ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์
ตอน: ตอนที่ 15
เสียงเคาะแป้นพิมพ์ไม่หยุดทำเอาแอมป์หันมองเพื่อนตาโต ขิงรัวแป้นพิมพ์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะคลิกเม้าส์อีกสองสามครั้ง เขาเดาว่าเธอคงพิมพ์เสร็จแล้วปิดโปรแกรมอะไรบางอย่างบนคอมพิวเตอร์ลงแล้วบิดขี้เกียจชุดใหญ่ ก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาเป็นคำถาม
“มีอะไรรึเปล่าแอมป์”
“เปล่า งานเสร็จแล้วเหรอ” แอมป์ลุกจากที่นั่งตัวเองเดินมาหาเพื่อนแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เป็นที่สิ่งเหล่าพนักงานเห็นกันชินตาตั้งแต่ทำงานกันมา แต่คนที่คันหัวใจตะหงิดๆ คงเป็นคนที่กำลังยืนพิงประตูขาวห้องตัวเองอยู่
กฤษณ์ยืนกอดอกพิงประตูห้องทำงาน ใบหน้าหงิกจนคิ้วสองข้างขมวดแทบติดกัน เขาเป็นผู้ชายขี้หวงของ... ถึงขิงจะยังไม่ได้ตกลงกับเขาอย่างเป็นทางการ แต่จากความคิด(ไปเอง)ของเขาแล้ว เมื่อหญิงสาวเปิดใจให้เขามากกว่าคนอื่นแล้ว นั่นย่อมแสดงว่าเขาเป็นคนสำคัญของเธอและเขาย่อมมีสิทธ์หวง... เป็นธรรมดา
ชายหนุ่มมองคู่เพื่อนสนิทคุยกันพักใหญ่ด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่ม นึกไปไกลว่าแอมป์กำลังพยายามเข้าหาขิงด้วยท่าทีที่มากกว่าเพื่อนรึเปล่า ความคิดสารพัดแล่มเข้ามาในสมองเต็มไปหมดและไม่ยอมหายไปราวกับแกล้ง คนเป็นเจ้านายขยับตัวเล็กน้อยเมื่อคิดว่าควรทำอะไรซักอย่าง เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของพนักงานในดวงใจแล้วพูดโดยไม่มองหน้าเป้าหมายแต่หันมองหน้าแอมป์แทน
“เดี๋ยวเข้าไปพบ ‘พี่’ ด้วยนะขิง” ขิงขยับตัวอึดอัดก่อนตอบรับไปเสียงเบา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้านายตั้งใจเน้นคำว่า ‘พี่’ มากเกินไปรึเปล่า แต่นั่นไม่เท่ากับที่แอมป์กำลังมองเธออย่างสงสัย
“เมื่อวานเราพลาดอะไรไปรึเปล่า”
“ปละ เปล่านี่”
“แต่ว่า...” เห็นท่าเริ่มไม่ดี คนมีชนักติดหลังเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ หญิงสาวยังคงย้ำประโยคปฏิเสธประโยคเดิมอีกครั้ง
“เปล่าจริงๆ ไม่มีอะไร”
“แต่เรา...”
อยู่ๆ เธอก็หาวออกมาได้จังหวะ ร่างบางลุกพรวดจากเก้าอี้ “เราว่าเราไปหากาแฟกินข้างล่างดีกว่า เดี๋ยวมานะ”
“มีพิรุธจริงๆ ด้วยแฮะ”
แอมป์นั่งมองเพื่อนจนลับตานึกสงสัยว่าทั้งที่เพิ่งทานข้าวกลางวันด้วยกันมาไม่นาน แต่เพื่อนสาวกลับทำท่าง่วงนอนเสียแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกินอิ่มเกินไปหรือหาเรื่องหลบเลี่ยงกันแน่ แอมป์ยังไม่ยอมขยับกลับไปนั่งที่โต๊ะ ชายหนุ่มเริ่มหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเองเกี่ยวกับเพื่อนสาวคนสนิท ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ใส่มาในวันนี้ที่ดูเปลี่ยนแนวการแต่งตัวไปอย่างเห็นได้ชัด อีกเรื่องที่ช่วงนี้เธอกับบอสใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ ชักมีเข้าเค้าแล้วสิ... เขาครุ่นคิด พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเพื่อนสาว หมัดของเขาที่พุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่จะมีสถานะเป็นเจ้านายแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากกฤษณ์กล้ามียังไงมาทำ ‘แบบนั้น’ กับเพื่อนเขาทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
เขาคบกับขิงในฐานะเพื่อนสนิทมาหลายปีจนแค่มองหน้ากันก็สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทเขาคิดหรือรู้สึกอะไร... เขารู้มาตลอดแต่พยายามทำเป็นไม่รับรู้ต่างหาก ชายหนุ่มไม่อยากเสียมิตรภาพที่เรียกว่าเพื่อนไปตลอดกาลหากทั้งคู่คบกันแล้ววันนึงเกิดไปกันไม่ได้
แต่ในที่สุดเส้นผมที่บังภูเขามานานแสนนานก็ถูกเขี่ยออกด้วยผู้หญิงที่ชื่อว่าศศิ นี่คือเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้เล่าให้ขิงฟัง ศศิเตือนสติเขาไว้เรื่องขิง คนรักเก่าของเขามองออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงแม้ตอนคบกันเขาพยายามจะใช้เวลาอยู่กับเธอ แต่บางช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวเรื่องที่คิดถึงก็มีอยู่แค่เรื่องของขิง ขิงมักจะเข้ามาในความคิดเขาเสมอไม่ว่ายามเขาอ่อนแอ คิดมาก หรือแม้แต่บางเวลาที่อยู่กับศศิ
‘พี่แอมป์ลองคิดให้ดีเถอะค่ะว่ารู้สึกยังไงกับพี่ขิงกันแน่ ศศิไม่อยากได้พี่แอมป์ที่มีแต่ตัว แต่หัวใจดันให้คนอื่นไปหมดแล้ว’
เขาจำได้ว่าศศิพูดทั้งน้ำตาไหลอาบแก้มแต่เธอกลับไม่ยอมให้เขาเช็ดมันออก หญิงสาวทำเพียงแค่ยืนหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขายืนสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ที่เดิม... หัวใจของเขามีขิงเข้าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
กฤษณ์ยืนชะเง้ออยู่หน้าประตูเมื่อเห็นว่าคนที่เขาเรียกพบไม่ยอมเข้ามาเสียที ชายหนุ่มพุ่งสายตาไปตรงโต๊ะทำงานของขิงแต่กลับไม่เห็นอะไรนอกจากแอมป์นั่งนิ่งอยู่คนเดียว แล้วคนที่เขาต้องการคุยด้วยหายไปไหนนะ...
