น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 13.เขามีคนรักอยู่แล้ว...แล้วความรักที่เธอมีให้เขาล่ะ

13.

ขณะที่คู่รักกำลังกินอาหารกันอยู่นั้น คชาพัฒน์ก็เดินนำนัยนิต น้ำผึ้ง ประทิน สำลี เข้ามาในร้าน...

“อ้าว คุณศุกร์” คชาพัฒน์นั้นพอเห็นก็ส่งเสียงร้องทักพร้อมกับบอกสมาชิกที่เดินตามกันมาไปด้วย น้ำผึ้งที่เดินเกาะแขนสำลีนั้นถึงกับชะงักเท้า...ใจที่ฟูคับอกพลันแฟบลงในทันที...

เขามีคนรักอยู่แล้ว...แล้วความรักที่เธอมีให้กับเขาล่ะ...

รักเขาข้างเดียว แถมเป็นการรักคนมีเจ้าของเสียด้วย...น้ำผึ้งสูดลมหายใจเข้าปอด พยายามเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด...

“มากันอย่างไรครับ” วรรณศุกร์เอ่ยปากถามเมื่อคชาพัฒน์เดินไปเกือบจะถึงโต๊ะที่เขานั่งอยู่กับแฟนสาว...ภัทรินหันไปหาหมู่คณะที่เข้ามาใหม่ทันที

“มากันสองคนเหรอ สวัสดีครับคุณภัท” คชาพัฒน์นั้นไม่ได้ยกมือไหว้ภัทรินอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพราะถือว่าอายุไล่เลี่ยกัน เขาเพียงแต่เอ่ยปากทักทายตามมารยาทเท่านั้น

“ดีค่ะ หน่อง”

นัยนิตที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับคชาพัฒน์เพราะเสียเดิมพันให้ประทิน เร่พาประทิน สำลี น้ำผึ้ง ไปอีกทาง โดยปล่อยให้คชาพัฒน์นั้นทักทายวรรณศุกร์กับแฟนสาวตามลำพัง...นิสัยของนัยนิตนั้นบางทีเหมือนเป็นคนไม่ค่อยสนใจคนรอบ ๆ ตัว เหมือนคนมีโลกส่วนตัว สนใจแต่งานตรงหน้าเพียงอย่างเดียว...ผิดกับคชาพัฒน์อย่างลิบลับแต่ว่าทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว

และเมื่อคนอื่น ๆ ทำเหมือนไม่สนใจตน ภัทรินก็รู้สึกขวางหูขวางตาขึ้นมา โดยเฉพาะเด็กสาวผมยาวประบ่าร่างสูงที่เดินไปกับนัยนิตและสำลี
...ต้องเป็นคนนั้นแน่ ๆ ที่เพิ่งไปได้ตำแหน่งธิดากระท้อนหวานมา วันนี้ถึงได้มาด้วยกัน

“ครั้งนี้มากี่วันฮะ”

ภัทรินมาถึงที่บ้านไพรเมื่อตอนบ่ายวันอาทิตย์ และจะกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันอังคาร เพราะว่า เช้าวันพุธนั้นมีบินไปทางโซนยุโรป...

“ถามทำไมเหรอ” แม้จะรู้ว่าคชาพัฒน์ถามไปอย่างนั้น แต่ว่าภัทรินนั้นนึกอยากจะหาเรื่องขึ้นมาเพราะคำถามนั้นฟังแล้วรู้สึกขัดหู

“หน่องถามไปอย่างนั้นเองฮะ...ไม่มีอะไรหรอก”

“นึกว่าจะชวนคุณศุกร์เขาไปไหนอีก”

“ทำอย่างกับชวนได้ง่าย ๆ...รักนวลสงวนตัวจะตายไป อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน”

พอถูกคชาพัฒน์เหน็บให้ วรรณศุกร์จึงแกล้งกระแอมไอ...แต่ว่าคชาพัฒน์กลับไหวไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้...และขณะที่คชาพัฒน์จะขอตัวไป ภัทรินก็เอ่ยเข้าเรื่องที่อยากรู้

“แล้วยกทีมกันมานี่ มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”

“พาน้ำผึ้งเขามาเลี้ยงฉลองตำแหน่งธิดากระท้อนหวานนะฮะ”

“น้ำผึ้ง” ภัทรินถามย้ำเพื่อความแน่นใจ

“น้องผู้หญิงคนตัวสูง ๆ นั่นแหละฮะ”

