ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 13

“อลิซ?”

เจ้าของชื่อยิ้มรับกว้างขวาง “นึกว่าจะจำกันไม่ได้ซะแล้ว”

“เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานทำไมจะจำไม่ได้”

หญิงสาวที่ชื่ออลิซยิ้มกว้างขึ้นไปอีก แววตาเป็นประกายดีใจที่ได้เจอเพื่อน หลังจากกฤษณ์เรียนจบปริญญาตรีที่ออสเตรเลีย เธอก็ได้เพียงแต่ติดต่อบ้างอีเมลล์แต่ไม่บ่อยนักเนื่องจากต่างคนต่างมีภาระกิจต้องทำ

“แล้วอยู่ๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่ไทยได้ล่ะ นึกว่ามัวแต่ทำงานเก็บเงินอยู่ที่นู่นซะอีก” เขาเริ่มต้นถามอีกครั้ง รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ที่ได้เจอเพื่อนเก่าอย่างอลิซ อย่างน้อยก็ทำให้ช่วงเวลานี้เขาคิดถึงผู้หญิงอีกคนน้อยลงไปบ้าง

“คริสเป็นยังไงบ้าง”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังคงเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียตามที่บิดาและมารดากำหนดไว้ เขาตัดสินใจให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันเรียกเขาว่า ‘คริส’ มากกว่าจะเป็น ‘กฤษณ์’ ที่ออกเสียงยาก และอลิซก็เป็นเพื่อนอีกคนที่เคยเรียนด้วยตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ จนไปเที่ยวด้วยกันและกลายเป็นกลุ่มเดียวกันก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานคนละทิศละทาง

“ฉันสบายดี ตอนนี้เปิดบริษัทรับทำซอฟแวร์อยู่” เขากล่าวมองน้ำแข็งในแก้วค่อยๆ ละลายทีละน้อย ก่อนจะหันไปหาเพื่อนสาวข้างกาย “แล้วอลิซล่ะมาทำอะไรแถวนี้”

“ฉันโดนย้ายมาประจำที่สาขาไทยน่ะ” เธอยักไหล่ตอบคำถาม “เพิ่งมาไม่กี่วันยังไม่ได้ส่งเมลล์บอกนายเลย ใครจะไปคิดว่าจะเจอกันที่นี่”

กฤษณ์ตอบรับในลำคอ ก่อนจะยกน้ำสีอำพันสาดลงคอทีเดียวหมดแก้ว แล้วหันกลับมามองเพื่อนที่นั่งมองอยู่เงียบๆ

“ดื่มอะไรหน่อยมั้ย วันนี้ฉันเลี้ยงเอง” คนเป็นเพื่อนตาพราวระยับก่อนจะหันไปบอกเด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์คนเดิมที่ยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น พร้อมกับสั่งออนเดอะร็อคให้เพื่อนอีกแก้วหนึ่ง

ค่ำนั้นเพื่อนเก่านั่งคุยกันอย่างออกรสสมกับที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในที่สุดคืนนี้กฤษณ์ก็สามารถยิ้มได้โดยไม่กังวลเรื่องของขิงอีก อลิซเป็นเหมือนที่ปรึกษาในยามที่เขาอยู่ออสเตรเลีย แต่คราวนี้เขากลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดเกี่ยวกับขิงออกไป เขายังคิดว่าเขาจะสามารถแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ชายหนุ่มขับรถไปส่งเพื่อนสาวที่โรงแรมหรูชื่อดังก่อนจะพาตัวเองกลับบ้านด้วยท่าทางเหนื่อยมากกว่าปกติ เพราะเหนื่อยทั้งกายและ... ใจ


เช้าวันนี้ดูแปลกไปจากวันก่อนๆ ขิงลืมตาตื่นขึ้นมาเองอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนปลุก หญิงสาวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เธอผุดลุกผุดนั่งอยู่หน้าบ้านจนแล้วจนรอดก็ยังคงไร้วี่แววของคนที่มารับเธอสองวันที่ผ่านมา เวลาผ่านไปนานนนพักใหญ่ จนคนนั่งรอเลิกชะเง้อมองประตูบ้านตัดสินใจลุกขึ้นเตรียมตัวเดินไปปากซอยเพื่อขึ้นรถเมล์ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น เธอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“มาทำอะไรที่บ้านเราแต่เช้าแอมป์”

