บัลลังก์ม่านมนตรา
เจ้าวรวรรณวินทิรา ท่านชายภัสรกณ์ หอมจันทร์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: กลปทุมา
บทที่ ๑ กลปทุมา
รุ่งสางแสงแดดทอรำไรส่องลอดกลีบเมฆา เหล่าสกุณาเริ่มบินออกหากิน ปทุมาที่ชูช่อในสระชลธารส่งกลิ่นอวลหอมอวลไปทั่วบริเวณราวกับมีญาณวิเศษหยั่งรู้ในกาลเบื้องหน้า
ร่างบางยืนมองเหม่อจากขอบหน้าต่าง ผิวกายขาวเนียนถูกคลุมด้วยผ้าตาดทอดขลิบด้วยไหมชั้นดี สไบนางทอจากเส้นไหมสีขาวพิสุทธิ์ ผ้าถุงสีขาวลวดลายงดงามถูกปักด้วยช่างในราชสำนัก
“แอด”บานประตูถูกเปิดออกพร้อมบ่าวจำนวนสองสามคน
เจ้าวรวรรณเคลื่อนกายลงนั่งบนตั่งทอง
เรือนท้ายสวน
“ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”หอมจันทร์กล่าว
“งามมิแพ้เจ้านางในวรรณคดี”พิงพานกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เกิดจากท่านชายกานต์ผู้เป็นเจ้าของเรือนนี้
“นั่นสองคนนั้นเร่งหน่อยประเดี๋ยวเจ้าวรรณจะลงมาก่อน”ป้าแผ้วบ่าวอีกคนสั่งแกมดุ
“เจ้าวรรณเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง แม่มิได้ไปดูเลย”คุณพิงพานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ก็สบายดี กระมัง”หอมจันทร์กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะลึกๆแล้วชังเจ้าวรวรรณอยู่ไม่น้อยที่ได้สมบัติไปคนเดียว ใครๆก็อยากได้สมบัติกันทั้งนั้นโดยเฉพาะสกุล เธวัญรัตน์ ซึ่งแสนจะมั่งคั่งจนหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้
ส่วนเธอกลับได้รับการโขกสับจากเจ้านายทุกวัน ไม่ว่าคนหนุ่มหรือสาวยังมีอีกคนที่เป็นเพื่อนเล่นหอมจันทร์ตั้งแต่เด็กๆ เธอชื่อ แจ่มจันทร์ เนื่องจากได้ร้อยมาลัยด้วยกันบ่อยในพระราชฐาน แจ่มจันทร์ เป็นลูกสาวของคุณแขไขซึ่งถือกำเนิดจากเจ้าคุณพ่อของเธอเช่นกัน
“นังหอมเอ็งเอาห่อนี้ไปให้เจ้าวรรณหน่อย”พิงพานพูดพลางยัดห่อใบตองในมือลูก
“อะไรน่ะจ๊ะ แม่”หอมจันทร์กล่าว
“เออน่า เอ็งรีบเอาไปเถอะ อ้ออย่าให้ท่านหญิงรู้นะประเดี๋ยวจะถูกเอ็ดเอา”คุณพิงพานสั่งพลางหันไปสั่งงานทาสีคนหนึ่ง
“จ้า แม่”ว่าแล้วนางก็เร่งออกจากเรือน
เจ้าวรรณยืนอยู่หน้ากระจก มองสำรวจเรือนร่างตนเองก่อนจะถอนหายใจเศร้าๆ
‘นี่ข้าต้องจากเรือนนี้ไปแล้วหรือ’ดวงตาคู่หวานกวาดมองไปรอบๆตั้งแต่ตั่งทอง พื้นไม้สักชั้นดี ผ้าห่มแพรเงินมาแต่สำเภาจีน ภาพวาดลายทองปักด้วยไหมทองชั้นดีลายบุปผชาติ เหลือบมองเห็นหมอนสักหลาดที่ท่านพ่อประทานให้ และเห็นตะเกียงทองได้แต่สำเภาโปรตุเกส
“แม่วรรณไฉนเจ้าไม่ลงไปละ เกี้ยวมาถึงแลนะ”หญิงชรากล่าว
“ท่านแม่ ลูกมิอยากไป มิอยากจากเรือนนี้ไป มิอยากแต่งงานกับท่านชายภัส แลมิอยากจากท่านแม่ เวรใดหนอต้องจำพรากเราสองแม่ลูกด้วยเล่า”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ มิใช่เวรกรรมที่ทำให้เจ้าจากแม่หากแต่เป็นชะตาที่ทำให้เจ้าต้องไป ตัวแม่เองก็มิอยากให้เจ้าแต่งงานกับคนบ้านนั้นดอก แลหากเจ้าคิดถึงเรือนนี้เจ้าก็กลับมาได้”
“ท่านแม่”ร่างบางวิ่งเข้าไปสวมกอดมารดาราวกับเด็กเล็กๆ