ภัทรินปรายตาไปมองทั้งคณะที่เลือกที่นั่งได้แล้ว น้ำผึ้งนั่งคู่กับสำลี นัยนิตนั่งอยู่กับผู้ชายที่ภัทรินไม่รู้หรอกว่าชื่ออะไร พินิจดูแล้วหน้าตาใช้ได้ เสียแต่ว่าความสูงนั้นสันทัดไปสักหน่อย และที่ว่างหัวโต๊ะก็คงเป็นของคชาพัฒน์

“คือเรากำลังวางแผนกันว่า ต่อไปจะต้องเก็บตัว ฝึกซ้อม ขึ้นเวทีใหญ่กว่านี้ก็เลยหาบรรยายกาศสักหน่อย” อันที่จริงวันนี้ ประทินที่ได้เดิมพันจากนัยนิตนั้นแวะมาที่ร้านแล้วทวงเรื่องที่พนันกันไว้ นัยนิตเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะเลี้ยงน้ำผึ้งด้วยจึงได้ชวนคชาพัฒน์และสำลีออกมาที่ร้านอาหารริมคลองส่งน้ำแห่งนี้ แต่ คชาพัฒน์ก็ไม่ยอมบอกความจริงกับภัทรินทั้งหมดด้วยอยากให้ภัทรินเห็นว่า งานอดิเรกของตนนั้นไม่ใช่งานที่ทำเล่นและไม่ได้ดูกระจอกงอกง่อยแต่อย่างใด

“เวทีอะไร”

“ยอดพธูไทย”

ภัทรินเบ้หน้าเล็กน้อย สายตานั้นดูแคลนว่าคชาพัฒน์คิดการณ์ใหญ่เกินตัว...

“นึกอย่างไรจะพาเขาขึ้นเวทีระดับนั้น...คนไปสมัครเป็นร้อย ๆ คัดเหลือแค่ ยี่สิบ สามสิบคน จะเข้ารอบแรกไหมนะ”

“มันก็ต้องลองดูสักตั้ง แล้วอีกอย่าง มีเวลาเตรียมตัวกันนานฮะ ตั้งปีหน้าโน่น...”

ปีหน้าน้ำผึ้งก็จะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย โปรไฟล์ของน้ำผึ้งคงจะดีกว่าเด็กมัธยมปลายและระหว่างนี้ คชาพัฒน์ก็วางแผนให้น้ำผึ้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเวทีเล็ก ๆ ที่พอเดินทางไปไหว...เพราะนางงามที่เจนเวทีก็ย่อมเป็นต่อนางงามที่ไม่เคยขึ้นเวทีเลยสักครั้ง
และหนึ่งในเวทีก่อนที่จะขึ้นเวทีใหญ่ก็คือเวทีนางนพมาศที่บ้านไพรในปลายปีนี้ด้วย...

“ภัทไม่อยากจะห้ามหรอก...แต่ถ้าคิดว่าอยากลองก็เอาเถอะ” ว่าแล้วภัทรินก็หันกลับไปตักกับข้าวมาใส่จานแสดงอาการให้คชาพัฒน์รู้ว่า หมดเรื่องจะคุยด้วยแล้ว เชิญตามสบาย

คชาพัฒน์เข้าใจอะไรได้ไม่ยาก...แต่ว่าคชาพัฒน์ก็อยากป่วนคู่รักหวานแหววคู่นี้ดูสักหน่อย...

“คุณศุกร์ครับ นี่หน่องชวนคุณวิธิตไว้ด้วย เดี๋ยวก็จะตามมา อาจจะมีก่งก๊งกัน...อย่างไรถ้าอิ่มข้าวแล้ว หน่องก็ชวนคุณศุกร์ไปร่วมวงด้วยนะครับ”



“ไอ้ทิตมันสนใจน้ำผึ้งน่ะ” เพื่อไม่ให้ภัทรินรู้สึกหึงหวง วรรณศุกร์จึงต้องเปรยประโยคนี้ออกมาหลังจากที่คชาพัฒน์เลี่ยงไป...

