น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 8. “ไอ้การเป็นพี่เลี้ยงนางงามนี่มันได้เงินดีหรือไงวะศุกร์

8.

ได้ถุงแกงมาแล้วน้ำผึ้งก็แวะที่รถเข็นขายลูกชิ้นของตน...

“ไปไหนมาผึ้ง” สำลีที่ยืนขายของอยู่กับน้ำหวานเอ่ยปากถามในทันที

“ไปเอาแกงจากป้าหมานให้พี่หน่อง...แล้วเป็นไงบ้างพี่”

“มีแต่คนถามถึงพี่ผึ้ง” น้ำหวานตอบแทน

“แล้วบอกเขาไปว่าอย่างไรล่ะ”

“ไอ้หวานมันก็บอกว่าผึ้งไปเก็บตัว เตรียมตัวไปประกวดธิดากระท้อนหวานกับพี่หน่อง”

น้ำผึ้งรู้สึกว่าสายตาของพี่ป้าน้าอาที่อยู่รอบ ๆ รถเข็นของตนนั้นมองมาหาตนด้วยสายตายิ้ม ๆ ...แล้วป้าที่ขายผลไม้ก็บอกว่า...

“เป็นอย่างไรบ้างเล่าธิดากระท้อน”

“ป้าอย่าเพิ่งล้อเลย...”

“น่า เรียกไว้ก่อน ถือเป็นลางดี”

“ถ้าไม่ได้แล้วผึ้งจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย...ต้องถูกล้อไปอีกนานแค่ไหนกัน” น้ำผึ้งงึมงำเบา ๆ

“ไม่ได้ก็ต้องมีเวทีอื่น ๆ อีก” สำลีบอกอย่างใจเย็น

“แล้วพี่หน่องเขาไม่มีนางงามในสังกัดเหรออีกหรือพี่”

“มีปวีณาอีกคน แต่รายนั้นเขาก็ไม่อยากประกวดสักเท่าไหร่หรอก แต่ว่าพ่อแม่เขาอยากเห็นลูกเป็นนางงามน่ะ...เขาขัดใจพ่อแม่เขาไม่ได้ เขาก็ขึ้นเวทีให้ไปอย่างแกน ๆ”

“แล้วตอนนี้พี่ปวีณาไปไหน”

“ไปออกค่าย เขายังเรียนไม่จบ...เดี๋ยววันหน้าก็คงเจอเขาหรอก...”

“เขาสวยไหม”

“ได้ตำแหน่งเทพีสงกรานต์ที่ลพบุรีมา...สวยไม่สวยก็คิดดูเถอะ” ด้วยปวีณา นาน้อยไม่ใช่คนบ้านไพร เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นข่าวโด่งดังอะไร แต่มันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของคชาพัฒน์เลยทีเดียว...

“รูปเขาติดอยู่ตรงบอร์ดทางขึ้นชั้นลอยนะ เห็นหรือเปล่า”

“ยังไม่ได้ดูเลย”

“ไปรีบกลับร้านไปไม่ต้องมัวโอ้เอ้...ทางนี้เดี๋ยวพี่กับไอ้หวานดูเอง เมื่อกี้แม่ผึ้งเขาก็เดินมาดู...”

“ขอบคุณนะพี่ รบกวนพี่จังเลย”

“ว่าไป ขายของมันก็สนุกกว่าเป็นลูกจ้างเขานะผึ้ง พี่ชักอยากจะหาอะไรขายบ้างแล้วซิ”
“แต่มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยนะพี่ วันไหนฝนตกขึ้นมาละซวยเลย...ของเหลือแบะแบน ทุนหายกำไรหด”

“พี่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ”

“แต่พี่คิดค้าขายก็ดีแล้วแล้วแหละอย่างน้อยก็เป็นนายตัวเอง”

“ใช่ ได้เป็นนายตัวเอง...สักวันพี่จะต้องเป็นนายตัวเองให้ได้...”



อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววรรณศุกร์ก็ขับรถไปรับวิธิตที่บ้าน จุดหมายของสองหนุ่มโสดในวันนี้คือร้าน สุกี้ในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในเมือง...
และระหว่างที่นั่งรอให้น้ำในหม้อไฟฟ้าเดือด สายตาของวรรณศุกร์ก็ไปประสานกับสายตาของจวงจันทร์ซึ่งมีหญิงวัยเดียวกันกับหญิงสาววัยขบเผาะอีกคนที่หน้าประตู...จวงจันทร์ยิ้มให้วรรณศุกร์และวิธิตในทันทีก่อนจะกรากเข้ามาหาเพราะถือว่าการบังเอิญเจอกันแบบนี้ถ้าทำเป็นไม่รู้จักกันอีกฝ่ายอาจจะเอาไปว่าได้

“มากันสองคนเหรอคะ”

“ครับ...แล้วพี่เจี๊ยบล่ะ” จวงจันทร์นั้นยังต้องรอโต๊ะว่าง...จึงมีเวลาชวนเขาคุยโดยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะนั่นเอง

“มากับเพื่อนและลูกสาวเขาค่ะ นัดเจอกันที่นี่ แล้วเดี๋ยวจะไปที่ร้าน คนนี้แหละค่ะ ที่พี่เจี๊ยบจะส่งประกวดธิดากระท้อนหวาน”

วิธิตใช้สายตามองไปยังสองแม่ลูกเพื่อนของจวงจันทร์ แต่เขาก็ไม่เห็นใบหน้าเพราะทั้งคู่หมุนตัวหันหลังให้เสียแล้ว แต่เห็นหุ่นก้านผิวพรรณของแม่ลูกคู่นี้แล้ว วิธิตก็เห็นว่าจะต้องเป็นคนสวยอย่างแน่นอน

“เวทีเดียวกับที่หน่องส่งประกวดนี่ครับ” วรรณศุกร์ชวนคุย

“ค่ะ เวทีเดียวกัน ละแวกนี้จะมีสักกี่เวทีกันค่ะ มันก็วน ๆ เวียน ๆ ไปเจอกันอยู่นั่นเอง แต่ของแบบนี้ ใครสวยกว่า โดดเด่นกว่า ก็ได้ตำแหน่งไป...”

“ครับ”

“ครั้งหน้าคุณศุกร์ต้องเป็นสปอนเซอร์ให้พี่เจี๊ยบบ้างนะคะ”

“โอ้ย ผมไม่ได้เป็นสปอนเซอร์ให้ใครหรอกครับ หน่องเขาสนิทกับคุณแม่ เงินที่ช่วยไปก็เงินคุณแม่ครับ เพียงแต่เอาชื่อร้านผมใส่ไปเท่านั้นเอง ถ้าจะขอสปอนเซอร์ต้องเข้าหาคุณแม่ครับ” วรรณศุกร์รู้ดีกว่า ถ้าปัดไปหาแม่แล้ว แม่ก็จะมีวิธีการปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงชนิดบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น และที่สำคัญตามหลักแล้วก็ไม่ควรเป็นสปอนเซอร์นางงามเวทีเดียวถึงสองคนเพราะมันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ

“เหรอคะ เดี๋ยวจะแวะเข้าไปคุยค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่เจี๊ยบขอแนะนำเพื่อนกับลูกสาวให้คุณศุกร์คุณธิตรู้จักหน่อยนะคะ...ทิพย์จ๊ะทิพย์...” จวงจันทร์เรียกเพื่อนด้วยเสียงไม่ดังนั้นเพราะว่าอยู่ไม่ไกล คนเป็นแม่กับลูกสาวจึงหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะเดินเข้ามาเพราะว่าจวงจันทร์พยักหน้า

“พรทิพย์ กับ ทิพากร ค่ะพรทิพย์เป็นแม่ ทิพากรลูกสาวคะ ”
วิธิตตะลึงกับความงามของทิพากรจนตาค้างเลยทีเดียว หญิงสาวนั้นปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโตและที่สำคัญผิวที่โผล่พ้นชุดแซคสีชมพูอ่อนนั้นขาวผ่องเป็นยองใยทีเดียว

