ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 14

‘อะไร’ ที่กฤษณ์บอก เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันถัดมา ร่างเพรียวบางราวกับนางแบบของอลิซเดินเข้ามาในบริษัทของกฤษณ์ เสียงรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้นเป็นจังหวะทำเอาพนักงานชายหลายคนหันมองภาพนั้นคอแทบเคล็ด รวมถึงผู้หญิงอย่างขิงก็เช่นกัน ขิงมองผู้หญิงที่มาด้วยสายตานึกชื่นชม ผู้หญิงที่ดูสวยและสง่าอย่างที่เธออยากเป็น... แล้วหันกลับมาก้มมองด้วยเองด้วยสภาพเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ที่นับวันยิ่งเหมือนผู้ชายเข้าไปทุกที

“เฮ้ย!” ขิงร้องขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นร่างบางเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย ผู้หญิงสวยที่ไม่เคยเห็นจู่ๆ ก็ดันโผล่มาให้เธอระทึกหัวใจ หญิงสาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกหน่วงๆ ตรงอกข้างซ้ายแปลกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมากกว่าตอนเห็นแอมป์เดินไปกับผู้หญิงอื่นด้วยซ้ำ “เป็นอะไรไปนะ”

“พูดอะไรคนเดียวน่ะขิง” แอมป์เดินเข้ามาพูดเงียบๆ ข้างหลัง ทำเอาคนพูดคนเดียวสะดุ้งโหยง หันยิ้มให้เพื่อนแหยๆ

“เราก็แค่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นสวยดี”

“ป้าคนเมื่อกี้น่ะเหรอ” แอมป์พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง ทำเอาขิงที่นั่งฟังอยู่ถึงกับตาโตกลัวว่าคนในห้องจะเปิดประตูออกมาได้ยิน

“พูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวก็โดนหรอกแฟนบอสรึเปล่าก็ไม่รู้” ท้ายเสียงที่แผ่วลงไปทำให้แอมป์จับสังเกตเพื่อนได้ลางๆ แต่ยังไม่กล้าตัดสินว่าจะใช่หรือไม่ใช่...

“ช่างป้าเค้าเถอะน่า ไปซื้อกาแฟข้างล่างเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ อยากกินกาแฟเย็น” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงตอบรับคำชวนไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่งานตรงหน้าที่เร่งเข้ามาทุกทีทำให้เธอไม่อยากไปไหน

“ไม่ไปได้มั้ย งานยังไม่เสร็จเลย”

“อะไรกัน ใกล้วันส่งแล้วเหรอ”

“อื้อ” เธอตอบรับในลำคอ แล้วหันไปสนใจกับตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงติดกันเป็นพรืดตรงหน้าต่อ ปล่อยให้เพื่อนเดินทำหน้างงไปซื้อกาแฟสดข้างล่างเอง

สายตาที่จดๆ จ้องๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์สลับกับมองที่ประตูสีขาวที่ยังคงปิดสนิท อาการที่เกิดขึ้นทำเอาเธอต้องถอนหายใจออกมา หญิงสาวชักเบื่อใจตัวเองขึ้นมาทุกที ก่อนหน้านี้ที่เคยคิดว่าตัวเองรักแอมป์นักหนา ไม่ว่าใครเข้ามาก็ไม่เคยสนใจ แต่มาวันนี้ทำไมถึงรู้สึกหวั่นไหวกับใครอีกคนที่คอยห่วงใย และอยู่ใกล้ทีไรก็รู้สึกอบอุ่นเสมอ

เธอชอบเสียงที่อบอุ่นของกฤษณ์ ชอบรอยยิ้มที่ถึงแม้มันมีไม่บ่อยแต่มันก็ทำให้เธอชุ่มชื่นใจอย่างประหลาด และตอนนี้เธอคิดว่าเธอกำลังชอบเขา...!!!

“เฮ้ย!” ขิงอุทานขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้เธอเริ่มตกใจในความคิดของตัวเอง “เป็นบ้าอะไรเนี่ย แกกำลังคิดอะไรของแกยัยขิงบ้า”

“คิดอะไร ใครคิดอะไรเหรอครับ” เสียงทุ้มที่ดังอยู่หลังเก้าอี้ทำให้เธอหันขวับ บอสของเธอเดินมาเงียบๆ อีกแล้ว

“บอส! เอ่อ... บอสมาเงียบๆ อีกแล้วนะคะ” กฤษณ์ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของลูกน้องสาวเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มหันหลังไปมองเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอีกที

“อลิซ” เขาเรียกเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงที่แม้กระทั่งเจ้าตัวเองยังต้องเลิกคิ้วมองเจ้าของเสียง “นี่ขิงโปรแกรมเมอร์ของบริษัทเรา” เขาแนะนำเธอเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะพยักหน้าให้เธอแนะนำตัวอีกที

