ้น
“นะผึ้งไปกับพี่ เวทีธิดากระท้อนหวานพี่ให้ผึ้งเลยสามพันบาท ได้ตำแหน่งหรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา” ด้วยอยากตัดหน้าคชาพัฒน์จวงจันทร์จึงต้องยอมลงทุน กับเมื่อมาเพ่งพิศใบหน้าหุ่นก้านน้ำผึ้งอีกรอบจึงได้เห็นว่า น้ำผึ้งนั้นได้ตรงความสูงและรูปหน้าที่คมคาย..ส่วนเรื่องผิวสีน้ำผึ้งนั้นพอลงแป้งถูกแสงไฟบนเวทีแล้วมันก็ช่วยได้...และถ้ามีน้ำผึ้งเป็นนางงามในสังกัดเป็นการถาวรสักคน เธอก็คงจะพาน้ำผึ้งไปลุยได้อีกหลายเวที
“ผึ้ง เอ่อ ผึ้ง” น้ำผึ้งอึก ๆ อัก ๆ และยังไม่ทันที่น้ำผึ้งจะให้คำตอบ ที่หน้ารถเข็นของตนก็มีรถของคชาพัฒน์พุ่งเข้ามาจอด...แล้วคชาพัฒน์ก็รีบลงมาจากรถผลุนผันมายืนชิดกับจวงจันทร์...
“มาทำอะไรที่นี่เหรอเจ๊” คชาพัฒน์นั้นไม่ได้รู้ว่าจวงจันทร์มาทาบทามน้ำผึ้งไปขึ้นเวทีเหมือนกัน
“ก็มาหาลูกชิ้นกิน ตัวเองล่ะมาทำอะไรเหรอ”
“ก็มาหาลูกชิ้นกิน น้ำจิ้มของน้ำผึ้งอร่อยมาก เมื่อวานซื้อไปแล้วกินแล้วติดอยู่ปลายลิ้น นอนไม่หลับเลย อยากกินอีก รอให้ถึงตอนเย็นวันนี้จะแทบแย่เลย”
“ขนาดนั้นเลย ตอแหลรึเปล่าเนี่ย”
“ตอแหลค่ะ...ก็แค่ลูกชิ้นลูกเล็ก ๆ มันคงไม่ทำให้ติดอกติดใจจนนอนไม่หลับหรอก แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังดีกว่ามะเขือยาวเผาแน่ ๆ นึกแล้วขยะแขยง” ไม่ใช่แค่เบ้หน้า แต่คชาพัฒน์ไหวไหล่ชวนให้อีกฝ่ายอารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนกัน แต่ว่าจวงจันทร์ก็เก็บความไม่พอใจนั้นไว้อย่างมิดชิด เพราะคชาพัฒน์นั้นเมื่อตั้งใจจะมาธุระของตน เขาก็ไม่สนใจหรอกว่า ใครมีธุระอะไรกับน้ำผึ้งอยู่ก่อน เขาเบียดจวงจันทร์ให้ต้องผละหนีจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนจะเข้าไปยืนแทนที่
“นี่ผึ้งว่าไง เรื่องที่คุยกันไว้” เสียงของคชาพัฒน์ดังกว่าปกติเพราะอยากให้แม่ค้าผลไม้สด แม่ค้าขายผักสด แม่ค้าขายขนมแผงใกล้ ๆ ได้ยินไปด้วย และมันก็ได้ผล พอคชาพัฒน์ถามไปอย่างนั้น คนอื่น ๆ ก็มองมาหาคชาพัฒน์เป็นตาเดียวกัน แล้วคชาพัฒน์ก็ได้ทีบอกคนอื่นๆ ที่ดูจะอยากรู้ไปว่า...
