รักวุ่นวายของยัยตัวแสบ (Green Rose 1#)
"มารุ" ฉันกับเค้า คงเป็นแค่เส้นขนานที่บังเอิญมาเจอกันอีกครั้งแค่นั้นเอง
"ยูกิ" ผมเคยทำร้ายเทอด้วยวิธีที่เลวที่สุด จนเสียเธอไป แต่ต่อจากนี้ เธอคือคนเดียวที่ผมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เธอกลับคืนมา ต่อให้แลกด้วยความตาย ผมก็ยอม
"คิมหันต์" ความสุขของผมคือเธอ เธอคือคนที่ฉุดผมขึ้นมาจากอดีตที่เลวร้ายเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมที่จะปกป้องเธอทั้งตัวและหัวใจ
"ยูกิ" ผมเคยทำร้ายเทอด้วยวิธีที่เลวที่สุด จนเสียเธอไป แต่ต่อจากนี้ เธอคือคนเดียวที่ผมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เธอกลับคืนมา ต่อให้แลกด้วยความตาย ผมก็ยอม
"คิมหันต์" ความสุขของผมคือเธอ เธอคือคนที่ฉุดผมขึ้นมาจากอดีตที่เลวร้ายเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมที่จะปกป้องเธอทั้งตัวและหัวใจ
Tags: Green Rose
ตอน: 8:เพื่อนใหม่
ฉันงัวเงียลุกจากที่นอน รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ก็เมื่อคืนน่ะสิกว่าจะหลับได้เกือบตีหนึ่ง มันข่มตาหลับไม่ลงจริงๆหรอกค่ะ หน้ายูกิคอยตามมาหลอกหลอนฉันทุกครั้งที่หลับตา ฝันร้ายชัดๆ ทำไมฉันต้องกลับมาเจอกับเขาอีกด้วยนะ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
ส่วนแผลที่แขนก็ยังระบมไม่หาย พอเมื่อวานยัยพวกนั้นกลับมาถึงบ้าน เห็นสภาพของฉันก็เหมือนจะเป็นห่วงหรอกนะ ถามกันใหญ่ว่าฉันไปโดนอะไรมา เป็นเยอะมากมั้ย ผลสุดท้ายพวกมันก็แสดงความเป็นห่วงด้วยการสมน้ำหน้าหลังจากที่ฉันบอกว่า ฉันหกล้ม แถมยังหัวเราะกันท้องขดท้องแข็งหาว่าฉันซุ่มซ่ามตั้งแต่เด็กจนโตไม่ยอมหาย
มองดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยง วันนี้ฉันมีเรียนวิชาเอกตอนบ่ายโมง เลยนอนยาวมาจนป่านนี้ ฉันเคยนอนตื่นบ่ายสองด้วยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่านอนไปได้ยังไง แต่ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ฉันว่าฉันควรต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวสักที ไม่อย่างนั้น มีหวังว่าอาจจะเข้าห้องเรียนสายแน่นอน
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยทุกอย่าง ฉันจึงรีบเดินไปขึ้นรถเมล์ มหาลัยที่ฉันเรียนอยู่ อยู่ห่างไม่ไกลจากบ้านสักเท่าไหร่ ไม่นานฉันก็มาถึงที่ห้องเรียน ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาเรียน ยังไม่มีเพื่อนใหม่คนไหนที่ฉันสนิทหรือคุยกันถูกคอเลยสักนิด อยากย้ายกลับไปเรียนที่เดิมจัง
บรรยากาศภายในห้องเรียนตอนนี้ บรรดาเพื่อนใหม่ของฉันกำลังทยอยเดินเข้ามานั่งในห้องเรียน ฉันเลือกที่จะนั่งส่วนทางขวาของหลังห้อง ไม่ใช่ว่าฉันเป็นเด็กนิสัยไม่ดีไม่ตั้งใจเรียนหรอกนะ แต่ฉันชอบมีสมาธิกับการเรียนแค่คนเดียวมากกว่า มุมนี้ว่างอยู่พอดี ฉันเลยจับจองเป็นที่ของฉันเลยแล้วกัน ฉันเปิดหนังสือเรียนอ่านเล่นๆเพื่อรออาจารย์เข้าสอน มืออีกข้างกำลังใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงไปอ่านหนังสือไป ฉันเก่งมั้ยล่ะ ฮ่าฮ่า
“นี่เธอ…”
“……..”