“แม่วรรณ เจ้ามิใช่เด็กแลนะจะทำการสิ่งใดควรตรองให้ดีเสียก่อนจงจำไว้เกียรติแลราชสกุลของเธวัญรัตน์เป็นสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง”มารดาสั่งด้วยเสียงสั่นเครือ
“ลูกจะจำไว้เจ้าค่ะท่านแม่”นางกล่าวก่อนผละออกด้วยรอยยิ้ม
อีกด้านหนึ่ง
ร่างเล็กขยับรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนจะพนมมือไหว้ พลางบ่นขมุบขมิบ
เรือนเจชราช
บ่าวใช้หลายนายวิ่งวุ่นทั่วเมื่อทราบข่าวการวิวาห์ของเจ้านายทั้งสอง
“เอ็งว่าเจ้าวรวรรณจะเทียบกับแม่ศศิวิมลได้ไหมว่ะ”บุรุษกำยำผู้หนึ่งถามขณะสาละวนงานตรงหน้า
“งามกว่าสิว่ะ มิงั้นข้าจะได้ข่าวว่าท่านชายธนานนท์หมายปองนางได้อย่างไร”
“อุวะ เอ็งนี่รู้เรื่องเจ้านายไปเสียหมด”ชายอีกคนกระซิบบอก
“นี่ๆพวกเอ็งช่วยไปยกกระถางต้นไม้ตรงนู้นหน่อยสิ”เสียงหวานแสบแก้วหูของเจ้านายใหญ่ดังขึ้น
“ขอรับ ท่านหญิงไพลิน”ชายทั้งสองลุกเดินออกไป
ท่านหญิงไพลินกวาดตามองแลเห็นขบวนเกี้ยวสีแดงหยุดอยู่ตรงหน้าเรือน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เจ้าสาวมาแล้วเจ้าค่ะ”นางตะโกนลั่น
“เอะอะอะไรกันแม่ไพลิน”หญิงชรานางหนึ่งกล่าว
“คุณพระ เจ้าสาวมาแล้ว ป่านนี้ชายภัสยังมิลงมาอีก”
“ประเดี๋ยวหญิงไปตามให้เจ้าคะ ท่านแม่”พูดจบหญิงสาวก็เร่งไปทางท้ายสวน
เรือนพลับพลา
เรือนไม้สักชั้นดี ใหญ่โตโอ่อ่า ตัวเรือนยกใต้ถุนขึ้นสูงข้างล่างเป็นเรือนนอนบ่าว ด้านบนสำหรับท่านชาย รอบๆ เรือนห้อมล้อมด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ อาทิ จำปา จำปาลาว จำปี มะลิซ้อน ดอกซ่อนกลิ่น รวมถึง
มะลิลา พรรณไม้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นอวลหอมจนเจ้าเรือนมิอยากจากเรือนไป
“ก็อกๆ”มือบางเคาะประตูไม้สักคร่ำคร่า
เรือนนี้ได้รับอิทธิพลจากจีนเมื่อครั้งพระองค์ท่านตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวทางสำเภาจีนทำให้รับของกำนัลจากจีนมากมาย
“พี่ชายภาส เสร็จหรือยังเจ้าค่ะ เจ้าสาวของพี่มารอนานแล้วเจ้าคะ”ท่านหญิงไพลินตะโกนเรียก
“แอด”ประตูไม้สักถูกเปิดขึ้นเผยให้เห็นบุรุษคมสันผู้หนึ่ง
“ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่”หญิงสาวฉุดแขนของชายหนุ่มให้รีบไป
เกี้ยวเจ้าวรวรรณวินทรา
ภายในเกี้ยวหอมจันทร์กับนางอุ่นนั่งอย่างไม่เป็นสุขเมื่อเห็นขบวนเกี้ยวหยุดชะงัก
“เหตุใดจึงมิมารับเจ้าสักที หรือว่าเรามาผิดบ้านนะเจ้าค่ะ”นางอุ่นกล่าวพลางกระพุ่มมือถามเจ้านาง
“มิผิดหรอก ข้าจำได้ต้นกุมาริกาที่ปลูกไว้หน้าเรือนเป็นฝีมือของท่านพ่อข้าเอง”เจ้านางกล่าวเสียงเรียบ
“หากเขามิมารับจะไม่เสียฤกษ์หรือเจ้าค่ะ”นางอุ่นยังคงตีหน้าฉงน
“มิเสียหรอก อันฤกษ์ยามตามตำราโบราณได้กล่าไว้จะช่วยให้คู่รักมีความสุขก็จริงอยู่แต่การกระทำของสองคนต่างหากที่เป็นสิ่งที่ลิขิตทุกสิ่ง”เจ้าวรรณกล่าวตามความคิดของนาง
“คุณพระ นังหอมเอ็งช่วยข้าด้วยข้าจะตกแล้ว”นางอุ่นร้องเสียงหลงพลางทำท่าโงนเงน
“เกี้ยวเคลื่อนแล้วสินะ “เจ้าวรรณกล่าวพลางเหยียดกายตรงพลางผินพักตร์ไปทางอื่น
หน้าเรือนเจชราช
ท่านหญิงพรรณรายและพระองค์ท่านพัชรเพชรยืนรอรับเจ้าสาวในขณะชายภัสเพิ่งจะเดินมาถึงพร้อมกับท่านหญิงไพลิน
