จับใจไว้ด้วยรัก
เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มฉายา เจ้าชู้หลบใน กับหญิงสาวที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะปั่นป่วนเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งตามตื้อ ส่วนอีกฝ่ายก็คอยวิ่งหนี เขาจะทำให้เธอหันมามองและเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตได้ไหม ติดตามได้ใน 'จับใจไว้ด้วยรัก'
Tags: หวาน,น่ารัก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 18

ตอนที่ 17

“โอ๊ยย! ใครก็ได้ช่วยที”

เสียงร้องโหยหวนฟังไม่ได้ศัพท์ว่ามีเนื้อความอะไรแต่พอจะฟังออกว่าเป็นเสียงผู้ชายดังขึ้นทำลายความเงียบทำให้คุณบุษราซึ่งกำลังคุมสาวใช้ทำความสะอาดอยู่ภายในห้องทำงานสามีต้องรีบวิ่งออกมาหาที่มาของเสียง นางและสาวใช้พากันมองซ้ายขวาหาคนที่มาร้องขอส่วนบุญ เอ๊ย! ขอความช่วยเหลือ ก่อนสาวใช้จะออกความเห็น

“แป๋วว่าเสียงไม่ได้มาจากในบ้านนะคะคุณผู้หญิง”

“นั่นสิ” คุณบุษรานิ่วหน้า ออกคำสั่ง “แป๋วไปดูสิ ว่ามันดังมาจากไหน”

“ค่ะ คุณผู้หญิง” สาวใช้รับคำ ก่อนจะวิ่งออกไปหน้าบ้าน ป้านวล หัวหน้าแม่บ้านเดินหน้าเครียดเข้ามาหา

“อิฉันว่า เสียงมาจากข้างบ้านเรานะคะคุณผู้หญิง”

ฟังคนเก่าคนแก่ของบ้านสันนิษฐานแล้วนางเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี บ้านหลังนี้มีผู้ชายอยู่แค่สี่คน ตัดออกไปสามคือสามีของเธอ บุญญฤทธิ์ และก็นายบ่าวคนขับรถ เพราะที่ว่ามานั้นอยู่ที่ทำงาน เหลือก็แต่ตายิ่งคนสวน แต่เสียงที่ได้ยินเธอมันใจแน่ว่าไม่ใช่เสียงคนแก่ กรวีร์ที่มาขอข้าวเช้ากินก็กลับไปแล้ว...เอ๊ะ!

คุณบุษราตาโต รีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง เปิดประตูห้องนั้น ห้องนี้วุ่นวาย จนป้านวลที่ตามมาด้วยอดที่จะถามอย่างแปลกใจไม่ได้

“คุณผู้หญิงหาอะไรคะ?”

“ฉันหาน้องเบญ” ตอบเสียงร้อนรน พอเห็นสาวใช้อีกคนเดินผ่านมาก็เรียกเอาไว้ “บัวเห็นคุณเบญไหม”

คนโดนถามนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า“ไม่เลยค่ะ ตั้งแต่คุณผู้หญิงให้ออกไปส่งคุณกรวีร์ บัวก็ยังไม่เห็นคุณเบญกลับเข้ามาเลย อ้อ แต่รถก็ยังอยู่นะคะ” แล้วขอตัวไปทำความสะอาดต่อ

คุณบุษราร้อนใจ ลูกสาวของเธอหายไปไหน ทำไมยังไม่กลับมา ประตูเชื่อมก็อยู่ไม่ไกลเดินไปไม่ถึงนาทีแล้วทำไมไปนานจัง เกิดอะไรขึ้นกัน หรือว่า...

นางชะงัก สมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่ช่วงที่กรวีร์ขอตัวกลับ ยิ่งนึกก็ยิ่งโกรธตัวเองที่ไม่เอะใจว่าทำไมเบญญาภาถึงว่าง่ายขึ้นมา ทั้งที่ปกติหล่อนจะดื้อแพ่งเมื่อโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยาก วันนี้กลับตรงข้ามนั่นก็เพราะว่าเจ้าตัววางแผนร้ายเอาไว้ และเหยื่อก็ไม่ใช่ใคร...กรวีร์นั่นเอง

เวรกรรม! นี่เธอส่งเนื้อสมันหนุ่มเข้าปากเสือสาวงั้นเหรอเนี่ย เอิ๊ก! จะเป็นลม


ว่าแล้วก็หน้าซีด ร่างบางเซซวนคล้ายจะล้มจนหัวหน้าแม่บ้านวิ่งมาประคองแทบไม่ทัน ร้องเรียกชื่อเจ้านายเสียงหลง ร้องตะโกนหายาดม ยาลม ยาหม่องให้วุ่น แต่เจ้านายสาวส่ายหน้า รวบรวมสติที่แตกกระเจิงไป พยายามกลืนน้ำลายแต่มันก็ฝืดเฝื่อนเต็มทน

คุณบุษราภาวนาอย่าให้ที่ตนคิดเป็นเรื่องจริง ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องเปิดโรงงานผลิตลูกชายไปคืนเพื่อนตอนจะหกสิบแน่ๆ

ไม่นานแป๋วที่ถูกใช้ให้ไปหาต้นตอของเสียงก็วิ่งหน้าตื่นกลับมา ร้องลั่น

“แย่แล้วค่ะคุณผู้หญิง! คุณวีร์ คุณกรวีร์โดนมดแดงรุมกัดทั้งรัง! นอนกลิ้งอยู่กับพื้นใต้ต้นมะม่วงค่า!”