“เด็กแค่สิบแปดนี่นะ...ห่างกันเป็นรอบเลยมั้ง”

“เป็นรอบ แต่ไอ้ทิตมันว่ามันชอบ”

ภัทรินใช้หางตามองน้ำผึ้งอีกครั้ง รู้สึกว่าใบหน้ายามที่ไม่ได้แต่งเติมสีสันของน้ำผึ้งเหมาะเจาะลงตัวดีเหมือนกัน คิ้ว ปาก จมูก หน้าผาก และที่สำคัญ ส่วนสูงที่ดูจะเป็นต่อ ถ้าจะติหน่อยก็ต้องผิวสีน้ำผึ้ง...แต่ปัจจุบันเรื่องสีผิวมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้หญิงอีกแล้ว ทั้งยากิน ยาฉีด และครีมสารพัดอย่าง...ช่วยให้ขาวได้เหมือนมีมนต์เสก

“ไหนบอกว่าเป็นญาติ ๆ กัน”

“เอ้อ...” วรรณศุกร์นั้นลืมไปว่าได้พูดปดไปว่า วิธิตชวนไปดูญาติตัวเองขึ้นประกวดนางาม...

“ถ้าเด็กสนใจอนาคตเขาก็เป็นเหมือน ๆ ญาติกัน”เขาไปแบบน้ำขุ่น ๆ

ภัทรินพยายามจ้องดูแววตาของคู่รัก วรรณศุกร์พยายามเกลื่อนแววตาสีหน้าให้เป็นปกติเป็นที่สุด...

“ศุกร์เองไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเด็กคนนี้ใช่ไหม”

“เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย พ่อเขาก็เคยทำงานที่ร้าน” แล้ววรรณศุกร์ก็เล่าประวัติของน้ำผึ้งให้ภัทรินฟังคร่าว ๆ

“สรุปว่า วิธิตเขาชอบน้ำผึ้ง คิดจริงจังด้วย แล้วก็คิดจะเลี้ยงต้อยเด็กด้วย...”

“ประมาณนั้นแหละ”

“ภัทว่าเด็กคนนี้ไปได้ไกลกว่าวิธิตค่ะ”

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“ดู ๆ แล้ว มีออร่าอยู่เหมือนกัน” ระหว่างที่คุยกับวรรณศุกร์นั้นภัทรินก็ปรายตามองพินิจพิจารณาน้ำผึ้งไปด้วย แม้จะใส่เสื้อยืดตัวหลวมโพรกกางเกงขาสามส่วน รองเท้าเตะ ปล่อยผมแสกข้างประบ่าเหมือนเด็กกะโปโล แต่ว่าแววตาของน้ำผึ้งนั้นดูจะเป็นคนที่ฝันสูงอยู่ไม่น้อย และวิธิตเองก็ไม่ใช่คนหล่อเหลาอะไรนัก ถ้ายืนเทียบกันแล้วน่าจะเตี้ยกว่าน้ำผึ้งเสียด้วยซ้ำ จะดีหน่อยก็ตรงที่ทำงานธนาคารดูมั่นคง ครอบครัวมีฐานะ...
ภัทรินมั่นใจว่าน้ำผึ้งไม่มีทางสนใจวิธิตอย่างแน่นอน...แต่ถ้าเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอนี่ละไม่แน่...เซ้นส์มันบอกภัทรินอย่างนั้น แต่ภัทรินก็ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้อย่างที่มักทำเป็นประจำ

“ศุกร์ก็น่าจะรู้ดีว่าเพื่อนศุกร์น่ะ ประมาณไหน...”

“แล้วแต่มันเถอะ...อ้อภัท เดี๋ยววันอาทิตย์ที่จะถึง คุณแม่จะจัดงานครบรอบวันเกิดนะครับ จะมีทำบุญเลี้ยงเพลพระที่บ้าน”

วรรณศุกร์รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ภัทรินถามถึงกำหนดการคร่าว ๆ...

“ไม่รู้ภัทจะมาได้หรือเปล่านะคะ แต่จะพยายามมาให้ได้”

และยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยกันต่อ...ที่หน้าร้านก็มีแขกเข้ามาอีกคณะ แต่ว่าครั้งนี้เป็นคณะใหญ่ทีเดียว หนึ่งในนั้นมีท่านสารวัตรที่เพิ่งมาประจำการอยู่ใน สภ.บ้านไพร คนที่วรรณศุกร์และใคร ๆ ก็รู้จักเพราะว่าสังคมในตำบลบ้านไพรนั้นคับแคบ...แต่วรรณศุกร์ก็ทำได้เพียงยิ้มให้ แล้วทั้งคณะก็พากันเลี่ยงไปยังมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะที่คชาพัฒน์นั่งอยู่...


