น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 17. “แล้วมีใครที่ไหนคิดว่า เขาทำอะไรได้ตั้งแต่เกิดล่ะ"

17.

หลังจากน้ำผึ้งรำเพลงสีนวลจบลง น้ำผึ้งก็นั่งคุกเข่าท่าเทพธิดากราบพระอีกครั้ง แล้วคชาพัฒน์ก็พาน้ำผึ้งเดินลงมาที่ลานหน้าบันได ผู้คนที่ดูต่างก็กรูกันมาขอถ่ายรูปกับน้ำผึ้ง กระทั่งผู้คนบางตา คุณนายวรรณีที่ยังไม่ยอมกลับตามคำเชิญชวนของลูกชายที่ดูจะขัดหูขัดตากับทีท่าแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของ ภานุวัฒน์ก็บอกลูกชายว่า

“เดี๋ยวศุกร์ไปถ่ายรูปคู่ให้แม่กับน้ำผึ้งหน่อย อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

เมื่อแม่กับน้ำผึ้งยืนเคียงกัน วรรณศุกร์จึงต้องทำหน้าที่เป็นตากล้อง...กระทั่งได้รูปที่คิดว่าแม่จะต้องพอใจ เขาก็บอกว่า “เรียบร้อยแล้วครับ”

“ศุกร์ไม่ถ่ายกับน้ำผึ้งบ้างเหรอ มาถ่ายด้วยกันสามคนกับแม่กับน้ำผึ้งเก็บไว้สักรูป”
เขายิ้ม ๆ...พอดีวิธิตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ บอกว่า

“ไปซิ เดี๋ยวถ่ายให้”

วรรณศุกร์ส่งกล้องในมือไปให้วิธิตแล้วเดินเข้าไปยืนข้างผู้เป็นแม่

“ไปยืนอีกฝั่งซิ ให้น้ำผึ้งยืนตรงกลาง”

เขาจำต้องเดินอ้อมทางด้านหลังไปยืนเคียงข้างน้ำผึ้งที่บัดนี้ยิ้มจนริมฝีปากแห้ง...พอได้รูปแล้วเขาก็ทำท่าจะผละออก...แต่คุณนายวรรณีบอกว่า

“ถ่ายกับน้องสองคนสักรูปแล้วกันนะ”

คุณนายวรรณีเดินออกมา ทั้งคู่จึงได้ถ่ายรูปคู่กัน...

หลังจากได้รูปเรียบร้อย คชาพัฒน์ก็บอกว่า

“เดี๋ยววันนี้ตอนบ่าย ๆ น้ำผึ้งต้องไปหัดตีขิมจนถึงค่ำ ๆ ขอตัวพาน้ำผึ้งไปพักผ่อนก่อนนะฮะ”

“ยังไม่ทันดังเลย ต้องจัดคิวกันเสียแล้ว” คุณนายวรรณีหยอกคชาพัฒน์

“ซ้อม ๆ ไว้ครับ ถ้าดังกว่านี้ ดีไม่ดี ร้านหนิงหน่องแฮร์คัทคงต้องเปลี่ยนชื่อไปเป็นนัยนิตแฮร์คัท”...

“เอาใจช่วยแล้วกัน”

ขณะที่วรรณศุกร์ยืนฟังแม่ของตนคุยกับคชาพัฒน์อยู่นั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น...เสียงเพลงรอสายที่ดังอยู่นั้นทำให้เขาไม่ต้องดูชื่อที่หน้าจอก็รู้ว่าเป็นใครโทรมา เขาจึงเลี่ยงไปให้พ้นหู พ้นตา พ้นเสียงจากของคนอื่น ๆ ก่อนจะกดรับสาย

“ศุกร์อยู่ที่ไหนคะ”

“วัดครับ”

“ไปทำอะไรที่วัด”

“เอ่อ...พาคุณแม่มาไหว้พระครับ” ที่อึกอักในเบื้องต้นนั้นเป็นเพราะถ้าบอกว่ามาดูน้ำผึ้งรำแก้บนมีหวังภัทรินจะได้ซักไซ้ว่าไปดูทำไม

“ที่ไหนคะ”

“ที่วัดครับ มณฑปหลวงพ่อหิน”