“มารับ” เขาตะโกนออกมาจากในรถที่ลดกระจกลงเพื่อคุยกับเธอ “แต่งตัวเสร็จแล้วนี่ ขึ้นมาสิจะได้ไปด้วยกัน”

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ขิงยืนนิ่งมองคนบนรถด้วยสายตางุนงงปนสงสัย แต่ก็ยอมก้าวขึ้นรถแบบไม่ถามอะไรต่อ หญิงสาวส่งยิ้มให้เพื่อนอย่างที่เคยทำก่อนจะนั่งนิ่งมองถนนเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ ปล่อยให้แอมป์ใช้สมาธิขับรถได้อย่างเต็มที่

“ขิง” เสียงทุ้มเรียกความสนใจเพื่อนจากถนน “เมื่อกี้มานั่งรอใครอยู่หน้าบ้านน่ะ”

“หะ หา เอ่อ... รอ รอ” หญิงสาวอึกอักไม่อยากบอกเพื่อนสักนิดว่าที่ออกมานอกบ้านเธอกำลังรอใคร ขิงพยายามบังคับตัวเองให้มองออกไปที่นอกรถ ไม่ยอมสบตากับคนขับ แต่ไม่นานก็ต้องรู้สึกถึงสายตาคาดคั้นของเพื่อนที่มองอยู่ หญิงสาวจึงได้รู้ว่ารถของเธอกำลังติดไฟแดง

“ตกลงว่ากำลังรอใครกันแน่ขิง”

“ปละ เปล่า” ขิงตะกุกตะกักยังคงไม่ยอมสบตาเพื่อน “เราไม่ได้รอใครหรอก แค่ยังไม่อยากเดินออกไปปากซอยเลยนั่งอยู่หน้าบ้านก่อน มันก็แค่นั้นเอง”

โอย... หญิงสาวนึกอยากยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาจากไรผม แอร์เย็นๆ ภายในรถไม่ได้ช่วยให้เหงื่อของเธอหายไปเลย ยิ่งเหลือบตาไปเห็นเพื่อนกำลังจ้องเธอเขม็งเม็ดเหงื่อก็ยิ่งซึมออกมามากขึ้น คราวนี้ชักทนไม่ไหว ขิงยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมออกมาแล้วพยายามนั่งเงียบให้มากถึงมากที่สุดแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเพื่อนไม่ถามอะไรต่อ แอมป์พูดตัดบทไปอย่างที่ขิงอยากให้เป็น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนหนุ่มเธอยังคงคิดเรื่องนี้อยู่หรือไม่

เช้าที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องขิงช่างเป็นเช้าที่ทรมาน กระเพาะน้อยๆ ของขิงทำการประท้วงกันราวกับมีสงครามอยู่ข้างใน หญิงสาวยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มก่อนจะตบท้องเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนน้ำย่อยข้างในให้รักษาความสงบศึกกันชั่วคราวแล้วพยายามเพ่งสมาธิกับงานตรงหน้า...

แต่เธอกลับทำไม่ได้ หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาเรือนเล็กบนโต๊ะทำงานแล้วถอนหายใจ ความหิวกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่เธอไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าตอนนี้ท้องของเธอชักประท้วงหนักขึ้นเรื่อยๆ คนขาดอาหารเช้าไม่ได้ตัดสินใจจะลุกไปหาอะไรรองท้องแต่ต้องนั่งลงที่เดิมเมื่อเห็นใครเดินตรงมาหาที่โต๊ะทำงานของเธอ กฤษณ์เดินมาด้วยใบหน้านิ่งอย่างที่ยากจะเดาว่ากำลังรู้สึกอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาหญิงสาวแปลกใจไม่น้อย แล้วก็ต้องแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือใหญ่ที่กำลังยื่นมาให้เธอ

กล่องพลาสติกไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปถูกยื่นมาตรงหน้า ทำเอาขิงนั่งมองสิ่งนั้นด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ

“อะไรคะบอส”

“แซนวิช คิดว่าขิงคงยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ผมเลยให้แม่บ้านทำมาให้” เสียงทุ้มเอ่ยจ้องหน้านวลด้วยสายตาอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน ทำเอาคนน้อยใจอยู่ลึกๆ เรื่องเมื่อเช้าใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง

“รับไปสิ” เขาพูดอีกครั้งเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงนั่งนิ่งไม่ยอมยื่นมือมารับ

“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ” ขิงเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปรับ ส่วนอีกคนก็หันหลังกลับทันทีที่เธอรับกล่องแซนวิชไปไม่ยอมพูดอะไรต่อจนหญิงสาวต้องเรียกรั้งเขาไว้เสียงดัง

“มีอะไรเหรอ” ชายหนุ่มหันมองเธออีกครั้งด้วยสายตางุนงง ขิงเพียงแค่อยากรู้ว่าเมื่อเช้าทำไมเขาถึงไม่ไปรับเธอที่บ้านทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้แต่นั่งอึกอักไม่ยอมพูดอะไร จนเขาต้องเดินกลับมาที่เดิมแล้วถามซ้ำอีกครั้ง “มีอะไรรึเปล่าครับ”

“ปล่ะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ” คราวนี้กฤษณ์ยืนจ้องหน้าลูกน้องสาวเขม็งแต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา ส่วนคนรั้งตัวเจ้านายไว้ก็ถึงกับกลั้นหายใจนิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรออกมารวมถึงไม่ยอมสบตาคมที่ส่งมานั้นให้หัวใจได้หวิวเล่น หญิงสาวทำเพียงแค่นั่งก้มหน้าบีบนิ้วตัวเองเบาๆ

“เอาเถอะ” ชายหนุ่มพูดอย่างยอมจำนนต่อทุกอย่าง “มีอะไรสงสัยหรืออยากถามก็เข้าไปถามผมในห้องทำงานแล้วกัน”

กฤษณ์พูดแบบนั้นแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ขิงที่กำลังสับสนใจความรู้สึกตัวเองนั่งถอนหายใจอยู่อย่างนั้น จะให้เธอถามคำถามที่อยากรู้ได้อย่างไรในเมื่อก่อนหน้านี้เธอรู้ตัวดีว่าเธอทำร้ายจิตใจเขามากขนาดไหน เธอมีสิทธ์แค่ไหนกันเชียวที่ตั้งคำถามแบบนั้นราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขา

เขาเป็นเธอเจ้านายนะ หญิงสาวเตือนตัวเองในใจ ถึงแม้เขาจะเคยบอกหรือแสดงท่าทีว่าชอบเธอก็ตาม แต่ยังไงเธอก็ยังไม่อยากคิดหรือรู้สึกอะไรกับใครมากไปกว่าที่เป็นอยู่ เธอยังไม่พร้อม... ความรู้สึกที่มีต่อแอมป์ยังหลงเหลืออยู่ในใจไม่มากนัก... แต่ก็ไม่ได้น้อยพอที่จะสามารถรักใครได้ในตอนนี้

‘รอมาขนาดนี้แล้ว รออีกหน่อยจะเป็นไรไป’ ประโยคของกฤษณ์ที่เคยพูดก่อนหน้านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดในบางเวลาที่เธอกำลังสับสนกับความรู้สึกตัวเอง

มือขาวหยิบปากกาขึ้นมาหมุนเล่นพร้อมกับใช้ความคิด ตอนนี้งานตรงหน้าเหลือเก็บรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่สำคัญเท่าความสับสนที่เกิดขึ้นในชีวิต ขิงหันมองเพื่อนสนิทที่ตนเอง ‘เคยคิด’ อยากเป็นมากกว่านั้น แต่กลับเป็นไปไม่ได้ ในชีวิตจริงเธอก็เป็นได้เพียงแค่เปลือกไข่อย่างที่แอมป์เคยให้คำจำกัดความไว้ เปลือกไข่ที่แข็งแรงสามารถปกป้องเขาในยามท้อแท้มีปัญหาอย่างเช่นในช่วงนี้ ช่วงที่ไข่ขาวอย่างเขาถูกไข่แดงเมินเฉย