เป็นเวลาเดียวกับขบวนเกี้ยวของเจ้าวรวรรณเคลื่อนมาถึงพอดี ม่านสีแดงถูกเปิดขึ้นด้วยมือเรียวบางของหอมจันทร์สาวน้อยวัยกำดัดนุ่งโสร่งสีฟ้ายาวสวยห่มสไบแพรไหมสีฟ้าขาวก้าวออกจากเกี้ยวช้าๆ
ร่างเพรียวของเจ้านางสูงศักดิ์ก้าวตามออกมา ขาเรียวยาวอยู่ภายใต้โสร่งสีนวล ปลายเท้าขาวสะอาดค่อยๆจรดลงบนพื้นธรนินทร์พร้อมกับร่างบางยืนหยัดอย่างสง่างาม แก้มสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาสีดำขลับทอประกายกับแสงสุริยา เส้นไหมดำขลับเกล้าเรียบอย่างสลวย ไรผมเรียบลงกับหน้ามน ความงามของนางดุจนางสวรรค์เทพอัปสรลงมาจุติ เหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายที่วุ่นวายอยู่พากับเงียบสงบลง บ่าวชายบางคนถึงกับลมจับด้วยความงามดั่งมนตรา
ท่านชายภาสที่เห็นอยู่อย่างนั้นรีบกล่าว
“ขอเชิญเจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”ท่านชายภัสกล่าวเสียงเรียบพลางชำเลืองมองเจ้านาง
“เป็นพระมหากรุณาเจ้าค่ะ”เจ้านางกล่าวเสียงหวานก่อนเคลื่อนกายลงก้มกราบท่านชายภัสอย่างสง่างาม
“เจ้าจะทำกระไรนะ”ชายภัสกล่าวเสียงตระหนกพลางประคองเจ้านางลุกขึ้น
หน้าแนบหน้า ชายภัสสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่อยู่บริเวณปลายจมูก นัยน์ตาคมกวาดมองทั่วหน้า
ดวงหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะผลักอกชายหนุ่มเบาให้รู้สึกตัว
“เอ่อ..ข้าว่าเจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”ชายภัสพูดพลางจ้องนางไม่วางตา
“เจ้าค่ะ”เจ้านางก้มหน้าตอบพลางรีบสาวเท้าเข้าไปในเรือน
บ่าวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มนินทาพลางมองสองเจ้านายด้วยสายตารู้ทันเช่นเดียวกับท่านหญิงและพระองค์เจ้าทั้งสองก็มองชายภัสด้วยสายตาเอ็นดู
เรือนเจชราชใหญ่โตโอ่อ่าทำด้วยไม้ประดู่ทั้งเรือน เครื่องทองมากมายจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
งานวิวาห์ของทั้งสองจัดอย่างเรียบง่ายมีเจ้าฟ้าหญิงรณิชามาเป็นพยาน
“แม่ขออวยพรให้ลูกทั้งสองอยู่กันอย่างมีความสุข แม่วรรณเป็นภรรยาก็ต้องคอยปรนิบัติดูแลรับใช้สามีให้ดี
ส่วนพ่อภัสลูกเองเป็นสามีก็คอยปกป้องภริยา เป็นเสาหลักให้ครอบครัว”ท่านหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมในตัวลูกชายและลูกสะใภ้
“ขอบพระคุณเจ้าคะ/ครับ ท่านพ่อแลท่านแม่”เสียงหวานล้ำผสมกับเสียงนุ่มพร้อมกันจนทำให้ทั้งสองมองหน้ากัน
“ส่วนตัวพ่อมิมีพิธีมากดอก หนูวรรณข้าอยากได้หลานสักคนสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เจ้าจะทำได้ไหม”
“หากเป็นเรื่องที่ท่านพ่อต้องการ อิฉันจะทำให้ได้เจ้าค่ะ”เจ้านางเอ่ยเสียงเรียบ แววตามีความมุ่งมั่น
“ก็ดี ตาเจ้าแล้วไพลิน”พระองค์เจ้าพัชรเพชรยิ้มอย่างพอใจพลางเรียกหาลูกสาวคนเล็ก
“หญิงมินึกเลยนะค่ะว่าพี่วรรณจะมาเป็นสะใภ้พี่ชาย”น้ำเสียงของท่านหญิงแลดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“พี่เองก็มิคาดคิดเหมือนกันว่าการจะลงเอยแบบนี้”เจ้าวรรณกล่าวเสียงเรียบ
“เจ้ารู้จักแม่วรรณมาก่อนรึ น้องไพลิน”ท่านชายภัสที่ฟังอยู่อดสงสัยไม่ได้