“ค่ะ...เดี๋ยวภัทจะออกจากบ้านแล้วนะคะ โทรมาบอกไว้ก่อน” แม้จะไม่อยากมาร่วมงานทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของคุณนายวรรณี แต่ว่าภัทรินก็จะปล่อยให้งานสำคัญแบบนี้ผ่านไปไม่ได้ เมื่อลงจากเครื่องบินแล้ว หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเดินทางต่อ

“แล้วภัทได้พักผ่อนแล้วเหรอครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เมื่อคืนได้งีบไปบ้างแล้ว”

“ขับรถดี ๆ นะครับ ผมเป็นห่วง”

“ขอบคุณค่ะที่รัก”

“แล้วเจอกันครับ”

วางหูจากภัทรินแล้ว...วรรณศุกร์ก็มองไปยังกลุ่มคนที่รุมล้อมน้ำผึ้งอยู่และเขาก็รู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นว่าสารวัตรทะนงศักดิ์ ถือดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่เข้ามาแสดงความยินดีกับน้ำผึ้ง...



“ยังไม่ทันดังเลย มีเฒ่าหัวงูเข้ามาวุ่นวายด้วยซะแล้ว” คุณนายวรรณีเปรยออกมาขณะที่ลูกชายขับรถพาเข้าไปในตลาดเพื่อเลือกซื้อผลไม้ กับเครื่องสังฆทานที่จะถวายพระในวันพรุ่งนี้ ส่วนของสดที่จะทำอาหารนั้นจะซื้อในตอนเช้ามืดโดยแม่ครัวที่จ้างมาช่วยงานนั้นก็มีนางสำรวยกับพรรคพวก และคนที่อยู่บ้านละแวกเดียวกันก็ยินดีมาช่วย เพราะถือว่าได้ทำบุญกับคุณนายวรรณีผู้พร้อมจะช่วยเหลือคนอื่น ๆ
“เหมือนดวงของน้ำผึ้งกำลังขึ้น” สมานบอกเล่าความรู้สึกของตนเองบ้าง

“ใช่ คงจะดวงขึ้น จับอะไรก็เฮง ดูซิ ผู้จงผู้จัดละครผู้กำกับมาดูตัวเสียด้วย โทรถามน้องติ๋วหน่อยซิศุกร์ว่าคุณอ๊อดเขาว่าอย่างไรบ้าง” คุณนายวรรณีนั้นพอรู้อยู่ว่าวันนี้อ๊อดกับพิชญานั้นไม่ได้บังเอิญมาไหว้พระ

“เดี๋ยวสักครู่ก็ได้ครับ” เขารู้สึกอารมณ์ขุ่นกับภาพที่น้ำผึ้งยิ้มชื่นให้ภานุวัฒน์และช่อดอกไม้ของสารวัตรวัยพ่อของน้ำผึ้งนั่น กระทั่งรถคันใหญ่ของเขาหยุดที่หน้าร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ คุณนายวรรณีลงจากรถพร้อมกับสมาน แต่ก่อนจะปิดประตูผู้เป็นแม่ก็สำทับว่า

“โทรหาน้องติ๋วเลยนะศุกร์ แม่อยากรู้ว่าคุณอ๊อดว่าอย่างไรบ้าง”

พอแม่ปิดประตูรถ เขาก็หยิบโทรศัพท์ที่หย่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อยืดคอปกออกมา

“ติ๋วพี่กวนหรือเปล่าครับ”

“ไม่กวนหรอกค่ะ มีอะไรคะพี่วันศุกร์”

“พรุ่งนี้แม่พี่จะทำบุญวันเกิดนะ ติ๋วยังอยู่ที่บ้านไพรหรือเปล่า”

“ยังอยู่ค่ะ กองถ่ายยังอยู่ที่นี่ปางวนาลีหลายวันค่ะ”

“ชวนคุณแม่ของติ๋วมาทำบุญที่บ้านพี่ด้วยนะ บอกพี่ชวน แม่พี่ให้ชวนด้วย อยากให้รู้จักกันไว้น่ะ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วเรื่องน้ำผึ้ง คุณอ๊อดว่าอย่างไรบ้าง”

“กำลังสวมบทป๋าดันใช่ไหมคะพี่วันศุกร์”