“ถ้าแอมป์มาบอกให้เข้าไปหาผมด้วยนะ” เขาพูดจากนั้นฝากอลิซไว้กับขิงอย่างง่ายดาย ไม่ได้ถามเธอเลยสักนิดว่าสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากน้อยแค่ไหน สองสาวแนะนำตัวกันเล็กน้อย ก่อนที่ผู้มาเยือนจะนั่งลงข้างๆ ขิงด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น

“ทำอะไรอยู่เหรอคะ ตัวหนังสืออะไรเยอะแยะอลิซอ่านไม่ออก” ขิงหัวเราะกับคำพูดนั้น อธิบายให้คนสงสัยฟังอย่างคร่าวๆ ถึงสิ่งที่เธอทำ ยิ่งมองอลิซใกล้ๆ ยิ่งทำให้เห็นผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่ง ใบหน้าขาวนั้นทำให้เธอนึกอิจฉา

“มองหน้าฉันแบบนี้มีอะไรรึเปล่าจ๊ะสาวน้อย” อลิซถามด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ทำเอาคนแอบมองอยู่พักใหญ่สะดุ้งเฮือก ขิงส่งยิ้มเขินให้เธอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พยายามตั้งสติตัวเองให้อยู่กับงานตรงหน้า หากว่างานนี้เสร็จเธอจะได้เร่งทำอีกงานที่อยู่ในมือให้เรียบร้อย

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แอมป์ถึงกลับขึ้นมานั่งประจำที่โต๊ะพร้อมแก้วกาแฟที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง หญิงสาวหันไปหาเพื่อนพร้อมส่งสัญญาณบอกว่าบอสให้เขาเข้าไปพบที่ห้อง จากนั้นจึงหันมาตั้งใจทำงานต่ออีกครั้ง ปล่อยให้แขกของเจ้านายนั่งมองเธอทำงานอยู่เงียบๆ

แอมป์หายเข้าไปในห้องของกฤษณ์นาน นานจนเธอลืมไปแล้วว่าเพื่อนเธอยังไม่กลับมาที่โต๊ะ ทำให้เธอชักสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้น อย่างน้อยเธอก็หวังว่าจะไม่เกิดสงครามเหมือนวันก่อนที่เกิดเรื่องที่บ้านเธอ ขิงหันมองผู้หญิงสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่กลับเห็นเพียงใครคนหนึ่งนั่งฟุบหลับอยู่ตรงนั้น ทำเอาคนมัวแต่ทำงานส่ายหัวน้อยๆ ใครจะไปนึกว่าเพื่อนเจ้านายจะทำตัวได้เด็กขนาดที่ว่านั่งๆ อยู่แล้วหลับไปเฉยๆ

“คุณอลิซคะ คุณอลิซ” มือเล็กเขย่าร่างบางเบาๆ เพียงไม่กี่ครั้ง เจ้าของชื่อก็รู้สึกตัวขึ้นมาหรี่ตามองเธอด้วยใบหน้าเพิ่งตื่นจริงๆ

“หลับจริงเหรอเนี่ย” ขิงบ่นเป็นภาษาไทยเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้คนขี้เซา

“ฉันหลับไปเหรอจ๊ะ” อลิซถามพลางยกมือขึ้นปิดปากที่หาวกว้าง

“ค่ะ”

“อ้าวแล้วนี่คริสยังไม่ออกมาอีกเหรอ”

คริส? ขิงมองหน้าคนพูดด้วยความสงสัย เธอมั่นใจว่าในบริษัทนี้ไม่มีคนชื่อคริสอย่างแน่นอน มีแต่ไทยแท้กันทั้งนั้น แล้วคริสที่เธอถามหานี่มันใครกันล่ะเนี่ย

“ฉันหมายถึงบอสของเธอน่ะจ้ะ” สงสัยอลิซจะอ่านสีหน้าของเธอออกเลยขยายความมาให้เล็กน้อย แต่คำว่า ‘บอสของเธอ’ นี่ฟังดูแล้วคันหัวใจพิลึกแฮะ

“บอสยังไม่ออกมาค่ะ สงสัยคุยงานสำคัญกับโปรแกรมเมอร์” เธอแอบหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาอลิซเล็กน้อย แต่พอไม่เห็นอะไรผิดปกติเธอก็พูดต่อ “แต่เดี๋ยวคงออกมาค่ะ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว”

อลิซทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น แล้วไม่ได้สนใจอะไรต่อ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาปัดป่ายนิ้วไปมาอยู่ที่หน้าจออย่างเงียบๆ จากนั้นไม่นานประตูสีขาวก็เปิดออกพร้อมกับผู้ชายร่างสูงสองคนเดินออกมา ขิงหันไปมองทั้งคู่แล้วขมวดคิ้ว ดูเหมือนทั้งคู่จะตกลงอะไรกันสักอย่างยังไม่เรียบร้อย เพราะดูจากใบหน้าของแอมป์ไม่สบอารมณ์แต่ใบหน้าของบอสกลับนิ่งสนิทไม่แสดงออกถึงความรู้สึก หญิงสาวมองอยู่อย่างนั้นจนทั้งคู่เดินมาที่โต๊ะทำงานของเธอ