“น้องรู้จักพี่วรรณก่อนที่จะมาเป็นภรรยาพี่เสียอีก”นางพูด
“แลเจ้าไปรู้จักนางที่ไหน”ท่านชายภัสถามอย่างใคร่รู้เป็นพิเศษ
“สมัยก่อนพี่วรรณเป็นครูสอนเย็บปักของหญิงในราชสำนัก”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่มชม
“จริงรึ แม่วรรณ”ท่านหญิงที่ฟังอยู่นานถามขึ้น
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”เจ้านางเอ่ยเสียงเรียบ
“งั้นรึ ว่าแต่สกุลเจ้ามิใช่ราชสกุลไฉนจึงเข้าเวียงวังได้”พระองค์เจ้าพัชรเพชรถามอย่างสงสัย
“จริงอยู่ที่สกุลของอิฉันมิใช่ราชสกุล เพลานั้นท่านพ่อพาหม่อมฉันเข้าวังไปถวายตัวเป็นนางกำนัลในสมเด็จแลสมเด็จได้ให้ป้าอุ่นนางกำนัลในวังสอนการเย็บปักให้ สมด็จทอดพระเนตรเห็นอิฉันฝีมือดีเลยให้อิฉันสอนน้องหญิงไพลินเจ้าค่ะ”เจ้าวรรวรรณกล่าว
“ดีจริง หากเจ้าเก่งการเย็บปักก็ช่วยปักผ้าตาดทองผืนนี้ รุ่งสางข้าจะนำไปถวายสมเด็จ ไปเถอะแม่ไพลิน ท่านหญิงประเดี๋ยวจะเสียฤกษ์ส่งตัว
พูดจบทั้งสามพระองค์ก็เดินออกไป
เรือนพฤษา
“ข้าละเจ็บใจนักมันบังอาจดูถูกเจ้าวรวรรณของเรา”เสียงหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเดียดแค้น
“เบาๆหน่อยหอมจันทร์ ประเดี๋ยวเจ้าวรรณจะตื่นจะเป็นการใหญ่”นางอุ่นบ่าวคนหนึ่งกล่าว
“แต่ข้ายอมมิได้ คอยดูเถอะข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง”หอมจันทร์ประกาศกร้าว
“เอะอะอะไรกันรึ หอมจันทร์”เสียงหวานล้ำเอ่ยถาม
“เอ่อ...คือ..”
“เจ้าหยิบยาหอมให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกมึนหัว”เจ้านางกล่าวเสียงค่อย
“ปวดหัวหรือเจ้าค่ะ ขออิฉันดูหน่อยนะเจ้าค่ะ”หอมจันทร์สาวเท้าไปที่ตั่งพลางมองเจ้านางด้วยความสงสาร
“อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นข้ามิต้องการความเห็นใจจากเจ้า”นางกล่าว
“อิฉันขออภัยเจ้าค่ะ เจ้าอย่างโกรธเลยนะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวอาการจะแย่กันใหญ่”หอมจันทร์กล่าวพลางประคองเจ้านางให้ลุกขึ้นก่อนค่อยๆ หยิบยาหอมส่งให้
“ขอบใจเจ้ามาก นี่คงเป็นสมุนไพรที่น้าพิงพานฝากมาละสิ ฝากขอบใจนางด้วยนะ”เจ้านางกล่าวก่อนส่งยาหอมให้นาง
“แอด”บานไม้เก่าคร่ำคร่าถูกเปิดขึ้น
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามา ชายหนุ่มคมสัน ผิวเข้ม ริมฝีปากอมชมพู จัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งในพระนคร นัยน์ตาคมกวาดมองไปที่ตั่งก่อนจะเห็นเจ้านางสลบไสลอยู่
“นางเป็นอะไร”น้ำเสียงเข้มตวาดถามหอมจันทร์
“เจ้าวรรณมิสบายเจ้าค่ะ”หอมจันทร์ก้มหน้าก้มตาตอบ
“งั้นเอ็งช่วยดูแลนางด้วยข้าไปละ”ชายภากล่าวก่อนเปิดประตูออกไป
“เจ้าค่ะ”หอมจันทร์ก้มหน้าก้มตาตอบ
“แอด”บานประตูถูกปิดลงด้วยมือหนาของชายหนุ่ม
หอมจันทร์เดินไปดับตะเกียงก่อนค่อยๆ ออกไปนอกเรือน
ค่ำคืนเงียบสงบดาวพราวเกลื่อนนภา ร่างบางลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ก่อนจะหยุดยืนมองเรือนงามกลางสวนดอกไม้ที่ท่านชายภาสหายลับเข้าไป
“ข้าจะต้องเอามันมาให้ได้”เสียงหวานใสกล่าวแววตานางเปล่งประกาย มือเล็กกำแน่นอย่างมาดหมาย