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” วรรณศุกร์กับวิธิตไม่ได้ยืนขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะชวนทั้งคู่นั่งด้วยกัน.....เพราะเขาเองก็ระวังตัวเรื่องผู้หญิงเหมือนกัน

“นี่คุณวรรณศุกร์ นี่คุณวิธิต คนที่ตลาดบ้านไพรเหมือนกันจ้ะทิพย์”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

“ครับ...ยินดีครับ นี่ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันผมก็เชื่อนะครับ” วิธิตพยายามที่จะไม่มองทิพากรสาวงามตรงหน้า แต่ว่าเขาก็ละสายตาออกมาไม่ได้

“คุณธิตก็พูดเกินไปค่ะ” พรทิพย์นั้นเป็นเพื่อนของจวงจันทร์แต่สมัยเรียนมัธยมแต่ว่าด้วยหน้าตาสะสวยผิวพรรณดี เรียนยังไม่ทันจะจบมัธยมปลาย พรทิพย์ที่ติดเที่ยวเตร่ยามค่ำคืนก็ตกไปเป็นเมียน้อยของเสี่ยเงินหนาคนหนึ่ง พอมีลูกด้วยกัน พรทิพย์ก็ได้บ้าน ได้รถ ได้ตึกแถวสองคูหาไว้เก็บค่าเช่ากินและเป็นเครื่องค้ำประกันว่าหากวันใดเสี่ยกระเป๋าหนักนั้นด่วนจากไปก่อน พรทิพย์ก็จะสามารถเลี้ยงลูกสาวได้ และพรทิพย์ก็เป็นนกน้อยอยู่ในกรงทองไม่ถึงสิบปี เสี่ยก็มาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันในขณะที่เรียกเด็กสาวมาปรนเปรอความสุขในโรงแรมนำมาซึ่งข่าวครึกโครม...แต่ด้วยมีรูปเป็นทรัพย์พรทิพย์จึงมีเสี่ยคนใหม่มาติดพันอีก พรทิพย์จึงมีเงินเลี้ยงลูกสาวอย่างสบาย ๆ และตึกแถวสองคูหาก็มีร้านสะดวกซื้อมาเช่าดำเนินกิจการทำให้ พรทิพย์ไม่ต้องทำงานตรากตรำเหมือนกับจวงจันทร์ที่ต้องทำงานส่งเสียลูกชายสองคนให้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยอยู่ที่กรุงเทพซึ่งใช้เงินมากพอสมควร...

และยังไม่ทันที่จวงจันทร์จะขอตัว พนักงานก็เข้ามาบอกกับจวงจันทร์ว่า มีที่ว่างแล้ว จวงจันทร์กับเพื่อนจึงขอตัวไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่ห่างออกไปซึ่งเป็นโต๊ะที่ติดกระจกกั้นระหว่างร้านกับทางเดินในห้างสรรพสินค้า และเมื่อสาวผู้มีกลิ่นกายหอมผละไปแล้ว พนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ...

“เห็นคู่แข่งน้ำผึ้งแล้ว งานนี้ เงินค่าสปอนเซอร์ของเองคงปลิวไปกับสายลมว่ะ” วิธิตเปิดประเด็นร้อน ๆ ในทันที

“คิดซะว่าช่วย ๆ กัน แล้วเขาก็ไม่ได้พาเด็กไปประกวดบ่อยนักหรอก...”

“ตกลงข้าจะไปด้วยนะ...” ก่อนหน้านั้นวรรณศุกร์ชวนวิธิตไปเที่ยวงานกระท้อนหวานที่ปราจีนบุรีแต่วิธิตอ้างว่าจะไปเที่ยวในเมืองกับเพื่อนร่วมงานเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์

“ว่างแล้วเหรอ”

“อยากไปลุ้น น้องทิพากรว่ะ สวยน่ารักดี...”