“ เธอ ! ”
“…….”
“ หูหนวกรึไงวะ ”
ตุ้บ!
อยู่ๆก็มีวัตถุบางอย่าง หล่นลงมาตรงหน้าฉัน ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเงยหน้าไปมองทางที่กระเป๋าใบใหญ่ๆนี่ลอยลงมา
พอเหลือบมองถึงกับตะลึงในสายตาตัวเอง เป็นผู้ชายผิวขาวอมชมพู หน้าทะเล้น สายตาเจ้าเล่ห์แต่มีเสน่ห์สุดๆ การแต่งตัวของเขาดูก็รู้ว่าไม่ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ยิ่งทำให้เขาดูดีเกินหน้าเกินตาคนอื่น และที่สะดุดตาสุดๆ ใบหน้าของเขากำลังบงบอกว่าไม่อยากเป็นมิตรกับฉัน
ฉันเปลี่ยนสีหน้าจากเรียบๆ เป็นมองเขาอย่างเอาเรื่อง อยู่ๆจะมาโยนกระเป๋าใบเท่าบ้านใส่ฉัน แสดงว่าต้องการหาเรื่อง หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักเลงประจำห้อง (ฉันเดา)ฉันลุกขึ้นยืนพลางเอามือขึ้นมากอดอก ตอนนี้สายตาของทุกคนในห้องกำลังมองมาที่ฉันกับนายคนนี้อย่างสนใจ
“นายมีอะไร”
“นี่มันที่ของฉัน”
“ฉันเพิ่งรู้ว่ามหาลัยนี้มีนโยบายจ่ายค่าเทอมแถมโต๊ะส่วนตัวด้วย”
ฉันได้ยินเสียงขำเบาๆจากทุกคนในห้อง อยู่ๆอีตานี่จะมาโบ้ยว่าเก้าอี้ที่ฉันนั่งเป็นที่ของเขา ตั้งแต่ฉันเรียนมาฉันเพิ่งเห็นนายคนนี้วันแรก ฉันจะรู้ได้ไงล่ะว่าฉันไปนั่งทับที่ใครไว้
“เธอต้องไปนั่งที่อื่น”
“ไม่! ฉันมาก่อนฉันมีสิทธิจะนั่งตรงนี้”
“ก็ได้ ถ้าเธอจะนั่งตรงนี้ ฉันก็จะนั่งตรงนี้”
กระเป๋าของฉันที่วางไว้ที่เก้าอี้ข้างๆถูกโยนมากองไว้ที่เก้าอี้ของฉัน อีตาบ้านั่นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆฉัน เขาส่งสายตาและรอยยิ้มกวนๆมาทางฉัน ฉันชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ กวนประสาทกันชัดๆ
“นั่งลงสิ คิดว่าหุ่นดีหรือไง ยืนโชว์อยู่ได้ ฮ่าฮ่า”
ถ้าตอนนี้ฉันมีอาวุธพร้อม ฉันจะฆ่าไอ่หน้าหล่อนี่เป็นคนแรกเลยคอยดู ข้อหาปากเสียใส่ฉัน ว่าคนอื่นหน้าตาเฉยไม่พอยังจะมาหัวเราะใส่หน้าอีก อ๊ากกกกกกกก นึกแล้วอยากกระโดดเอาเล็บข่วนหน้าเป็นสิบๆรอบ
ฉันจำใจต้องนั่งลงที่เดิม อยากเปลี่ยนใจไปนั่งที่อื่นคงไม่ทันแล้วล่ะ ทำไมฉันต้องเกิดมาเจอแต่พวกชอบกวนประสาทด้วยนะ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ฉันว่าฉันเลิกสนใจแล้วนั่งฟังอาจารย์สอนดีกว่า
“คร้าบบบบบ โอ๋ๆอย่างอลสิ เค้าเรียนอยู่จริงๆน้า ลองฟังดีๆสิอาจารย์เค้ายังสอนอยู่เลย”
รอบที่หก ที่อีตานี่รับโทรศัพท์แล้วแอบคุยในห้องเรียน ฟังจากเสียงก็เดาออกว่ากำลังง้อสาวอยู่ ทำเสียงอ่อดอ้อนขนาดนั้นใครมันมาหลงชอบคนอย่างอีตาบ้านี่ได้นะ ฉันชักจะหมดความอดทนกับนายคนนี้แล้วจริงๆ หวังว่าจะเรียนให้รู้เรื่องสักวันแต่ก็ดันมีมารมาคอยรังควาน ฉันหันหน้าไปค้อนใส่คนที่กำลังคุยโทรศัพท์ เพื่อนให้เขารู้ว่ากำลังรบกวนสมาธิในการเรียนของฉัน แต่เหมือนฉันเป็นแค่อากาศธาตุ อีตานี่มองผ่านฉันไปแบบไม่สนใจใยดี
ฉันใช้มือกุมขมับอย่างเหลืออดและหมดหนทาง ฉันขออาจารย์ย้ายไปเรียนห้องเอจะทันมั้ย แค่ต้องมาอยู่คนเดียวโชว์เดี่ยวในห้องบีก็แทบจะร้องไห้ โชคร้ายไม่พอยังต้องมาเจออีตาบ้านี่เป็นเพื่อนร่วมห้องอีก
ฟรึ่บ!