มองเพื่อนเสร็จจึงหันไปมองประตูกระจกบานใหญ่ที่ถูกปิดไม่ให้เห็นข้างในด้วยมู่ลี่สีขาวเรียบๆ ไม่มีอะไรโดนเด่น แต่คนข้างในห้องกลับทำให้เธอใจเต้นอย่างประหลาด หลายครั้งหลายคราที่เริ่มใจอ่อนกับคนๆ นี้แต่ก็อีกนั่นแหละเธอเป็นพวกอ่อนไหว หวั่นไหวกับอะไรง่ายดาย ขิงไม่มั่นใจในตัวเองเลยสักนิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า

“ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วนะ”

หญิงสาวบ่นเบาๆ ตอนนี้ผมที่เซ็ตสวยมาจากบ้านฟูฟ่องเสียจนไม่เหลือเค้าเดิมที่ต้องการด้วยฝีมือการขยี้ของเธอเอง เพราะคิดอะไรไม่ออก ความจริงผู้หญิงที่ไม่มีอะไรโดดเด่นอย่างเธอไม่ควรจะต้องมาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้เสียหน่อย แต่นี่อะไรกัน จู่ๆ เพื่อนสนิทก็กลับมาทำดีกับเธอและสิ่งที่ทำมันกลับ ‘มากกว่าเดิม’ ด้วยซ้ำ แถมเจ้านายก็ดันมาทำให้ใจเธอฟุ้งไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก

ยิ่งสายตาเหลือบไปเห็นกล่องแซนวิชยิ่งทำให้ฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ ความใส่ใจที่ไม่ค่อยได้รับซักเท่าไหร่เพราะคนรอบตัวมักคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว แต่กฤษณ์กลับไม่ได้คิดเหมือนคนทั่วไป เจ้านายเธอทำเหมือนเธอเป็นผู้หญิงน่ารัก น่าทะนุถนอม ซึ่งพอคิดแบบนี้แล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ความโรแมนติกที่ไม่เคยมีอยู่ในสายเลือดทำให้เธอนึกกลัวว่าผื่นจะขึ้นหากได้รับการดูแลแบบนี้บ่อยๆ

ความคิดที่ไม่ยอมหยุดลงทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีกจนแทบจะเป็นปมผูกอยู่กลางหน้าผาก จนภพที่เดินผ่านมาเห็นแล้วนึกสงสัย รุ่นพี่หนุ่มหยุดเดินแล้วมองรุ่นน้องสาวอย่างงงๆ ยังดีที่มือขาวยังขยับหมุนปากกาอยู่ทำให้เขาเบาใจเล็กน้อยว่าน้องสาวคงไม่ได้เกิดอะไรผิดปกติกับร่างกาย

“ขิง” ชายหนุ่มเรียกรุ่นน้องสาวเบาๆ แต่ดูเหมือนคนที่มีอะไรให้คิดเยอะยังไม่ได้ยินสิ่งใด ภพจึงตัดสินใจเรียกอีกครั้ง “ขิง”

ทุกอย่างยังคงนิ่งสนิท ด้วยความอยากเรียกน้องสาวให้ออกจากความคิดทำให้ภพยกมือขึ้นถูกันอย่างตัดสินใจแล้วตบลงกับโต๊ะดังปัง! ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าของโต๊ะที่สะดุ้งตื่นจากภวังค์ แต่มันกลับเรียกความสนใจได้จากคนทั้งบริษัท พนักงานทุกแผนกและทุกฝ่ายหันมองที่โต๊ะทำงานของขิงเป็นจุดเดียวด้วย หญิงสาวเจ้าของโต๊ะหันมองรอบๆ ก่อนจะมีหยุดอยู่ที่คนก่อเรื่องที่ยืนยิ้มอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“พี่ภพ!” เธอเรียกชื่อคนก่อเรื่องเสียงเขียว แต่แค่นี้ไม่สามารถทำให้รุ่นพี่หนุ่มกลัวได้เลยสักนิด “เล่นอะไรเสียงดัง ขิงตกใจหมดเลย”

“ก็เรียกแล้วไม่ยอมขานรับ พี่ก็นึกว่าเราหลับในไปแล้ว”

“เปล่าซักหน่อย” หญิงสาวแย้งเบาๆ รู้ตัวดีว่าก่อนหน้านี้คิดอะไรอยู่ถึงได้ใจลอยไม่รุ้สึกอะไร “ขิงคิดงานอยู่หรอก”