วิธิตมาถึงหลังวรรณศุกร์สั่งเช็กบิลแล้ว เขาร้องทักเพื่อนรักกับแฟนสาวตรงลานจอดรถ...

“โลกกลมจังเลย กำลังจะกลับกันเหรอ หน่องโทรไปบอกว่าเอ็งกับคุณภัทอยู่ที่นี่พอดี รีบแทบตายเลยนะเนี่ย” วิธิตยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีตองอ่อนกางเกงสแลคไม่ได้ผูกเนคไทเหมือนตอนที่นั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์

“มากันนานแล้ว ตามสบายเลย”

“ไม่ก๊งกันสักหน่อยเหรอ”

“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน...”

“เข้าใจๆ ...ขอตัวก่อนนะครับคุณภัท” ทักภัทรินในทีแล้ววิธิตก็เดินยิ้มชื่นเข้าในร้านอาหาร...

ก่อนหน้านั้น คชาพัฒน์กับน้ำผึ้งได้ปรึกษากันเรื่องรำแก้บนที่วิหารหลวงพ่อหินซึ่งน้ำผึ้งได้ไปบนบานไว้ก่อนจะเดินทางไปประกวดว่า จะรำสีนวลถวายหากว่าได้ตำแหน่งธิดากระท้อนหวาน...และคชาพัฒน์ก็มีความเห็นว่า ควรจะใช้โอกาสนี้ป่าวประกาศให้คนทั้งตลาดบ้านไพรรู้ว่านอกจากจะสวยแล้วน้ำผึ้งยังมีความสามารถพิเศษที่ปัจจุบันนั้นยากจะหาได้ง่ายจากตัวเด็กสาวทั่ว ๆ ไป...

“รำไทย ใคร ๆ ก็รำได้พี่ สมัยเรียน ม.ต้น ก็เรียนรำกันทั้งนั้น ครั้งนั้นขึ้นเวทีกันก็ตั้งหลายคน” น้ำผึ้งรีบถ่อมตนเมื่อบอกให้คชาพัฒน์รับรู้ว่าตอนนั้นบนบานไว้ว่าจะรำสีนวลแก้บน ซึ่งพอรู้คชาพัฒน์ก็กรี๊ดกร๊าดดีใจเหมือนกับว่าน้ำผึ้งนั้นสามารถเดินบนพื้นน้ำในสระได้

“แต่รำแล้วเป็นที่น่าสนใจมันไม่ค่อยมีไง รำฆ่าเวลา คนก็ดู ๆ ไปอย่างนั้นแหละ...เอาเป็นว่า เดี๋ยวพี่จะประกาศให้พี่ป้าน้าอาในตลาดไปดูกันนะ วันเสาร์นี้ตอนเก้าโมงเช้าเรื่องชุดพี่จัดการเอง โทรกริ๊งเดียวเพื่อนพี่ที่ทำชุดเช่าอยู่พร้อมส่ง EMS มาให้ได้ทันที รับรองว่าผึ้งจะต้องสวยและต้องเป็นข่าวอีกครั้ง...”

เมื่อหมายมั่นปั้นมือจะส่งน้ำผึ้งขึ้นเวทียอดพธูไทยในปีหน้า คชาพัฒน์จึงได้ล้วงแคะแกะเกาค้นหาความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัวของน้ำผึ้งแม่ค้าขายลูกปิ้งอดีตนักกีฬาวอลเล่ย์บอลโรงเรียน ซึ่งคชาพัฒน์รู้จักน้ำผึ้งเพียงแค่นั้น แต่พอคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว คชาพัฒน์จึงได้รู้ว่า น้ำผึ้งนั้นเล่นขิมได้ รำไทยได้ แม้จะไม่ได้รำจนสวยงามเพราะอ่อนซ้อม แต่ว่าถ้าฝึกปรือกันบ่อย ๆ เข้า ก็สามารถขึ้นโชว์ได้อย่างไม่อาย ส่วนภาษาอังกฤษของน้ำผึ้งนั้นดูจากคะแนนที่ได้ ถือว่าใช้ได้ทีเดียว สรุปว่า น้ำผึ้งเก่งทางด้านศิลปศาสตร์และที่สำคัญน้ำผึ้งสนใจทางด้านอาหารไทย เพราะมีโครงการจะเรียนต่อทางด้านคหกรรมศาสตร์...