คราวนี้คุณบุษราอยากจะล้มลงแล้วไม่ฟื้นจริงๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึกสองสามครั้งเรียกขวัญและกำลังใจ วิ่งนำป้านวล แป๋วและบัวที่วิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงของแป๋วไปยังต้นมะม่วงข้างบ้าน ข้างใต้ต้นมะม่วงเป็นกำแพงอิฐสีขาวกั้นระหว่างบ้านของเธอและบ้านของเพื่อนมีประตูเหล็กทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์

เมื่อมองมายังหน้าประตู ภาพที่เห็นก็ทำเอาเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงต้องหวีดร้องเสียงแหลม

“ตายแล้วตาวีร์!”

กรวีร์ที่ท่อนบนเปลือยเปล่า นอนดิ้นพราดไปมาอยู่บนพื้นหญ้าห่างจากโคนต้นมะม่วงออกมาตรงหน้าประตูเหล็กพอดิบพอดี ห่างออกไปมีเสื้อยืดใส่ออกกำลังกายของเจ้าตัวกอง ใกล้ตัวชายหนุ่มมีรังมดแดงและเหล่ากองทัพมดแดงที่เดินพาเหรดออกมาจัดการ ‘เหยื่อ’ อย่างเมามัน ชายหนุ่มเงยหน้ามองตามเสียงเรียกของคุณบุษรา เห็นกลุ่มคนที่กำลังยืนตะลึงอยู่ก็ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้แล้วหันกลับไปรบกับเจ้ามดแดงหน่วยกล้าตายส่วนหนึ่งที่ขึ้นมาอยู่บนตัวเขา

ส่วนตัวต้นเหตุน่ะเหรอ...ก็นั่งหัวเราะอยู่บนกิ่งมะม่วงนั่นไง!

มือหนาขยี้ผมไปมาหวังว่ามันจะช่วยให้มดแดงบางตัวที่เล็ดลอดขึ้นไปร่วงลงมา เปลี่ยนมือมาตีที่หลังคอเมื่อรู้สึกแสบจี๊ด ยกมือขึ้นดูก็อ้าปากค้างเมื่อพบซากมดแดงสามสี่ตัวอยู่บนนั้น แต่ชายหนุ่มมีเวลาตะลึงไม่มากเพราะตัวที่เหลือพอเห็นเพื่อนตายคามือก็ยิ่งโกรธบุกทะลวงมากกว่าเดิมจนเขาตามจัดการไม่ทั่ว ความแสบ ความคันเริ่มลุกลามไปทั้งตัวจนต้องร้องซี๊ด เขาเกาหน้าเกาหลังอย่างไม่อายฟ้าดินแต่ก็ไม่หายเพราะเมื่อตรงนี้หาย อีกที่ก็เริ่มคัน

กรวีร์นึกอยากจะมีสิบมืออย่างทศกัณฑ์เสียจริงจะได้เกาให้ครบทุกที่

แต่โชคยังดีที่ยังไม่มีมดแดงตัวไหนอาจหาญไต่ลงไปต่ำกว่าระดับเอว หรือง่ายๆก็คือมันยังไม่ลงไปยังจุดยุทธศาสตร์ ไม่งั้นเขาคงยืนอยู่ไม่ได้แน่

“แป๋ว ตายิ่ง ไปช่วยคุณวีร์หน่อยเร็ว” คุณบุษราที่หายตะลึงแล้วรีบสั่ง ทั้งคู่สะดุ้งเฮือกหลุดจากภวังค์ได้ก็รีบทำหน้าที่ของตนทันที แป๋ววิ่งเข้าไปดึงร่างสูงให้ออกมาจากจุดที่รังมดแดงตกอยู่ คว้าผ้าขนหนูของชายหนุ่มจากป้านวลมาปัดไล่มดแดงออกไป ส่วนนายยิ่งก็รีบเขี่ยรังมดใส่ตะกร้าสานหมุนตัววิ่งหายลับไปทางหลังบ้านทันที

คุณบุษราตรงเข้าไปหากรวีร์ สำรวจบาดแผลจากการโดนมดกัดทั้งรังอย่างเป็นห่วง ลำตัวขาวผ่องของชายหนุ่มแดงเถือกไปหมด บางจุดเริ่มมีตุ่มแดงขึ้นมาพร้อมอาการคันคะเยอ กรวีร์เอื้อมมือจะไปเกาแต่โดนคุณบุษราเอ็ดเบาๆ

“อย่าเกาลูกตาวีร์ ยิ่งเกามันจะยิ่งคัน เดี๋ยวเอายาทา”

“ครับคุณน้า” ชายหนุ่มรับคำเสียงเซียว ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อเหยเกเพราะหายใจได้ลำบาก รู้สึกเหมือนมีอะไรเสียดแทงยอดอกจนแทบจะหายใจไม่ได้ ร่างกายเขาแข็งแรง สุขภาพดี ไม่เคยหายใจติดขัดอย่างวันนี้มาก่อน อ้อ ยกเว้นตอนทำ ‘กิจกรรมหรรษา’ กับสาวในสต็อกเท่านั้นล่ะ

เบญญาภาค่อยปีนลงจากต้นมะม่วงช้าๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มารดาที่เคารพเห็น ไม่งั้นคงโดนตีฉลองแน่ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับชัยชนะที่งดงามของตัวเอง เธอปรายตามองคนเจ้าชู้ที่ปกติกระล่อนจนปลาไหลยังอาย มาวันนี้ต้องให้คนอื่นหิ้วปีกอย่างสะใจ แต่แอบเซ็งเล็กน้อยที่มารดาของเธอมาไว น่าจะมาช้ากว่านี้อีกหน่อยจะได้หยิบเอามือถือมาถ่ายคลิปไปปล่อยลงให้ทั่วเนตเสียเลย

ว่าประธานหนุ่มแห่งกลุ่มโรงแรมดังโดนมดแดงกัดจนดิ้นพราดๆหมดมาด

ดูสิ...ถ้าสาวทั้งหลายแหล่ของเขามาเห็นแล้วยังกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ไหม

เบญญาภายิ้มกริ่ม ออกเดินกลับเข้าบ้าน แต่...