“อลิซ” กฤษณ์เรียกเพื่อนด้วยสำเนียงอย่างคนคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมานาน “เดี๋ยวเธอกลับโรงแรมพร้อมกับแอมป์นะ ทางเดียวกัน ไปด้วยกันก็แล้วกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาไปส่งเธอ”

“บอสครับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่สะดวก ผมไปส่งกิ๊กบอสแล้วขิงจะกลับยังไงล่ะครับ” เสียงโอดโอยของแอมป์ทำให้ขิงนึกเอะใจ ลางสังหรณ์ของหญิงสาวเริ่มทำงานทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“เรื่องขิงคุณไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวผมไปส่งเอง”

“หา...” เสียงของขิงดังทะลุกลางปล้องขึ้นมา เรียกสายตาของสองหนุ่มได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ทั้งคู่จะทุ่มเถียงกันต่ออย่างไม่เกรงใจพนักงานคนอื่น

“ก็แล้วบอสทำไมไม่ไปส่งกิ๊กบอสเองล่ะครับ ผมก็จะไปส่งเพื่อนผม”

“เถอะน่า คุณไปส่งอลิซให้ผมที ผมมีงานต้องคุยกับขิงต่ออีกนิดหน่อย” เขาพูดไม่มองหน้าหญิงสาวที่เขาเอาชื่อมาแอบอ้างสักนิด แล้วหันไปบอกอลิซอย่างมัดมือชก “อลิซ จะกลับเลยใช่มั้ย จะได้ให้แอมป์ไปส่งเลย”

อลิซพยักหน้าถี่ๆ อย่างที่ได้นัดกับกฤษณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เธอเหลือบมองร่างสูงอีกคนที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่อย่างไม่สบอารมณ์แล้วนึกขำ ช่วยไม่ได้ที่เธอเกิดนึกถูกใจโปรแกรมเมอร์สาวขึ้นมาจนอยากเป็นกามเทพช่วยเพื่อนให้สมหวังในความรัก ฉะนั้นใครที่ขวางทางรักของเพื่อนเธออยู่ต้องเขี่ยออกให้หมด

“ถ้างั้นฉันกลับเลยแล้วกันนะคริส เธอทำงานเสร็จรึยังจ๊ะหนุ่มน้อย ฉันจะได้ไปรอเธอเก็บของที่หน้าลิฟต์”

คนถูกเรียกว่า ‘หนุ่มน้อย’ นึกฉุนกึก ยัยป้าปากแดงตรงหน้าไม่น้อย ถึงอายุเขาจะไม่เท่าเธอ แต่ใช่ว่าจะห่างกันเยอะเสียเมื่อไหร่

“คุณรอผมที่หน้าลิฟต์แล้วกันครับ ขอเวลาเก็บของห้านาทีแล้วผมจะตามไป” แอมป์พูดอย่างกัดฟัน มองหน้าบอสตัวเองแล้วนึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มต้องการอะไร แต่ที่ขัดไม่ได้เพราะอำนาจในมือที่ไม่เท่ากัน เขาเลยต้องยอมแพ้ไปก่อน พอหันไปมองหน้าซื่อๆ ของเพื่อนแล้วยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ไม่รู้จะทันเล่ห์เหลี่ยมคนเป็นเจ้านายบ้างรึเปล่า

“กลับถึงบ้านแล้วโทรหาเราด้วยนะขิง” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม ส่วนขิงที่ยังงงๆ อยู่ทำได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ เป็นหุ่นยนต์

“เดี๋ยวเข้าไปพบผมที่ห้องด้วยนะขิง”

คนถูกเรียกพบได้แต่ยืนงงเกาศีรษะยุ่ง วันนี้เจ้านายเธอเป็นอะไรไปนะ เรียกคนนู้นคนนี้เข้าพบไม่หยุด หรือเกิดมีใครไปเหยียบเท้าเขาตอนเช้าหรือเปล่าไม่รู้ นี่มันเวลาเลิกงานของเธอชัดๆ นี่เธอเผลอเซ็นสัญญาทาสไปรึเปล่านะ

“เข้ามาพบผมได้แล้วขิง” ยังไม่วายตะโกนมาอีกครั้ง หญิงสาวกลอกตาขึ้นฟ้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในประตูขาวบานนั้นแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเจ้านายอย่างสงบเสงี่ยม

“เย็นนี้ไปซื้อของสดทำกับข้าวเย็นกันนะ”

แค่ประโยคแรกที่กฤษณ์เอ่ยขึ้นก็ทำเอาเธอแทบฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ นี่เขาเรียกเธอเข้ามาเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ... มันใช่เวลามั้ยคะบอส

“บอสคะ เรื่องนี้คุยกันในรถตอนบอสไปส่งขิงกลับบ้านก็ได้มั้งคะ” ได้ยินเสียงเล็กท้วงแล้วบอสหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้กับความไม่มีเหตุผลของตัวเอง เพียงเพราะต้องการแยกขิงออกจากแอมป์ให้เร็วที่สุด

“โอเคๆ ถ้างั้นผมขอเวลาเก็บของ ส่วนขิงก็ออกไปเก็บของเหมือนกันนะเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมผม”