“อยากเห็นชีวิตน้องเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี”

“คุยกับพี่อ๊อดแล้วค่ะ พี่อ๊อดบอกว่าถ้าดึงมาปั้นในตอนนี้เลย ผึ้งจะไม่มีกระแสอะไรช่วย พี่อ๊อดอยากให้ผึ้งขึ้นเวทียอดพธูไทยตามที่ตั้งใจก่อนค่ะ เผื่อเข้ารอบหรือได้เป็นเจ้าของมงกุฎขึ้นมา คราวนี้แหละ พี่อ๊อดบอกชีวิตในวงการของน้ำผึ้งไปได้สวยอย่างแน่นอนค่ะ...โปรไฟล์น้ำผึ้งจะสวยมากค่ะ”

“แล้วจะให้พี่บอกกับหน่องเขาด้วยหรือเปล่า”

“เดี๋ยวติ๋วว่าจะโทรคุยกับหน่องค่ะ อาจจะทำสัญญาใจกันไว้ว่า ถ้าส่งน้ำผึ้งไปถึงฝั่งฝันแล้วพี่อ๊อดจะขอจองตัวไว้ค่ะเพราะทางเวทียอดพธูไทยคงไม่มีสัญญากับสถานีโทรทัศน์หรือต้นสังกัดเหมือนกับที่อื่น ๆ หรอก”

“แล้วถ้าเขาไม่เข้ารอบล่ะ เขายังมีลุ้นกับพี่อ๊อดไหม”

“มีแน่นอนค่ะ...มีโปรเจคทำงานพีเรียดในอีกสองปีข้างหน้าค่ะ น้ำผึ้งน่าจะได้ชิมลางตัวละครรุ่นลูก...ดีไม่ดี พี่อ๊อดก็จะส่งน้ำผึ้งไปเรียนการแสดงไว้ก่อนเลยก็ได้ค่ะ หลังประกวดปุ๊บ ได้หรือไม่ก็ก็จะดันกันให้เต็มที่เลย”

“ขอบใจติ๋วแทนน้ำผึ้งนะครับ”

“อาจจะเป็นวาสนาของเขาเองค่ะ...แค่นี้นะคะพี่วันศุกร์ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”


เดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่หลังโบถส์แล้วจวงจันทร์ก็กดโทรศัพท์หานวลอนงค์ในทันที...

“อาจารย์คะข่าวล่ามาเร็ว” จวงจันทร์บอกเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมากับหู...ซึ่งมันทำให้นวลอนงค์ถึงกับถามกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ลูกสาวคนสวยที่มีลักษณะท่าทางกระโดกกระเดกไม่ค่อยจะเป็นกุลสตรีนั้นยอมเตรียมตัวขึ้นเวทีเพราะอยากได้รถไปขับช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย และถ้าหากลูกสาวจะมีโอกาสเข้าวงการบันเทิงด้วยมันก็จะเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย เพราะเส้นทางนั้นดีไม่ดี ค่ารถที่ออกให้นั้นก็จะได้คืนมาแถมตนยังได้ชื่อเสียงอีกด้วย

“จริง ๆ เหรอน้องเจี๊ยบ”

“จริง ๆ ซิ คะ เจี๊ยบจะโกหกไปทำไม พี่อ๊อดกับผู้หญิงคนนั้นมาวัด เพื่อมาดูตัวน้ำผึ้งจริง ๆ ตอนนั้นเจี๊ยบอยากจะเข้าไปตีสนิทด้วยแต่ก็ไม่รู้เริ่มต้นอย่างไร แล้วพอดีเขาก็กลับกันไปเสียก่อนด้วย”

“ได้ข่าวว่า เขามาถ่ายละครที่ปางวนาลีรีสอร์ทนะ เป็นรีสอร์ทของคนรู้จักกันเจ้าของเขาเป็นเพื่อนครูเหมือนกันแต่ไม่ได้สอนโรงเรียนเดียวกันหรอก.....ไม่คิดว่าเขาจะมาเห็นน้ำผึ้ง...สนใจน้ำผึ้ง”