“แล้วคนที่ทำงานล่ะ”

“เล่นตัวกันทั้งนั้นเลย ไก่เห็นนมงู งูเห็นตีนไก่ เบื่อจะจีบแล้ว ลองจีบพวกนางงามดูบ้างดีกว่า”

“ท่าทางจะหัวสูงอยู่นะ คงจะกินแห้วเหมือนเดิม”

“ถ้าเป็นเอ็งก็คงสอยมาได้ไม่ยากหรอก”

“หยุดพูดเลย”

“จงรักภักดีซะเหลือเกิน...อยู่ห่างไกลกันแบบนี้ไม่ระแวงว่าเขาจะมีคนอื่นบ้างเหรอวะ”

“มีก็เรื่องของเขา แต่ข้าไม่มีวันเลิกกับเขาก่อนหรอก...” เพราะก่อนที่จะตัดสินใจมีอะไรกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีนั้น วรรณศุกร์ได้ให้สัญญากับภัทรินไว้ว่าจะไม่นอกใจหญิงสาวและไม่เป็นฝ่ายบอกเลิกกับหญิงสาวก่อนไม่ว่าภัทรินจะเป็นอย่างไร...แต่ว่าความรักของเขากับภัทรินก็มีอุปสรรคใหญ่หลวงมาขวางหน้ามากมาย หนึ่งก็คือเวลาทำงานของภัทรินที่เอาแน่นอนไม่ได้ สองหนทางไกล และสามก็คือ แม่ของเขาไม่อยากให้เขาลงเอยกับภัทริน เพราะแม่กลัวว่าเขาจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น...แต่วรรณศุกร์ก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวอึดอัดคับอกนี้ให้วิธิตได้รับรู้ ทุกคนรับรู้ว่าเขากับภัทรินรักกันเข้าใจและจะลงเอยด้วยการแต่งงานในสักวันหนึ่ง...ซึ่งวรรณศุกร์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเมื่อไหร่...

หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้วคชาพัฒน์ก็รีบขับรถพาน้ำผึ้งเข้ามาในเมืองเพื่อซื้อรองเท้าสำหรับใส่ขึ้นเวที และขณะที่พากันเดินอย่างเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงร้านรองเท้าก่อนที่ห้างจะปิด คชาพัฒน์ก็ต้องชะงักเท้ากระทั่งน้ำผึ้งที่เดินตามมาเสียหลักชนข้างหลัง...

“คุณศุกร์ คุณทิต” วรรณศุกร์กับวิธิตนั้นเดินอยู่อีกฝั่งของทางเดินทางคู่กำลังเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าร้านขายนาฬิกาเพราะว่าวิธิตชอบดูนาฬิกา ส่วนวรรณศุกร์นั้นเล่นกล้องถ่ายรูป ทว่าตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านเขาก็ไม่ค่อยได้ฝึกปรือฝีมือเหมือนเมื่อครั้งหัดเล่นกล้องใหม่ ๆ ในตอนนั้นเขากับภัทรินไปเที่ยวไหน ๆ ด้วยกันภัทรินก็จะเป็นแบบให้กับเขา ในคอมพิวเตอร์ของเขาจึงรูปของภัทรินอยู่เต็มไปหมด...

“อ้าว หน่อง ผึ้ง” วิธิตนั้นปากไวกว่า

“มาเหมือนกันเหรอ” วรรณศุกร์และวิธิตก็แตะแขนเพื่อนให้เดินมาหาคชาพัฒน์กับน้ำผึ้งที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังคชาพัฒน์ แต่ด้วยตัวสูงทำให้ใบหน้าของน้ำผึ้งนั้นลอยเด่นขึ้นมา วรรณศุกร์ยิ้มบาง ๆ ให้น้ำผึ้ง น้ำผึ้งยิ้มตอบ แต่ด้วยเขินน้ำผึ้งจึงไม่สบตาของเขาเนิ่นนานทั้งที่ใจนั้น อยากจะเก็บดวงตาคู่สวยของเขาไปนอนฝันถึงตามประสาสาว ๆ

“พาน้ำผึ้งมาดูรองเท้าน่ะ สต็อกที่บ้านไม่มีเบอร์ที่น้ำผึ้งใส่ได้”