ขิงเก็บของบนโต๊ะไปก็นึกค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อยที่เหมือนถูกหลอกให้เดินกลับไปกลับมาอย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมาให้นิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นบอสหนุ่มเดินออกมาจากห้องทำงานและถือสิ่งที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นกุญแจรถมาเพียงอย่างเดียว


อาหารสดหลายถุงถูกวางบนโต๊ะเล็กๆ ในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น กฤษณ์ยืนมองคนที่ไม่เข้ากับสภาพครัวเอาเสียเลยกำลังเงอะๆ งะๆ เปิดถุงนู้นถุงนี้แล้วดูว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง แล้วหันมายิ้มแหยกับชายหนุ่ม

“เย็นนี้บอสจะทำอะไรเหรอคะ”

“อ้าว เห็นเปิดๆ ดู เดาไม่ออกเหรอว่าผมจะทำอะไร” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมา กฤษณ์เห็นแล้วยิ้มกว้างนึกอยากเอื้อมมือไปขยี้หัวเล็กด้วยความเอ็นดู

“ขิงรู้แต่ว่ามีเส้นสปาเกตตี้” เธอขยับศีรษะให้ห่างมือใหญ่แล้วตอบน้ำเสียงสะบัด ส่วนชายหนุ่มหัวเราะขำ นึกดีใจที่อย่างน้อยเธอก็มองเส้นสปาเกตตี้ออกอย่างหนึ่งล่ะ

“สปาเกตตี้ผัดขี้เมา” เสียงทุ้มไขข้อสงสัยให้เธอ พร้อมกับมือใหญ่เอื้อมมาหยิบของทุกอย่างในถุงพลาสติกออกมาวางบนโต๊ะ

“บอสจะให้ขิงช่วยอะไรมั้ยคะ” กฤษณ์มองหน้าคนถามอย่างนึกลำบากใจ ดูจากวันที่ผ่านๆ มาแล้ว อย่างไรเขาก็ยังเชื่อว่าขิงเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมาะกับห้องครัวมากถึงมากที่สุด ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยกว่าตัดสินใจเอ่ยปาก

“ผมว่าขิงไปนั่งรอที่โซฟาเถอะ” คำตอบทำเอาคนอาสาช่วยหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย

“บอสไม่ไว้ใจขิงเหรอคะ”

ใช่น่ะสิ... เขาอยากตอบแบบนั้นแทบแย่ แต่ต้องกลืนคำนั้นลงคอไปแล้วพูดปฏิเสธสั้นๆ แทน “เปล่า”

“ถ้าไม่ใช่ งั้นบอสให้ขิงช่วยนะคะ”

แล้วเขาจะทนต่อสายตาอ้อนวอนนั้นได้ยังไง ในเมื่อขิงดันส่งมาพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ กฤษณ์ถอนหายใจอย่างขัดใจ ก่อนจะพยักหน้าแล้วกะเกณฑ์ให้เธอทำเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ที่เขาคิดว่าไม่อันตรายต่อฟืนไฟในบ้าน

เพียงไม่นานสปาเกตตี้ผัดขี้เมาสองจานก็ถูกวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนที่เจ้าของบ้านจะตัดสินใจยกมันออกมาวางไว้หน้าโซฟาพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ขิงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองไม่เคยรักษาภาพสวยๆ ของตัวเองได้สักที หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิลงบนโซฟานุ่มในมือถือจานของอาหารเย็นพร้อมกับส้อมเตรียมพร้อมจัดการทุกอย่างให้ลงกระเพาะ มือเล็กอีกข้างที่ว่างตบๆ ที่นั่งข้างตัวเป็นสัญญาณให้อีกคนที่ยืนงงอยู่นั่งลง

“นั่งทานในห้องครัวมันเงียบค่ะ” เธอเอ่ยเหตุผลที่ทำแบบนี้ พร้อมกับใช้ส้อมหมุนเส้นสปาเกตตี้เข้าปาก พอได้อยู่ด้วยกันหลายวันแบบนี้ทำให้หญิงสาวชักหายจากอาการเก้อเขินเจ้านายไปบ้างแล้ว เธอเริ่มคุ้นเคยกับการกระทำของกฤษณ์มากขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ อีกทั้งความอบอุ่นที่หายไปชั่วแวบกลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาคมที่มองมาทางเธอตอนนี้ยิ่งทำให้ความอบอุ่นที่มีลามขึ้นไปร้อนที่หน้าเธออย่างช่วยไม่ได้

“อร่อยมั้ย” เธอคิดไปเองรึเปล่าไม่แน่ใจว่าเสียงที่ถามเธอมันฟังดูนุ่มกว่าทุกครั้งที่ได้ยิน ขิงจ้องหน้าคนถามแล้วคลี่ยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวระยับอย่างที่ได้ของถูกใจ

“อร่อยค่ะ”

“แบบนี้ขอรางวัลได้มั้ยนะ” ขิงเลิกคิ้วหันมองคนที่นั่งข้างๆ สปาเกตตี้ผัดขี้เมาที่ยังไม่พร่องไปมากเท่าไหร่ถูกวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างหน้าทั้งคู่