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะน้องเบญ!” เสียงประกาศิตดังเฉียบจากเบื้องหลัง หญิงสาวหยุดเดินหันกลับไปมอง ใบหน้าสวยงอเล็กน้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สายตาของคนเป็นแม่นั้นดุกว่าทุกครั้งที่เธอทำผิด เบญญาภาเม้มปากแน่น หลุบสายตามองปลายเท้าตัวเอง รอเวลาให้มารดามาลงโทษ

คุณบุษราละสายตาจากแม่ลูกสาวตัวดีมายังกรวีร์ เห็นหน้าของเขายังซีดอยู่แม้จะไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็นแล้ว มองตุ่มแดงตามตัวก็เบาใจที่มันดูจางลง เมื่อกี้เธอให้ป้านวลกับบัวเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตามตัวลดอาการคันให้ก่อนเพราะเจ้าตัวนั้นอดเกาแรงๆไม่ได้ พอเอาผ้าชุบน้ำโปะให้แล้วกรวีร์จึงเลิกมือไม้อยู่ไม่สุขซะที

ชายหนุ่มเริ่มมีอาการดีขึ้นจนพอจะมีแรงยืน ตั้งท่าโผเผจะกลับบ้านแต่คุณบุษราร้องทักเสียก่อน “ไปไหนน่ะตาวีร์ จะกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวน้าไปส่งลูก”

กรวีร์กำลังจะอ้าปากปฏิเสธต้องชะงัก สัมผัสได้ถึง ‘อะไร’ บางอย่างกำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวต้นขา จึงขยับกางเกงวอร์มเบาเพื่อไล่มันไป แต่ไม่สำเร็จเพราะไอ้มดแดงตัวแสบเริ่มไต่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มเริ่มใจเสีย เหงื่อที่แห้งหายไปเริ่มผุดออกมาตามไรผม ไม่ช้าก็อาบเต็มหน้าอีกครั้งพร้อมกับที่เขาสำเหนียกได้ว่ายิ่งขยับมันก็ยิ่งไต่และตอนนี้ก็ไปหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก ‘วีร์น้อย’ ของเขาแล้ว!

ทำไงดี! หากไม่ขยับมันจะไม่ไต่สูงกว่านี้ใช่ไหม

ผลเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่กรวีร์ก็ยืนตัวแข็งไม่ขยับเขยื้อน ค่อยๆผ่อนลมหายใจช้าๆเป็นจังหวะ เริ่มยิ้มออกมาได้เมื่อมดแดงผู้กล้าหยุดนิ่งเช่นกัน เอาล่ะ ทีนี้ก็เหลือแต่จัดการสำเร็จโทษไอ้มดอุกอาจนี่ซะ กรวีร์รวบรวมสมาธิหาจุดพิกัดของศัตรูตัวฉกาจซึ่งกำลังซุ่มโจมตีอยู่จนรู้แน่ชัดว่าอยู่ตรงไหนโดยลืมไปว่าเจ้ามดตัวนั้นมันอยู่ใกล้กับอะไร

มุมปากกระตุกยิ้มเหี้ยม มือหนายกขึ้นสูงก่อนจะหวดขวับลงมาเต็มแรง ตามกลางสายตาประชาชีที่มองมาอย่างงุนงงกับการกระทำของเขา

ควับ!

เพียะ!

“อ๊อก!”

และสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินก็คือเสียงกระอักไอของชายหนุ่มแค่เพียงคำเดียวก่อนจะน็อกกลางอากาศร่วงลงไปนอนแผ่หลาราวนกปีกหัก

คุณบุษรา เบญญาภา และคนอื่นๆที่มองกรวีร์ซึ่งมีท่าทางประหลาดมาสักพัก เหมือนกำลังสู้กับอะไรสักอย่างอยู่แล้วก่อนที่ทุกคนจะได้เอ่ยปากถามพ่อเจ้าประคุณก็จัดการฟาดมือลงไปยังกล่องดวงใจของตนเต็มแรง จากนั้นก็หงายหลังล้มตึงไปไม่ทันได้บอกกล่าวว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น

คุณบุษราหวีดร้องก่อนถลาเข้าไปดูชายหนุ่ม เขย่าตัวเรียกสติสองสามครั้งก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงเรียกให้นายยิ่งกับแป๋วช่วยกันหามกรวีร์กลับไปส่งบ้าน เบญญาภายืนนิ่ง คุณบุษรารีบหันมาคว้าแขนให้เดินตาม ระหว่างเดินหญิงสาวลอบมองร่างปวกเปียกของอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วงปนรู้สึกผิดเล็กน้อย ก็แค่จะแกล้งให้จำจะได้ไม่มาทำก้อร่อก้อติกใส่เธออีก ไม่นึกว่าเขาจะเพี้ยนไปถึงขนาดทำร้ายตัวเองอย่างนี้

เอาเถอะ ฟื้นขึ้นมาแล้วจะพูดดีไถ่โทษด้วยนิดนึงก็ได้


คุณมีนามีสีหน้าประหลาด ว่าไงดีล่ะ มันดู อืม...กึ่งอึ้งกึ่งขำล่ะมั้ง ขณะมองร่างสูงของลูกชายคนโตนอนพังพาบอวดท่อนบนเปลือยเปล่าบนโซฟาตัวยาวภายในห้องนั่งเล่น มีผ้าขนหนูชุบน้ำวางแปะอยู่ตามตัวโดยเฉพาะตรงตุ่มแดงจากฝีปากมดแดง พ่อเจ้าประคุณนอนหอบแฮ่ก ใบหน้าคมเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ แลดูเซ็กซี่ขยี้ใจสาวแท้และเทียมไม่เบา

แต่สำหรับผู้เป็นแม่อย่างเธอแล้ว คงบอกได้คำเดียวว่าทุเรศลูกกะตา!