“เท้าใหญ่” วรรณศุกร์เปรยออกมาเบา ๆ และเรื่องรองเท้าไซด์ใหญ่เกินมาตรฐานหญิงไทยนี้ก็เป็นปัญหาของภัทรินเช่นกัน เวลาไปเลือกซื้อรองเท้าด้วยกัน ต้องเข้าออกหลายร้านทีเดียวเพราะได้แบบที่ถูกใจ บางทีก็ไม่มีเบอร์ที่ใส่ได้ และถ้าร้านไหนมีเบอร์ที่ใส่ได้ ก็อาจไม่มีแบบที่ถูกใจเสียอีก

“ก็ผึ้งตัวสูงใหญ่” น้ำผึ้งอุบอิบแก้ต่าง

“ไม่ได้ว่าอะไรนี่...ไปเถอะ เดี๋ยวห้างจะปิด แต่แน่ใจหรือว่าร้านนี้มีรองเท้าเบอร์ใหญ่”

“โทรมาแล้ว มีแน่นอน...ไปแล้วฮะ” ว่าแล้วคชาพัฒน์ก็ดึงน้ำผึ้งไปยังร้านรองเท้าที่อยู่ด้านใน โดยมีสองหนุ่มยืนมองไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

“ไอ้การเป็นพี่เลี้ยงนางงามนี่มันได้เงินดีหรือไงวะศุกร์” วิธิตถามขึ้นมา

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่หน่องเขาว่า เขาชอบ คนเรา ถ้าได้ทำอะไรที่ชอบ มันก็มีความสุข เหมือนที่แกบ้าซื้อนาฬิกาข้อมือนั่นแหละ”...

“แกก็บ้ากล้องถ่ายรูป...อุปกรณ์แต่ละตัวแพงชิบเหมือนกัน...”



ขณะที่ให้น้ำผึ้งลองรองเท้าอยู่นั้น คชาพัฒน์กับน้ำผึ้งก็ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงที่ดังมาจากในร้าน“ต๊าย โลกกลมจริง ๆ เลย นึกว่าใครที่ไหน” จวงจันทร์ที่เดินนำสองแม่ลูกร้องทักเพื่อนร่วมอาชีพของตน

คชาพัฒน์ยืดตัวตรงทันที สายตานั้นมองเห็นแล้วว่า มีใครยืนอยู่ข้างหลังจวงจันทร์บ้าง และถ้าทายไม่ผิด เด็กสาวผิวพรรณดีคนนั้นจะต้องเป็นเด็กที่จวงจันทร์จะส่งขึ้นเวทีในคืนวันเสาร์นี้แน่ ๆ

และเด็กคนนี้ก็มีความงามเป็นอาภรณ์ห่มกาย มีออร่าเปล่งประกายอันเกิดจากชาติกำเนิดและการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมือไม้ผิวพรรณจึงขาวดั่งไข่ปอกไม้มีริ้วรอยใด ๆ เลย...

ใจของคชาพัฒน์เริ่มหวั่นว่า น้ำผึ้งจากบ้านไพรของตนนั้น จะเจอคู่แข่งคนแรกที่น่ากลัวเป็นอย่างมากเสียแล้ว แต่ว่าคชาพัฒน์ก็ถอยไม่ได้แล้วเช่นกัน

“ไปไหนกันมาล่ะ” คชาพัฒน์จำต้องทักจวงจันทร์อย่างขอไปที

“มาหาอะไรกินกันน่ะ...กำลังจะกลับบ้าน...แล้วมาทำอะไรกันเหรอ...ต๊ายมาเลือกหารองเท้าเหรอ”

“ก็เห็นอยู่แล้วนี่”

“ลงทุนนะยะ คิดแล้วเสียดายเงินแทนจริง ๆ เลย”

คชาพัฒน์กัดฟันกรอด ๆ ที่ถูกสบประมาทตั้งแต่ยังไม่ขึ้นแข่ง ส่วนน้ำผึ้งที่นั่งอยู่บนโซฟาลองรองเท้าก็เสมองรองเท้าในร้าน แต่ว่าหูนั้นได้ยินเสียงสนทนาของทั้งคู่ และหางตาของน้ำผึ้งนั้นก็เห็นเหมือนกันว่า เด็กสาวคนนั้นหน้าตาและผิวพรรณดีเพียงใด...