“บอสว่าอะไรนะคะ” เธอถามย้ำ กลัวว่าที่ได้ยินจะเป็นเธอเองที่ฟังผิด แต่ไม่ใช่... ทุกคนที่เธอได้ยินยังคงชัดเจน

“ผมบอกว่าขอรางวัลให้พ่อครัวดีเด่นหน่อยสิครับ” คนเป็นเจ้าของบ้านเขยิบตัวห่างพ่อครัวดีเด่นจนติดพนักวางแขน สายตาที่เธอใช้มองมาทำเอากฤษณ์นึกอยากหัวเราะให้ลั่นบ้าน ยังไม่วายแกล้งคนตรงหน้าต่อ “นะ ขอรางวัลให้ผมหน่อย”

“ระ รางวัลอะไรคะ ไม่มีค่ะบอส”

“โธ่ นิดเดียวน่า ผมไม่ขออะไรมากหรอก” สายตาที่มองมาของเจ้านายทำเอาหัวใจเล็กๆ ของเธอเริ่มสั่นไหวและหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาจัดการวางจานของตนเองแล้วขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับไม่ละสายตา

“เอ่อ... บะ บอสคะ คือ”

“นะครับ” อาจเป็นเพราะเสียงออดอ้อนนี้ที่เธอไม่เคยได้ยิน ทำเอาใจที่สั่นอยู่ข้างในแทบจะระเบิดออกมา หญิงสาวมองหน้าคนที่กลายเป็นมนุษย์ขี้อ้อนแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตัดสินใจ

“ถ้า... ถ้าขิงทำได้ขิงก็จะทำให้นะคะ” คราวนี้กฤษณ์ถึงกับยิ้มกว้าง ทำเอาคนมองตาพร่ากันไปเลยทีเดียว “แต่ตอนนี้บอสช่วยเขยิบกลับไปนั่งห่างๆ ขิงหน่อยได้มั้ยคะ”

เขามองหน้าหญิงสาวที่ใกล้กว่าระยะปกติแล้วขยับตัวออกห่างกลับมานั่งที่เดิม ดูเหมือนอาหารเย็นที่ตั้งใจจะทานกันเริ่มไม่มีความหมาย เพราะต่างคนต่างสนใจแต่เพียงบทสนทนาเมื่อครู่ ขิงตั้งสติรอฟังคำขอของเจ้านายหนุ่ม ส่วนชายหนุ่มนั้นทำเพียงแต่ส่งยิ้มให้แล้วตัดสินใจบอกคำขอ

“เลิกเรียกผมว่าบอสซักทีได้มั้ย” คำถามที่ทำเอาคนใจเต้นแรงอยู่เหมือนถูกดึงลงมาจากที่สูง ขิงทำตาโตมองคนตรงหน้าก่อนจะถามคำถามเดิมอีกครั้ง

“บอสว่าอะไรนะคะ” เป็นประโยคที่ทำเอากฤษณ์นึกขำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนคำๆ นี้จะกลายเป็นคำติดปากของผู้หญิงตรงหน้าเสียแล้ว

“ผมบอกว่า” เขาหยุดขยับตัวเองเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนหูไม่ค่อยดีแล้วพูดชัดๆ “เลิกเรียกผมว่าบอสซักทีเถอะ”

“แต่บอสเป็นบอสนะคะ เป็นเจ้านาย” เธอแย้งเบาๆ ทำเอาคนเสนอขอรางวัลนึกขัดใจ

“ก็ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้านายสำหรับขิง ขิงก็รู้” รู้อยู่เต็มอกเลยล่ะ แก้มขาวซับสีเลือดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นไข้ หน้าของเธอร้อนจนอยากทานยาแล้วนอนพัก แต่ยังคงติดที่สายตาคมยังคงมองเธอไม่ยอมละสายตา

“ก็แล้วถ้าไม่ให้เรียกบอสแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะคะ”

“พี่กฤษณ์” เขาเรียกชื่อตัวเองหนักแน่น “เรียกพี่ว่าพี่กฤษณ์ ตกลงนะ”

“เดี๋ยวค่ะบอส” เธอรีบเบรคก่อนจะถูกตีขลุมไปว่าเธอตกลง แล้วต้องขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อเจ้าของชื่อตวัดสายตาคมมองเธอ “อ่า... พี่กฤษณ์ แล้วเวลาไปทำงานล่ะคะพี่... พี่กฤษณ์จะให้ขิงเรียกคุณ...”