ฟุบลงกับโต๊ะหลับให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ไหนๆก็เรียนไม่รู้เรื่องเพราะคนข้างๆแล้ว ขอสักงีบพักผ่อนสมองหน่อยก็ดี
“แบตหมดหรือไงยัยมัมมี่”
เสียงสัมพเวสีมันมาขอส่วนบุญอีกแล้วล่ะ ฉันจำใจต้องเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับคนข้างๆ พอวางสายโทรศัพท์จากคนรักได้ก็หันมากวนประสาทฉันด้วยวิธีนี้แทนสินะ
“มัมมี่ นายเรียกใครมัมมี่”
“ก็เธอไง มัมมี่”
อีตาบ้าข้างๆฉันเน้นเสียงที่คำว่า มัมมี่ แถมไม่พูดเปล่าแต่ใช้สายตามองมาที่แขนของฉัน เมื่อวานยูกิทำแผลให้ฉันแล้วพันไว้ด้วยผ้าก็อตเหมือนมัมมี่จริงๆแหละ
“เลิกกวนประสาทฉันสักทีได้มั้ย”
“ยัยมัมมี่ ยัยซอมบี้ ยัยผีดิบ! ฮ่าฮ่าฮ่า”
“นี่นาย! ”
อยู่ๆทุกอย่างในห้องก็เงียบลงไปชั่วขณะ เมื่อมองไปรอบห้อง ตอนนี้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ก็หยุดบรรยายและหันมามองที่ฉันเป็นตาเดียว เวรแล้วไงยัยมารุ! แกโดนไอ่หน้าหล่อจอมกวนนี่เล่นงานเอาแล้วไง แกล้งฉันให้อับอายจนได้
“เอ่อ…ขอโทษคะ”ฉันรีบหันไปแสดงความรู้สึก และกำลังไว้อาลัยให้ตัวเอง
“เอาเป็นว่าเท่านี้ก่อนแล้วกันนะสัปดาห์หน้าค่อยมาต่อกันใหม่”
ก่อนเดินออกจากห้อง อาจารย์ยังหันมาค้อนทิ้งทวนใส่ฉันให้ขนลุกขนพองอีก ทุกคนกำลังเก็บหนังสือเตรียมออกจากห้อง แต่ฉันน่ะหรอ รวบทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วรีบเดินออกจากห้องตั้งแต่เห็นสายตาอัมหิตของอาจารย์แล้วล่ะ จะอยู่ให้อับอายทำไมกัน
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปยังชั้นล่างของตึก ขอแค่ให้หลบสายตาของเพื่อนในห้องสักพักก็ยังดี เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเดินตามลงมา ฉันจึงลดฝีก้าวของตัวเองลงให้เป็นปกติ
“ เฮ้อออออออ ”
เหนื่อยเป็นบ้า ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย โล่งอกไปที อย่างน้อยฉันก็หลบหน้าเพื่อนในห้องไปได้อีกหนึ่งวัน
“หนีใครอยู่ล่ะ ”
“เฮ้ย! นี่นายอีกแล้วหรอ”
ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าอีตานี่เป็นคนไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่หายตัวแวบไปแวบมาได้ ทั้งๆที่ฉันเพิ่งหันไปมองเมื่อตะกี้ว่ายังไม่มีใครเดินลงมา แต่อยู่ๆอีตาบ้านี่ก็โผล่หน้าออกมาจากเสาทักทายฉันหน้าตาเฉย
“อื้อ….ฉันชื่อคิมหันต์ แล้วเธอ…”
“ฉันไม่ได้อยากรู้จักนาย ”
“ โอเค้…ไม่บอกก้ไม่เป็นไร งั้นฉันจะเรียกเธอว่า ยัยมัมมี่ ”
“ ตามใจนายเถอะ!”