คนชะเง้อหาผลุบตัวเองเข้าไปข้างในห้องตามเดิม ช่วงรอให้หญิงสาวที่ต้องการพบมาเคาะประตูห้อง เสียงโทรศัพท์คู่ใจเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย รู้ดีว่าปลายสายคงไม่มีสาระอะไรมากมายที่โทรฯ มา เพียงแค่ว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงพักของเพื่อน อลิซยังไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มงานเพราะภายในยังจัดการเรื่องวุ่นวายกันไม่เสร็จ ด้วยความที่มีเวลาว่างมากอาจทำให้เพื่อนเขาเกิดนึกเหงาอยากหาเพื่อนคุยขึ้นมา
“ว่าไง”
“คริส วันนี้นายว่างรึเปล่า”
“มีอะไร” เสียงทุ้มถามอย่างไม่แน่ใจว่าควรตอบยังไงดี “ถ้าว่างแล้วทำไม แล้วถ้าไม่ว่างแล้วทำไม”
“วันนี้มากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เสียงที่ดูเหมือนกำลังอ้อนของปลายสายทำเอากฤษณ์นึกระอาว่าผู้หญิงอายุสามสิบทำไมยังสามารถทำตัวแบบนี้ได้
“กินคนเดียวมาตั้งหลายวัน วันนี้เกิดผีอะไรเข้าสิงล่ะ”
“ก็... ฉันคิดถึงไมค์” อลิซบอกเสียงแผ่ว ทำเอาคนถามชักขยับยิ้มได้ อลิซเป็นผู้หญิงเก่งทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เสียอยู่อย่างเดียว เธอเป็นผู้หญิงติดแฟนขนาดหนัก แสดงว่าวันนี้คงไม่ได้สไกป์คุยกันเป็นแน่ เพื่อนเขาเลยอาการหนักขนาดนี้
“นะนะ นายจะขิงมาด้วยก็ได้ กินข้าวหลายๆ คนสนุกดี”
ได้ยินคำพูดของเพื่อนแล้วชายหนุ่มก็นึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่แม่ของขิงกลับจากวิปัสนาพอดี แต่ปัญหาคือเขายังอยากทำคะแนนต่อจากเมื่อวานอีกนิด กฤษณ์ขยับตัวแล้วเดินไปประตูก่อนจะเปิดมู่ลี่ให้เป็นรูเล็กๆ เพื่อมองข้างนอก เห็นว่าหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมายกลับมาแล้วแถมยังนั่งคุยจ้ออยู่กับเพื่อนสนิทอีกด้วย
“อลิซ เดี๋ยวฉันคอนเฟิร์มอีกทีนะ ตอนนี้ขอจัดการกับตัวปัญหาก่อน”
ชายหนุ่มรีบพุ่งตรงไปเปิดประตูพร้อมกับตะโกนคำเดิมๆ อย่างคนใช้อำนาจในทางที่ผิด เพราะเขาทำเพื่อเรียกหญิงสาวเข้ามาพบในห้องทำงาน ซึ่งเป็นที่ส่วนตัวสามารถพูดคุยกันได้อย่างสะดวกไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามารบกวน กฤษณ์นั่งมองขิงนั่งลงตรงข้าม ใบหน้าของเธอมุ่ยนิดๆ อย่างคนขัดใจ และเขารู้ดีว่าเธอคงไม่พอใจเขา
“เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า” เจ้าของห้องพูดกลั้วหัวเราะ นับวันเขายิ่งนึกเอ็นดูคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
“พี่กฤษณ์เรียกขิงมามีอะไรรึเปล่าคะ”
“จะชวนไปดินเนอร์ที่โรงแรม”
“หา…” ขิงอ้าปากค้างกับคำพูดกำกวมนั้น ทำเอาคนมองอดหัวเราะไม่ได้ เพราะเธอน่ารักแบบนี้น่ะสิใจเขาถึงมีแต่เธอเต็มไปหมด
“ไม่หาล่ะ อลิซชวนไปทานข้าวน่ะ เห็นบอกว่าเหงามาก”
“เอ่อ คุณอลิซเค้าชวนแต่พี่กฤษณ์รึเปล่าคะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ ถึงแม้คนตรงหน้าจะยืนยันเต็มร้อยว่าทั้งคู่เป็นได้แค่เพื่อนกัน แต่เพื่อนใช่ว่าจะรักกันไม่ได้นี่นา... ดูอย่างเธอสิ
คิดแล้วนึกอยากยกมือขึ้นมาแตะที่อกข้างซ้ายในตำแหน่งหัวใจ ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่เป็นจังหวะไม่ค่อยปกตินัก หญิงสาวนึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาชั่ววูบ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นผู้หญิงใจง่าย และหวั่นไหวง่ายอะไรเช่นนี้ ขิงชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้าเป็นเพราะว่าเธอแค่เหงา หรือเธอรู้สึกกับกฤษณ์อย่างนั้นจริงๆ
“ตกลงว่ายังไง ไปกับพี่นะขิงนะ”
“เอ่อ คือ...” เธอยังคงลังเล แต่พอเห็นแววตาสลดของอีกฝ่ายก็กลับทำให้เธออยากใจอ่อนขึ้นมาง่ายๆ “วันนี้แม่ขิงกลับมาจากวัดนะคะ”
“แม่ขิงก็มีคุณลุงอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้วนี่ จะไปขัดขวางความสุขคนรักกันทำไม มันบาปนะไม่รู้เหรอ”
คนพูดทำหน้านิ่ง สามารถโยงเรื่องบาปบุญเข้ากับเรื่องความรักได้หน้าตาเฉย ทำเอาคนนั่งฟังถึงกับเถียงไม่ออก ได้แน่นั่งนิ่งพยายามนึกหาข้ออ้าง แต่กลับพบว่าไม่มีอยู่เลยสักนิด
“ก็ได้ค่ะ” เธอบอกอย่างยอมแพ้ “ขิงไปกับพี่กฤษณ์ก็ได้ แต่...”
คนฟังหน้ามุ่ยลง จะเฮอยู่แล้วเชียว “เงื่อนไขเยอะจังเลยครับคุณลูกน้อง”
“เงื่อนไขอะไรล่ะคะ ขิงแค่จะขอโทรฯ หาแม่ก่อน”
คนฟังได้ยินแต่เสียงแก้วแตกดังเพล้ง! อยู่ในหูอื้ออึงไปหมด ก่อนจะค่อยๆ เผยยิ้มแหยออกมาให้อีกคนได้หัวเราะบ้าง ทั้งสองนั่งมองหน้ากันในความเงียบ ไม่มีใครขยับหรือหลบตา สายตาที่สื่อถึงความหมายและความรู้สึกได้เป็นอย่างดีทำเอาขิงเกิดหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สายตาอบอุ่นที่กฤษณ์ส่งมาทำให้เธอเขินอย่างที่ไม่ค่อยได้รู้สึกกับใคร มือบางที่วางอยู่บนหน้าตักตัวเองชักเริ่มระเกะระกะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” เสียงแปลกปลอมของบุคคลที่สามทำเอาสองคนในห้องสะดุ้งเฮือก กฤษณ์และขิงหันหน้าไปที่ประตูพร้อมกันแล้วพบว่าแอมป์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าแปลกใจ “คือผมไม่ได้จะกวนแต่ตอนนี้เลิกงานแล้ว ก็เลยจะมาถามขิงว่าจะกลับด้วยกันรึเปล่า”
“วันนี้ขิงจะกลับกับผม” เสียงของกฤษณ์ที่ตอบออกไปทำเอาอีกคนที่นั่งอยู่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็ไม่ได้เมื่อมีคนตอบตัดหน้าไปแล้ว
“เอ่อ... อย่างที่บอสว่านั่นแหละ” คนกลับมาเป็นบอสอีกครั้งหันถลึงตาให้หญิงสาว ใบหน้าที่ดูเหมือนดุเล่นเอาเธอขยาดไปเหมือนกัน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้แอมป์ไม่ถามอะไรเธออีกนอกจากหันมาหาคำยืนยันว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วค่อยล่าถอยออกไปเพราะเจ้าของห้องเล่นบอกว่ายังคุยงานกันไม่เสร็จ
ตาบอสบ้านี่ก็ข้ออ้างเยอะเหลือเกิน อำนาจมากล้นจริงๆ นะพ่อคุณ!!!
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” กฤษณ์ถามเสียงสะบัด ไม่สบอารมณ์เลยสักนิดที่เธอกลับมาเรียกเขาว่าบอสเหมือนเดิม
“ว่าอะไร ขิงยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ”
ชายหนุ่มฟังแล้วยกมือขึ้นกอดอกพิงพนักเก้าอี้แล้วจ้องคนตรงหน้าเขม็ง “ก็ที่เรียกว่าบอสนั่นอะไรกัน เราตกลงกันแล้วนะ”
“เราตกลงระหว่างกันค่ะ” เธอว่าเสียงเข้ม จ้องตาอีกฝั่งไม่กระพริบ “ถ้าเป็นที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ทำงาน หรือเวลาเราอยู่กันสองคน ขิงจะไม่คิดอะไรเลย แต่ในที่ทำงานเมื่อมีบุคคลที่สามอยู่ แล้วขิงเรียกแบบนั้นพี่กฤษณ์จะดูไม่ดีนะคะ”
กฤษณ์ยิ้มมุมปากเล็กๆ ชอบจังเวลาเธอพูดคำว่า ‘เรา’ ช่างเป็นคำที่ไพเราะเสียจริง มันเหมือนเขาถูกรวมเข้าไปในชีวิตเธอเรียบร้อยแล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าเอาเรื่องตรงหน้าแล้วยิ่งทำให้ชอบใจใหญ่ เวลาขิงโมโหน่ารักไม่แพ้เวลาเธอยิ้มเลยสักนิด
“โอเค พี่ยอมก็ได้ นอกเวลางานพี่ยังเป็นพี่กฤษณ์ของขิงอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ เอ๊ะ?” ตอบไปแล้วถึงนึกออกแก้มหญิงสาวร้อนซู่ขึ้นมาสองข้าง... เขาไม่ใช่ของเธอเสียหน่อย!