เอาเข้าจริงนาทีแรกที่เห็นสภาพลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถูกหิ้วปีกเข้ามาก็ทำเอาหัวใจคนเป็นแม่ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มเหมือนกัน แต่พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเพื่อนก็ค่อยเบาใจ อาจจะเพราะรู้ว่ากรวีร์ไม่เคยมีประวัติแพ้สัตว์ชนิดนี้มาก่อนกอปรกับรู้จักนิสัยพ่อตัวดีดีว่าคงไปทำเรื่องให้เบญญาภาโกรธ เจ้าหล่อนเลยเล่นงานกลับด้วยวิธีนี้เสียเลย

พอคิดได้แบบนี้แล้วจากตกใจเลยกลายมาเป็นขบขันแกมสะใจเสียมากกว่า

คุณมีนามองซ้ายขวาหาโทรศัพท์ของตนที่ไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน ก่อนจะถอนหายใจ

‘เฮ้อ...เสียดายจัง อดถ่ายรูปไว้แบล๊กเมล์’

เจ้าบ้านเลื่อนสายตาจากลูกชายไปยังผู้มาเยือนทั้งสอง โดยเฉพาะสาวน้อยคนที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกสาวตนเองเพื่อนเธอนั้นนั่งนิ่งมองกรวีร์ที่ยังหลับสนิทอย่างกังวลสลับกับมองลูกสาวตัวเองตาขวาง เบญญาภาพยายามอยู่ให้เงียบมากที่สุด หนึ่งเพราะเกรงใจแม่ สองเพราะรู้สึกผิดที่ลงมือกับกรวีร์หนักเกินไป ก่อนที่คนเป็นแม่จะเอ่ยปากกับคุณมีนา

“ฉันขอโทษแทนยายเบญด้วนะมีนที่แกล้งตาวีร์จนเป็นแบบนี้”

“อูยย!” คุณมีนาโบกไม่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนหน้า “ไม่ต้องขอทงขอโทษหรอก ฉันไม่โกรธอะไร อันที่จริงตาวีร์สมควรโดนแล้วล่ะ เนอะน้องเบญ” ไม่พอยังหันไปพยักเพยิดกับหญิงสาวที่เธอเอ็นดู เบญญาภาใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณป้าที่เคารพไม่ได้โกรธเคืองอะไร จึงยิ้มกว้างรับแต่ก็เจื่อนลงเมื่อมารดาหยิกเข้าให้

“ได้ยังไงกัน ตาวีร์เจ็บหนักขนาดนี้ ยังไงซะยายเบญก็ต้องรับผิดชอบ”

“แม่คะ แค่โดนมดกัดหน่อยเดี๋ยวไม่ถึงกับตายหรอกค่ะ” เบญญาภาอดแย้งขึ้นมาไม่ได้

“เราน่ะเงียบไปเลย นี่ยังดีที่พี่เขาไม่แพ้มดแดงถ้าเกิดแพ้ขึ้นมานี่ถึงตายเชียวนะน้องเบญ จะทำอะไรหัดมีลิมิตซะบ้าง ลูกโตแล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ” คุณบุษราสั่งสอนลูกสาวตัวดีที่หน้าจืดเจื่อน เธอลืมไปเลยว่ายังมีคนที่แพ้สัตว์จำพวกนี้อยู่ด้วย

คุณมีนาบีบมือร่างบางเบาๆเป็นกำลังใจเธอเข้าใจดีว่าหญิงสาวไม่ได้ตั้งใจแค่อยากให้บทเรียนลูกชายของเธอเท่านั้น การกระทำของคุณมีนาทำให้คนผิดสะอื้นน้อยๆ นัยน์ตาแดงระเรื่อพนมมือกราบแทบอกของนาง

“เบญขอโทษป้ามีนนะคะที่ทำอะไรรุนแรง”

“ป้าไม่โกรธน้องเบญหรอกลูก ไม่ต้องคิดมาก”

“พอเลยยายมีนให้ท้ายกันแบบนี้ไงยายเบญถึงได้ใจ” แม่ตัวจริงของหญิงสาวโวยขึ้น มองค้อนทั้งลูกทั้งเพื่อน บอกน้ำเสียงเด็ดขาด “ยังไงน้องเบญก็ต้องโดนลงโทษ ถ้าเธอไม่ทำเดี๋ยวฉันทำเองนะ”

คุณมีนามองเพื่อนทีมองเบญญาภาทีอย่างลำบากใจ

ก็นะ...จะให้เธอลงโทษอะไรดีล่ะ ยิ่งหญิงสาวมองมาทางเธอตาละห้อยก็ยิ่งคิดวิธีลงโทษไม่ออก นอกจากนั้นเธอเองก็นิยมชมชอบกับวิธีการจัดการผู้ชายเจ้าชู้ของอีกฝ่ายอยู่มากโข

“อูย...” เสียงครางแผ่วเบาดังมาจากคนเจ็บที่ถูกทิ้ง พร้อมกับที่เปลือกตาหนากระพริบถี่เพื่อปรับแสง กรวีร์ค่อยๆยันตัวเองขึ้นนั่ง รู้สึกร่างกายปวดระบมไปหมดแถมยังเจ็บจี๊ดอยู่ทั่วตัว เขาหันไปขอบคุณคุณบุษราที่มาช่วยพยุง ก่อนจะหันไปมองสบตากับหญิงสาวต้นเรื่องอย่างตัดพ้อ

“น้องเบญใจร้าย ถ้าพี่วีร์ตายขึ้นมาทำไง”

“ก็แค่เผา ไม่เห็นจะต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก” เบญญาภาตอบอย่างไม่ใส่ใจ คุณบุษราเอื้อมมือไปเหน็บแขนขาวเอ่ยดุ “น้องเบญ! พูดแบบนี้ได้ไง ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้นะ”

“ขอโทษค่ะคุณกรวีร์”

กรวีร์มองค้อน ย้อนกลับเสียงห้วนไวทันกัน “ไม่ให้อภัย!”