“เหรอ” ภพทำเสียงลากยาวดูเป็นการถามแบบรู้ทันมากกว่าจะถามจริงจัง ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับกล่องพลาสติกกล่องเล็ก “แล้วนั่นอะไรน่ะ”

“หืม นั่น? นั่นไหน”

“ก็นั่นไง กล่องที่เหมือนกล่องข้าวนั่นน่ะ เดี๋ยวนี้ขิงห่อข้าวมากินที่บริษัทด้วยเหรอ”

“เอ่อ...” เธออึกอักอีกครั้ง นึกเบื่อหน่ายกับการต้องตอบคำถามกับทุกคน “แค่ขนมกินเล่นน่ะพี่”

“อ้อ ขนมอะไรไหนดูซิ” มือของภพทำท่าจะเอื้อมไปหยิบกล่องพลาสติกที่วางนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ยังเอื้อมไม่ถึงทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงทุ้มที่ดังมาจากห้องผู้บริหาร เธอคิดว่ากฤษณ์คงยืนมองเธอกับภพอยู่พักหนึ่ง หากเธอมองไม่ผิดเจ้านายของเธอมีท่าทีไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่าง

“คุณภพ เชิญที่ห้องผมด้วยครับ” น้ำเสียงที่ดังอยู่ทำเอาภพขนลุกเกรียวอย่างบอกไม่ถูก คนถูกเรียกหันไปมองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องช้าๆ ตอบรับเสียงนั้นไปอย่างไม่มั่นใจนัก จากที่ไม่แน่ใจตอนนี้ชักเริ่มแน่ใจมากขึ้นทุกทีว่าคนที่เขาคุยด้วยตรงหน้านี้มีอิทธิพลต่อเจ้าของบริษัทอย่างไรบ้าง

“ถ้าพี่เข้าไปเกินชั่วโมง ช่วยตามเข้าไปเก็บศพพี่ด้วยนะขิง” คนฟังคำสั่งเสียเบาๆ หัวเราะคิก ก่อนจะเตือนให้รุ่นพี่หนุ่มรีบเดินเข้าไป เพราะไม่อย่างนั้นอาจโดนมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า


เพราะมัวแต่ทำงานแก้รายละเอียดของโปรแกรมเล็กๆ น้อยๆ มือหนึ่งก็ถือแซนวิชกัดเข้าปากไปอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมเวลา ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเลยพักเที่ยง ขิงละสายตาจากโปรแกรมในคอมพิวเตอร์แล้วหันมองนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาผนังพร้อมกับท่าทางบิดขี้เกียจ เที่ยงครึ่งพอดิบพอดีทำเอาเธอตาโต หันมองเพื่อนสนิทอีกคนที่ยังจดๆ จ้องๆ อยู่กับคอมมพิวเตอร์ไม่มีทีท่าจะเลิกทำงาน

“แอมป์” ขิงไม่ได้เสียงตอบรับอะไรดังไปกว่าในลำคอของชายหนุ่มจนเธอต้องเรียกอีกครั้งให้เพื่อนละจากงานสักแป๊บ “แอมป์ เที่ยงกว่าแล้วนะ”

เจ้าของชื่อหันมายิ้มกับเพื่อนพร้อมกับพับคอมพิวเตอร์ลง “เรารอขิงนั่นแหละ หิวรึยัง”

“ยังไม่หิวเลย” เธอตอบพลางส่ายหน้า ทำเอาเพื่อนที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“ไม่หิวซักนิดเลยเหรอ”

“อื้อ” เธอตอบแล้วเหลือบสายตาไปเห็นกล่องแซนวิชที่ว่างเปล่า ไม่เหมือนแซนวิชสักชิ้นอยู่ในนั้น “สงสัยเพราะแซนวิชน่ะ กล่องเบ้อเริ่ม ไม่รู้ยัดมาทำไมเยอะแยะ”

ท้ายประโยคที่ดูเหมือนบ่นหงุงหงิงมากกว่าจะพูดให้คนตรงหน้าได้ยิน หญิงสาวพับคอมพิวเตอร์ลงเหมือนเพื่อนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยเป็นการยืดเส้นยืดสาย “แอมป์จะกินข้าวร้านไหน เดี๋ยวเราไปนั่งเป็นเพื่อน”