“ไม่ต้องมาเสียดายแทนหรอก...เพราะเห็นมาเยอะเหมือนกันที่สวยแต่โง่น่ะ” แม้ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นโง่หรือฉลาดแต่คชาพัฒน์ก็สะใจที่ได้เอาสีข้างเข้าถูทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจได้บ้าง และจวงจันทร์เองก็มีคารมที่ใช่ย่อยเหมือนกัน

“โง่หรือฉลาดเดี๋ยวคืนวันเสาร์ก็รู้...” ว่าแล้วจวงจันทร์ก็สะบัดหน้า แล้วพยักหน้าให้เพื่อนและลูกสาวเดินตาม ส่วนคชาพัฒน์หันมาหาน้ำผึ้งที่เงยหน้ามามองหน้าของตน.....และคชาพัฒน์ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าน้ำผึ้งจะพูดออกมาแบบนั้น “ถ้าพี่หน่องจะขอเงินคืนแล้วไม่เอาผึ้งขึ้นเวทีผึ้งก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ”.....


แม้จะเหน็ดเหนื่อยและมีความกังวลใจกับก้าวเดินก้าวใหม่เป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อคชาพัฒน์ขับรถมาส่งที่บ้าน น้ำผึ้งก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดกระเป๋านักเรียนดึงรายงานออกมานั่งทำที่โต๊ะญี่ปุ่นหน้าโทรทัศน์ น้ำอ้อยที่เข้านอนไปแล้ว เดินลงมาจากข้างบนเมื่อเห็นว่าน้ำผึ้งยังไม่ยอมขึ้นไปนอนอีก...

“ผึ้ง ทำอะไรไม่หลับไม่นอน” น้ำอ้อยไอโขลก ๆ เพราะอากาศยามค่ำคืนจะเย็นกว่าตอนกลางวัน
ประกอบกับการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้สุขภาพของน้ำอ้อยไม่สู้จะดีนัก

“ไออีกแล้วนะแม่กินยาหรือยัง”

“เพิ่งไอวันนี้เอง อากาศมันเย็น ๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น...แล้วทำอะไร ทำไมไม่นอนเสียที”
น้ำอ้อยเดินไปยังกระติกน้ำแข็งที่วางไว้ชิดผนังบ้าน แต่ว่าน้ำผึ้งก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“อย่ากินน้ำเย็นเลยแม่ กินน้ำธรรมดาดีกว่า” น้ำผึ้งระบายสีลงบนกระดาษรายงานไปด้วยคุยกับแม่ไปด้วย น้ำอ้อยจึงเดินไปยังโอ่งน้ำใช้ขันตักน้ำขึ้นมาดื่มตามคำแนะนำของลูกสาว ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงที่น้ำผึ้งทำงานอยู่ “แม่ไม่นอนละ เดี๋ยวก็ต้องลุกไปตลาดแล้วนะ”

“ก็ผึ้งทำไมไม่ขึ้นนอนเสียที”

“ทำรายงานก่อน พรุ่งนี้ต้องส่งแต่เช้า”

“จะเสร็จทันไหม นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”

“ทันซิแม่ ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว”

“แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง”

น้ำผึ้งเงยหน้ามามองหน้าแม่...แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในร้านหนิงหน่องแฮร์คัท กระทั่งคชาพัฒน์พาไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ และพากลับมาส่งที่บ้านให้แม่ได้รับรู้

“ผึ้งคิดว่า ผึ้งคงตกรอบ ตั้งแต่รอบแรกแหละแม่ เด็กพี่เจี๊ยบสวยมากเลย...” นึกถึงคู่แข่งแล้วน้ำผึ้งก็รู้สึกห่อเหี่ยวแต่ว่าคชาพัฒน์นั้นให้กำลังใจน้ำผึ้งว่า ‘คนสวยแต่โง่ก็มีนะผึ้ง คิดว่ามันโง่ไว้ก่อน เผื่อตอบคำถามไม่ดีก็ได้’

‘ผึ้งเองก็โง่เหมือนกันนะพี่’