ฉันเดินหนีออกมาก่อนที่นายคิมหันต์อะไรนั่นจะต่อประโยคสนทนาให้ฉันฟิวขาดอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ อีตาบ้านั่นยังเดินตามฉันมาแถมยังเดินอยู่ข้างๆฉันเนี่ย
“ไม่มีเพื่อนคบแล้วยังจะหยิ่งอีกหรือไง ไอ่ฉันก็อุส่าห์ลดตัวจะเป็นเพื่อนด้วย”
“ใครบอกว่าฉันไม่มีเพื่อนคบ”
“นั่งคนเดียวแบบนั้นดูก็รู้ว่าเธอเพิ่งมาใหม่ ไม่มีเพื่อนล่ะสิ”
“มี! แล้วก็กรุณา ไม่ต้องลดตัวลงมาเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย”
“ ไม่อยากเป็นเพื่อน งั้นเป็นอย่างอื่นดีมั้ย ”
ฉันหยุดเดินแล้วหันหน้าไปหาคิมหันต์ คนพูดทำหน้าทะเล้นไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าฉันเป็นผู้หญิงจำพวกยัยอึนเฮมีหวังฉันคงคลั่งตายตั้งแต่ได้ยินประโยคข้างบนพร้อมกับสายตาหวานๆแบบนี้แล้วแหละ แต่บังเอิญว่าฉันไม่ใช่ไงล่ะ
“เลิกกวนประสาทฉัน แล้วก็เลิกเดินตามฉันสักที ได้โปรดเถอะค่ะคุณคิมหันต์!”
ฉันกระแทกเสียงลงที่ชื่อของเขา พลางปั้นยิ้มแห้งๆบวกกับสายตาที่สุดจะทน แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายที่เขาตามมากวนประสาทฉันทุกที่ คิมหันต์เพียงแค่ยิ้มที่มุมปากนิดๆ สายตาบ่งบอกว่าครั้งนี้เขาคือผู้ชนะ
หมดคำอธิบายสำหรับนายคนนี้จริงๆ ฉันรีบเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างสุดชีวิต หวังว่าอีตาบ้านั่นจะไม่เดินตามมาอีกมีหวังคราวนี้ยัยมารุหัวระเบิดแน่ๆ
ส่วนแผลที่แขนก็ยังระบมไม่หาย พอเมื่อวานยัยพวกนั้นกลับมาถึงบ้าน เห็นสภาพของฉันก็เหมือนจะเป็นห่วงหรอกนะ ถามกันใหญ่ว่าฉันไปโดนอะไรมา เป็นเยอะมากมั้ย ผลสุดท้ายพวกมันก็แสดงความเป็นห่วงด้วยการสมน้ำหน้าหลังจากที่ฉันบอกว่า ฉันหกล้ม แถมยังหัวเราะกันท้องขดท้องแข็งหาว่าฉันซุ่มซ่ามตั้งแต่เด็กจนโตไม่ยอมหาย
มองดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยง วันนี้ฉันมีเรียนวิชาเอกตอนบ่ายโมง เลยนอนยาวมาจนป่านนี้ ฉันเคยนอนตื่นบ่ายสองด้วยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่านอนไปได้ยังไง แต่ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ฉันว่าฉันควรต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวสักที ไม่อย่างนั้น มีหวังว่าอาจจะเข้าห้องเรียนสายแน่นอน
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยทุกอย่าง ฉันจึงรีบเดินไปขึ้นรถเมล์ มหาลัยที่ฉันเรียนอยู่ อยู่ห่างไม่ไกลจากบ้านสักเท่าไหร่ ไม่นานฉันก็มาถึงที่ห้องเรียน ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาเรียน ยังไม่มีเพื่อนใหม่คนไหนที่ฉันสนิทหรือคุยกันถูกคอเลยสักนิด อยากย้ายกลับไปเรียนที่เดิมจัง
บรรยากาศภายในห้องเรียนตอนนี้ บรรดาเพื่อนใหม่ของฉันกำลังทยอยเดินเข้ามานั่งในห้องเรียน ฉันเลือกที่จะนั่งส่วนทางขวาของหลังห้อง ไม่ใช่ว่าฉันเป็นเด็กนิสัยไม่ดีไม่ตั้งใจเรียนหรอกนะ แต่ฉันชอบมีสมาธิกับการเรียนแค่คนเดียวมากกว่า มุมนี้ว่างอยู่พอดี ฉันเลยจับจองเป็นที่ของฉันเลยแล้วกัน ฉันเปิดหนังสือเรียนอ่านเล่นๆเพื่อรออาจารย์เข้าสอน มืออีกข้างกำลังใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงไปอ่านหนังสือไป ฉันเก่งมั้ยล่ะ ฮ่าฮ่า
“นี่เธอ…”
“……..”