“คือหน่องมาเอาคำตอบเรื่องที่ได้ไปชวนผึ้งไว้น่ะ หน่องจะชวนผึ้งไปขึ้นเวทีธิดากระท้อนหวาน เพราะว่าน้ำผึ้งสวยถูกใจหน่องมาก และหน่องคิดว่า กรรมการก็ต้องเห็นแบบหน่อง”
จวงจันทร์นั้นเบ้ปาก...ด้วยคิดว่า หากน้ำผึ้งจะขึ้นเวทีน้ำผึ้งก็ต้องเลือกตน เพราะว่าจ่ายผลประโยชน์ให้มากกว่า
“จริง ๆ เหรอ...โอ้ว นังน้ำผึ้งจะไปเป็นนางงามกับเขาด้วยเหรอ” ป้าที่ขายกล้วยปิ้งตะโกนถามกลับมา
“ใช่ น้ำผึ้งบ้านไพรคนนี้แหละ ต่อไปจะเป็นนางงามเดินสายในสังกัดนังหนิงหน่อง...ใช่ไหมผึ้ง”
น้ำผึ้งนั้นปั้นหน้าไม่ถูก ใจหนึ่งก็รู้สึกคล้อยตามไปกับ ‘ฝัน’ ของคชาพัฒน์ แต่อีกใจก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้อย่างที่คชาพัฒน์ต้องการ และอีกเศษหนึ่งส่วนสี่ของใจ น้ำผึ้งก็คิดว่า ข้อเสนอที่ทางจวงจันทร์ให้มานั้นมากกว่า...และจวงจันทร์ก็สบตากับน้ำผึ้งหลิ่วตาให้ประมาณว่า อย่าได้บอกคชาพัฒน์ล่ะว่า เธอเสนอค่าตัวให้น้ำผึ้งเท่าไหร่?
“ผะ ผะ ผึ้ง...เอ่อ”
“สรุปว่าน้ำผึ้งตกลงจะไปเป็นเด็กในสังกัดของพี่หน่องแล้วนะ” คชาพัฒน์เสียงดัง
“ไม่ใช่นะพี่หน่อง” น้ำผึ้งจึงหลุดปากปฏิเสธมาได้ก่อนจะละล่ำละลักต่อไปว่า
“ผึ้ง ผึ้งยังไม่ได้บอกพี่หน่องเลยว่าผึ้งตกลง ผึ้งคิดว่า ผึ้ง”
“น้ำผึ้งเขาจะไปกับพี่ต่างหาก” จวงจันทร์พูดขึ้นมาลอย ๆ คชาพัฒน์หันไปหาจวงจันทร์ในทันทีแล้วก็หันกลับมาหาน้ำผึ้ง
“หมายความว่าไง”
“ก็ที่ไหนให้ค่าตัวน้ำผึ้งมากกว่า น้ำผึ้งเขาก็ต้องไปที่นั่น ตัวให้เขาเท่าไหร่ละ พันเดียวไม่ใช่เหรอ”
“สองพัน” คชาพัฒน์หลุดปากออกมา
“ฉันให้น้ำผึ้งเขาสี่พันไปก่อนขึ้นเวทีเลย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าน้ำผึ้งเขาจะไปกับใคร” จวงจันทร์เพิ่มค่าตัวน้ำผึ้งให้มากกว่าที่ตกลงไว้ เพราะอยากให้คชาพัฒน์นั้นถอยหนี กับทางหนึ่งหากคชาพัฒน์คิดสู้ก็จะต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็น...