“พี่” เขาเอ่ยแก้ทันควัน

“ค่ะ จะให้ขิงเรียกพี่ว่ายังไงคะ”

“ก็เรียกพี่กฤษณ์” น้ำเสียงเนิบๆ ที่ดูไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่ายทำเอาเธอนึกอยากพุ่งเข้าไปข่วนหน้าเขาให้ลายพร้อย พนักงานทุกคนเรียกเขาว่าบอสกันหมด แล้วเธอจะแปลกแยกเรียกอย่างอื่นโดยไม่ถูกสงสัยได้ยังไง

“แต่ทุกคนเรียกพี่กฤษณ์ว่าบอสนะคะ”

“ก็ขิงไม่ได้รวมอยู่ในทุกคนนี่” คนเป็นบอสของทุกคนแย้งทันที ทำเอาอีกคนไปไม่ถูก “ขิงเป็นคน ‘พิเศษ’”

ซู่... ขิงได้ยินเสียงเหมือนอะไรซักอย่างดังอยู่ข้างในหัว พร้อมกับหน้าที่ร้อนขึ้นอีก มือเล็กยกขึ้นจับแก้มสองข้างของตัวเองแล้วตบเบาๆ เผื่อว่านี่คือความฝันเธอจะได้รีบตื่น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครมาพูดแบบนี้ด้วยสักที อาจเพราะเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ต้องการความหวานหรือโรแมนติกมาก เลยไม่ได้คาดหวังกับสิ่งที่ได้ยินจะมากถึงกับเป็น... คนพิเศษ

“พะ พี่กฤษณ์พูดเล่นใช่มั้ยคะ ไม่ได้พูดจริงใช่มั้ย”

“พี่บอกขิงไปเมื่อวันก่อนแล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่จะรอ ถึงวันนี้ขิงยังรักแอมป์แต่ขิงก็ยังเป็นคนพิเศษของพี่ เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน”

“แล้วคุณอลิซล่ะคะ” ไม่รู้ทำไมแต่ขิงได้ยินเสียงเธอที่ถามออกไปเบาหวิวเหลือเกิน หญิงสาวมองตาคนตรงหน้าที่ไม่มีอาการไหววูบหรือสั่นคลอนใดๆ เมื่อได้ยินชื่อของผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงสาวที่มีเสน่ห์เหลือเกิน

“อลิซเป็นเพื่อน” ชายหนุ่มตอบทันควัน น้ำเสียงที่ใช้หนักแน่นเกินกว่าเธอจะคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก “เชื่อพี่มั้ย”

คำถามที่ดูธรรมดาแต่ดูเหมือนเป็นเครื่องมือวัดใจอะไรสักอย่าง กฤษณ์เอื้อมมือมาจับมือเล็กไว้แน่นพร้อมกับถามอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบ

“แล้วขิงควรจะเชื่อมั้ยล่ะคะ” เสียงเล็กดังขึ้นแผ่วๆ หญิงสาวก้มมองมือใหญ่ที่กุมมือเธออยู่แทนที่จะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของกฤษณ์ อย่างน้อยการที่เธอไม่พยายามดึงมือออกก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“อลิซเป็นเพื่อนจริงๆ ครับ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวพี่ต่อสายหาอลิซให้คุยกันเลยดีมั้ย” มือใหญ่ขยับทำท่าจะกดโทรศัพท์หาคนที่คนยืนยันหนักแน่นว่าเป็นเพื่อน แต่กลายเป็นว่ายังไม่ทันกดโทรออกก็โดนมือเล็กคว้าไว้ก่อน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่เม้มปากตัวเองอยู่เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ขิง... คือ...” เห็นความสับสนในดวงตาของคนตรงหน้าแล้วกฤษณ์อยากจะคว้าคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเหลือเกินแต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ได้เพียงแต่กลั้นใจพยายามไม่ทำอย่างที่ใจกำลังคิด เขาควรให้เกียรติเธอและไม่ทำให้เธอตกใจ

“ไม่เป็นไรนะ ถ้าขิงยังไม่พร้อมตอบก็ไม่เป็นไร พี่ขอแค่ขิงเปิดใจให้พี่บ้างก็พอ”

ขิงก้มหน้าลงมองมือใหญ่ที่ยังกุมมือเธออีกครั้ง เธอคิดว่าเธอคงเปิดใจให้เขาเข้ามาพักหนึ่งแล้วแต่แค่ยังไม่อยากยอมรับความเปลี่ยนแปลง ยิ่งตอนนี้เพื่อนของเธอไม่มีใครและดูเหมือนความสัมพันธ์เริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เธอนึกสับสนกับชายหนุ่มตรงหน้า

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก “ขอเวลาขิงหน่อยนะคะ”

กฤษณ์มองหน้าคนพูดอย่างเข้าใจดี คนตัวเล็กกำลังสับสนอย่างที่สุด เขาไม่พูดอะไรนอกจากขยับตัวออกห่างปล่อยมือเล็กออกแล้วเอื้อมหยิบจานที่ยังคงมีเส้นสปาเกตตี้พูนจาน

“ทานเถอะขิง สปาเกตตี้ชืดหมดแล้ว” เธอส่งยิ้มชืดให้คนเตือนพร้อมกับรับจานมาถือไว้ในมือ เขี่ยเส้นที่อยู่ในจานไม่หยุดมือจนคนมองอีกคนแอบถอนหายใจเงียบๆ

“พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า” เขาพูดแล้วขยับตัวตั้งใจจะยกจานในส่วนของตัวเองไปเก็บในห้องครัวแต่มือเล็กยื่นมาดึงไว้ก่อน

“เดี๋ยวขิงจัดการเองค่ะ” เธอว่าแล้วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองหน้าคนจะกลับ “พี่กฤษณ์ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะ”

แค่เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ชายหนุ่มส่งยิ้มให้คนเป็นเจ้าของบ้าน ปล่อยมือออกจากจานแล้วบอกให้คนตัวเล็กปิดบ้านให้ดีๆ ก่อนจะปิดท้ายว่าพรุ่งนี้เขาจะเป็นคนมารับเธอไปทำงานเอง


ขิงตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวรอคนที่บอกว่าจะมารับเมื่อวาน วันนี้หญิงสาวตั้งใจเลือกชุดอย่างที่สุด เธอพยายามค้นทั้งตู้จนได้ชุดเดรสกระโปรงสั้นสีครีมที่ไม่เคยใส่มาตัวหนึ่ง แล้วจึงหันไปหารองเท้าที่เข้าชุดพร้อมกับแต่งหน้าเล็กๆ น้อยๆ ตามแบบฉบับของเธอ ความขัดเขินที่ยังมีอยู่มากเพราะไม่คุ้นชินกับชุดทำให้มือเล็กต้องคอยดึงชายกระโปรงลงเพราะคิดว่าจะทำให้มันยาวขึ้นได้บ้างแต่งจริงๆ แล้วนั่นคือความเปล่าประโยชน์ที่ได้ทำลงไปทั้งหมดในตอนเช้า เพราะกระโปรงยังคงยาวเท่าเดิม จะมีก็แต่เธอนั่นแหละที่ขัดเขินเพิ่มขึ้นเมื่อกฤษณ์ขับรถมาจอดหน้าบ้านแล้วมองเธอด้วยสายตาวิบวับที่อ่านได้ไม่ยากว่ากำลังแซวเธออยู่จนมือเล็กอดไม่ได้ที่จะตีเข้าแรงๆ ที่ไหล่หนา

แซนวิชไส้ต่างๆ ยังคงถูกบรรจุมาในกล่องไม่เคยขาด คราวนี้ไม่ใช่แค่กินเอง แต่พอได้ยินชายหนุ่มเปรยว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้า มือเล็กคอยถือป้อนแซนวิชให้แบบไม่ปริปากบ่นอีกด้วย บรรยากาศแบบนี้ทำให้กฤษณ์เจริญอาหารได้อีกมาก ปากเคี้ยวแซนวิชไม่หยุดเพราะมีมือป้อนให้ถึงปาก

“พี่กฤษณ์คะ”

“ครับ”

“เอ่อ... มือค่ะ ปล่อยมือขิงแล้วขับรถก่อนดีมั้ยคะ” ชายหนุ่มทำเสียงอือในลำคอแล้วเลือกที่จะเพิกเฉยกับคำท้วงนั้น ชายหนุ่มยังคงกุมมือเล็กขับรถไปเรื่อยๆ แม้ไม่มีคำพูดระหว่างกัน แต่ช่วงเวลานี้กลับเป็นช่วงที่เขามีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เจอผู้หญิงตัวเล็กคนนี้

ของทุกอย่างของขิงถูกถือลงจากรถโดยเจ้าของรถและคนขับรถกิตติมศักดิ์ที่เป็นถึงเจ้าของบริษัท หญิงสาวมองตามแล้วพยายามเดินเข้าไปแย่งมาถือเองแต่ไม่ทัน มือใหญ่ของกฤษณ์กำแน่นเลี่ยงซ้ายขวาไปมาไม่ให้เธอจับกระเป๋าได้ สองคนขยับไปมาอยู่แบบนั้นเกือบห้านาทีก่อนที่ขิงจะเป็นฝ่ายยอมแพ้

หญิงสาวยืนจ้องหน้าชายหนุ่ม พยายามทำหน้าให้ดูดุที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พี่กฤษณ์คะ”

“ครับ” เขารับคำง่าย ยังคงถือทุกอย่างหลบไว้ข้างหลังไม่ยอมให้หญิงสาวยื้อยุดกันหน้าทางเข้าตึกอีก

“ขอกระเป๋าของขิงด้วยค่ะ”

“เดี๋ยวพี่ถือให้” เขาว่าอย่างนั้นแล้วเดินเข้าตึกไปไม่สนใจสีหน้างอเง้าของอีกฝ่ายที่ทำท่าไม่พอใจน้ำใจที่เขามีให้ ก็แค่อยากถือกระเป๋าให้บ้างจะเป็นอะไรไป

“อยู่ที่บริษัทขิงเป็นลูกน้องนะคะ มันจะดูไม่ดี” คนถูกกำหนดให้เป็นเจ้านายหันมายิ้มให้เธอพร้อมกับเดินเข้าลิฟต์ไปเงียบๆ จนกระทั่งอยู่ภายในลิฟต์จนเธอต้องเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับเช่นเดิม