“ เธอ ! ”
“…….”
“ หูหนวกรึไงวะ ”
ตุ้บ!
อยู่ๆก็มีวัตถุบางอย่าง หล่นลงมาตรงหน้าฉัน ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเงยหน้าไปมองทางที่กระเป๋าใบใหญ่ๆนี่ลอยลงมา
พอเหลือบมองถึงกับตะลึงในสายตาตัวเอง เป็นผู้ชายผิวขาวอมชมพู หน้าทะเล้น สายตาเจ้าเล่ห์แต่มีเสน่ห์สุดๆ การแต่งตัวของเขาดูก็รู้ว่าไม่ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ยิ่งทำให้เขาดูดีเกินหน้าเกินตาคนอื่น และที่สะดุดตาสุดๆ ใบหน้าของเขากำลังบงบอกว่าไม่อยากเป็นมิตรกับฉัน
ฉันเปลี่ยนสีหน้าจากเรียบๆ เป็นมองเขาอย่างเอาเรื่อง อยู่ๆจะมาโยนกระเป๋าใบเท่าบ้านใส่ฉัน แสดงว่าต้องการหาเรื่อง หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักเลงประจำห้อง (ฉันเดา)ฉันลุกขึ้นยืนพลางเอามือขึ้นมากอดอก ตอนนี้สายตาของทุกคนในห้องกำลังมองมาที่ฉันกับนายคนนี้อย่างสนใจ
“นายมีอะไร”
“นี่มันที่ของฉัน”
“ฉันเพิ่งรู้ว่ามหาลัยนี้มีนโยบายจ่ายค่าเทอมแถมโต๊ะส่วนตัวด้วย”
ฉันได้ยินเสียงขำเบาๆจากทุกคนในห้อง อยู่ๆอีตานี่จะมาโบ้ยว่าเก้าอี้ที่ฉันนั่งเป็นที่ของเขา ตั้งแต่ฉันเรียนมาฉันเพิ่งเห็นนายคนนี้วันแรก ฉันจะรู้ได้ไงล่ะว่าฉันไปนั่งทับที่ใครไว้
“เธอต้องไปนั่งที่อื่น”
“ไม่! ฉันมาก่อนฉันมีสิทธิจะนั่งตรงนี้”
“ก็ได้ ถ้าเธอจะนั่งตรงนี้ ฉันก็จะนั่งตรงนี้”
กระเป๋าของฉันที่วางไว้ที่เก้าอี้ข้างๆถูกโยนมากองไว้ที่เก้าอี้ของฉัน อีตาบ้านั่นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆฉัน เขาส่งสายตาและรอยยิ้มกวนๆมาทางฉัน ฉันชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ กวนประสาทกันชัดๆ
“นั่งลงสิ คิดว่าหุ่นดีหรือไง ยืนโชว์อยู่ได้ ฮ่าฮ่า”
ถ้าตอนนี้ฉันมีอาวุธพร้อม ฉันจะฆ่าไอ่หน้าหล่อนี่เป็นคนแรกเลยคอยดู ข้อหาปากเสียใส่ฉัน ว่าคนอื่นหน้าตาเฉยไม่พอยังจะมาหัวเราะใส่หน้าอีก อ๊ากกกกกกกก นึกแล้วอยากกระโดดเอาเล็บข่วนหน้าเป็นสิบๆรอบ
ฉันจำใจต้องนั่งลงที่เดิม อยากเปลี่ยนใจไปนั่งที่อื่นคงไม่ทันแล้วล่ะ ทำไมฉันต้องเกิดมาเจอแต่พวกชอบกวนประสาทด้วยนะ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ฉันว่าฉันเลิกสนใจแล้วนั่งฟังอาจารย์สอนดีกว่า
“คร้าบบบบบ โอ๋ๆอย่างอลสิ เค้าเรียนอยู่จริงๆน้า ลองฟังดีๆสิอาจารย์เค้ายังสอนอยู่เลย”