คิดได้แล้วก็รีบขอตัวเดินออกจากห้องไป ไม่สนใจแววตาที่ล้อเธออยู่ เขาล้อเธอด้วยสายตาทั้งที่ไม่พูดอะไรแต่มันกลับให้เธอยิ่งทำอะไรไม่ถูกหนักเข้าไปอีก ขิงรีบก้มหน้าจ้ำออกจากห้องเจ้านายไม่ทันได้มองว่าใครยืนอยู่หน้าประตู พอเปิดออกไปทั้งคู่เลยแทบผงะ ภพยืนอยู่ก่อนแล้วรีบยกมือขึ้นกันไว้เผื่อคนข้างในไม่เห็นแล้วกระแทกเขาอย่างจัง แต่กลายเป็นว่าขิงก็ผงะหนีพอกัน คนเป็นรุ่นพี่จึงได้แต่มองแก้มแดงๆ ของน้องสาวอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขารีบหลีกทางให้แล้วพาตัวเองเข้าไปด้านในแทน
เย็นวันนั้นหลังจากขิงโทรฯ คุยกับแม่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ตัดสินใจไปตามคำชวนของกฤษณ์ ปล่อยให้คนแก่สองคนสวีทหวานอยู่ที่บ้านโดยไม่มีเธอนั่งเป็นก้างอยู่ที่บ้านน่าจะดีกว่า หญิงสาวสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองแล้วถอนหายใจ ยังดีที่วันนี้เธอแต่งตัว ‘พอดูได้อยู่บ้าง’ ด้วยชุดเดรสสีครีมที่ไม่ได้แต่งบ่อยๆ แต่ผมที่ยุ่งเหยิงนี่สิขิงยืนมองกระจกในห้องน้ำแล้วยกมือขึ้นลูกอยู่หลายที แต่ทำยังไงผมของเธอก็ไม่ยอมเรียบจนคิดอย่างปลงตกว่าคงต้องปล่อยให้เลยตามเลย
หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย โรงแรมห้าดาวลูกค้าส่วนใหญ่คงเป็นพวกชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจฐานะดีๆ เท่านั้นที่จะสามารถเข้าพักได้ การบริการที่ดีเยี่ยมของพนักงานยิ่งทำให้ขิงเคอะเขิน เนื่องจากไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน เธอจึงคอยส่งยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานทุกคนที่คอยเข้ามาช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเปิดประตู หรือพาไปที่ห้องรับประทานอาหาร จนถึงโต๊ะที่อลิซได้จองไว้ การเดินอยู่ข้างๆ กฤษณ์ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนเด็กกะโปโลเข้าไปทุกที เธออดชื่นชมในท่าทางสุขุมและนิ่งของเขาไม่ได้ ยิ่งได้เห็นยิ่งทำให้ปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
“เรียบร้อยแล้วนะ” กฤษณ์ถาม เมื่อขิงนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ มีเพียงการพยักหน้าของเธอเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“เอ่อ คุณอลิซล่ะคะ”
“เดี๋ยวคงลงมา ขิงจะสั่งอะไรก่อนมั้ย” มือหนายื่นเมนูให้ แล้วเขาก็ได้เห็นคนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาเป็นท่าทีปฏิเสธ ราคาอาหารที่ระบุอยู่ในเมนูนั้นแพงจนเธอไม่กล้าคิดถึงตอนจ่ายเงินว่าจะแพงขนาดไหน
“พี่กฤษณ์สั่งเถอะค่ะ ขิงไม่รู้จะสั่งอะไร”
“งั้นเดี๋ยวพี่สั่งให้นะ” หญิงสาวมองหน้าคนเอ่ยอาสาแล้วพูดไม่ออก เธออยากปฏิเสธว่าไม่อยากหิวแต่พอเห็นหน้าบริกรที่ยืนอยู่แล้วกลับพูดอะไรไม่ออกนอกจาก...
“ค่ะ”
รายการอาหารสองสามอย่างสั่งไปก่อนล่วงหน้าแล้วในขณะที่รอคนชวนลงมาจากห้องพัก ขิงนั่งมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจในความสวยของการประดับไฟในห้องอาหารบวกกับเสียงเพลงคลาสสิคที่บรรเลงรื่นหู ก่อนที่จะหันมาพบกับสายตาหวานของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
“ชอบเหรอ” หญิงสาวตอบรับเสียงใสพลางยิ้มแล้วมองรอบกายอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงลมหายใจอยู่ข้างหู “ไว้วันหลังพามาอีก แต่มากันแค่สองคนนะครับ”
หน้าร้อนอีกแล้ว ขิงรู้สึกอย่างนั้นอีกครั้งหลังได้ยินประโยคชักชวนนั้นนับว่าโชคดีของเธอที่อลิซเดินมาถึงที่โต๊ะพร้อมกับบริกรพอดี ทำให้เธอยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดก่อนที่จะเข้าตัวไปมากกว่านี้
“คุณอลิซสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะสาวน้อย วันนี้แต่งตัวหน้ารักเชียว” ขิงยิ้มรับเขินๆ เธอไม่ได้พูดอะไรอีกจนอลิซพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วนี่ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ”
“คง... คงเป็นที่ไฟมั้งคะ” คนถูกถามก้มหน้าลงซ่อนรอยเขินอีกครั้ง เลยไม่ได้รู้เลยว่าคนข้างตัวหันหน้ามายิ้มกับเธอกว้างแค่ไหน ภาพที่เห็นทำเอาอลิซยิ้มตามไปด้วย ในที่สุดท่อนไม้ก็มีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความจริงกลับพิเศษมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
บรรยากาศดินเนอร์สุดหรูเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งอลิซและขิงต่างคุยกับอย่างถูกคอ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นพักๆ ด้วยคำพูดของหญิงสาวทั้งสอง ส่วนกฤษณ์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็มีร่วมวงบ้างบางทีแต่ไม่มาก เพราะเขาชอบมองคนข้างตัวยิ้มและพูดมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
มือใหญ่ถือโอกาสจับมือคนข้างกายมาไว้บนตักตัวเองอย่างหน้าตาเฉย เจ้าของมือถลึงตาดุใส่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมปล่อย จนขิงต้องปล่อยเลยตามเลย จับได้เท่าไหร่ก็จับไป นี่ไม่ได้อยากให้จับเลยนะ ไม่ได้อยากเลยจริงๆ
“พี่กฤษณ์ปล่อยมือขิงได้รึยังคะ” เสียงเล็กรีบท้วงขึ้นทันทีที่แยกกับอลิซมาที่ลาดจอดรถเพื่อกลับบ้าน มือใหญ่ที่ยังคงจับอยู่กระชับมือเล็กแน่นเข้าไปอีก แถมยังมองหน้าเธอส่งสายตาหวานอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไม่ปล่อยได้มั้ย วันนี้พี่ไม่อยากไปส่งขิงที่บ้านเลย” เธอค้อนขวับใส่คนพูด ไม่ไปส่งเธอวันนี้แม่เธอได้เด็ดก้านมะยมมาฟาดไม่ยั้งแน่
“ไม่ไปส่งได้ยังไงคะ ขิงบอกแม่ไว้แล้วว่ากลับไม่เกินเที่ยงคืน” กฤษณ์หน้ามุ่ยลง ไม่เกินเที่ยงคืน... นั่นก็หมายความว่าเขามีเวลาอยู่กับเธออีกแค่ไม่นาน กว่าจะขับรถไปถึงบ้านเธอก็กินเวลาไปไม่น้อยเลย
“ถ้าอย่างนั้นวางยาแล้วฉุดไปไว้ที่บ้านเลยดีกว่า เดี๋ยวพี่โทรฯ ไปบอกแม่ขิงเอง”
คำพูดแสนกะล่อนนั้นทำเอาคนฟังทนไม่ไหวตีไหล่คนพูดไปเสียงดังฟังชัด แถมด้วยเสียงคนโดนตีที่ร้องโอดโอยลั่นลานจอดรถอย่างที่รู้ว่าการแสดงล้วนๆ จนหญิงสาวเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมาเกือบหยิกเข้าที่ท้องแขนของอีกฝ่าย
“ขิงไม่ได้ตีแรงซักหน่อย ร้องเสียงดังเว่อร์มาก”
คน ‘เว่อร์มาก’ ได้แต่หัวเราะอยู่อย่างนั้น ยังไม่ยอมขยับกดปลดล็อกรถหรือแม้กระทั่งหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋า มือใหญ่ที่คิดว่ากระชับแน่นแล้ว ยิ่งกระชับแน่นเข้าไปอีกเมื่อเห็นหน้ามุ่ยของอีกฝ่าย ขิงเริ่มทำปากยื่นที่ยิ่งมองยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
“อย่าเพิ่งกลับเลยนะ” เขาว่าอย่างนั้น พร้อมกับดึงร่างเล็กให้เดินตามไปที่ศาลาริมน้ำด้านหลังโรงแรม ไม่สนใจเสียงทวงถามที่ดังแว่วๆ ริมหู ชายหนุ่มพาขิงมาหยุดยืนอยู่กลางศาลาปล่อยมือให้เธอได้เดินดูความสวยงามของไฟริมน้ำที่ทางโรงแรมได้ตกแต่งไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปซ้อนข้างหลัง แขนแกร่งถือโอกาสโอบเอวเล็กไว้แน่นหนา ไม่ปล่อยโอกาสให้หญิงสาวทันได้ขยับตัวออกไปไหน ทำได้เพียงใช้มือเล็กๆ ดันแขนแกร่งให้ปล่อยอ้อมกอด
“เอ่อ... พี่กฤษณ์คะ”
“ครับ”
“ปล่อยขิงก่อนค่ะ เอ่อ... ปล่อยเถอะนะคะ” ทั้งเสียงทั้งลมหายใจที่เป่าอยู่ข้างหู ทำให้สติของเธอชักเริ่มกระเจิดกระเจิงออกไป หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ระดับความสามารถในการต่อต้านเลยมีไม่มากอย่างใครเขา
เมื่อรู้ว่าความพยายามไม่เป็นผล แรงที่ใช้ผลักใช้ดันคนตัวใหญ่กว่ามีไม่มากพอที่จะทำให้กฤษณ์สะเทือนด้วยซ้ำ ขิงจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางเป็นใช้เสียงออดอ้อนให้เป็นประโยชน์แทน
“ปล่อยขิงก่อนนะคะพี่กฤษณ์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ถือ” คำแก้ตัวที่ดูไปแบบน้ำขุ่นๆ ทำเอาฝ่ายหญิงขมวดคิ้วนึกแปลความหมายของคำที่อีกฝ่ายพูดแล้วก็นึกได้เพียงความหมายเดียว เขาไม่ถือ แต่เธอถือนี่นา
“ถ้าพี่กฤษณ์ยังไม่ปล่อยขิง ขิงจะโกรธแล้วนะคะ” พอจบประโยคขิงรู้สึกได้ถึงเสียงหัวเราะในลำคอที่ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับความรู้สึกถึงหน้าอกของคนที่ซ้อนหลังอยู่ขยับขึ้นลงถี่ๆ ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเสียงขู่เล็กๆ ไม่ได้ทำให้กฤษณ์กลัวแม้แต่น้อย หญิงสาวหันหน้ามองคนยืนอยู่ข้างหลังแล้วสะบัดหน้าพร้อมกับเสียง ‘ฮึ’
คราวนี้กฤษณ์ถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะพรืด ทำเอาอีกตวาดแว้ด “พี่กฤษณ์คะ!”