เบญญาภาชักเหลืออด อะไรกันคนเขาอุตส่าห์ขอโทษแล้วจะจะเรื่องมากอีกตาคนนี้ “แล้วคุณจะเอายังไงไม่ทราบ ขอโทษฉันก็พูดแล้ว ต้องให้ลงไปกราบด้วยมั้ยคะ?”

“มันก็แค่คำพูด พี่สัมผัสไม่ได้เลยว่าน้องเบญรู้สึกผิดจริงๆ” น้ำเสียงยียวนของเขาเล่นเอาหญิงสาวอยากจะหาอะไรแข็งๆเขวี้ยงใส่คนที่กำลังลอยหน้าลอยตาใส่ร้ายเธอนั่นเหลือกำลัง

สถานการณ์อันร้อนระอุ จนเห็นประกายไฟแล่นเปรี้ยะระหว่างคนทั้งคู่ทำให้คุณบุษรารีบกระโดดย้ายมานั่งข้างคุณมีนาที่กำลังจิบชาร้อนๆชมศึกมวยต่างเพศอยู่อย่างเพลิดเพลิน

“ไม่ห้ามเหรอมีน”

“ห้ามทำไม กำลังมัน อ้อ...เอาชาหน่อยไหม” ถามพร้อมรินชาให้เพื่อนรักทันที หยิบน้ำตาลก้อนใส่ให้สองก้อน บอกอย่างคนที่อ่านเกมขาด “อีกเดี๋ยวก็จบ”

“งั้นเหรอ...” คุณบุษราพยักหน้าหงึกหงัก ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็นั่งมองตามอย่างเพื่อน

เบญญาภาเท้าสะเอวหมับมองคนที่นั่งส่องกระจกมองตุ่มแดงบนหน้าตัวเองอย่างขุ่นเคือง ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรอีก ขอโทษก็ทำแล้ว นี่ถ้าอยู่กันแค่สองคนนะเธอจะเอาแอลกอฮอลล์ราดให้แสบจนลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นเลย แต่ในเมื่อมีสายตาดุๆของมารดาจ้องอยู่เธอจึงได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์

“แล้วไม่ทราบว่าคุณกรวีร์จะบอกได้หรือยังว่าต้องการให้ดิฉันทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ ดิฉันไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งรอคุณส่องกระจกเป็นนกหงส์หยกได้ทั้งวันนะคะ”

กรวีร์ละมือจากการแต้มยา เหล่มอง สมองก็คิดหาวิธีที่จะทำให้หญิงสาวได้ชดใช้ในแบบที่เขาจะได้กำไรมหาศาลจากการกระทำนั้น มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ นึกออกแล้วว่าจะให้เธอชดใช้ให้เขายังไง เบญญาภามองรอยยิ้มของเขาอย่างไม่วางใจแล้วสิ่งที่เธอกลัวก็เกิดขึ้น...


กรวิชญ์หักพวงมาลัยรถสปอร์ตสีเงินคันโปรดของตนเข้ายังอาคารจอดรถของห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง สายตาคมเข้มสมชายชาตรีเพียงหนึ่งเดียวบนหน้ามองหาที่ว่างเพื่อนำรถไปจอด ไม่นานก็เจอไม่ไกลจากประตูทางเข้าห้างมากนัก นิ้วเรียวยาวกดเปิดสัญญาณไฟขอทางเพื่อให้คันหลังได้รู้ว่าตนกำลังจะเข้าจอดจะได้ไม่มาเสยท้ายกันให้หวิว

ใบหน้าหวานเกินชายเปิดยิ้มพอใจเมื่อเห็นว่ารถคันโปรดเข้าไปจอดนิ่งสนิทอยู่ในซองเรียบร้อยโดยไม่บุบสลาย ระยะห่างระหว่างเส้นและตัวรถทั้งสองด้านเท่ากันเป๊ะ ไม่มีเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่งอย่างคนอื่นหากกรรมการคุมสอบใบขับขี่มาเห็นคงยกถ้วยรางวัลให้กันเลยทีเดียว

กรวิชญ์ค่อนข้างจะถือมากทีเดียวเรื่องการจอดรถ ชายหนุ่มคิดว่าในเมื่อคนสร้างตีช่องเอาไว้ให้ก็ควรจะจอดให้พอดี ไม่ไปกินเลนของชาวบ้านเพราะจะทำให้คนที่มาทีหลังลำบากแล้วยังเป็นการเสียเวลาด้วย เขาเคยเจอมากับตัวเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยชายหนุ่มคนหนึ่งที่รู้กันดีว่าเป็นเดือนคณะบริหารธุรกิจ หน้าตาดี กีฬาเด่น บ้านไฮโซ ครบองค์ของหนุ่มในฝัน แต่นิสัยโคตร...เฮงซวย

ขายาวใต้กางเกงยีนส์สีเขียวน้ำทะเลพับขาขึ้นเหนือข้อเท้าตามแฟชั่น ‘เด็กแนว’ สมัยนี้ก้าวลงจากรถ กรวิชญ์กดล็อกเดินควงกุญแจเข้าห้างอย่างอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม มือเรียวขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาโปรแกรมหนังน่าสนใจ วันนี้เข้าตั้งใจจะมาดูหนังคลายเครียดหลังจากต้องหงุดหงิดกับพี่ชายตัวดีที่บังเอิญจี้ใจดำเรื่องความรักของเขาอย่างไม่ตั้งใจ...มั้ง