พอรู้ว่าน้ำผึ้งพร้อมจะสู้กับตน คชาพัฒน์ก็รู้สึกว่า หนทางที่จะพาน้ำผึ้งไปสู่เวทีใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว...ถ้าหากน้ำผึ้งไปคว้ามงกุฏมาไม่ได้ อย่างน้อยตัวคชาพัฒน์เองก็ได้ประสบการณ์มาทำงานในวันข้างหน้า

เมื่อหย่อนก้นนั่งลงหัวโต๊ะตรงกันข้ามกับคชาพัฒน์แล้ววิธิตก็ยิ้มหวานให้น้ำผึ้งที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของตน

“สรุปว่า งานนี้ผมไม่ต้องหารหรือออกค่าอาหารใช่ไหมครับ” วิธิตนั้นถูกคชาพัฒน์เรียนเชิญมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเพราะว่าวันนั้นเขาเสียสละเวลาไปเชียร์น้ำผึ้ง และวิธิตเองก็ถึงกับบนบานกับหลวงพ่อหินว่าจะวิ่งรอบมณฑปหลวงพ่อถึงหนึ่งร้อยรอบ คชาพัฒน์จึงถือว่าเขามีส่วนร่วมกับความสำเร็จของน้ำผึ้งในครั้งนี้...และอันที่จริงคชาพัฒน์ก็อยากจะชวนวรรณศุกร์มาด้วย แต่คชาพัฒน์ก็รู้ว่าวันนี้วรรณศุกร์หมดโอกาสเป็นตัวของตัวเองเสียแล้ว...ครั้นจะเลื่อนวันเลี้ยงฉลองออกไปนัยนิตก็ไม่ยอมเพราะว่าประทินนั้นโทรมาทวงถาม...

“จะช่วยออก หน่องก็ยินดีฮะ”

“งั้นขอฝากท้องไว้สักมื้อแล้วกัน...”

“แล้วจะไปวิ่งแก้บนเมื่อไหร่ ร้อยรอบนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ”

ช่วงเวลานั้นน้ำผึ้งตักกับข้าวมาใส่จานเงียบ ๆ เพราะถือว่าตนเองนั้นเป็นเด็ก ผู้ใหญ่อยากคุยอะไรก็คุย
กันไป แล้วอีกอย่าง ลึก ๆ น้ำผึ้งก็รู้สึกโหวงเหวงในหัวอก เพราะภาพที่วรรณศุกร์เดินเคียงไปกับภัทรินนั้นมันบาดตาตำใจเสียเหลือเกิน เขามีแฟนแล้ว เขามีเมียแล้ว เขาเป็นคนมีเจ้าของ เธอเองก็ยังเด็กนัก มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่เขาก็น่ารักเสียเหลือเกิน
น้ำผึ้งเกลี่ยข้าวในจานเพราะรู้สึกตื้อขึ้นมา...ทั้งที่ก่อนหน้านั้นรู้สึกหิวเป็นอย่างมาก

“อิ่มแล้วเหรอผึ้ง” วิธิตเอ่ยปากถามเมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำผึ้งดูเหงา ๆ ไม่ร่าเริงสมวัย

“อิ่มค่ะ แต่ข้าวยังไม่หมดจาน เสียดาย”

“ไว้หุ่นหรือเปล่า พี่ว่ายังผอมไปนะ”

น้ำผึ้งยิ้มนิด ๆ มองหน้านัยนิต ประทิน แล้วน้ำผึ้งก็รู้สึกว่า โต๊ะตัวใหญ่ที่มีผู้ชายกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาทีหลังนั้น ผู้ชายวัยกลางคนหนึ่งในคณะนั้น มองมาหาตนเอง...น้ำผึ้งพยายามที่จะไม่สบตาของเขา แต่ว่าเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา

“วิธิตมาเหมือนกันเหรอ”

“สวัสดีครับท่าน”

“หน่อง”

“สวัสดีครับท่าน” ก่อนหน้านั้นคชาพัฒน์ยิ้มให้ท่านสารวัตรคนนี้ไปแล้วเพราะท่านเคยไปเป็นลูกค้าที่ร้าน ส่วนนัยนิตนั้นตักข้าวเข้าปากทำเหมือนกับว่า ท่านก็คือท่าน ไม่ใช่คนสลักสำคัญที่จะต้องละช้อนข้าวมาคุยด้วยเช่นเดียวกับประทินที่ค่อนข้างจะเข้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เป็น ทั้งที่พ่อของเขาเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน แต่ตัวเขาเองนั้นถือว่า หมดยุคสมัยศักดินาแล้ว ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ เขาเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านก็จริง แต่เขาก็เป็นเพียงชาวไร่เท่านั้น สวนพ่อจะนอบน้อมให้ใคร ก็เรื่องของพ่อ ไม่เกี่ยวกัน