“ทำอย่างไรถึงจะให้เขาเห็นนงลักษณ์ได้นะ นงลักษณ์สวยกว่าน้ำผึ้งตั้งเยอะ มีลุ้นแน่ๆ เลย”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรยากเลย อยากรู้จักคุณอ๊อด เราก็ไปที่รีสอร์ทนั้นกัน เดี๋ยวขอโทรหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของ รีสอร์ทก่อนนะ...แล้วจะโทรรายงานผล”

หายไปอึดใจใหญ่ นวลอนงค์ก็โทรกลับมา

“เขาจะถ่ายละครเรื่องดอกรักริมธารกันอีกหลายวัน แล้วเพื่อนครูคนนี้ก็สนิทกับพี่อ๊อดเหมือนกัน เขาว่าจะฝากฝังนงลักษณ์กับพี่อ๊อดให้นะ เดี๋ยวตอนบ่ายๆ เราพานงลักษณ์ไปที่ปางวนาลีกัน”

“อยากให้นงลักษณ์ได้เป็นดาราจังเลย...หลวงพ่อหินช่วยลูกด้วยเถอะ ถ้านงลักษณ์ได้เป็นดาราดังจะให้นงลักษณ์รำสีนวลให้สามวันเลยทีเดียว” จวงจันทร์บนบานร้องขอบ้างเพราะว่าอยากเกาะนงลักษณ์ดัง...

และเธอจะต้องดังกว่าคชาพัฒน์ด้วย



ก่อนที่น้ำผึ้งจะกลับร้านหนิงหน่องแฮร์คัทไปกับคชาพัฒน์ น้ำผึ้งก็ขอบอกขอบใจนงลักษณ์ที่ช่วยบนและมาแก้บนด้วยไข่ 100 ฟองในวันนี้ ส่วนภานุวัฒน์นั้นน้ำผึ้งก็ขอบคุณที่เขามาแสดงความยินดีและมาช่วยถ่ายรูปให้ แต่เมื่อภานุวัฒน์ชวนน้ำผึ้งไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน น้ำผึ้งก็ต้องปฏิเสธเพราะว่าคชาพัฒน์นั้นให้ นัยนิตกับสำลีเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว และหลังจากมื้อเที่ยงน้ำผึ้งก็ต้องไปซ้อมขิมกับครูถนอมด้วย
ภานุวัฒน์จึงต้องออกไปกินข้าวเที่ยงกับนงลักษณ์เพียงสองคน...

และระหว่างที่นั่งรออาหารตามสั่งอยู่นั้น โทรศัพท์ของนงลักษณ์ก็ดังขึ้น

“อยู่ที่ไหนคะคุณลูก”

“อยู่ร้านป้าแจ้ว นั่งรอข้าวอยู่ค่ะคุณแม่ อยู่กับพี่วัฒน์”

“สองคนเหรอ”

“ค่ะ”

“คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด” แม้จะรู้จักภานุวัฒน์เป็นอย่างดี แต่ว่านวลอนงค์ก็รู้สึกห่วงลูกสาวขึ้นมา แต่ว่าจะแสดงอาการว่าหวงและห่วงมากไปมันก็จะไม่ดี เพราะภานุวัฒน์นั้นอย่างไรก็เคยเป็นลูกศิษย์ของตน

“ผึ้งเขาต้องไปซ้อมขิม คนอื่น ๆ เขาก็รีบกลับบ้านกันไป...”

“อิ่มแล้วก็รีบกลับบ้านมานะ แม่จะให้พาไปธุระหน่อย”

“ไปไหน”

“ไปบ้านครูวนาลี”

“ไปทำอะไรคะ คือ...” ก่อนหน้านั้นนงลักษณ์ได้ชวนภานุวัฒน์ไปเที่ยวน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปเขตอุทยานแห่งชาติ ภานุวัฒน์ก็ตอบตกลงเพราะอยากไปพักผ่อนทั้งที่ใจจริงเขาอยากจะชวนน้ำผึ้งไปด้วย

“ไปธุระแล้วกัน กลับมาถึงบ้านแล้วจะบอก...”

วางโทรศัพท์ลงแล้วนงลักษณ์ก็มีสีหน้าหนักใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าความจริงก็ยากจะเลี่ยงเป็นอื่น

“ขอโทษด้วยนะพี่วัฒน์ แม่ให้รีบกลับบ้าน น้ำตกเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”

“วันหน้าก็ดี น้ำผึ้งจะได้ไปด้วย”...