เพราะมัวแต่ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ไม่ทันเห็นร่างเล็กของใครบางคนที่กำลังวิ่งมาทางตนหน้าตาตื่น ร่างสองร่างต่างขนาดปะทะกันกระเด็นไปคนละทาง มือถือของกรวิชญืตกลงพื้นอย่างแรงจนฝาครอบและตัวแบตเตอรี่แยกออกจากกัน ชายหนุ่มนั่งจ้ำเบ้าตะลึงมอง ‘ซาก’ โทรศัพท์ของตน ก่อนหันขวับไปมองตัวต้นเหตุอย่างดุดัน ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร

“ยัยเตี้ย! ยัยบ้าอันย่า...มีตาอยู่ที่ฝ่าเท้าหรือไงถึงมองไม่เห็นคนหล่ออย่างฉันเนี่ย เดินชนมาได้”

อนัญญาที่ยังนั่งมึนเพราะแรงกระแทกได้สติเพราะคำว่า ‘ยัยเตี้ย’ แหวใส่อัตโนมัติ

“ไอ้โย่งบ้า! ตาฉันก็ต้องอยู่กับยายสิ”

“...” กรวิชญ์เงียบกริบ มองคนตรงหน้าที่ยังกล้าเล่นมุกฝืด อนัญญายิ้มแหย ถามอ่อยๆ

“ไม่ฮาเหรอ นี่ฉันมั่นใจมากเลยนะ”

“เก็บเอาความมั่นใจเธอถ่วงน้ำไปเถอะ แล้วขอร้องถ้าจะเล่นมุกนี้อย่าบอกใครนะว่าเป็นเพื่อนฉัน...ฉันอายว่ะ” เขากัดอย่างไม่ไว้หน้า ลุกขึ้นยืนยื่นมือให้อีกฝ่ายจับ อนัญญาค้อนขวับแต่ก็ยอมให้เขาช่วยดึงขึ้นจากพื้น กรวิชญ์มองคนที่กำลังปัดฝุ่น ถามอย่างสงสัย

“แล้วนี่จะรีบไปไหน”

“ชิบ....” อนัญญาอุทาน คว้าข้อมือของกรวิชญ์ขึ้นมาจ้องหน้าปัดนาฬิกา ตาโต “...งานงอกแล้วอันย่า ฉันไปก่อนนะนายโย่ง เจอกันตอนเย็น” แล้วเตรียมจะออกตัววิ่งอีกครั้ง

กรวิชญ์นิ่วหน้า เอื้อมไปดึงแขนอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวก่อน ทำไมต้องเจอกันตอนเย็น แล้วเธอยังไม่ได้บอกเลยว่าจะรีบไปไหน อ้อ...เธอยังไม่ได้ขอโทษฉันเลยนะ”

อนัญญาส่งเสียงจึ๊กจั๊ก “ขอโทษ ฉันจะรีบไปทำงานสิยะ ส่วนเรื่องตอนเย็นโทรถามน้องเบญโน่น ปล่อยได้แล้ว!”

“เกี่ยวอะไรกับน้องเบญ บอกมาให้เคลียร์ก่อนดิ”

“โธ่เอ๊ย...”หญิงสาวร้องอย่างขัดใจ ปกติเห็นว่าเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย บอกแค่คำเดียวก็เข้าใจจนจบแล้วนี่อะไร เกิดจะมาเข้าใจยากอะไรเอาตอนนี้(วะ)เนี่ย! ปากอิ่มกำลังจะต่อว่า แต่เสียงห้าวที่พยายามจะแอ๊บให้เหมือนผู้หญิงดังขึ้นอย่างโมโหด้านหลัง

“นังอันย่า!”

“พี่ลิซ่า”

อนัญญาครางหันไปมองชายหนุ่มร่างผอมบางสวมเสื้อลายเสือมีเฟอร์คล้องคอ กางเกงหนังสีดำรัดรูปจนเห็น ‘อะไรๆ’ ชัดเจนกำลังยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่เธอ กรวิชญ์สะดุ้ง รีบปล่อยมือจากเพื่อนสาวถอยกรูดไปหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ไม่ใกล้

รุ่งโรจน์ หรือ ‘ลิซ่า’ ที่เจ้าตัวเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับหน้าตา? เดินฉับๆเข้ามาหา ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากอนัญญาที่ยืนตัวลีบอย่างแรง

“ฉันให้หล่อนแวะไปเอาชุดฟินาเล่ที่ร้านก่อนมานี่ หล่อนใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงเลยเหรอยะ ทำไมไม่มาเอาตอนเลิกงานไปเลยล่ะ นางแบบจะได้เดินโชว์ชุดชั้นในแทน!”

อนัญญาบิดมือ แก้ตัวเสียงอ่อย “ขอโทษค่ะ รถมันติดมาก ร้านกับห้างก็อยู่ไกลกันมากด้วย อันย่ากลับมาก่อนคิวฟินาเล่ขึ้นโชว์ได้นี่ก็บุญแล้วนะพี่”

ลิซ่ามองอย่างหมั่นไส้ “เหรอยะ แล้วนี่หล่อนมารถอะไร”

“รถมอ’ไซค์ค่ะ”

“มอเตอร์ไซค์! แล้วหล่อนมาเร็วได้แค่นี้ คนขับมันใช้น้ำมันตราเต่าหรือไง” ลิซ่าประชด

“นี่อันย่าให้เขาซิ่งมาแล้วนะ พี่เขาปาดซ้ายป้ายขวา พี่ลิซ่าดูดิ...” อนัญญาถลกขากางเกงให้เจ้านายสาวประเภทสองดูรอยช้ำที่หัวเข่า “...กระแทกเข้ากับรถเมล์ เข่าเขียวเลยอ่ะ”