รุ่งสางแสงแดดทอรำไรส่องลอดกลีบเมฆา เหล่าสกุณาเริ่มบินออกหากิน ปทุมาที่ชูช่อในสระชลธารส่งกลิ่นอวลหอมอวลไปทั่วบริเวณราวกับมีญาณวิเศษหยั่งรู้ในกาลเบื้องหน้า
ร่างบางยืนมองเหม่อจากขอบหน้าต่าง ผิวกายขาวเนียนถูกคลุมด้วยผ้าตาดทอดขลิบด้วยไหมชั้นดี สไบนางทอจากเส้นไหมสีขาวพิสุทธิ์ ผ้าถุงสีขาวลวดลายงดงามถูกปักด้วยช่างในราชสำนัก
“แอด”บานประตูถูกเปิดออกพร้อมบ่าวจำนวนสองสามคน
เจ้าวรวรรณเคลื่อนกายลงนั่งบนตั่งทอง
เรือนท้ายสวน
“ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”หอมจันทร์กล่าว
“งามมิแพ้เจ้านางในวรรณคดี”พิงพานกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เกิดจากท่านชายกานต์ผู้เป็นเจ้าของเรือนนี้
“นั่นสองคนนั้นเร่งหน่อยประเดี๋ยวเจ้าวรรณจะลงมาก่อน”ป้าแผ้วบ่าวอีกคนสั่งแกมดุ
“เจ้าวรรณเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง แม่มิได้ไปดูเลย”คุณพิงพานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ก็สบายดี กระมัง”หอมจันทร์กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะลึกๆแล้วชังเจ้าวรวรรณอยู่ไม่น้อยที่ได้สมบัติไปคนเดียว ใครๆก็อยากได้สมบัติกันทั้งนั้นโดยเฉพาะสกุล เธวัญรัตน์ ซึ่งแสนจะมั่งคั่งจนหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้
ส่วนเธอกลับได้รับการโขกสับจากเจ้านายทุกวัน ไม่ว่าคนหนุ่มหรือสาวยังมีอีกคนที่เป็นเพื่อนเล่นหอมจันทร์ตั้งแต่เด็กๆ เธอชื่อ แจ่มจันทร์ เนื่องจากได้ร้อยมาลัยด้วยกันบ่อยในพระราชฐาน แจ่มจันทร์ เป็นลูกสาวของคุณแขไขซึ่งถือกำเนิดจากเจ้าคุณพ่อของเธอเช่นกัน
“นังหอมเอ็งเอาห่อนี้ไปให้เจ้าวรรณหน่อย”พิงพานพูดพลางยัดห่อใบตองในมือลูก
“อะไรน่ะจ๊ะ แม่”หอมจันทร์กล่าว
“เออน่า เอ็งรีบเอาไปเถอะ อ้ออย่าให้ท่านหญิงรู้นะประเดี๋ยวจะถูกเอ็ดเอา”คุณพิงพานสั่งพลางหันไปสั่งงานทาสีคนหนึ่ง
“จ้า แม่”ว่าแล้วนางก็เร่งออกจากเรือน
เจ้าวรรณยืนอยู่หน้ากระจก มองสำรวจเรือนร่างตนเองก่อนจะถอนหายใจเศร้าๆ
‘นี่ข้าต้องจากเรือนนี้ไปแล้วหรือ’ดวงตาคู่หวานกวาดมองไปรอบๆตั้งแต่ตั่งทอง พื้นไม้สักชั้นดี ผ้าห่มแพรเงินมาแต่สำเภาจีน ภาพวาดลายทองปักด้วยไหมทองชั้นดีลายบุปผชาติ เหลือบมองเห็นหมอนสักหลาดที่ท่านพ่อประทานให้ และเห็นตะเกียงทองได้แต่สำเภาโปรตุเกส
“แม่วรรณไฉนเจ้าไม่ลงไปละ เกี้ยวมาถึงแลนะ”หญิงชรากล่าว
“ท่านแม่ ลูกมิอยากไป มิอยากจากเรือนนี้ไป มิอยากแต่งงานกับท่านชายภัส แลมิอยากจากท่านแม่ เวรใดหนอต้องจำพรากเราสองแม่ลูกด้วยเล่า”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ มิใช่เวรกรรมที่ทำให้เจ้าจากแม่หากแต่เป็นชะตาที่ทำให้เจ้าต้องไป ตัวแม่เองก็มิอยากให้เจ้าแต่งงานกับคนบ้านนั้นดอก แลหากเจ้าคิดถึงเรือนนี้เจ้าก็กลับมาได้”
“ท่านแม่”ร่างบางวิ่งเข้าไปสวมกอดมารดาราวกับเด็กเล็กๆ
“แม่วรรณ เจ้ามิใช่เด็กแลนะจะทำการสิ่งใดควรตรองให้ดีเสียก่อนจงจำไว้เกียรติแลราชสกุลของเธวัญรัตน์เป็นสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง”มารดาสั่งด้วยเสียงสั่นเครือ
“ลูกจะจำไว้เจ้าค่ะท่านแม่”นางกล่าวก่อนผละออกด้วยรอยยิ้ม
อีกด้านหนึ่ง