พอได้ยินอย่างนั้น อารมณ์ริษยาไมตรีจิตที่ภานุวัฒน์มีให้น้ำผึ้งก็แล่นเข้ามาอีก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันภานุวัฒน์หายใจเขาออกเป็นน้ำผึ้ง แต่นงลักษณ์ก็ดูออกว่าน้ำผึ้งนั้นหาได้สนใจภานุวัฒน์เกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง

ทางเดียวที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องได้ยินเรื่องแสลงหู เธอจะต้องรีบพูดเพื่อให้เขารู้ตัวและตัดใจเสีย และคนอย่างภานุวัฒน์ก็คงไม่ยอมว่างเว้นจากเรื่องรัก ๆ ใคร่ๆ เป็นแน่ แล้วผู้หญิงคนถัดไปของเขาจะเป็นใครถ้าไม่ใช่เธอ!

“หายใจเข้าออกเป็นน้ำผึ้งจนลักษณ์ชักจะอิจฉา”

“อิจฉาทำไม”

“อิจฉาน้ำผึ้งที่มีแต่คนมารุมล้อมนะซิ ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กๆ อนาคตคุณนายเห็นรำไร ๆ...” ตัวใหญ่ก็คือสารวัตรทะนงศักดิ์ ตัวเล็กก็คือภานุวัฒน์ที่ยังเรียนอยู่ แต่อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะเรียนจบออกมาทำงานแล้ว

“ลักษณ์ต้องช่วยพี่ทำคะแนนนะ” นงลักษณ์พยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติแต่ว่ามันก็บึ้งตึงขึ้นมา

“มันคงไม่ยากเกินความสามารถของพี่วัฒน์หรอกค่ะ”

“ผึ้งเขาดูไม่ค่อยสนใจพี่สักเท่าไหร่ เมื่อวานตอนเจอเขาที่ตลาด พี่ก็ยังรู้สึกว่ามันมีระยะห่างอยู่เหมือนเดิม” ระยะห่างนั้นทำให้หนุ่มหน้าขาวผู้มีอนาคตสดใสที่เคยจีบใครก็ติดเสียความมั่นใจไปไม่น้อยเหมือนกัน และวันนี้เขาก็รู้สึกว่าน้ำผึ้งนั้นยิ้มแย้มให้คนอื่น ๆ อย่างเรี่ยราด เว้นแต่ยิ้มนั้นไม่ได้เผื่อแผ่มาถึงเขา...

“ดูเหมือนพี่วิธิตนั่นจะสนใจน้ำผึ้งอยู่อีกคนนะพี่วัฒน์”

“แต่พี่วิธิตก็นะ” ภานุวัฒน์ไม่อยากจะพูดออกไปว่า สารรูปอย่างพี่วิธิตแม้จะมีเงินก็คงไม่ใช่คู่แข่งของเขาแน่ ๆ แต่พูดแค่นั้นก็เป็นอันรู้กัน

“แต่พี่วิธิตเขาก็มีฐานะ ผึ้งเองเราก็รู้ ๆ กันว่า ครอบครัวมีฐานะอย่างไร อนาคตมันก็ไม่มีอะไรแน่นอน”

“แล้วถ้าเขาคิดจะจริงจังกับพี่ อนาคตของพี่มันเสียหายตรงไหน”

นงลักษณ์นิ่วหน้าเมื่อภานุวัฒน์บอกอย่างนั้น ใช่ อนาคตของภานุวัฒน์นั้นดีทีเดียว แล้วทำไมน้ำผึ้งจึงไม่สนใจทั้งที่หน้าตาของภานุวัฒน์นั้นก็ไม่ได้ขี้เหร่สักนิด หรือว่าน้ำผึ้งมีคนอื่นในใจ? ใครกันที่น้ำผึ้งแอบชอบ? นงลักษณ์พยายามครุ่นคิดถึงเพื่อนชายร่วมชั้นเรียน แต่ว่าน้ำผึ้งก็ไม่มีใคร

“เขาอาจจะไม่ชอบตำรวจก็ได้ พี่ก็รู้ว่าอาชีพนี้คนไทยไม่ชอบ”