ลิซ่าปรายตามอง บอกอย่างไม่สนใจ “เข่าหล่อนไม่ใช้เข่าฉันนี่ ไหนล่ะชุด”

อนัญญารีบส่งถุงกระดาษใบใหญ่ที่ถือมาให้เจ้านายสาว ยิ้มแฉ่ง ลิซ่ารับไปดูแล้วก็อ้าปากค้างเมื่อชุดเดรสผ้าชีฟองสีขาวยาวกรอมเท้าที่จะใช้เป็นชุดเด่น ชุดที่หล่อนนั่งหลังแข็งตัดแย็บมาเกือบสองสัปดาห์บัดนี้มีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว มือที่ถือชุดไว้สั่นระริก อนัญญาที่ยังไม่เห็นสภาพชุดมองอาการตัวสั่นของเจ้านายสาวอย่างงุนงง ถามอย่างเป็นห่วง

“พี่ลิซ่า เป็นอะ...”

เพี้ยะ!

เสียงถามขาดหายไป ตามมาด้วยเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าอย่างแรง อนัญญากุมแก้มที่โดนตบมองคนลงมืออย่างไม่เข้าใจ กรวิชญ์เห็นหน้าตาดุดันของลิซ่าแล้วไม่วางใจออกจากที่หลบภัยมายืนเคียงข้างอนัญญาทันที เผื่อจะช่วยเหลือทัน

“พี่ลิซ่าตบอันย่าทำไม”

“แกก็ลองดูนี่สิ!” ลิซ่าปาอดีตชุดสวยใส่หน้า ตะคอกใส่ “ดูซะว่าแกทำอะไรลงไป นังโง่!”

อนัญญาคลี่ชุดสวยออกดู แล้วก็ต้องเม้มปากแน่น ใบหน้ากลมซีดเผือด ชุดฟินาเล่แสนงามมีรอยเปื้อนคราบน้ำมันเต็มไปหมด

“หมด หมดกัน อนาคตดีไซเนอร์ของฉัน ต้องมาพังพินาศเพราะแกคนเดียวนังอันย่า!” ลิซ่าคร่ำครวญมองลูกน้องสาวอย่างแค้นเคือง

“อันย่าไม่ได้ทำนะพี่” เธอไม่ได้ทำจริงๆและไม่รู้ด้วยว่าใครทำ เพราะตอนที่ไปถึงร้าน เพื่อนร่วมงานที่อยู่เฝ้าร้านก็เดินออกมาส่งถุงให้ ด้วยความรีบเธอจึงไม่ได้ตรวจดูข้างใน คว้าได้ก็กระโดดซ้อนมอเตอร์ไซค์มาเลย

“ถ้าแกไม่ได้ทำแล้วใครทำ หลังจากแกออกจากร้านมาแล้ว ยายจิ๋วก็โทรมาบอกว่าแกหยิบชุดใส่ถุงเองกับมือ ถ้าไม่ใช่แกทำแล้วใครทำ!”

หญิงสาวอ้าปากจะเถียงว่าคนที่ทำก็ยายจิ๋วนั่นแหละ แต่ก็ไม่ทันเจ้านายสาวที่ปรอทแตก เอ่นปากไล่

“พอกันที! ฉันทนหล่อนมานานแล้ว ตั้งแต่หล่อนเข้ามาร้านฉันก็มีปัญหาตลอด นับจากนี้เป็นต้นไปอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก! ฉันไล่เธอออก!” แล้วเดินกระแทกเท้าจากไป ทิ้งคนถูกไล่ออกยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

กรวิชญ์ถอนหายใจ เหลือบมองเพื่อนสาว เอื้อมไปบีบไหล่อีกฝ่ายเรียกสติ “อันย่า”

อนัญญาสะดุ้ง หันกลับมามองงงๆก่อนจะยืนเหม่อต่อ ทำให้เขารู้ได้เลยว่าสติของเพื่อนยังกลับมาไม่ครบเท่าไหร่ ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ดูท่าอนัญญาจะจิตตกกว่าที่คิด กรวิชญ์ฉวยข้อมือหญิงสาวออกแรงดึงให้เดินตามมา ผ่านถังขยะก็กระชากเอาชุดต้นเหตุทิ้งไปเสียแล้วเดินต่อ

พอถึงที่หมายก็ออกคำสั่ง “อยู่ตรงนี้นะยัยเตี้ย อย่าไปไหน เดี๋ยวมา”

อนัญญากระพริบตาปริบๆ ไม่นานคนที่เดินหายไปไหนไม่รู้ก็กลับมาพร้อมตั๋วหนังสองใบ ป๊อบคอร์นและน้ำอัดลมขนาดใหญ่เต็มสองมือ ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ส่งถุงป๊อบคอร์นให้

“เอ้า ช่วยถือหน่อยสิ”

“อะไรอ่ะ”

หนุ่มหน้าหวานเลิกคิ้ว “ป๊อบคอร์นไง หรือที่ ภาษาไทยเรียกว่าข้าวโพดคั่ว ทำมาจาก....”