ภายในลิฟต์ที่มีเพียงแค่สองคน พออยู่ในที่แคบๆ แบบนี้ด้วยกันขิงชักทำตัวไม่ถูก หญิงสาวทำตัวเองให้ลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้แถมท้ายด้วยการพอตัวเองเข้าไปยัดอยู่มุมๆ หนึ่งในลิฟต์ให้อีกคนได้หัวเราะขำก่อนเริ่มทำงาน กฤษณ์มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน ขิงยังคงรักษาระยะห่างไม่เปลี่ยน มีแต่เขาที่คอยขยับเข้าใกล้เธออยู่ตลอดเวลา ยิ่งเห็นแบบนี้แล้วยิ่งอยากอยู่ใกล้ ชายหนุ่มคิดอย่างนึกสนุกร่างสูงเริ่มขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วรีบคว้าข้อมือเล็กไว้ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้อีกจนลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่ตั้งของบริษัทเธอ

“บอสคะ” สรรพนามที่เรียกไม่เข้าหูเขาเลยสักนิด กฤษณ์เลยทำหูทวนลมไม่รับรู้อะไรแต่ยับจับจูงคนตัวเล็กให้เดินตามจนเข้าประตูบริษัทเสียงเล็กถึงเรียกเขาอีกครั้ง “พี่กฤษณ์คะ ปล่อยเถอะค่ะแล้วก็ขอกระเป๋าขิงด้วย”

ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เขาปล่อยข้อมือเล็กแล้วยื่นกระเป๋าในมือให้พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใบหูเล็ก “เย็นนี้พี่ไปส่งที่บ้านนะ”

จบประโยคนั้นกฤษณ์ถึงกับร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บปวด เมื่อมือเล็กฟาดเข้าเต็มๆ ที่ไหล่ แล้วหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงาน แต่นั่นก็ยังทำให้เขามีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าไม่จาง ยิ่งได้ยินประโยคที่คนตัวเล็กเอ่ยก่อนรีบจ้ำไปยิ่งทำให้เขาอยากหัวเราะดังๆ อย่างช่วยไม่ได้

ตาแก่โรคจิต... ทำไมฟังแล้วไม่ยักโกรธ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาซะอย่างนั้น หรือเขาจะเป็นโรคจิตจริงๆ แล้วก็ไม่รู้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สะ สะ สวัสดีค่ะ... น้ำตามิณทิมาจะหลั่งเป็นสายเลือด ที่หายไปไม่ใช่อะไรนะคะ โน้ตบุ๊คเก๊าพัง เปิดเขียนๆ อยู่แล้วก็ดับเฉยเลย กว่าจะได้ทั้งหมดนี้ เกือบลืมพล็อต (T^T)

ตาแก่โรคจิตเริ่มออกอาละวาดแล้วนะ ฮ่าๆๆๆๆ ได้ทีเอาใหญ่เลยตาบอสของเรา ตาบอสรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวใจสาวน้อยอย่างยัยขิงก็ชักละลายเรื่อยๆ เหมือนกันแฮะ คิดเหมือนมิณทิมารึเปล่าคะ :3

สุดท้ายนี้หวังว่าโน้ตบุ๊คจะไม่ทรยศหักหลังกันอีก ฮือออออออ (ประเด็นคือเล่มจบป.โทอยู่ในนี้ด้วย กรี๊ดดดดด) หวังว่าจะสนุกกันทุกคนนะคะ จุ๊บๆ

========================================

ตอบเม้นท์กันนะคะ

คุณ mhengjhy : กระตุ้นหรือไม่กระตุ้นคะ 5555 ตัวช่วยน่าจะถูกกว่าน้า~

คุณ คิมหันตุ์ : ฮาาาาาา บอสก็คงกลัวนะคะ เลยไม่กล้าลองซะงั้น

คุณ Amarilys : อลิซเป็นผู้ช่วยแบบนี้ถูกใจมั้ยเอ่ย

คุณ pattisa : ฮั่นแน่ มิณทิมาจับคู่ใหม่เลยดีมั้ยคะเนี่ย ฮี่ๆๆๆๆ

คุณ pseudolife : อ่านต่อแล้วเป็นยังไงมั่งคะ คิๆๆๆ

-----------------------------------------------------------------
เจอกันครั้งหน้าคับผม



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2556, 15:04:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2556, 15:04:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1274





<< ตอนที่ 13   ตอนที่ 15 >>
mhengjhy 24 มิ.ย. 2556, 15:29:37 น.
เย้ บอส รุกซะที เอาอีตาแอมป์ไปไกลๆ ค่ะ 5555


pattisa 24 มิ.ย. 2556, 20:43:10 น.
วู้วววว


pseudolife 24 มิ.ย. 2556, 22:50:47 น.
เย้ พี่กฤษณ์สู้ๆ หนูขิงละลายเร็วเร้ว
คนอ่านละลายกัแล้ว ^^


คิมหันตุ์ 24 มิ.ย. 2556, 23:28:37 น.
เหมือนป้าอลิซจะไปกินเด็กแอมป์นะคะ...ฮ่าฮ่า รอลุ้นจ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account