‘ถ้าผึ้งโง่พี่คงหาคนฉลาด ๆ ไม่ได้อีกแล้ว...อย่าเพิ่งปอดเพิ่งฝ่อ แล้วพี่บอกตรง ๆ นะ ถ้าเวทีนี้น้ำผึ้งจะไม่ได้ตำแหน่งอะไรกลับมาเลย แต่ถ้าน้ำผึ้งสัญญากับพี่ว่าจะลุยงานกับพี่ในค่าตัวที่ลดลงมาอีกนิด พี่ก็ยินดี พาน้ำผึ้งออกเดินสายไปด้วยกันอีกนะ’

‘ผึ้งยังไม่ได้ทำภารกิจแรกเลยนะพี่ ทำไม พี่ดูมั่นใจว่าผึ้งจะเป็นนางงามได้’

‘ผึ้งเป็นคนมีความอดทน ขยัน เข้มแข็ง และสู้ชีวิต พี่อยากให้ผึ้งคิดว่า เส้นทางนี้เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ผึ้งต้องสู้ และถ้าผึ้งคิดสู้ พี่ว่าผึ้งทำได้นะ...ผึ้งต้องทำได้เพราะ อย่างน้อยที่ผึ้งมี แล้วเด็กนังเจี๊ยบไม่มีก็คือ...ความสูงระเหิดระหง’

“ก็ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน แพ้มาก็ใช่ว่าเราจะเสียหายอะไร อย่างน้อยก็ได้เงินห้าพันมากอดไว้แล้ว” น้ำอ้อยให้กำลังใจลูกสาวตามสไตล์ของตัวเอง
“พี่หน่องบอกว่าอยากได้ผึ้งเป็นนางงามในสังกัดจะพาเดินสายประกวดน่ะแม่ แต่พี่หน่องขอลดค่าตัวลงมาหน่อย...”

“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน เอาเวทีนี้ให้รอดก่อน”

“ผึ้งก็คิดอย่างนั้นแหละแม่...”

น้ำผึ้งนิ่งครุ่นคิดก่อนจะบอกกับแม่อีกว่า “พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วต้องไปซ้อมเดินกับรองเท้าส้นสูงอีก ไม่รู้
ว่าจะเดินได้หรือเปล่า ไม่เคยใส่เลยนะไอ้ส้นสูงหัวแหลม ๆ เนี่ย”

“อย่าไปล้มกลางเวทีแล้วกัน...ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนเลยนะนั่น”

“แล้วแม่จะไปดูผึ้งไหมล่ะ”

“ก็อยากไปนะ แต่รอฟังข่าวอยู่ที่บ้านดีกว่า ถ้าได้ ก็ให้หน่องโทรมาบอกแล้วกัน ถ้าไม่ได้ก็กลับมา เงียบ ๆ นะ...เป็นอันรู้กันแม่ลูกเรา...”

“เห็นพี่หน่องจะให้ผึ้งไปบนกับหลวงพ่อหินด้วยแม่...” หลวงพ่อหินเป็นพระพุทธรูปโบราณที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑปในวัดบ้านไพร

“ก็ไปซิ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ก็ต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยด้วย”

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ช่วยหากคนคนนั้นไม่มีความดี ผึ้งเป็นเด็กดี แม่ว่าดีไม่ดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจอยากจะให้
ผึ้งมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ได้นะ...”


เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อไปถึงโรงเรียนน้ำผึ้งที่ถือกระเป๋านักเรียนเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นรูปวาดบนกระดานไวน์บอร์ดเป็นรูปเด็กผู้หญิงมีมงกุฎทำด้วยผลกระท้อนเทินอยู่บนศีรษะ...ใต้รูปเขียนไว้ว่า

‘ธิดากระท้อนหวาน’

น้ำผึ้งหันขวับมามองเพื่อน ๆ ชายหญิง ที่นั่ง ๆ ยืน ๆ คุยกันอยู่ ด้วยตาขวาง ๆ ทันที...