ร่างเล็กขยับรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนจะพนมมือไหว้ พลางบ่นขมุบขมิบ
เรือนเจชราช
บ่าวใช้หลายนายวิ่งวุ่นทั่วเมื่อทราบข่าวการวิวาห์ของเจ้านายทั้งสอง
“เอ็งว่าเจ้าวรวรรณจะเทียบกับแม่ศศิวิมลได้ไหมว่ะ”บุรุษกำยำผู้หนึ่งถามขณะสาละวนงานตรงหน้า
“งามกว่าสิว่ะ มิงั้นข้าจะได้ข่าวว่าท่านชายธนานนท์หมายปองนางได้อย่างไร”
“อุวะ เอ็งนี่รู้เรื่องเจ้านายไปเสียหมด”ชายอีกคนกระซิบบอก
“นี่ๆพวกเอ็งช่วยไปยกกระถางต้นไม้ตรงนู้นหน่อยสิ”เสียงหวานแสบแก้วหูของเจ้านายใหญ่ดังขึ้น
“ขอรับ ท่านหญิงไพลิน”ชายทั้งสองลุกเดินออกไป
ท่านหญิงไพลินกวาดตามองแลเห็นขบวนเกี้ยวสีแดงหยุดอยู่ตรงหน้าเรือน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เจ้าสาวมาแล้วเจ้าค่ะ”นางตะโกนลั่น
“เอะอะอะไรกันแม่ไพลิน”หญิงชรานางหนึ่งกล่าว
“คุณพระ เจ้าสาวมาแล้ว ป่านนี้ชายภัสยังมิลงมาอีก”
“ประเดี๋ยวหญิงไปตามให้เจ้าคะ ท่านแม่”พูดจบหญิงสาวก็เร่งไปทางท้ายสวน
เรือนพลับพลา
เรือนไม้สักชั้นดี ใหญ่โตโอ่อ่า ตัวเรือนยกใต้ถุนขึ้นสูงข้างล่างเป็นเรือนนอนบ่าว ด้านบนสำหรับท่านชาย รอบๆ เรือนห้อมล้อมด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ อาทิ จำปา จำปาลาว จำปี มะลิซ้อน ดอกซ่อนกลิ่น รวมถึง
มะลิลา พรรณไม้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นอวลหอมจนเจ้าเรือนมิอยากจากเรือนไป
“ก็อกๆ”มือบางเคาะประตูไม้สักคร่ำคร่า
เรือนนี้ได้รับอิทธิพลจากจีนเมื่อครั้งพระองค์ท่านตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวทางสำเภาจีนทำให้รับของกำนัลจากจีนมากมาย
“พี่ชายภาส เสร็จหรือยังเจ้าค่ะ เจ้าสาวของพี่มารอนานแล้วเจ้าคะ”ท่านหญิงไพลินตะโกนเรียก
“แอด”ประตูไม้สักถูกเปิดขึ้นเผยให้เห็นบุรุษคมสันผู้หนึ่ง
“ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่”หญิงสาวฉุดแขนของชายหนุ่มให้รีบไป
เกี้ยวเจ้าวรวรรณวินทรา
ภายในเกี้ยวหอมจันทร์กับนางอุ่นนั่งอย่างไม่เป็นสุขเมื่อเห็นขบวนเกี้ยวหยุดชะงัก
“เหตุใดจึงมิมารับเจ้าสักที หรือว่าเรามาผิดบ้านนะเจ้าค่ะ”นางอุ่นกล่าวพลางกระพุ่มมือถามเจ้านาง
“มิผิดหรอก ข้าจำได้ต้นกุมาริกาที่ปลูกไว้หน้าเรือนเป็นฝีมือของท่านพ่อข้าเอง”เจ้านางกล่าวเสียงเรียบ
“หากเขามิมารับจะไม่เสียฤกษ์หรือเจ้าค่ะ”นางอุ่นยังคงตีหน้าฉงน
“มิเสียหรอก อันฤกษ์ยามตามตำราโบราณได้กล่าไว้จะช่วยให้คู่รักมีความสุขก็จริงอยู่แต่การกระทำของสองคนต่างหากที่เป็นสิ่งที่ลิขิตทุกสิ่ง”เจ้าวรรณกล่าวตามความคิดของนาง
“คุณพระ นังหอมเอ็งช่วยข้าด้วยข้าจะตกแล้ว”นางอุ่นร้องเสียงหลงพลางทำท่าโงนเงน
“เกี้ยวเคลื่อนแล้วสินะ “เจ้าวรรณกล่าวพลางเหยียดกายตรงพลางผินพักตร์ไปทางอื่น
หน้าเรือนเจชราช
ท่านหญิงพรรณรายและพระองค์ท่านพัชรเพชรยืนรอรับเจ้าสาวในขณะชายภัสเพิ่งจะเดินมาถึงพร้อมกับท่านหญิงไพลิน
เป็นเวลาเดียวกับขบวนเกี้ยวของเจ้าวรวรรณเคลื่อนมาถึงพอดี ม่านสีแดงถูกเปิดขึ้นด้วยมือเรียวบางของหอมจันทร์สาวน้อยวัยกำดัดนุ่งโสร่งสีฟ้ายาวสวยห่มสไบแพรไหมสีฟ้าขาวก้าวออกจากเกี้ยวช้าๆ