“คร้าบๆ เรียกเสียงดังทำไมอยู่ใกล้กันแค่นี้”
“ขิงโกรธจริงๆ แล้วนะคะ”
“โอเคๆ พี่ปล่อยก็ได้ แต่ก่อนปล่อย...” เขาพูดทิ้งไว้ให้เธอสนใจอีกครั้ง ลืมความโกรธเมื่อครู่สนิท แววตาแป๋วที่หันมาจ้องหน้าเขาพร้อมกับแก้มแดงๆ ทำให้เขาอดใจไม่ไหว กดจมูกลงบนแก้มนวลแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะรีบปล่อยให้ร่างบางยืนอึ้งอยู่กลางศาลา
“พะ พี่กฤษณ์!”
“อะไรกันครับ เรียกพี่บ่อยจังเลย” เขายังคงพูดแหย่คนหน้างอง้ำ แขนเล็กกอดเกี่ยวกันไว้เป็นท่ากอดอกเธอตั้งใจสะบัดหน้าพรืดพร้อมกับก้าวไปนั่งตรงริมน้ำ บรรยากาศเงียบสนิทขิงยังคงไม่ยอมพูดกับชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่
เป็นนาน กว่าชายหนุ่มจะเริ่มพูดก่อน “ขิง โกรธพี่เหรอครับ”
คนตัวเล็กได้แต่นั่งนิ่งมองน้ำที่ตอนนี้มืดสนิทไม่เห็นสิ่งใด จนคนตัวโตชักเริ่มเห็นจริงกับคำขู่ที่เธอประกาศไว้เมื่อครู่ ร่างสูงขยับเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คนตัวเล็กที่ยังหันหลังให้เขา ชายหนุ่มมองแผ่นหลังตรงนั้นแล้วนึกหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวตรงหน้าโกรธกันสักที จะมีก็แต่ทำปากยื่นๆ ไม่พอใจบ้าง แต่นี่ไม่กลับไม่พูดกับเขาเลยแค่เขานึกอยากพิสูจน์กลิ่นแก้มนวลว่าหอมรึเปล่า โอเค... เขายอมรับผิดก็ได้ที่หอมแก้มเธอ ก็เธอน่ารักขนาดนี้จะให้เขาอดใจยังไงไหวกันล่ะ
“ขิงครับ” เขาเรียกอีกครั้ง แต่คนที่งอนก็ยังคงงอนอยู่ไม่เปลี่ยนท่าที จนเขาต้องคว้าเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง “โกรธพี่จริงๆ เหรอ”
เท่านั้นแหละ คนที่งอนอยู่เมื่อครู่ถึงกับตัวแข็งทื่อขึ้นมาพยายามขืนตัวไม่โอนอ่อนไปตามแรงดึงของคนตัวใหญ่ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ในเมื่อแรงมีไม่เท่ากัน คนตัวเล็กเลยต้องล้มอยู่ในวงแขนแกร่งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่ง...
“พี่ขอโทษ” คำพูดที่หญิงสาวอยากได้ยินมากที่สุดหลุดออกจากปากของคนที่เธอซ้อนหลังอยู่ ได้ยินแล้วเธอกับถอนหายใจออกมา อย่างน้อยกฤษณ์ก็ไม่ใช่คนปากแข็งอะไร “หายโกรธพี่นะ”
เสียงออดอ้อนที่ดังอยู่ริมหูอีกครั้งทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก ใจสั่นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงเต้นหัวใจของชายหนุ่มชัดเจน สายตาที่มองน้ำอยู่ไม่ได้ช่วยให้ความตื่นเต้นลดลงเลยแม้แต่น้อยในเมื่อริมฝีปากของคนตัวใหญ่ชักขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงข้างขมับ กฤษณ์ถือโอกาสนั้นดมความหอมจากผมของคนตัวเล็กที่ยังคงหอมกรุ่นจนเขาแทบอดใจไม่ไหว อยากกดจูบลงไปที่ขมับเธอเหลือเกิน
“จูบไม่ได้ หอมแก้มไม่ได้ ก็ขอพี่กอดเฉยๆ แบบนี้เถอะนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอ้อนเธออีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้ตอบรับใดๆ จากคำขอร้อง หญิงสาวทำเพียงแค่กระชับอ้อมก่อนที่โอบกอดเธออยู่รอบตัวให้แน่นขึ้นราวกับกลัวเขาหนีไปไหน เพียงเท่านี้ก็ทำให้กฤษณ์ยิ้มแก้มปริหัวเราะแผ่วๆ พร้อมกับคำขอบคุณหวานๆ ที่ทำให้ทั้งคู่อบอุ่นและชุ่มชื่นในหัวใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มะ มะ มาแว้วววววว ^___^
ฮั่นแน่! นั่งฟินกันอยู่อ่ะดิ จุ๊ๆๆๆ หุบยิ้มบ้างอะไรบ้างนะเคอะ คิๆๆๆๆๆ
เอ่อ อย่างงนะคะ วันนี้มิณทิมาเป็นบ้า (ออกแนวเพ้อๆ บ้างเล็กน้อย) โฮ๊ะๆๆ ตอนนี้เขียนแล้วเก๊าก็เขินแทนยัยขิงล่ะ
ตาบอสนี่หวานเกิ๊นนนนนน ไม่ไหวน้ำตาลขึ้นเลย ฮาาาาา
มิณทิมาเพิ่งรู้ค่ะว่าชื่อนางเอกเรื่องนี้มันไปคล้องกันเรื่องสั้นอีกเรื่องนึงนี่เคยลงไม่ (เมื่อคืนนี้เลยสดๆ ร้อนๆ ฮาาา)
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอะไรกับข.ไข่ (ซึ่งความจริงอาจจะไม่เกี่ยวใดๆ กันเลย)
อ่า... แล้วก็ กะ ก็ มิณทิมาคงหายไปจนวันอาทิตย์เลยนะคะ แถบขึ้นปายหน้าฝนเล็กน้อย ฮาาาาา (คนอ่าน: เธอหายไปไหนพวกชั้นไม่เดือดร้อนหรอกย่ะ ลงช้าเป็นหอยทากขนาดนี้!)
โฮวววววววว เค้าผิดไปแล้วววว อย่าเพิ่งเบื่อเก๊านะ กระซิกๆ
เอาล่ะ เดี๋ยวจะเม้าท์เพลิน ตอบเม้นท์กันดีกว่าเนอะ
=========================================
คุณ mhengjhy : เดี๋ยวเขี่ยทิ้งถังขยะเลยดีมั้ยคะ (ยัยคนนี้โหดสุด)
คุณ pattisa : ฮาาาาาา ตบมือชอบใจใหญ่เลยนะค้าาา
คุณ pseudolife : เขินตรงคนอ่านละลายแล้วนี่แหละค่ะ คนเขียนก็ละลายเหมือนกันนนนน เอิ๊กๆๆ
คุณ คิมหันตุ์ : อั๊ยยะ ป้าอลิซไม่นิยมเด็กนะคะ แต่เด็กนิยมคุณป้ารึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ คิๆๆ
---------------------------------------------------------------
รักทุกคนนะค้าาา ^3^)/ ไว้เจอกันตอนหน้าคับโผ้ม!