“พอแล้ว! อันนั้นฉันรู้ แต่ที่ถามคือนายเอามาให้ฉันทำไม” อนัญญามองค้อนคนที่ทำตัวเป็นนักวิชาการข้าวโพด

“ไม่ได้ให้เธอคนเดียวสักหน่อย ไอ้ถุงเนี้ยแบ่งกันกินต่างหาก มันเป็นของที่ขาดไม่ได้เลยนะเวลามาดูหนังน่ะ” กรวิชญ์อธิบาย

“ดูหนังเหรอ นี่นายลากฉันมาดูหนังงั้นเหรอ”

“ใช่! แล้วจะถามเป็นเจ้าหนูจำไมอีกนานไหม แก้วน้ำมันเย็น มือฉันจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว” ใบหน้าหวานเริ่มหงิก บ่นพึมพำ “อะไรวะ คนอุตส่าห์หวังดีไม่อยากให้เครียดอยู่คนเดียว ยังมานั่งถามนู่นนี่อยู่ได้”

อนัญญามองคนทำหน้าหงิกที่เดินหนีไปอย่างตื้นตันที่เขาใส่ใจความรู้สึกของเธอ หญิงสาวปาดน้ำตาที่เริ่มคลอน้อยๆทิ้ง บอกกับตัวเองในใจ ‘ไม่เป็นไร ล้มแล้วก็ลุกได้น่าอันย่า’ รีบเดินตามไปจนทันฉวยเอาถุงป๊อบคอร์นมาถือทำให้ปลายนิ้วของทั้งคู่สัมผัสกัน อนัญญาชะงักรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านก็ตกใจจนเผลอปล่อยมือ ถุงป๊อบคอร์นหลุดจากมือร่วงลงไป

กรวิชญ์มองเพื่อนสาวตาขวาง แขวะเข้าให้ “มือไม่มีกระดูกหรือไงแม่คุณ เห็นไหมเนี่ยหกหมดเลย”

“ขอ ขอโทษที” อนัญญาก้มมองเศษป๊อบคอร์น ใบหน้าแดงก่ำ จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มกลับมาเป็นปกติหลังจากเมื่อครู่เต้นดังเสียยิ่งกว่ากลองสะบัดชัย หญิงสาวรีบก้มลงหยิบถุงป๊อบคอร์นที่ยังมีเหลืออยู่กว่าครึ่งถุงขึ้นมา แล้วโกยเอาส่วนที่ตกพื้นใส่ถุงพลาสติกเพื่อนำไปทิ้ง

กรวิชญ์มองนาฬิกาเห็นว่าเหลือไม่ถึงห้านาทีหนังก็จะฉายแล้วจึงนั่งลงช่วย “มา...ฉันช่วยจะได้เสร็จไวๆ หนังจะเริ่มแล้ว”

อนัญญาเงยหน้ามอง ส่งยิ้มให้ “ขอบใจนะ”

กรวิชญ์ชะงักไป เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของอีกฝ่ายเท่าไหร่ ส่วนมากที่ยิ้มให้เขามักจะเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า เลยทำตัวไม่ค่อยถูก

“พูดมาก! มือน่ะทำงานไปอย่าหยุด”

หญิงสาวแอบอมยิ้ม ทั้งคู่ช่วยกันจัดการเศษป๊อบคอร์นบนพื้นเรียบร้อยแล้ว กรวิชญ์ก็ส่งให้อีกฝ่ายนำไปทิ้ง อนัญญารีบลุกแต่คงเป็นเพราะนั่งยองๆนานทำให้ปลายเท้าชา ร่างเล็กถลาไปข้างหน้า ศรีษะทุยกระแทกเข้าที่ปลายคางของหนุ่มหน้าหวานอย่างแรงจนกรวิชญ์ลงไปนั่งนับดาวบนพื้น

“โอ๊ย!” ชายหนุ่มกุมปลายคางของตน น้ำตาเล็ด

อนัญญาก่นด่าตัวเองในใจ ทำเรื่องอีกแล้วไหมล่ะ อุตส่าห์ได้พูดกันดีๆ

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

กรวิชญ์มองอีกฝ่ายตาขวาง รวบของกินและตั๋วลุกขึ้นยืน “ยายเตี้ย! วันนี้ตั้งแต่เจอเธอนี่ฉันซวยทั้งวัน โว้ย!” แล้วก็เดินลิ่วไปหน้าโรงหนัง อนัญญารีบเดินตามปากก็ร้องเรียก

“เดี๋ยวนายโย่ง รอด้วย ฉันขอโทษ!”

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไอจันทร์ Come Back!!! ค่าาาาา

- กลับมาแล้วค่าหลังจากห่างหายเว็บนี้ไปนานนนน เกือบสองเดือนได้มั้งเนี่ย ที่หายไปนี่ไม่ใช่อะไรนะ หายไปรีไรท์ 'อาทิตย์์พรางดาว' อยู่

เห็นนักอ่านหลายท่านบอกว่าจุดจบยายตะวันไม่สะใจ (ก็มันจริง) ข้าพเจ้าเลยไปอัพดีกรีความโหด โศกสลดเพิ่มอีกเท่า เพิ่มความหวาน

อีกหน่อย แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จเน้อ

- สำหรับเรื่องของพีวีร์กับน้องเบญตอนนี้ก็คงสร้างความสะใจปนสมน้ำหน้าพี่วีร์กันได้มากโข ใครคิดว่ายังไม่สาแก่ใจก็ติชมกันมาได้ (แต่

เหล่านักอ่านที่บ้านข้าพเจ้าบอกว่าโคตรซาดิสม์) แล้วใครที่ต้องการความคืยหน้าของหนุ่มวิชญ์กับสาวอันย่า ตอนนี้ก็จัดมาให้ได้ลุ้น แต่

ไม่ต้องห่วงคู่นี้เขาดราม่าแน่นอน

- ความซวยของพี่วีร์ยังไม่จบ ตอนนี้แค่นเริ่มต้น พ่อหนุ่มเจ้าชู้ของเรา ต้องโดนอีก เจอกันตอนหน้าค่ะ ไม่นานเกินรอ (คราวนี้จริงๆ)

ป.ล. นักอ่านอย่าเพิ่งทิ้งพี่วีร์กันนะคะ เหมือนเดิมค่ะ ติชมได้ จุ๊บ จุ๊บ






ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2556, 14:33:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2556, 18:54:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1609





<< ตอนที่ 17   ตอนที่ 19 >>
Pat 25 มิ.ย. 2556, 19:12:28 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account