รอบที่หก ที่อีตานี่รับโทรศัพท์แล้วแอบคุยในห้องเรียน ฟังจากเสียงก็เดาออกว่ากำลังง้อสาวอยู่ ทำเสียงอ่อดอ้อนขนาดนั้นใครมันมาหลงชอบคนอย่างอีตาบ้านี่ได้นะ ฉันชักจะหมดความอดทนกับนายคนนี้แล้วจริงๆ หวังว่าจะเรียนให้รู้เรื่องสักวันแต่ก็ดันมีมารมาคอยรังควาน ฉันหันหน้าไปค้อนใส่คนที่กำลังคุยโทรศัพท์ เพื่อนให้เขารู้ว่ากำลังรบกวนสมาธิในการเรียนของฉัน แต่เหมือนฉันเป็นแค่อากาศธาตุ อีตานี่มองผ่านฉันไปแบบไม่สนใจใยดี
ฉันใช้มือกุมขมับอย่างเหลืออดและหมดหนทาง ฉันขออาจารย์ย้ายไปเรียนห้องเอจะทันมั้ย แค่ต้องมาอยู่คนเดียวโชว์เดี่ยวในห้องบีก็แทบจะร้องไห้ โชคร้ายไม่พอยังต้องมาเจออีตาบ้านี่เป็นเพื่อนร่วมห้องอีก
ฟรึ่บ!
ฟุบลงกับโต๊ะหลับให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ไหนๆก็เรียนไม่รู้เรื่องเพราะคนข้างๆแล้ว ขอสักงีบพักผ่อนสมองหน่อยก็ดี
“แบตหมดหรือไงยัยมัมมี่”
เสียงสัมพเวสีมันมาขอส่วนบุญอีกแล้วล่ะ ฉันจำใจต้องเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับคนข้างๆ พอวางสายโทรศัพท์จากคนรักได้ก็หันมากวนประสาทฉันด้วยวิธีนี้แทนสินะ
“มัมมี่ นายเรียกใครมัมมี่”
“ก็เธอไง มัมมี่”
อีตาบ้าข้างๆฉันเน้นเสียงที่คำว่า มัมมี่ แถมไม่พูดเปล่าแต่ใช้สายตามองมาที่แขนของฉัน เมื่อวานยูกิทำแผลให้ฉันแล้วพันไว้ด้วยผ้าก็อตเหมือนมัมมี่จริงๆแหละ
“เลิกกวนประสาทฉันสักทีได้มั้ย”
“ยัยมัมมี่ ยัยซอมบี้ ยัยผีดิบ! ฮ่าฮ่าฮ่า”
“นี่นาย! ”
อยู่ๆทุกอย่างในห้องก็เงียบลงไปชั่วขณะ เมื่อมองไปรอบห้อง ตอนนี้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ก็หยุดบรรยายและหันมามองที่ฉันเป็นตาเดียว เวรแล้วไงยัยมารุ! แกโดนไอ่หน้าหล่อจอมกวนนี่เล่นงานเอาแล้วไง แกล้งฉันให้อับอายจนได้
“เอ่อ…ขอโทษคะ”ฉันรีบหันไปแสดงความรู้สึก และกำลังไว้อาลัยให้ตัวเอง
“เอาเป็นว่าเท่านี้ก่อนแล้วกันนะสัปดาห์หน้าค่อยมาต่อกันใหม่”
ก่อนเดินออกจากห้อง อาจารย์ยังหันมาค้อนทิ้งทวนใส่ฉันให้ขนลุกขนพองอีก ทุกคนกำลังเก็บหนังสือเตรียมออกจากห้อง แต่ฉันน่ะหรอ รวบทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วรีบเดินออกจากห้องตั้งแต่เห็นสายตาอัมหิตของอาจารย์แล้วล่ะ จะอยู่ให้อับอายทำไมกัน
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปยังชั้นล่างของตึก ขอแค่ให้หลบสายตาของเพื่อนในห้องสักพักก็ยังดี เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเดินตามลงมา ฉันจึงลดฝีก้าวของตัวเองลงให้เป็นปกติ
“ เฮ้อออออออ ”