“เอางั้นเหรอ” เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ เพื่อนรักสองคนจึงพากันเดินออกจากบริษัทเพื่อไปหาอะไรทานด้านล่างตึก ไม่ได้สนใจว่ามีใครอีกคนกำลังยืนมองอยู่เลยสักนิด

“อลิซ” เสียงทุ้มกรอกลงไปในโทรศัพท์ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “วันนี้ว่างใช่มั้ย มากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ”


“นึกยังไงถึงชวนออกมาตอนเที่ยงแบบนี้นะ ไม่รู้เหรอว่าแดดประเทศไทยบ้านนายมันแรงขนาดไหน” อลิซท้วงคนที่เดินนำหน้าด้วยอาการ ‘เหวี่ยง’ เนื่องจากอากาศร้อน จนกฤษณ์ที่เดินอยู่หันมาจ้องเธอ ทั้งที่ตั้งแต่ไปรับที่โรงแรมหญิงสาวยังไม่ได้เดินเฉียดกลายแดดที่ร้อนระอุสักเซนฯ เดียว แต่กลับบ่นไม่หยุดตั้งแต่นั่งรถมาพร้อมเขา

“เธอจะหยุดบ่นได้หรือยังอลิซฉันขี้เกียจฟัง ถ้ารู้ว่าจะบ่นแบบนี้นะฉันไม่ชวนออกมาหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปในร้านอาหารชื่อดังที่รอบๆ ร้านมีแต่ต้นไม้สีเขียวต้นใหญ่ๆ เต็มไปหมด ปล่อยให้เพื่อนยืนค้อนลมค้อนฟ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงรีบเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว

“คริส ตกลงนายเป็นอะไร” คำถามเกิดขึ้นทันทีที่ทั้งคู่สั่งอาหารกับพนักงานเรียบร้อย หญิงสาวพยายามจ้องตาเขม็งไปที่เพื่อน “หรือที่บริษัทมีปัญหา”

“เปล่า” ชายหนุ่มตอบพลางคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดื่ม “ไม่ใช่เรื่องบริษัทหรอก”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องบริษัท” อลิซทิ้งหางเสียงยาวกว่าปกติ หรี่ตามองเพื่อนตรงหน้าอย่างรู้ทัน “ถ้างั้นคงเรื่องผู้หญิงล่ะสิ”

คนโดนรู้ทันสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนแทบออกมาทางจมูก มือใหญ่รีบคว้ากระดาษทิชชู่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาซับหน้าตัวเองลงไปจนถึงเสื้อ ไอค่อกแค่กเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาเพื่อน

“ฉันเดาถูกจริงๆ แฮะ” อลิซพูดพร้อมกับหัวเราะชุดใหญ่อย่างถูกใจ เพื่อนที่เธอเคยคิดว่าเป็นท่อนไม้ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้ เพราะตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน คริสไม่เคยสนใจจะเข้าหาผู้หญิงคนไหนเลยสักนิด จะมีก็แต่ชายตามองบ้างตามคำบอกเล่าของเพื่อนในกลุ่ม

“ตาแก่จำศีลกลายเป็นอะไรไปแล้วนะเนี่ย” คำจำกัดความที่ไม่ได้ยินมานานทำเอากฤษณ์นึกอยากค้อนเพื่อนขึ้นมาติดหมัดแต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่นั่งขยับตัวอย่างอึดอัดต่อหน้าเพื่อน... ไม่น่าชวนยัยนี่มาทานข้าวเลยจริงๆ

“เธอนี่มัน...” ชายหนุ่มกัดฟันมองหน้าเพื่อน พูดไม่ออกเพราะเห็นใบหน้าที่ยังคงยิ้มระรื่นอยู่อย่างไม่ทุกไม่ร้อน สิ่งที่ทำได้มีเพียงถอนหายใจอีกครั้งอย่างยอมจำนน

“พนักงานที่บริษัทน่ะ”

“หา อะไรนะ?” เสียงแหลมเอ่ยอย่างตกใจ “ไม่คิดว่าเพื่อนจะถูกใจคนใกล้ตัวขนาดนี้”

“ก็โปรแกรมเมอร์ที่บริษัท มันเลยทำอะไรมากไม่ได้ไง เข้าใจรึเปล่า”

ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าที่ทำไปทั้งหมดไม่มาก เพียงแต่การแสดงออกต่อหน้าพนักงานคนอื่นในบริษัทนั้นดูไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ทำให้เขากลายเป็นพวกถ้ำมองไปเสียอย่างนั้น เพราะต้องคอยเฝ้ามองเฝ้าดูใบหน้าใสที่คร่ำเคร่งการทำงานอยู่แต่ในห้องทำงาน ไม่มีโอกาสไปนั่งคุยมากนัก เขาไม่อยากเป็นสมภารกินไก่วัดเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ! แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้วคงต้องยอมรับทุกอย่างไปแบบนี้

“กลัวอะไรกับแค่พนักงานบริษัทตัวเอง รักเค้าชอบเค้านายก็บอกเค้าไปเลยสิ มัวแต่ทำอะไรอยู่” อลิซพูดอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้คิ้วของเขากำลังผูกกันเป็นโบว์อย่างสวยงามอยู่บนหน้า

“แต่ว่า...” กฤษณ์ที่กำลังจะพูดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นพนักงานเสิร์ฟกำลังยกอาหารมาที่โต๊ะ เขาขยับตัวเล็กน้อยเพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงาน ก่อนจะมองหน้าเพื่อนอีกอย่างใช้ความคิดอีกครั้ง “อลิซ ไหนๆ เธอก็มาแล้ว ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาแร้นจ้าาาาาาา อลิซเป็นใครได้รู้กันแล้วนะคะ ตอนนี้ถูกใจใครบ้างมั้ยเอ่ย :P

แหะๆ ตอนนี้ไม่รู้จะพูดอะไรเลยแฮะ หรือเป็นเพราะดึกแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้มิณทิมาง่วงนอนมากเลยค่ะ ฮาาาาาาา ใครอยู่แถวนี้ฝากดูแลบอสเราด้วยนะคะ :)

======================================
ง่วงยังไงเราก็จะยังตอบเม้นท์ 5555

คุณ pattisa : รู้ชัดแล้วนะคะว่าอลิซเป็นใคร :P หายสงสัยเนอะ 5555

คุณ pseudolife : ยั่วหรือไม่ยั่วคงต้องรอดูกันต่อไปนะคะ คิคิคิ ไม่รู้ว่าจะใช่อย่างที่คิดรึเปล่านะคะ

คุณ คิมหันตุ์ : ใช่ค่ะ บอสน่าสงสารจริงๆ มิณทิมาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เอิ๊กๆ (ทรมานบอสขนาดนี้ นี่คือสงสารแล้ว 5555)

คุณ mhengjhy : ยัยขิงเราเป็นคนรู้ตัวเร็วค่ะ ฮาาาา แป๊บเดียวรู้ตัวซะแล้ว

คุณ Amarilys : อยู่ข้างบอสเหมือนกันใช่มั้ยคะ กำลังใจดีแบบนี้บอสสู้ตายแย่เลยค่า (^ ^v)

-------------------------------------------------------------

เลิฟๆ ทุกคนนะจ๊ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ <3 <3



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2556, 02:41:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2556, 02:41:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1228





<< ตอนที่ 12   ตอนที่ 14 >>
mhengjhy 20 มิ.ย. 2556, 06:25:19 น.
คิดอะไรอ่ะบอส ใช้ตัวกระต้นปฏิกิริยาหรอออ


คิมหันตุ์ 20 มิ.ย. 2556, 12:17:28 น.
ความสัมพันธ์ยังไม่ค่อยจะชัดเจน ริจะเอาเพื่อนมาลองของหรอจ๊ะ เด๊วจะชวดเอานา


Amarilys 20 มิ.ย. 2556, 14:01:01 น.
อืมมม..จะให้ช่วยรัยก็คิดดีๆนะบอส เด๋วจะหาว่าไม่เตือน


pattisa 20 มิ.ย. 2556, 18:23:14 น.
ชักชอบอลิซ เบื่อยัยขิงล่ะ เล่นตัวกับบอสเรา 555555


pseudolife 20 มิ.ย. 2556, 20:39:28 น.
มาให้กำลังใจคนเขียนและคุณบอส
ไม่เดาละ รออ่านต่อแล้วกันจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account