“หมายความว่าไง”
“อ้าว...ก็ได้ยินแล้วนี่ว่าฉันมีปัญญาจ่ายให้เขาสี่พันก่อนขึ้นเวที เธอมีปัญญาไหมละ”
สายตาของจวงจันทร์นั้นดูแคลนจนเลือดในกายของคชาพัฒน์ขึ้นหน้า
“งั้นฉันหะหะให้...ห้าพันไปเลยก็ได้ ห้าพัน ผึ้ง พี่ให้เธอห้าพันเลย ไปกับพี่” ด้วยอยากเอาชนะจวงจันทร์คชาพัฒน์จึงไม่ทันได้ตรึกตรองว่ามันจะคุ้มค่าเสี่ยงหรือไม่ และเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินว่าคชาพัฒน์หลุดปากจำนวนเงินมากถึงห้าพันบาท ทุกคนก็พร้อมใจกันบอกว่า
“เอาเลยผึ้ง ไปกับหนิงหน่องเถอะ ตั้งห้าพัน ขึ้นเวทีแค่วันเดียวไม่ใช่เหรอ เดินเดี๋ยวเดียวก็ได้เงินแล้ว”
“ผึ้ง เอ่อ...”
“จะเอ่ออ้าอะไรอีก รับปากไปเลย ห้าพันใช่ไหม” เจ้าของร้านขายผลไม้รีบถามคชาพัฒน์ซ้ำ...เพราะอยากให้น้ำผึ้งมั่นใจได้ว่า คชาพัฒน์นั้นจะไม่เบี้ยวค่าตัวน้ำผึ้งในภายหลัง
...และถ้าเกิดเบี้ยวขึ้นมานังป้าคนนี้แหละจะเป็นคนไปจัดการทวงคืนมาให้ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า ปากของแกนั้นเป็นอย่างไร
“ห้าพัน”
“ถ้าห้าพัน...ผึ้งก็โอเคค่ะ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องตลาดสดบ้านไพร...และเมื่อเสียงปรบมือซาลงคชาพัฒน์ก็มองไม่เห็นจวงจันทร์
เสียแล้ว....
“ได้เรื่องไหมเจ๊” คชาพัฒน์อ่อนระโหยโรยแรงเดินเข้ามาในร้าน และยังไม่ทันจะตอบคำถามของนัยนิต คชาพัฒน์ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างวรรณศุกร์ที่ค่อย ๆ กระเถิบตัวหนีโดยไม่ให้คชาพัฒน์รู้สึกตัว...
“ได้เรื่องไหมเจ๊” นัยนิตถามซ้ำ...หลังจากที่คชาพัฒน์ดึงเอาพัดจีนจากกระเป๋าถือใบโตมากระพือเรียกลมไล่ความร้อนออกจากตัวทั้งที่แอร์ในร้านก็เย็นฉ่ำ...
“ฉันพลาดไปแล้วอย่างแรงเลยนิต”
“พลาดอะไรไป” นัยนิตละมือที่กำลังเซ็ทผมให้กับวิธิตที่บัดนี้มีผมทรงเดียวกับวรรณศุกร์แล้ว แม้ว่าทรงผมจะไม่เข้ากับใบหน้าของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ว่าวิธิตก็พอใจที่ตัดผมได้ในราคาที่ถูกกว่าวรรณศุกร์เกือบสิบเท่า
“ก็...โอ้ย นึกแล้วอยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก...อีเจี๊ยบนะ อีเจี๊ยบ อีนังจิ้งจอกเก้าหาง เจอหน้าจะจิกตบซะที หน็อยมาชักใบให้เรือเสีย”
“อย่ามัวยึกยักโยกโย้ เล่ามาเร็ว ๆ” นัยนิตเสียงแข็ง
“ก็นังเจี๊ยบนะซิ ไม่รู้ มันรู้ได้ไงว่าหน่องน่ะไปทาบทามน้ำผึ้ง” คชาพัฒน์หันไปหาวรรณศุกร์ที่มีทีท่าสนใจเรื่องของตนที่เพิ่งออกไปผจญมาสรรพนามแทนตัวจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย
“มันไปให้ค่าตัวน้ำผึ้งมากกว่าหน่องให้สองเท่าแน่ะ คิดดูเถอะว่า น้ำผึ้งจะเอนไปทางไหน”
“ทางนั้น” วิธิตตอบคำถามในทันที
“ถูก...น้ำผึ้งก็ต้องไปกับมัน”
“สรุปว่าน้ำผึ้งไปกับพี่เจี๊ยบ” วรรณศุกร์เอ่ยปากถามบ้าง
“เปล่าน้ำผึ้งไปกับหน่อง”
“อ้าว..อะไร ยังไง” วิธิตที่มั่นใจว่าตัวเองหล่อเท่า ๆ กับเพื่อนแล้วลุกออกจากเก้าอี้เดินมามายืนล้วงกระเป๋าถาม นัยนิตที่เก็บอุปกรณ์นั้นเงี่ยหูฟังความไปด้วย
“ก็ มันบอกว่าจะให้น้ำผึ้งสี่พัน หน่องก็เลยต้องให้ค่าตัวน้ำผึ้งห้าพันบาท...”