เหนื่อยเป็นบ้า ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย โล่งอกไปที อย่างน้อยฉันก็หลบหน้าเพื่อนในห้องไปได้อีกหนึ่งวัน
“หนีใครอยู่ล่ะ ”
“เฮ้ย! นี่นายอีกแล้วหรอ”
ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าอีตานี่เป็นคนไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่หายตัวแวบไปแวบมาได้ ทั้งๆที่ฉันเพิ่งหันไปมองเมื่อตะกี้ว่ายังไม่มีใครเดินลงมา แต่อยู่ๆอีตาบ้านี่ก็โผล่หน้าออกมาจากเสาทักทายฉันหน้าตาเฉย
“อื้อ….ฉันชื่อคิมหันต์ แล้วเธอ…”
“ฉันไม่ได้อยากรู้จักนาย ”
“ โอเค้…ไม่บอกก้ไม่เป็นไร งั้นฉันจะเรียกเธอว่า ยัยมัมมี่ ”
“ ตามใจนายเถอะ!”
ฉันเดินหนีออกมาก่อนที่นายคิมหันต์อะไรนั่นจะต่อประโยคสนทนาให้ฉันฟิวขาดอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ อีตาบ้านั่นยังเดินตามฉันมาแถมยังเดินอยู่ข้างๆฉันเนี่ย
“ไม่มีเพื่อนคบแล้วยังจะหยิ่งอีกหรือไง ไอ่ฉันก็อุส่าห์ลดตัวจะเป็นเพื่อนด้วย”
“ใครบอกว่าฉันไม่มีเพื่อนคบ”
“นั่งคนเดียวแบบนั้นดูก็รู้ว่าเธอเพิ่งมาใหม่ ไม่มีเพื่อนล่ะสิ”
“มี! แล้วก็กรุณา ไม่ต้องลดตัวลงมาเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย”
“ ไม่อยากเป็นเพื่อน งั้นเป็นอย่างอื่นดีมั้ย ”
ฉันหยุดเดินแล้วหันหน้าไปหาคิมหันต์ คนพูดทำหน้าทะเล้นไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าฉันเป็นผู้หญิงจำพวกยัยอึนเฮมีหวังฉันคงคลั่งตายตั้งแต่ได้ยินประโยคข้างบนพร้อมกับสายตาหวานๆแบบนี้แล้วแหละ แต่บังเอิญว่าฉันไม่ใช่ไงล่ะ
“เลิกกวนประสาทฉัน แล้วก็เลิกเดินตามฉันสักที ได้โปรดเถอะค่ะคุณคิมหันต์!”
ฉันกระแทกเสียงลงที่ชื่อของเขา พลางปั้นยิ้มแห้งๆบวกกับสายตาที่สุดจะทน แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายที่เขาตามมากวนประสาทฉันทุกที่ คิมหันต์เพียงแค่ยิ้มที่มุมปากนิดๆ สายตาบ่งบอกว่าครั้งนี้เขาคือผู้ชนะ
หมดคำอธิบายสำหรับนายคนนี้จริงๆ ฉันรีบเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างสุดชีวิต หวังว่าอีตาบ้านั่นจะไม่เดินตามมาอีกมีหวังคราวนี้ยัยมารุหัวระเบิดแน่ๆ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2556, 14:13:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2556, 14:28:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 908
<< 7:ความเจ็บปวดที่ไม่เคยลืม | 9: โอกาสของคนโง่ >> |