สายตาของท่าน บัดนี้อยู่ที่วงหน้าของน้ำผึ้ง...แล้วท่านผู้มีอำนาจวาสนาก็บอกพูดต่อว่า

“น้องคนนี้ใช่ไหมที่ได้ข่าวว่าไปคว้าตำแหน่งธิดากระท้อนหวานมาได้”

“ใช่ครับ น้ำผึ้งครับ ไหว้ท่านซิน้ำผึ้ง”

น้ำผึ้งจำต้องยกมือไหว้ท่านด้วยทีท่าอ่อนช้อย เพราะคชาพัฒน์เน้นย้ำไว้ว่า ต้องฝึกไหว้ให้สวยทุกครั้งและกับทุกคนด้วยและต้องทำให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะมันคือเสน่ห์ของคนที่ได้ชื่อว่านางงาม

“หน้าตาสวยดีนะ คนบ้านไพรใช่ไหม ทำไมผมไม่เคยเห็น” ท่านที่ตัวสูงยังคงยืน อยู่ระหว่างประทินกับวิธิต วิธิตจึงพลอยรู้สึกเกร็ง ๆ ไปด้วย

“น้ำผึ้งเขาเป็นลูกแม่ค้าขายผัก ตอนเย็นก็ขายลูกชิ้นปิ้งตรงหน้าเซเว่น ท่านคงไม่เคยไปตลาดเลยไม่เคยเห็น”
“ท่าจะจริง ถึงได้ไม่รู้สึกคุ้นหน้า แล้วนี่เรียนอยู่ที่ไหน” คนถามมีทีท่ากระเหี้ยนกระหือรือที่จะรู้จักน้ำผึ้งให้มากขึ้น

“ม.หก ครับที่บ้านไพรวิทยานี่แหละครับ” คชาพัฒน์เป็นฝ่ายตอบ ส่วนน้ำผึ้งนั้นก้มหน้าใช้สายตามองกับข้าวกับมองหน้านัยนิตที่บัดนี้ดูจะมีความกังขาเหมือนกันว่าคนระดับท่านสารวัตรไม่น่าจะลุกมาทักทายชาวบ้านเดินดินธรรมดา มันต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ

“งั้นก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว...แล้วนี่จะไปเรียนต่อที่ไหน”

“ราชภัฏในเมืองนี่แหละครับ...” คชาพัฒน์ยังคงตอบคำถามที่เหมือนท่านจะอยากให้น้ำผึ้งเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

“คณะอะไรเหรอ ต้องสอบเข้าไหม มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้นะ ผมรู้จักกับอธิการบดีเป็นอย่างดี”

“ถ้ามีจะไปเรียนให้ทราบที่โรงพักครับ...ขอบคุณท่านล่วงหน้านะครับ”

“โอเคงั้นผมไม่กวนแล้ว ขอตัวก่อน” ว่าแล้วท่านก็ผละกลับไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง...

พอท่านลับหูลับตาไปแล้ว คชาพัฒน์ก็พ่นลมหายใจออกมา...ท่านคนนี้เพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่ คชาพัฒน์นั้นไม่รู้กิตติศัพท์ของท่านหรอกว่าเป็นมาอย่างไร แต่ขึ้นชื่อว่า ‘ตำรวจ’ คชาพัฒน์มองในแง่ลบไว้ก่อนและการที่ท่านเข้ามาทักทายดูให้ความสนใจน้ำผึ้งเป็นพิเศษนี้ก็คงไม่แคล้วหวังจะเคลมเด็ก...