“มีอะไรรึเปล่าแอมป์”
“เปล่า งานเสร็จแล้วเหรอ” แอมป์ลุกจากที่นั่งตัวเองเดินมาหาเพื่อนแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เป็นที่สิ่งเหล่าพนักงานเห็นกันชินตาตั้งแต่ทำงานกันมา แต่คนที่คันหัวใจตะหงิดๆ คงเป็นคนที่กำลังยืนพิงประตูขาวห้องตัวเองอยู่
กฤษณ์ยืนกอดอกพิงประตูห้องทำงาน ใบหน้าหงิกจนคิ้วสองข้างขมวดแทบติดกัน เขาเป็นผู้ชายขี้หวงของ... ถึงขิงจะยังไม่ได้ตกลงกับเขาอย่างเป็นทางการ แต่จากความคิด(ไปเอง)ของเขาแล้ว เมื่อหญิงสาวเปิดใจให้เขามากกว่าคนอื่นแล้ว นั่นย่อมแสดงว่าเขาเป็นคนสำคัญของเธอและเขาย่อมมีสิทธ์หวง... เป็นธรรมดา
ชายหนุ่มมองคู่เพื่อนสนิทคุยกันพักใหญ่ด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่ม นึกไปไกลว่าแอมป์กำลังพยายามเข้าหาขิงด้วยท่าทีที่มากกว่าเพื่อนรึเปล่า ความคิดสารพัดแล่มเข้ามาในสมองเต็มไปหมดและไม่ยอมหายไปราวกับแกล้ง คนเป็นเจ้านายขยับตัวเล็กน้อยเมื่อคิดว่าควรทำอะไรซักอย่าง เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของพนักงานในดวงใจแล้วพูดโดยไม่มองหน้าเป้าหมายแต่หันมองหน้าแอมป์แทน
“เดี๋ยวเข้าไปพบ ‘พี่’ ด้วยนะขิง” ขิงขยับตัวอึดอัดก่อนตอบรับไปเสียงเบา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้านายตั้งใจเน้นคำว่า ‘พี่’ มากเกินไปรึเปล่า แต่นั่นไม่เท่ากับที่แอมป์กำลังมองเธออย่างสงสัย
“เมื่อวานเราพลาดอะไรไปรึเปล่า”
“ปละ เปล่านี่”
“แต่ว่า...” เห็นท่าเริ่มไม่ดี คนมีชนักติดหลังเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ หญิงสาวยังคงย้ำประโยคปฏิเสธประโยคเดิมอีกครั้ง
“เปล่าจริงๆ ไม่มีอะไร”
“แต่เรา...”
อยู่ๆ เธอก็หาวออกมาได้จังหวะ ร่างบางลุกพรวดจากเก้าอี้ “เราว่าเราไปหากาแฟกินข้างล่างดีกว่า เดี๋ยวมานะ”
“มีพิรุธจริงๆ ด้วยแฮะ”
แอมป์นั่งมองเพื่อนจนลับตานึกสงสัยว่าทั้งที่เพิ่งทานข้าวกลางวันด้วยกันมาไม่นาน แต่เพื่อนสาวกลับทำท่าง่วงนอนเสียแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกินอิ่มเกินไปหรือหาเรื่องหลบเลี่ยงกันแน่ แอมป์ยังไม่ยอมขยับกลับไปนั่งที่โต๊ะ ชายหนุ่มเริ่มหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเองเกี่ยวกับเพื่อนสาวคนสนิท ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ใส่มาในวันนี้ที่ดูเปลี่ยนแนวการแต่งตัวไปอย่างเห็นได้ชัด อีกเรื่องที่ช่วงนี้เธอกับบอสใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ ชักมีเข้าเค้าแล้วสิ... เขาครุ่นคิด พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเพื่อนสาว หมัดของเขาที่พุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่จะมีสถานะเป็นเจ้านายแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากกฤษณ์กล้ามียังไงมาทำ ‘แบบนั้น’ กับเพื่อนเขาทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
เขาคบกับขิงในฐานะเพื่อนสนิทมาหลายปีจนแค่มองหน้ากันก็สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทเขาคิดหรือรู้สึกอะไร... เขารู้มาตลอดแต่พยายามทำเป็นไม่รับรู้ต่างหาก ชายหนุ่มไม่อยากเสียมิตรภาพที่เรียกว่าเพื่อนไปตลอดกาลหากทั้งคู่คบกันแล้ววันนึงเกิดไปกันไม่ได้
แต่ในที่สุดเส้นผมที่บังภูเขามานานแสนนานก็ถูกเขี่ยออกด้วยผู้หญิงที่ชื่อว่าศศิ นี่คือเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้เล่าให้ขิงฟัง ศศิเตือนสติเขาไว้เรื่องขิง คนรักเก่าของเขามองออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงแม้ตอนคบกันเขาพยายามจะใช้เวลาอยู่กับเธอ แต่บางช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวเรื่องที่คิดถึงก็มีอยู่แค่เรื่องของขิง ขิงมักจะเข้ามาในความคิดเขาเสมอไม่ว่ายามเขาอ่อนแอ คิดมาก หรือแม้แต่บางเวลาที่อยู่กับศศิ
‘พี่แอมป์ลองคิดให้ดีเถอะค่ะว่ารู้สึกยังไงกับพี่ขิงกันแน่ ศศิไม่อยากได้พี่แอมป์ที่มีแต่ตัว แต่หัวใจดันให้คนอื่นไปหมดแล้ว’
เขาจำได้ว่าศศิพูดทั้งน้ำตาไหลอาบแก้มแต่เธอกลับไม่ยอมให้เขาเช็ดมันออก หญิงสาวทำเพียงแค่ยืนหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขายืนสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ที่เดิม... หัวใจของเขามีขิงเข้าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
กฤษณ์ยืนชะเง้ออยู่หน้าประตูเมื่อเห็นว่าคนที่เขาเรียกพบไม่ยอมเข้ามาเสียที ชายหนุ่มพุ่งสายตาไปตรงโต๊ะทำงานของขิงแต่กลับไม่เห็นอะไรนอกจากแอมป์นั่งนิ่งอยู่คนเดียว แล้วคนที่เขาต้องการคุยด้วยหายไปไหนนะ...
คนชะเง้อหาผลุบตัวเองเข้าไปข้างในห้องตามเดิม ช่วงรอให้หญิงสาวที่ต้องการพบมาเคาะประตูห้อง เสียงโทรศัพท์คู่ใจเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย รู้ดีว่าปลายสายคงไม่มีสาระอะไรมากมายที่โทรฯ มา เพียงแค่ว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงพักของเพื่อน อลิซยังไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มงานเพราะภายในยังจัดการเรื่องวุ่นวายกันไม่เสร็จ ด้วยความที่มีเวลาว่างมากอาจทำให้เพื่อนเขาเกิดนึกเหงาอยากหาเพื่อนคุยขึ้นมา
“ว่าไง”
“คริส วันนี้นายว่างรึเปล่า”
“มีอะไร” เสียงทุ้มถามอย่างไม่แน่ใจว่าควรตอบยังไงดี “ถ้าว่างแล้วทำไม แล้วถ้าไม่ว่างแล้วทำไม”
“วันนี้มากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เสียงที่ดูเหมือนกำลังอ้อนของปลายสายทำเอากฤษณ์นึกระอาว่าผู้หญิงอายุสามสิบทำไมยังสามารถทำตัวแบบนี้ได้
“กินคนเดียวมาตั้งหลายวัน วันนี้เกิดผีอะไรเข้าสิงล่ะ”
“ก็... ฉันคิดถึงไมค์” อลิซบอกเสียงแผ่ว ทำเอาคนถามชักขยับยิ้มได้ อลิซเป็นผู้หญิงเก่งทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เสียอยู่อย่างเดียว เธอเป็นผู้หญิงติดแฟนขนาดหนัก แสดงว่าวันนี้คงไม่ได้สไกป์คุยกันเป็นแน่ เพื่อนเขาเลยอาการหนักขนาดนี้
“นะนะ นายจะขิงมาด้วยก็ได้ กินข้าวหลายๆ คนสนุกดี”
ได้ยินคำพูดของเพื่อนแล้วชายหนุ่มก็นึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่แม่ของขิงกลับจากวิปัสนาพอดี แต่ปัญหาคือเขายังอยากทำคะแนนต่อจากเมื่อวานอีกนิด กฤษณ์ขยับตัวแล้วเดินไปประตูก่อนจะเปิดมู่ลี่ให้เป็นรูเล็กๆ เพื่อมองข้างนอก เห็นว่าหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมายกลับมาแล้วแถมยังนั่งคุยจ้ออยู่กับเพื่อนสนิทอีกด้วย
“อลิซ เดี๋ยวฉันคอนเฟิร์มอีกทีนะ ตอนนี้ขอจัดการกับตัวปัญหาก่อน”
ชายหนุ่มรีบพุ่งตรงไปเปิดประตูพร้อมกับตะโกนคำเดิมๆ อย่างคนใช้อำนาจในทางที่ผิด เพราะเขาทำเพื่อเรียกหญิงสาวเข้ามาพบในห้องทำงาน ซึ่งเป็นที่ส่วนตัวสามารถพูดคุยกันได้อย่างสะดวกไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามารบกวน กฤษณ์นั่งมองขิงนั่งลงตรงข้าม ใบหน้าของเธอมุ่ยนิดๆ อย่างคนขัดใจ และเขารู้ดีว่าเธอคงไม่พอใจเขา
“เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า” เจ้าของห้องพูดกลั้วหัวเราะ นับวันเขายิ่งนึกเอ็นดูคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
“พี่กฤษณ์เรียกขิงมามีอะไรรึเปล่าคะ”
“จะชวนไปดินเนอร์ที่โรงแรม”
“หา…” ขิงอ้าปากค้างกับคำพูดกำกวมนั้น ทำเอาคนมองอดหัวเราะไม่ได้ เพราะเธอน่ารักแบบนี้น่ะสิใจเขาถึงมีแต่เธอเต็มไปหมด
“ไม่หาล่ะ อลิซชวนไปทานข้าวน่ะ เห็นบอกว่าเหงามาก”
“เอ่อ คุณอลิซเค้าชวนแต่พี่กฤษณ์รึเปล่าคะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ ถึงแม้คนตรงหน้าจะยืนยันเต็มร้อยว่าทั้งคู่เป็นได้แค่เพื่อนกัน แต่เพื่อนใช่ว่าจะรักกันไม่ได้นี่นา... ดูอย่างเธอสิ
คิดแล้วนึกอยากยกมือขึ้นมาแตะที่อกข้างซ้ายในตำแหน่งหัวใจ ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่เป็นจังหวะไม่ค่อยปกตินัก หญิงสาวนึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาชั่ววูบ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นผู้หญิงใจง่าย และหวั่นไหวง่ายอะไรเช่นนี้ ขิงชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้าเป็นเพราะว่าเธอแค่เหงา หรือเธอรู้สึกกับกฤษณ์อย่างนั้นจริงๆ
“ตกลงว่ายังไง ไปกับพี่นะขิงนะ”
“เอ่อ คือ...” เธอยังคงลังเล แต่พอเห็นแววตาสลดของอีกฝ่ายก็กลับทำให้เธออยากใจอ่อนขึ้นมาง่ายๆ “วันนี้แม่ขิงกลับมาจากวัดนะคะ”
“แม่ขิงก็มีคุณลุงอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้วนี่ จะไปขัดขวางความสุขคนรักกันทำไม มันบาปนะไม่รู้เหรอ”
คนพูดทำหน้านิ่ง สามารถโยงเรื่องบาปบุญเข้ากับเรื่องความรักได้หน้าตาเฉย ทำเอาคนนั่งฟังถึงกับเถียงไม่ออก ได้แน่นั่งนิ่งพยายามนึกหาข้ออ้าง แต่กลับพบว่าไม่มีอยู่เลยสักนิด
“ก็ได้ค่ะ” เธอบอกอย่างยอมแพ้ “ขิงไปกับพี่กฤษณ์ก็ได้ แต่...”