“ห้าพัน!!” นัยนิตแหวในทันที
“ขาดทุนเห็น ๆ เลยนะนั่น แล้วน้ำผึ้งมันก็ใหม่สำหรับคำว่านางงาม มันไม่ได้ตำแหน่งมาแน่ ๆ แล้วเวลามันก็จำกัดด้วย เหลือกี่วันเองจะไปทันเทรนอะไรได้...เจ๊นะเจ๊ ไปใจป้ำอะไรขนาดนั้น”
“ศึกศักดิ์ศรีน่ะ...” ถอนหายใจแล้ว คชาพัฒน์ก็กระพริบตามองสปอนเซอร์หลักที่เคยให้การสนับสนุนตนเองตลอดมา... วรรณศุกร์เสองหน้าวิธิตทำนองว่าควรจะไปจากร้านนี้ได้แล้ว แต่หูของเขาก็ได้ยินคชาพัฒน์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ว่า
“คุณศุกร์ครับ..คือ ถ้างานธิดากระท้อนหวานนี้ หน่องจะขอเพิ่มค่าสปอนเซอร์อีกสักนิดจะได้ไหมครับ...ช่วยหน่องหน่อยนะ ...แล้วหน่องจะไม่ลืมพระคุณในครั้งนี้เลยจริง ๆ”
ออกมาจากร้านหนิงหน่องแฮร์คัทแล้ววิธิตกับวรรณศุกร์ก็เดินเคียงกันกลับมายังหน้าร้านของวรรณศุกร์ที่บัดนี้ลูกน้องปิดร้านเรียบร้อยแล้ว
“เจอกันที่ร้านนะ ขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำแป๊บ”...วิธิตบอกจุดหมายที่จะไปต่อในภาคค่ำแล้วก็ขึ้นรถขับรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ข้างรถของวรรณศุกร์ออกไป วรรณศุกร์เองก็ทำเช่นนั้น แต่ว่าเมื่อจะผ่านตลาดกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกมาดื่มกินกับวิธิตในสวนอาหารบรรยากาศร่มรื่นที่ตั้งอยู่นอกเมือง เขาก็นึกได้ว่า เมื่อวันก่อนนั้นเขายังติดค้างเงินน้ำผึ้งอยู่ 40 บาท
เขาจอดรถแล้วหยิบแบงก์ยี่สิบสองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ลงจากรถไปแล้วเขาก็เดินไปหาน้ำผึ้งที่บัดนี้กำลังยืนก้มหน้าดูลูกชิ้นบนเตาพลางหมุนไม้ลูกชิ้นไปด้วย...ภวังค์นั้นวรรณศุกร์หวนคิดไปว่า น้ำผึ้งนั้นมีความงามตรงไหน ทำไมคชาพัฒน์ถึงได้เชื่อมั่นว่า น้ำผึ้งจะสามารถไปเดินบนเวทีได้ และการขึ้นเวทีครั้งแรกของน้ำผึ้งนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เพราะมีค่ายนางงามเล็ก ๆ ถึงสองค่ายทุ่มค่าตัวแข่งกันเสียด้วย
...และเหมือนน้ำผึ้งก็จะรู้สึกว่ามีคนยืนมองอยู่ น้ำผึ้งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าวรรณศุกร์ยืนนิ่งมองตน น้ำผึ้งยิ้มกว้างให้เขาในทันที และรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาตินั้นวรรณศุกร์จึงได้รู้สึกได้ว่า ในความเป็นเด็กกะโปโลนั้นซ่อนเสน่ห์ไว้ไม่น้อยทีเดียว...ฟันของน้ำผึ้งเรียงเสมอกัน ริมฝีปากล่างและบนสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่และดวงตาคมภายใต้คิ้วเข้มที่ไร้การกันแต่งนั้นก็เหมาะเจาะลงตัว...ตำหนิของน้ำผึ้งนั้นก็คือสีผิวที่ไม่ได้ขาวผ่องสะดุดตา...