ร่างเพรียวของเจ้านางสูงศักดิ์ก้าวตามออกมา ขาเรียวยาวอยู่ภายใต้โสร่งสีนวล ปลายเท้าขาวสะอาดค่อยๆจรดลงบนพื้นธรนินทร์พร้อมกับร่างบางยืนหยัดอย่างสง่างาม แก้มสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาสีดำขลับทอประกายกับแสงสุริยา เส้นไหมดำขลับเกล้าเรียบอย่างสลวย ไรผมเรียบลงกับหน้ามน ความงามของนางดุจนางสวรรค์เทพอัปสรลงมาจุติ เหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายที่วุ่นวายอยู่พากับเงียบสงบลง บ่าวชายบางคนถึงกับลมจับด้วยความงามดั่งมนตรา
ท่านชายภาสที่เห็นอยู่อย่างนั้นรีบกล่าว
“ขอเชิญเจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”ท่านชายภัสกล่าวเสียงเรียบพลางชำเลืองมองเจ้านาง
“เป็นพระมหากรุณาเจ้าค่ะ”เจ้านางกล่าวเสียงหวานก่อนเคลื่อนกายลงก้มกราบท่านชายภัสอย่างสง่างาม
“เจ้าจะทำกระไรนะ”ชายภัสกล่าวเสียงตระหนกพลางประคองเจ้านางลุกขึ้น
หน้าแนบหน้า ชายภัสสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่อยู่บริเวณปลายจมูก นัยน์ตาคมกวาดมองทั่วหน้า
ดวงหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะผลักอกชายหนุ่มเบาให้รู้สึกตัว
“เอ่อ..ข้าว่าเจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”ชายภัสพูดพลางจ้องนางไม่วางตา
“เจ้าค่ะ”เจ้านางก้มหน้าตอบพลางรีบสาวเท้าเข้าไปในเรือน
บ่าวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มนินทาพลางมองสองเจ้านายด้วยสายตารู้ทันเช่นเดียวกับท่านหญิงและพระองค์เจ้าทั้งสองก็มองชายภัสด้วยสายตาเอ็นดู
เรือนเจชราชใหญ่โตโอ่อ่าทำด้วยไม้ประดู่ทั้งเรือน เครื่องทองมากมายจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
งานวิวาห์ของทั้งสองจัดอย่างเรียบง่ายมีเจ้าฟ้าหญิงรณิชามาเป็นพยาน
“แม่ขออวยพรให้ลูกทั้งสองอยู่กันอย่างมีความสุข แม่วรรณเป็นภรรยาก็ต้องคอยปรนิบัติดูแลรับใช้สามีให้ดี
ส่วนพ่อภัสลูกเองเป็นสามีก็คอยปกป้องภริยา เป็นเสาหลักให้ครอบครัว”ท่านหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมในตัวลูกชายและลูกสะใภ้
“ขอบพระคุณเจ้าคะ/ครับ ท่านพ่อแลท่านแม่”เสียงหวานล้ำผสมกับเสียงนุ่มพร้อมกันจนทำให้ทั้งสองมองหน้ากัน
“ส่วนตัวพ่อมิมีพิธีมากดอก หนูวรรณข้าอยากได้หลานสักคนสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เจ้าจะทำได้ไหม”
“หากเป็นเรื่องที่ท่านพ่อต้องการ อิฉันจะทำให้ได้เจ้าค่ะ”เจ้านางเอ่ยเสียงเรียบ แววตามีความมุ่งมั่น
“ก็ดี ตาเจ้าแล้วไพลิน”พระองค์เจ้าพัชรเพชรยิ้มอย่างพอใจพลางเรียกหาลูกสาวคนเล็ก
“หญิงมินึกเลยนะค่ะว่าพี่วรรณจะมาเป็นสะใภ้พี่ชาย”น้ำเสียงของท่านหญิงแลดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“พี่เองก็มิคาดคิดเหมือนกันว่าการจะลงเอยแบบนี้”เจ้าวรรณกล่าวเสียงเรียบ
“เจ้ารู้จักแม่วรรณมาก่อนรึ น้องไพลิน”ท่านชายภัสที่ฟังอยู่อดสงสัยไม่ได้
“น้องรู้จักพี่วรรณก่อนที่จะมาเป็นภรรยาพี่เสียอีก”นางพูด
“แลเจ้าไปรู้จักนางที่ไหน”ท่านชายภัสถามอย่างใคร่รู้เป็นพิเศษ
“สมัยก่อนพี่วรรณเป็นครูสอนเย็บปักของหญิงในราชสำนัก”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่มชม