คนฟังหน้ามุ่ยลง จะเฮอยู่แล้วเชียว “เงื่อนไขเยอะจังเลยครับคุณลูกน้อง”
“เงื่อนไขอะไรล่ะคะ ขิงแค่จะขอโทรฯ หาแม่ก่อน”
คนฟังได้ยินแต่เสียงแก้วแตกดังเพล้ง! อยู่ในหูอื้ออึงไปหมด ก่อนจะค่อยๆ เผยยิ้มแหยออกมาให้อีกคนได้หัวเราะบ้าง ทั้งสองนั่งมองหน้ากันในความเงียบ ไม่มีใครขยับหรือหลบตา สายตาที่สื่อถึงความหมายและความรู้สึกได้เป็นอย่างดีทำเอาขิงเกิดหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สายตาอบอุ่นที่กฤษณ์ส่งมาทำให้เธอเขินอย่างที่ไม่ค่อยได้รู้สึกกับใคร มือบางที่วางอยู่บนหน้าตักตัวเองชักเริ่มระเกะระกะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” เสียงแปลกปลอมของบุคคลที่สามทำเอาสองคนในห้องสะดุ้งเฮือก กฤษณ์และขิงหันหน้าไปที่ประตูพร้อมกันแล้วพบว่าแอมป์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าแปลกใจ “คือผมไม่ได้จะกวนแต่ตอนนี้เลิกงานแล้ว ก็เลยจะมาถามขิงว่าจะกลับด้วยกันรึเปล่า”
“วันนี้ขิงจะกลับกับผม” เสียงของกฤษณ์ที่ตอบออกไปทำเอาอีกคนที่นั่งอยู่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็ไม่ได้เมื่อมีคนตอบตัดหน้าไปแล้ว
“เอ่อ... อย่างที่บอสว่านั่นแหละ” คนกลับมาเป็นบอสอีกครั้งหันถลึงตาให้หญิงสาว ใบหน้าที่ดูเหมือนดุเล่นเอาเธอขยาดไปเหมือนกัน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้แอมป์ไม่ถามอะไรเธออีกนอกจากหันมาหาคำยืนยันว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วค่อยล่าถอยออกไปเพราะเจ้าของห้องเล่นบอกว่ายังคุยงานกันไม่เสร็จ
ตาบอสบ้านี่ก็ข้ออ้างเยอะเหลือเกิน อำนาจมากล้นจริงๆ นะพ่อคุณ!!!
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” กฤษณ์ถามเสียงสะบัด ไม่สบอารมณ์เลยสักนิดที่เธอกลับมาเรียกเขาว่าบอสเหมือนเดิม
“ว่าอะไร ขิงยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ”
ชายหนุ่มฟังแล้วยกมือขึ้นกอดอกพิงพนักเก้าอี้แล้วจ้องคนตรงหน้าเขม็ง “ก็ที่เรียกว่าบอสนั่นอะไรกัน เราตกลงกันแล้วนะ”
“เราตกลงระหว่างกันค่ะ” เธอว่าเสียงเข้ม จ้องตาอีกฝั่งไม่กระพริบ “ถ้าเป็นที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ทำงาน หรือเวลาเราอยู่กันสองคน ขิงจะไม่คิดอะไรเลย แต่ในที่ทำงานเมื่อมีบุคคลที่สามอยู่ แล้วขิงเรียกแบบนั้นพี่กฤษณ์จะดูไม่ดีนะคะ”
กฤษณ์ยิ้มมุมปากเล็กๆ ชอบจังเวลาเธอพูดคำว่า ‘เรา’ ช่างเป็นคำที่ไพเราะเสียจริง มันเหมือนเขาถูกรวมเข้าไปในชีวิตเธอเรียบร้อยแล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าเอาเรื่องตรงหน้าแล้วยิ่งทำให้ชอบใจใหญ่ เวลาขิงโมโหน่ารักไม่แพ้เวลาเธอยิ้มเลยสักนิด
“โอเค พี่ยอมก็ได้ นอกเวลางานพี่ยังเป็นพี่กฤษณ์ของขิงอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ เอ๊ะ?” ตอบไปแล้วถึงนึกออกแก้มหญิงสาวร้อนซู่ขึ้นมาสองข้าง... เขาไม่ใช่ของเธอเสียหน่อย!
คิดได้แล้วก็รีบขอตัวเดินออกจากห้องไป ไม่สนใจแววตาที่ล้อเธออยู่ เขาล้อเธอด้วยสายตาทั้งที่ไม่พูดอะไรแต่มันกลับให้เธอยิ่งทำอะไรไม่ถูกหนักเข้าไปอีก ขิงรีบก้มหน้าจ้ำออกจากห้องเจ้านายไม่ทันได้มองว่าใครยืนอยู่หน้าประตู พอเปิดออกไปทั้งคู่เลยแทบผงะ ภพยืนอยู่ก่อนแล้วรีบยกมือขึ้นกันไว้เผื่อคนข้างในไม่เห็นแล้วกระแทกเขาอย่างจัง แต่กลายเป็นว่าขิงก็ผงะหนีพอกัน คนเป็นรุ่นพี่จึงได้แต่มองแก้มแดงๆ ของน้องสาวอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขารีบหลีกทางให้แล้วพาตัวเองเข้าไปด้านในแทน
เย็นวันนั้นหลังจากขิงโทรฯ คุยกับแม่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ตัดสินใจไปตามคำชวนของกฤษณ์ ปล่อยให้คนแก่สองคนสวีทหวานอยู่ที่บ้านโดยไม่มีเธอนั่งเป็นก้างอยู่ที่บ้านน่าจะดีกว่า หญิงสาวสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองแล้วถอนหายใจ ยังดีที่วันนี้เธอแต่งตัว ‘พอดูได้อยู่บ้าง’ ด้วยชุดเดรสสีครีมที่ไม่ได้แต่งบ่อยๆ แต่ผมที่ยุ่งเหยิงนี่สิขิงยืนมองกระจกในห้องน้ำแล้วยกมือขึ้นลูกอยู่หลายที แต่ทำยังไงผมของเธอก็ไม่ยอมเรียบจนคิดอย่างปลงตกว่าคงต้องปล่อยให้เลยตามเลย
หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย โรงแรมห้าดาวลูกค้าส่วนใหญ่คงเป็นพวกชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจฐานะดีๆ เท่านั้นที่จะสามารถเข้าพักได้ การบริการที่ดีเยี่ยมของพนักงานยิ่งทำให้ขิงเคอะเขิน เนื่องจากไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน เธอจึงคอยส่งยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานทุกคนที่คอยเข้ามาช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเปิดประตู หรือพาไปที่ห้องรับประทานอาหาร จนถึงโต๊ะที่อลิซได้จองไว้ การเดินอยู่ข้างๆ กฤษณ์ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนเด็กกะโปโลเข้าไปทุกที เธออดชื่นชมในท่าทางสุขุมและนิ่งของเขาไม่ได้ ยิ่งได้เห็นยิ่งทำให้ปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
“เรียบร้อยแล้วนะ” กฤษณ์ถาม เมื่อขิงนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ มีเพียงการพยักหน้าของเธอเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“เอ่อ คุณอลิซล่ะคะ”
“เดี๋ยวคงลงมา ขิงจะสั่งอะไรก่อนมั้ย” มือหนายื่นเมนูให้ แล้วเขาก็ได้เห็นคนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาเป็นท่าทีปฏิเสธ ราคาอาหารที่ระบุอยู่ในเมนูนั้นแพงจนเธอไม่กล้าคิดถึงตอนจ่ายเงินว่าจะแพงขนาดไหน
“พี่กฤษณ์สั่งเถอะค่ะ ขิงไม่รู้จะสั่งอะไร”
“งั้นเดี๋ยวพี่สั่งให้นะ” หญิงสาวมองหน้าคนเอ่ยอาสาแล้วพูดไม่ออก เธออยากปฏิเสธว่าไม่อยากหิวแต่พอเห็นหน้าบริกรที่ยืนอยู่แล้วกลับพูดอะไรไม่ออกนอกจาก...