“พี่ทิต ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วยบนบานกับหลวงพ่อหินให้อีกแรง” น้ำผึ้งร้องบอกเมื่อวิธิตจะผละไปที่รถหลังจากคชาพัฒน์ปฏิเสธไม่ให้เขาไปส่งน้ำผึ้งกับสำลีที่บ้านแทนตัวเองที่ไปรับน้ำผึ้งมาจากบ้านให้มาที่ร้านอาหารแทนการออกไปขายลูกชิ้นปิ้งที่หน้าตลาด และที่คชาพัฒน์ทำอย่างนั้น เพราะต้องการให้แม่น้ำผึ้งนั้นไว้วางใจว่าตนเองนั้น ไม่ส่งต่อน้ำผึ้งไปให้ใครดูแลต่ออย่างแน่นอน กับอีกนัยหนึ่งคชาพัฒน์คิดว่าหากวิธิตสนใจน้ำผึ้งจริง ๆ ก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามและต้องแสดงความจริงใจให้มากที่สุด มากพอที่จะทำให้น้ำผึ้งนั้นคิดจะฝากชีวิตไว้ได้...แต่ลึก ๆ คชาพัฒน์ก็ไม่คิดจะเชียร์น้ำผึ้งกับวิธิต คชาพัฒน์คิดว่า อนาคตของน้ำผึ้งนั้นยังอีกไกล ยังมีเรื่องให้น้ำผึ้งต้องทำมากกว่าจะมาเชียร์ให้น้ำผึ้งหวั่นไหวไปกับแรงปรารถนาของบุรุษเพศที่ไม่ต่างจากภมรหวังลิ้มชิมรสเกสรดอกไม้สีสดสวยซึ่งมีอยู่มากมาย

“บอกผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วผึ้ง”

“ถ้าไม่ได้แรงสินบนจากคุณธิต ผึ้งคงไม่ได้” คชาพัฒน์บอกยิ้ม ๆ

“ผึ้งได้ด้วยความสามารถของผึ้งเองครับ แล้วบังเอิญผมพลั้งปากไป...”

“เมื่อยแล้ว ไปกันเหอะ” นัยนิตขัดจังหวะ

ประทินนั้นขอตัวขับรถกลับบ้านน้ำซับไปแล้ว คชาพัฒน์จึงต้องไปส่งน้ำผึ้งกับสำลีและถึงจะพานัยนิต กลับร้าน

“ไป กลับกัน คุณธิตแยกย้ายนะ” คชาพัฒน์ตัดบท

และเมื่อคชาพัฒน์พารถเคลื่อนออกจากลานจอดร้านอาหารแล้ว คชาพัฒน์ก็เปรยๆ ออกมาว่า

“พี่ชักได้กลิ่นไม่ค่อยดี”

“กลิ่นใครเหรอ กลิ่นอะไรเหรอ” นัยนิตขมวดคิ้วเพราะคิดว่าใครแอบปล่อยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมา

“ไม่ใช่กลิ่นตด พี่หมายถึงสารวัตรทะนงศักดิ์...ดูจะสนใจน้ำผึ้ง”

พอคชาพัฒน์เอ่ยมาแบบนี้น้ำผึ้งจึงยืดหลังตรงตั้งใจฟัง...

“หมายความว่าอย่างไรเหรอ” สำลีถามออกมา

“มีลางสังหรณ์ใจว่าท่านจะนำความยุ่งยากใจมาให้นะซิ พวกผู้ชายนี่นะ เห็นผู้หญิงสวย ๆ เป็นอะไรกัน
ไปหมด พรุ่งนี้พี่ว่า ท่านจะต้องแวะเวียนไปที่ร้านของน้ำผึ้งแน่ ๆ”

น้ำผึ้งถอนหายใจเบาๆ ยิ้มนิด ๆ และถ้ามีกระจกอยู่ใกล้ ๆ น้ำผึ้งคงจะส่องดูหน้าตัวเองอีกที...เพราะตั้งแต่ได้ตำแหน่งธิดากระท้อนหวานมาใคร ๆ ก็ชมกันว่าเธอสวยผิดหูผิดตา ทั้งที่น้ำผึ้งนั้นยังรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นน้ำผึ้งคนเดิม...

“มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายหรอกน่า หมดยุคสมัยใช้อำนาจบังคับเข็ญใจแล้ว นอกเสียจาก จะใช้ของล่อใจ” นัยนิตแสดงความคิดเห็นอย่างคนที่ผ่านโลกมานานพอสมควร

“เดี๋ยวก็รู้”...คชาพัฒน์เปรยออกมาเบา ๆ



และเมื่อกลับไปถึงบ้านน้ำผึ้งก็พบว่าแม่ของตนนั้นนอนตะแคงตัวอยู่บนสื่อโดยมีน้อง ๆ นั่งดูโทรทัศน์อยู่ใกล้ ๆ

“แม่เป็นอะไรเหรอน้ำต้อย น้ำหวาน ทำไมถึงหลับแต่หัวค่ำ” แม้ปกติแม่จะหลับแต่หัวค่ำแต่ว่าแม่ก็จะเข้ามุ้งนอน หลังจากที่น้ำผึ้งกลับจากตลาดและกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว...