“ฉันเอาเงินมาใช้หนี้น่ะ” วรรณศุกร์รู้สึกตัวจึงรีบบอกจุดประสงค์ที่มายืนอยู่ตรงนั้น... เขาเดินมาหาน้ำผึ้งที่หน้าร้านแล้วก็ส่งแบงก์ยี่สิบสองใบในมือไปให้น้ำผึ้ง...
“ขอบคุณค่ะ...แล้ววันนี้ไม่รับอะไรเพิ่มเหรอคะ”
วรรณศุกร์มองลูกชิ้นบนเตาที่ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยแล้วหยิบมาถือไว้หนึ่งไม้ ก่อนจะรูดลูกบนสุดเข้าปาก...แต่ด้วยลูกชิ้นยังคงอมความร้อนไว้เขาจึงทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก...น้ำผึ้งจึงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองหากระติกน้ำดื่มที่ตนนั้นเตรียมมาจากบ้าน...
“กินน้ำไหม...”
“ไม่ ๆ ๆ...”
“ไม่จุ่มน้ำจิ้มก่อนละคะ มันจะได้ไม่ร้อน”
“คำแรก อยากได้รสชาติลูกชิ้นแท้ ๆ น่ะ....”เขาเคี้ยวพลางบอกไปพลางกระทั่งกลืนลูกชิ้นลูกนั้นลงคอไปแล้ว เขาก็รูดลูกชิ้นลูกที่สองขึ้นมาที่ปลายไม้ก่อนจะจุ่มลงไปหม้อน้ำจิ้มหมุน ๆ เพื่อให้น้ำจิ้มเหนียว ๆ ไม่หยดระหว่างทาง...และเมื่อลูกชิ้นลูกนั้นอยู่ในปาก เขาก็เคี้ยวเบา ๆ คล้ายกับว่าจะพยายามแยกสะสารที่อยู่ในน้ำจิ้มนั้นออกมา...
“มีอะไรหรือคะ”
“อร่อยดี ได้สูตรมาจากไหน”
“แม่ทำค่ะ ผึ้งไม่รู้หรอกว่าใส่อะไรบ้าง” อันที่จริงน้ำผึ้งรู้ แต่แม่น้ำอ้อยได้บอกไว้ว่า อย่าได้ไปบอกสูตรทำน้ำจิ้มนี้กับใครเด็ดขาด เพราะถ้าคนไม่ติดใจที่น้ำจิ้มแล้วร้านลูกชิ้นของเราก็จะอยู่อย่างลำบาก เพราะลูกชิ้นเอ็นหมูที่น้ำผึ้งนำมาปิ้งนั้นก็หาซื้อได้ในตลาดสดแห่งนี้
“รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่”
น้ำผึ้งย่นจมูกที่เขารู้ทัน...