“ได้ข่าวว่าจะไปขึ้นประกวดธิดากระท้อนหวานหรือผึ้ง” หนึ่งในเพื่อนหญิงกลุ่มที่ไม่ค่อยชอบหน้ากันร้องถาม
น้ำผึ้งไม่ตอบ แต่เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะของตัวเองใบหน้านั้นงอฉึ่ง...นงลักษณ์ที่เพิ่งมาถึงเห็นรูปและข้อความบนกระดานกับเห็นหน้าน้ำผึ้งก็เข้าใจว่า ตอนนี้น้ำผึ้งคงกำลังถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนให้สนุกปากแน่ ๆ

“เป็นไรผึ้ง”

“ใครมันวาดรูปนี้...”

“อย่าไปสนใจมันเลย เธอไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายซะหน่อย ดีกว่ากว่าพวกแรดไปวันๆก็แล้วกัน” นงลักษณ์นั้นปากจัดพอดู แล้วนงลักษณ์ก็ถือว่าตนเองนั้นเป็นลูกอาจารย์ในโรงเรียน ท้ายประโยคนั้นจึงดังพอสมควร

“ว่าใครหรือนงลักษณ์”

“ใครแรดก็ร้อนตัวไปซิ”

“อย่าเลยลักษณ์” น้ำผึ้งรีบห้ามเพราะไม่อยากให้เพื่อน ๆ ทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“แต่เธอหันหน้ามาทางฉันนี่”

นงลักษณ์ไหวไหล่เบ้หน้าท้าทาย ส่วนเพื่อน ๆ กลุ่มนั้นก็เบ้หน้าเหยียดริมฝีปากใส่กลับเช่นกัน แล้วน้ำผึ้งก็ต้องรู้สึกแน่นหน้าอกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายก่อนที่เพื่อนกลุ่มนั้นจะออกจากห้องไปว่า

“ตกรอบกลับมาก็จะหัวเราะให้ฟันหักเลย ไม่สวยแล้วยังจะไม่เจียมตัวอีก น่าสงสารจริง ๆ”


















จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2556, 07:35:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2556, 07:35:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1965





<< 7.‘นางงามเดินสายล่ารางวัล’   9. “พี่ลางสังหรณ์ว่าน้ำผึ้งจะไม่ได้หยุดแค่ธิดากระท้อนหวานหรอก" >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 18 มิ.ย. 2556, 07:36:41 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะคะ ผึ้งสัญญาว่าจะทำให้สุดฟามสามารถเลยค่า...ขอเสียงแรงให้ผึ้งด้วยนะค้า..


mottanoy 18 มิ.ย. 2556, 08:09:04 น.
ตอนหน้า จะ รู้ผลมั้ยคะเนี่ยะ ลุ้นจะแย่แล้ว
ให้ทายก้อคงติดเข้ารอบละนะ


saralun 18 มิ.ย. 2556, 08:13:37 น.
เป็นกำลังใจให้ค่าาา ^^


เดิมเดิม 18 มิ.ย. 2556, 08:41:52 น.
พี่หน่องสู้ๆ


nunoi 18 มิ.ย. 2556, 09:17:32 น.
ลุ้นๆๆ วันประกวด


nateetip 18 มิ.ย. 2556, 11:38:29 น.
ลุ้นน้ำผึ้งค่ะ


คิมหันตุ์ 18 มิ.ย. 2556, 12:54:22 น.
เอาใจช่วยนะ..ลุ้นจริงๆ


ปอยอะนะ 18 มิ.ย. 2556, 14:10:34 น.
ยังไม่ประกวด น้ำผึ้งก็น่าสงสารแระ


Zephyr 18 มิ.ย. 2556, 19:14:40 น.
เจอคู่แข่งที่รูปลักษณ์ภายนอกกินขาด ขนาดนั้น ใจเสียได้เหมือนกันนะเนี่ย
ผึ้งสู้ๆจ้า ลุ้นจะแย่แล้ว ถึงตอนประกวดเร็วๆนะคะ


loveleklek 18 มิ.ย. 2556, 20:29:09 น.
ตามมาอ่าน ยังไงน้ำผึ้งก็ชนะอยู่แล้ว นางเอกนิ


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:28:31 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account