“แม่บ่นว่าปวดท้องปวดหัว” น้ำหวานบอกพี่สาวเสียงอ่อย ๆ

น้ำผึ้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างแม่แล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผาก...รู้สึกว่าแม่น้ำอ้อยตัวร้อนรุม ๆ

“แม่ ๆ แม่เป็นอะไร” เพียงแค่ถามแค่นั้นน้ำตาก็ปริ่มขอบตาน้ำผึ้ง

“ไม่ได้เป็นอะไร แค่เพลีย ๆ”

“แล้วแม่ทำไมไม่อาบน้ำขึ้น แล้วขึ้นนอน” วันนี้ด้วยคชาพัฒน์มาขออนุญาตพาน้ำผึ้งไปเลี้ยงฉลอง น้ำอ้อยจึงต้องออกไปขายลูกชิ้นในตอนเย็นกับน้ำหวาน...

“ก็รอหนู”

“แล้วแม่กินข้าวหรือยัง”

“กินไปนิดเดียว” น้ำหวานรายงาน

“แม่กินยาหรือยัง”

“กินแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรหรอก เพลีย ๆ เท่านั้นเอง” น้ำเสียงของน้ำอ้อยนั้นแหบพร่าแต่ครั้นจะลืมตามองดูหน้าลูกสาวก็รู้สึกว่าเปลือกตานั้นหนักอึ้ง พื้นบ้านที่นอนอยู่เริ่มหมุน...แล้วน้ำอ้อยก็ทิ้งหัวลงกับหมอนหลับตาหายใจแรง ๆ

“แม่ไม่สบายแน่ ๆ ใช่ไหมแม่ แม่ป่วยใช่ไหม”

“ไม่ได้ป่วยหรอกนอนพักสักแป๊บเดี๋ยวก็ดี...อย่าเพิ่งกวนแม่ ขอแม่นอนก่อน”...น้ำอ้อยพยายามฝืนน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่เมื่อร่างกายมันป่วย แม้ใจจะเข้มแข็ง ใจก็หาได้บังคับร่างกายได้...





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2556, 09:04:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2556, 09:04:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1869





<< 12.คำถามมีอยู่ว่า   14. “ดูท่าทางคุณศุกร์จะห่วงผึ้งมันมากเหมือนกันนะ” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 25 มิ.ย. 2556, 09:05:43 น.
สรุปว่า ชีวิตน้ำผึ้งกับคุณศุกร์ เกินสามสิบตอนนะฮะ....ต้องติดตามกันไปเรื่อย ๆ ว่า เขาทั้งคู่จะลงเอยกันอย่างไรและมีอีกกี่เวทีที่น้ำผึ้งจะไปซิวตำแหน่งมาได้ไว้ในครอบครอง....ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะฮะ


nateetip 25 มิ.ย. 2556, 09:37:54 น.
ลุ้นกับชีวิตน้ำผึ้ง..


mottanoy 25 มิ.ย. 2556, 10:05:24 น.
งานงอกแล้วน้ำผึ้ง


nunoi 25 มิ.ย. 2556, 11:05:38 น.
นี้แค่ตำแหน่งเดียวนะ ผู้ชายก็รุมจีบกันซะ แล้วถ้าต่อไป น้ำผึ้งจะเจอกับอะไรอีกหล่ะเนี๊ยะ ลุ้นๆๆ


เดิมเดิม 25 มิ.ย. 2556, 12:28:04 น.
พี่หน่องจัดไปตามแต่จะเห็นสมควร


คิมหันตุ์ 25 มิ.ย. 2556, 13:26:39 น.
แม่ป่วยเป็นอะไรมากหรือป่าวเนี่ย??


Zephyr 25 มิ.ย. 2556, 15:44:18 น.
คิดเหมือนพี่หน่องเลย
คนหื่นๆนี่เห็นคนสวยๆไม่ได้สินะ


loveleklek 25 มิ.ย. 2556, 20:35:21 น.
ตามมาอ่าน


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:27:51 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account