“เป็นสูตรลับของครอบครัวค่ะ แต่คุณศุกร์อยากรู้ไปทำไมละคะ”
“ก็อยากจะรู้ว่าน้ำจิ้มนี้เราทำเองหรือเปล่า”
“ทำเองค่ะ แม่สอนจนผึ้งทำได้เอง แล้วเป็นไงบ้าง” น้ำผึ้งจำต้องยอมรับความจริง
“อร่อยดี เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เผ็ดนิด ๆ เค็มหน่อย ๆ ไม่เหนียวจนเกินไปด้วย”
“คุณศุกร์นี่ท่าทางจะเป็นนักชิม”
“ฉันก็ไปกินอาหารมาทั่วสารทิศแหละ ถ้าที่ไหนไม่อร่อยก็จะไม่ไปซ้ำสอง”
“ผึ้งดีใจที่น้ำจิ้มของผึ้งเอาคุณศุกร์อยู่ค่ะ”
“ฉลาดพูดนักนะเรา”
ระหว่างนั้นสายตาของหนุ่มวัยสามสิบกว่า ๆ กับสาววัยสิบแปดประสานกันประปราย...แล้ววรรณศุกร์ก็เคี้ยวลูกชิ้นอีกสองลูกโดยไม่ได้จุ่มน้ำจิ้มจนหมด ก่อนจะบอกว่า...
“ไม้นี้ห้าบาทใช่ไหม”
“ค่ะ...”
“ติดไว้ก่อนนะ พอดีไม่ได้เอาเงินลงมาจากรถ หวังว่าคงไม่มีดอกเบี้ยนะ”
“ทำไมกินน้อยจังละคะ”
“พอดีมีนัดกินข้าวกับพี่วิธิตน่ะเดี๋ยวต้องรีบกลับบ้านไปอาบน้ำ”
“ขอบคุณนะคะ”
“แล้วอนาคตยังจะขายลูกชิ้นอีกหรือเปล่า”
เจอคำถามอย่างไม่มีอารัมภบทของเขาทำให้น้ำผึ้งต้องย่นหัวคิ้วชักสีหน้าเป็นคำถามว่าเขาถามแบบนั้นทำไม
“ได้ยินมาว่ากำลังจะไปเป็นนางงาม”
พอถูกเขาล้อใบหน้าของน้ำผึ้งแดงซ่านขึ้นมา ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอก ตั้งแต่ตกปากรับคำไปว่าไปขึ้น
เวทีธิดากระท้อนหวานที่ปราจีนบุรีให้คชาพัฒน์ บรรดาพี่ป้าน้าอาที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เรียกน้ำผึ้งว่า ‘ธิดากระท้อนหวาน’ กันไปแล้ว และไม่ว่าน้ำผึ้งจะกระเง้ากระงอดห้ามปรามอย่างไร ก็หาได้มีใครสนใจ...และเขาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ก็รู้เรื่องเร็วเหลือเกิน เขารู้ได้อย่างไรกัน
“คุณศุกร์อย่าล้อผึ้งเลย”
“ล้อที่ไหน...กำลังให้กำลังใจต่างหาก” ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ สายตานั้นเอ็นดูน้ำผึ้งอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กมากกว่า
“แม่รู้อาจจะให้ผึ้งถอนตัวก็ได้ค่ะ”
“จะถอนทำไม ไปเถอะ ไปลองดู โอกาสมันเข้ามาแล้วก็ต้องไขว่คว้าไว้”
“ผึ้งกลัวจะไปทำเด๋อด๋า ๆ ขายหน้าประชาชี”
“แล้วถ้าได้รางวัลขึ้นมาผึ้งจะทำอย่างไร”
“จะให้ผึ้งทำอย่างไรล่ะคะ...เวทีเล็ก ๆ แค่นั้นคงไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตผึ้งทั้งชีวิตหรอก ผึ้งตั้งใจไว้แล้วค่ะ ว่าปีหน้าผึ้งจะไปเรียนคหกรรมเรียนทำอาหารตามที่คุณศุกร์เคยแนะนำไว้” น้ำผึ้งเผยให้เขารู้ว่าเธอนั้นใส่ใจกับคำแนะนำของเขาเป็นอย่างมาก
“ฉันเคยแนะนำไว้”
“ก็เมื่อปลายปีที่แล้วคุณศุกร์เคยบอกผึ้งไว้ว่า....ต่อไปคนจะกินขนมปังของแห้ง ๆ กันมากขึ้น ลืมไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่ลืม...ไม่ลืม แต่เราเชื่อฉันด้วยเหรอ”
“เชื่อค่ะ” สายตาของน้ำผึ้งเผยความรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเขา ให้เขาได้รับรู้...