“จริงรึ แม่วรรณ”ท่านหญิงที่ฟังอยู่นานถามขึ้น
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”เจ้านางเอ่ยเสียงเรียบ
“งั้นรึ ว่าแต่สกุลเจ้ามิใช่ราชสกุลไฉนจึงเข้าเวียงวังได้”พระองค์เจ้าพัชรเพชรถามอย่างสงสัย
“จริงอยู่ที่สกุลของอิฉันมิใช่ราชสกุล เพลานั้นท่านพ่อพาหม่อมฉันเข้าวังไปถวายตัวเป็นนางกำนัลในสมเด็จแลสมเด็จได้ให้ป้าอุ่นนางกำนัลในวังสอนการเย็บปักให้ สมด็จทอดพระเนตรเห็นอิฉันฝีมือดีเลยให้อิฉันสอนน้องหญิงไพลินเจ้าค่ะ”เจ้าวรรวรรณกล่าว
“ดีจริง หากเจ้าเก่งการเย็บปักก็ช่วยปักผ้าตาดทองผืนนี้ รุ่งสางข้าจะนำไปถวายสมเด็จ ไปเถอะแม่ไพลิน ท่านหญิงประเดี๋ยวจะเสียฤกษ์ส่งตัว
พูดจบทั้งสามพระองค์ก็เดินออกไป
เรือนพฤษา
“ข้าละเจ็บใจนักมันบังอาจดูถูกเจ้าวรวรรณของเรา”เสียงหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเดียดแค้น
“เบาๆหน่อยหอมจันทร์ ประเดี๋ยวเจ้าวรรณจะตื่นจะเป็นการใหญ่”นางอุ่นบ่าวคนหนึ่งกล่าว
“แต่ข้ายอมมิได้ คอยดูเถอะข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง”หอมจันทร์ประกาศกร้าว
“เอะอะอะไรกันรึ หอมจันทร์”เสียงหวานล้ำเอ่ยถาม
“เอ่อ...คือ..”
“เจ้าหยิบยาหอมให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกมึนหัว”เจ้านางกล่าวเสียงค่อย
“ปวดหัวหรือเจ้าค่ะ ขออิฉันดูหน่อยนะเจ้าค่ะ”หอมจันทร์สาวเท้าไปที่ตั่งพลางมองเจ้านางด้วยความสงสาร
“อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นข้ามิต้องการความเห็นใจจากเจ้า”นางกล่าว
“อิฉันขออภัยเจ้าค่ะ เจ้าอย่างโกรธเลยนะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวอาการจะแย่กันใหญ่”หอมจันทร์กล่าวพลางประคองเจ้านางให้ลุกขึ้นก่อนค่อยๆ หยิบยาหอมส่งให้
“ขอบใจเจ้ามาก นี่คงเป็นสมุนไพรที่น้าพิงพานฝากมาละสิ ฝากขอบใจนางด้วยนะ”เจ้านางกล่าวก่อนส่งยาหอมให้นาง
“แอด”บานไม้เก่าคร่ำคร่าถูกเปิดขึ้น
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามา ชายหนุ่มคมสัน ผิวเข้ม ริมฝีปากอมชมพู จัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งในพระนคร นัยน์ตาคมกวาดมองไปที่ตั่งก่อนจะเห็นเจ้านางสลบไสลอยู่
“นางเป็นอะไร”น้ำเสียงเข้มตวาดถามหอมจันทร์
“เจ้าวรรณมิสบายเจ้าค่ะ”หอมจันทร์ก้มหน้าก้มตาตอบ
“งั้นเอ็งช่วยดูแลนางด้วยข้าไปละ”ชายภากล่าวก่อนเปิดประตูออกไป
“เจ้าค่ะ”หอมจันทร์ก้มหน้าก้มตาตอบ
“แอด”บานประตูถูกปิดลงด้วยมือหนาของชายหนุ่ม
หอมจันทร์เดินไปดับตะเกียงก่อนค่อยๆ ออกไปนอกเรือน
ค่ำคืนเงียบสงบดาวพราวเกลื่อนนภา ร่างบางลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ก่อนจะหยุดยืนมองเรือนงามกลางสวนดอกไม้ที่ท่านชายภาสหายลับเข้าไป
“ข้าจะต้องเอามันมาให้ได้”เสียงหวานใสกล่าวแววตานางเปล่งประกาย มือเล็กกำแน่นอย่างมาดหมาย
เพียงภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2556, 15:06:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2556, 15:06:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 920
<< อารัมภบท | เล่ห์มะลิลา >> |