“ค่ะ”
รายการอาหารสองสามอย่างสั่งไปก่อนล่วงหน้าแล้วในขณะที่รอคนชวนลงมาจากห้องพัก ขิงนั่งมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจในความสวยของการประดับไฟในห้องอาหารบวกกับเสียงเพลงคลาสสิคที่บรรเลงรื่นหู ก่อนที่จะหันมาพบกับสายตาหวานของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
“ชอบเหรอ” หญิงสาวตอบรับเสียงใสพลางยิ้มแล้วมองรอบกายอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงลมหายใจอยู่ข้างหู “ไว้วันหลังพามาอีก แต่มากันแค่สองคนนะครับ”
หน้าร้อนอีกแล้ว ขิงรู้สึกอย่างนั้นอีกครั้งหลังได้ยินประโยคชักชวนนั้นนับว่าโชคดีของเธอที่อลิซเดินมาถึงที่โต๊ะพร้อมกับบริกรพอดี ทำให้เธอยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดก่อนที่จะเข้าตัวไปมากกว่านี้
“คุณอลิซสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะสาวน้อย วันนี้แต่งตัวหน้ารักเชียว” ขิงยิ้มรับเขินๆ เธอไม่ได้พูดอะไรอีกจนอลิซพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วนี่ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ”
“คง... คงเป็นที่ไฟมั้งคะ” คนถูกถามก้มหน้าลงซ่อนรอยเขินอีกครั้ง เลยไม่ได้รู้เลยว่าคนข้างตัวหันหน้ามายิ้มกับเธอกว้างแค่ไหน ภาพที่เห็นทำเอาอลิซยิ้มตามไปด้วย ในที่สุดท่อนไม้ก็มีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความจริงกลับพิเศษมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
บรรยากาศดินเนอร์สุดหรูเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งอลิซและขิงต่างคุยกับอย่างถูกคอ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นพักๆ ด้วยคำพูดของหญิงสาวทั้งสอง ส่วนกฤษณ์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็มีร่วมวงบ้างบางทีแต่ไม่มาก เพราะเขาชอบมองคนข้างตัวยิ้มและพูดมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
มือใหญ่ถือโอกาสจับมือคนข้างกายมาไว้บนตักตัวเองอย่างหน้าตาเฉย เจ้าของมือถลึงตาดุใส่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมปล่อย จนขิงต้องปล่อยเลยตามเลย จับได้เท่าไหร่ก็จับไป นี่ไม่ได้อยากให้จับเลยนะ ไม่ได้อยากเลยจริงๆ
“พี่กฤษณ์ปล่อยมือขิงได้รึยังคะ” เสียงเล็กรีบท้วงขึ้นทันทีที่แยกกับอลิซมาที่ลาดจอดรถเพื่อกลับบ้าน มือใหญ่ที่ยังคงจับอยู่กระชับมือเล็กแน่นเข้าไปอีก แถมยังมองหน้าเธอส่งสายตาหวานอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไม่ปล่อยได้มั้ย วันนี้พี่ไม่อยากไปส่งขิงที่บ้านเลย” เธอค้อนขวับใส่คนพูด ไม่ไปส่งเธอวันนี้แม่เธอได้เด็ดก้านมะยมมาฟาดไม่ยั้งแน่
“ไม่ไปส่งได้ยังไงคะ ขิงบอกแม่ไว้แล้วว่ากลับไม่เกินเที่ยงคืน” กฤษณ์หน้ามุ่ยลง ไม่เกินเที่ยงคืน... นั่นก็หมายความว่าเขามีเวลาอยู่กับเธออีกแค่ไม่นาน กว่าจะขับรถไปถึงบ้านเธอก็กินเวลาไปไม่น้อยเลย
“ถ้าอย่างนั้นวางยาแล้วฉุดไปไว้ที่บ้านเลยดีกว่า เดี๋ยวพี่โทรฯ ไปบอกแม่ขิงเอง”
คำพูดแสนกะล่อนนั้นทำเอาคนฟังทนไม่ไหวตีไหล่คนพูดไปเสียงดังฟังชัด แถมด้วยเสียงคนโดนตีที่ร้องโอดโอยลั่นลานจอดรถอย่างที่รู้ว่าการแสดงล้วนๆ จนหญิงสาวเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมาเกือบหยิกเข้าที่ท้องแขนของอีกฝ่าย
“ขิงไม่ได้ตีแรงซักหน่อย ร้องเสียงดังเว่อร์มาก”
คน ‘เว่อร์มาก’ ได้แต่หัวเราะอยู่อย่างนั้น ยังไม่ยอมขยับกดปลดล็อกรถหรือแม้กระทั่งหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋า มือใหญ่ที่คิดว่ากระชับแน่นแล้ว ยิ่งกระชับแน่นเข้าไปอีกเมื่อเห็นหน้ามุ่ยของอีกฝ่าย ขิงเริ่มทำปากยื่นที่ยิ่งมองยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
“อย่าเพิ่งกลับเลยนะ” เขาว่าอย่างนั้น พร้อมกับดึงร่างเล็กให้เดินตามไปที่ศาลาริมน้ำด้านหลังโรงแรม ไม่สนใจเสียงทวงถามที่ดังแว่วๆ ริมหู ชายหนุ่มพาขิงมาหยุดยืนอยู่กลางศาลาปล่อยมือให้เธอได้เดินดูความสวยงามของไฟริมน้ำที่ทางโรงแรมได้ตกแต่งไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปซ้อนข้างหลัง แขนแกร่งถือโอกาสโอบเอวเล็กไว้แน่นหนา ไม่ปล่อยโอกาสให้หญิงสาวทันได้ขยับตัวออกไปไหน ทำได้เพียงใช้มือเล็กๆ ดันแขนแกร่งให้ปล่อยอ้อมกอด
“เอ่อ... พี่กฤษณ์คะ”
“ครับ”
“ปล่อยขิงก่อนค่ะ เอ่อ... ปล่อยเถอะนะคะ” ทั้งเสียงทั้งลมหายใจที่เป่าอยู่ข้างหู ทำให้สติของเธอชักเริ่มกระเจิดกระเจิงออกไป หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ระดับความสามารถในการต่อต้านเลยมีไม่มากอย่างใครเขา
เมื่อรู้ว่าความพยายามไม่เป็นผล แรงที่ใช้ผลักใช้ดันคนตัวใหญ่กว่ามีไม่มากพอที่จะทำให้กฤษณ์สะเทือนด้วยซ้ำ ขิงจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางเป็นใช้เสียงออดอ้อนให้เป็นประโยชน์แทน
“ปล่อยขิงก่อนนะคะพี่กฤษณ์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ถือ” คำแก้ตัวที่ดูไปแบบน้ำขุ่นๆ ทำเอาฝ่ายหญิงขมวดคิ้วนึกแปลความหมายของคำที่อีกฝ่ายพูดแล้วก็นึกได้เพียงความหมายเดียว เขาไม่ถือ แต่เธอถือนี่นา
“ถ้าพี่กฤษณ์ยังไม่ปล่อยขิง ขิงจะโกรธแล้วนะคะ” พอจบประโยคขิงรู้สึกได้ถึงเสียงหัวเราะในลำคอที่ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับความรู้สึกถึงหน้าอกของคนที่ซ้อนหลังอยู่ขยับขึ้นลงถี่ๆ ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเสียงขู่เล็กๆ ไม่ได้ทำให้กฤษณ์กลัวแม้แต่น้อย หญิงสาวหันหน้ามองคนยืนอยู่ข้างหลังแล้วสะบัดหน้าพร้อมกับเสียง ‘ฮึ’
คราวนี้กฤษณ์ถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะพรืด ทำเอาอีกตวาดแว้ด “พี่กฤษณ์คะ!”