“งั้นก็ลุยไป มีอะไรขาดเหลือก็บอกนะ ช่วยได้ก็ช่วย” เมื่อสักครู่เมื่อคชาพัฒน์ขอขึ้นค่าสปอนเซอร์นั้น เขาก็ตกปากรับคำไปแล้วว่าจะขยับจากเดิม เพราะเด็กสาวที่คชาพัฒน์จะพาไปประกวดธิดากระท้อนหวานนั้นคือน้ำผึ้งซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกล เหมือนบรรดาเด็กสาวคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักเทือกเถาเหล่าก่อ
น้ำผึ้งเป็นลูกของคนงานในร้านที่เสียชีวิตไป เขาก็ควรสนับสนุนอนาคตของน้ำผึ้งในทางอ้อม และเขาก็บอกคชาพัฒน์ไปว่า จะพิเศษให้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น...
“ขอบคุณค่ะ” น้ำผึ้งยกมือพนมไว้ระดับอกแล้วค้อมศีรษะลงด้วยความนอบน้อม...และวรรณศุกร์ก็เห็นว่า ความอ่อนน้อมของน้ำผึ้งนั้นไม่ได้ขัดหูขัดตาเลย...ดูเป็นธรรมชาติ...และคนที่เป็นธรรมชาติแบบนี้เมื่อแปลงโฉมแต่งเติมสีสันลงไปแล้ว มันจะเป็นอย่างไร?
วรรณศุกร์อยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ เหลือเกิน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2556, 12:01:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2556, 12:01:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1893
<< 5. “มันจะยากตรงไหน แต่งตัวสวยเดินไปบนเวทีแล้วก็ตอบคำถาม" | 7.‘นางงามเดินสายล่ารางวัล’ >> |


mottanoy 14 มิ.ย. 2556, 12:25:56 น.
แล้วเมื่อใหร่จะมาลงเอยกันล่ะคะ
แล้วเมื่อใหร่จะมาลงเอยกันล่ะคะ

เดิมเดิม 14 มิ.ย. 2556, 13:15:07 น.
ชอบกระท้อนค่ะ ขอให้น้ำผึ้งได้ธิดากระท้อนหวานนะคะ
ชอบกระท้อนค่ะ ขอให้น้ำผึ้งได้ธิดากระท้อนหวานนะคะ

คิมหันตุ์ 14 มิ.ย. 2556, 15:03:41 น.
กว่าจะโตอีกนานเลยนะคะ คุณศุกร์ อิอิ
กว่าจะโตอีกนานเลยนะคะ คุณศุกร์ อิอิ

nateetip 14 มิ.ย. 2556, 18:53:34 น.
คุณเฟื่องงง เพิ่งมีโอกาสได้เมนท์ ชอบเรื่องนี้นะคะ มาบ่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
คุณเฟื่องงง เพิ่งมีโอกาสได้เมนท์ ชอบเรื่องนี้นะคะ มาบ่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ

Zephyr 14 มิ.ย. 2556, 22:32:22 น.
คุณศุกร์เลี้ยงต้อยไปก่อนนะคะ
ยังต้องฝึกคอร์สแม่บ้านแม่เรือนอีกนาน อิอิ
คุณศุกร์เลี้ยงต้อยไปก่อนนะคะ
ยังต้องฝึกคอร์สแม่บ้านแม่เรือนอีกนาน อิอิ

จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:28:50 น.
stop!
stop!