“คร้าบๆ เรียกเสียงดังทำไมอยู่ใกล้กันแค่นี้”
“ขิงโกรธจริงๆ แล้วนะคะ”
“โอเคๆ พี่ปล่อยก็ได้ แต่ก่อนปล่อย...” เขาพูดทิ้งไว้ให้เธอสนใจอีกครั้ง ลืมความโกรธเมื่อครู่สนิท แววตาแป๋วที่หันมาจ้องหน้าเขาพร้อมกับแก้มแดงๆ ทำให้เขาอดใจไม่ไหว กดจมูกลงบนแก้มนวลแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะรีบปล่อยให้ร่างบางยืนอึ้งอยู่กลางศาลา
“พะ พี่กฤษณ์!”
“อะไรกันครับ เรียกพี่บ่อยจังเลย” เขายังคงพูดแหย่คนหน้างอง้ำ แขนเล็กกอดเกี่ยวกันไว้เป็นท่ากอดอกเธอตั้งใจสะบัดหน้าพรืดพร้อมกับก้าวไปนั่งตรงริมน้ำ บรรยากาศเงียบสนิทขิงยังคงไม่ยอมพูดกับชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่
เป็นนาน กว่าชายหนุ่มจะเริ่มพูดก่อน “ขิง โกรธพี่เหรอครับ”
คนตัวเล็กได้แต่นั่งนิ่งมองน้ำที่ตอนนี้มืดสนิทไม่เห็นสิ่งใด จนคนตัวโตชักเริ่มเห็นจริงกับคำขู่ที่เธอประกาศไว้เมื่อครู่ ร่างสูงขยับเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คนตัวเล็กที่ยังหันหลังให้เขา ชายหนุ่มมองแผ่นหลังตรงนั้นแล้วนึกหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวตรงหน้าโกรธกันสักที จะมีก็แต่ทำปากยื่นๆ ไม่พอใจบ้าง แต่นี่ไม่กลับไม่พูดกับเขาเลยแค่เขานึกอยากพิสูจน์กลิ่นแก้มนวลว่าหอมรึเปล่า โอเค... เขายอมรับผิดก็ได้ที่หอมแก้มเธอ ก็เธอน่ารักขนาดนี้จะให้เขาอดใจยังไงไหวกันล่ะ
“ขิงครับ” เขาเรียกอีกครั้ง แต่คนที่งอนก็ยังคงงอนอยู่ไม่เปลี่ยนท่าที จนเขาต้องคว้าเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง “โกรธพี่จริงๆ เหรอ”
เท่านั้นแหละ คนที่งอนอยู่เมื่อครู่ถึงกับตัวแข็งทื่อขึ้นมาพยายามขืนตัวไม่โอนอ่อนไปตามแรงดึงของคนตัวใหญ่ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ในเมื่อแรงมีไม่เท่ากัน คนตัวเล็กเลยต้องล้มอยู่ในวงแขนแกร่งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่ง...
“พี่ขอโทษ” คำพูดที่หญิงสาวอยากได้ยินมากที่สุดหลุดออกจากปากของคนที่เธอซ้อนหลังอยู่ ได้ยินแล้วเธอกับถอนหายใจออกมา อย่างน้อยกฤษณ์ก็ไม่ใช่คนปากแข็งอะไร “หายโกรธพี่นะ”
เสียงออดอ้อนที่ดังอยู่ริมหูอีกครั้งทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก ใจสั่นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงเต้นหัวใจของชายหนุ่มชัดเจน สายตาที่มองน้ำอยู่ไม่ได้ช่วยให้ความตื่นเต้นลดลงเลยแม้แต่น้อยในเมื่อริมฝีปากของคนตัวใหญ่ชักขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงข้างขมับ กฤษณ์ถือโอกาสนั้นดมความหอมจากผมของคนตัวเล็กที่ยังคงหอมกรุ่นจนเขาแทบอดใจไม่ไหว อยากกดจูบลงไปที่ขมับเธอเหลือเกิน
“จูบไม่ได้ หอมแก้มไม่ได้ ก็ขอพี่กอดเฉยๆ แบบนี้เถอะนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอ้อนเธออีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้ตอบรับใดๆ จากคำขอร้อง หญิงสาวทำเพียงแค่กระชับอ้อมก่อนที่โอบกอดเธออยู่รอบตัวให้แน่นขึ้นราวกับกลัวเขาหนีไปไหน เพียงเท่านี้ก็ทำให้กฤษณ์ยิ้มแก้มปริหัวเราะแผ่วๆ พร้อมกับคำขอบคุณหวานๆ ที่ทำให้ทั้งคู่อบอุ่นและชุ่มชื่นในหัวใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มะ มะ มาแว้วววววว ^___^
ฮั่นแน่! นั่งฟินกันอยู่อ่ะดิ จุ๊ๆๆๆ หุบยิ้มบ้างอะไรบ้างนะเคอะ คิๆๆๆๆๆ
เอ่อ อย่างงนะคะ วันนี้มิณทิมาเป็นบ้า (ออกแนวเพ้อๆ บ้างเล็กน้อย) โฮ๊ะๆๆ ตอนนี้เขียนแล้วเก๊าก็เขินแทนยัยขิงล่ะ
ตาบอสนี่หวานเกิ๊นนนนนน ไม่ไหวน้ำตาลขึ้นเลย ฮาาาาา
มิณทิมาเพิ่งรู้ค่ะว่าชื่อนางเอกเรื่องนี้มันไปคล้องกันเรื่องสั้นอีกเรื่องนึงนี่เคยลงไม่ (เมื่อคืนนี้เลยสดๆ ร้อนๆ ฮาาา)
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอะไรกับข.ไข่ (ซึ่งความจริงอาจจะไม่เกี่ยวใดๆ กันเลย)
อ่า... แล้วก็ กะ ก็ มิณทิมาคงหายไปจนวันอาทิตย์เลยนะคะ แถบขึ้นปายหน้าฝนเล็กน้อย ฮาาาาา (คนอ่าน: เธอหายไปไหนพวกชั้นไม่เดือดร้อนหรอกย่ะ ลงช้าเป็นหอยทากขนาดนี้!)
โฮวววววววว เค้าผิดไปแล้วววว อย่าเพิ่งเบื่อเก๊านะ กระซิกๆ
เอาล่ะ เดี๋ยวจะเม้าท์เพลิน ตอบเม้นท์กันดีกว่าเนอะ
=========================================
คุณ mhengjhy : เดี๋ยวเขี่ยทิ้งถังขยะเลยดีมั้ยคะ (ยัยคนนี้โหดสุด)
คุณ pattisa : ฮาาาาาา ตบมือชอบใจใหญ่เลยนะค้าาา
คุณ pseudolife : เขินตรงคนอ่านละลายแล้วนี่แหละค่ะ คนเขียนก็ละลายเหมือนกันนนนน เอิ๊กๆๆ
คุณ คิมหันตุ์ : อั๊ยยะ ป้าอลิซไม่นิยมเด็กนะคะ แต่เด็กนิยมคุณป้ารึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ คิๆๆ
---------------------------------------------------------------
รักทุกคนนะค้าาา ^3^)/ ไว้เจอกันตอนหน้าคับโผ้ม!

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2556, 14:30:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2556, 14:30:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1376
<< ตอนที่ 14 | ตอนที่ 16 >> |

คิมหันตุ์ 27 มิ.ย. 2556, 15:11:46 น.
เฮยยยยยย บอส ยังไม่ได้ขอเค้าเป็นแฟนเลย ไปแต๊ะอั๋งแบบนั้น เค้าก็โกรธสิ...คิคิ
บรรยากาศกำลังดี ขอเป็นที่รักเลยสิ..คิคิ
เฮยยยยยย บอส ยังไม่ได้ขอเค้าเป็นแฟนเลย ไปแต๊ะอั๋งแบบนั้น เค้าก็โกรธสิ...คิคิ
บรรยากาศกำลังดี ขอเป็นที่รักเลยสิ..คิคิ

mhengjhy 27 มิ.ย. 2556, 15:32:26 น.
หวานกำลังดี อิอิ
หวานกำลังดี อิอิ

ปิศาจสัญจร 27 มิ.ย. 2556, 16:03:07 น.
อ่านไปก็ยิ้มไป
อ่านไปก็ยิ้มไป

pseudolife 27 มิ.ย. 2556, 21:22:49 น.
ต๊ายยย พี่กฤษณ์ชักอดใจไม่ไหวแล้ว
นายแอมป์ รู้ตัวช้าอย่ามาป่วนนะ
ต๊ายยย พี่กฤษณ์ชักอดใจไม่ไหวแล้ว
นายแอมป์ รู้ตัวช้าอย่ามาป่วนนะ

lookpud 27 มิ.ย. 2556, 21:32:49 น.
ตอนนี้หวานนนน
ตอนนี้หวานนนน