“แล้วลักษณ์รังเกียจพี่ไหมล่ะ”

“ปลาข้องเดียวกันอาจจะไม่ได้ตายและเหม็นเน่าทุกตัวนี่”

“น้ำผึ้งเขาก็คงแยกแยะได้ แต่ว่าเขาชอบใครล่ะ อยากรู้จริง ๆ เลย”

พอดีกับที่ป้าแจ้วเอาอาหารที่ทั้งคู่สั่งไว้มาเสิร์ฟ และตามประสาแม่ค้าปากดี เมื่อเห็นว่า ลูกค้า หนุ่มกับสาวมาด้วยกันก็อดที่จะเย้าแหย่และมองด้วยสายตาหยอกเย้าไม่ได้




“อะไรนะคะ ที่เรากำลังจะปางวนาลีนี่ จะพาหนูไปให้พี่อ๊อดดูตัว...” ระหว่างที่ขับรถพาแม่กับจวงจันทร์ไปปางวนาลีรีสอร์ทนงลักษณ์ก็จับใจความเรื่องที่แม่กับจวงจันทร์คุยกันได้...และพอรู้แล้วนงลักษณ์ก็ลดความเร็วรถลงทันที

“ใช่นะซิ”

“ไม่นะคะแม่ หนูไม่เอานะ หนูไม่ได้อยากเป็นดารานักแสดงอะไรเลย นางงามหนูก็ไม่ได้อยากเป็น”

“แต่หนูอยากได้รถ”

“หนูไม่เอาก็ได้ค่ะ...หนู ๆ ขึ้นรถโดยสารไปเรียน เดินเข้ามามหาวิทยาลัยก็ได้นะ”

“แต่ถ้าขับรถเข้าไปเรียนในฐานะดาราล่ะมันไม่โก้กว่าหรือ อย่ามักน้อยเพราะความขี้ขลาดตาขาวซิ”

“หนูคิดว่าหนูทำไม่ได้หรอก”

“แล้วมีใครที่ไหนคิดว่า เขาทำอะไรได้ตั้งแต่เกิดล่ะ ทุกอย่างมันเกิดจากความปรารถนา การฟันฝ่าและฝึกฝนทั้งนั้นแหละ หนูมีดีกว่าน้ำผึ้งตั้งเยอะ ทำไมหนูจะมานึกท้อล่ะ”

“ใช่ หนูนงลักษณ์สวยกว่าน้ำผึ้งตั้งเยอะ ขาวกว่า ชาติตระกูลดีกว่า หน้าตาดีกว่า ถ้าได้แรงหนุนที่ดีกว่าอีกนิด รับรองเลยว่า เกิดไม่ได้ไม่ยาก และทางสนับสนุนมันก็มาแล้ว ครูวนาลีเขาก็สนิทกับแม่ สนิทกับพี่อ๊อดเขาคงพอพูดคุยให้ได้...”

“แล้วเวลาเจอผู้หลักผู้ใหญ่ก็อย่าทำหน้าบึ้งตึงล่ะ หัดยิ้มให้ติดเป็นนิสัย เหมือนน้ำผึ้งเขา”
พอแม่เปรียบเทียบตัวเองกับน้ำผึ้ง นงลักษณ์ก็ยิ่งหน้าบึ้ง...และพอนึกถึงภานุวัฒน์ที่ตัวเองรู้สึกชอบ นงลักษณ์ก็มีแรงฮึดสู้กับน้ำผึ้งขึ้นมา...


พอคุณนายวรรณีต้องการให้น้ำผึ้งไปตีขิมในงานวันเกิดจนถึงขนาดซื้อขิมราคาหลายพันบาทให้ คชาพัฒน์จึงได้ครุ่นคิดว่า เพลงที่น้ำผึ้งจะใช้เล่นในช่วงที่พระฉันเพลนั้นควรจะเป็นเพลงอะไรบ้าง ก่อนหน้านั้นน้ำผึ้งเล่นเพลงไทยเดิมอย่างเพลง ลาวดวงเดือน ลาวเสี่ยงเทียน เขมรไทรโยค ได้อยู่แล้ว พอซักซ้อมอีกครั้งน้ำผึ้งก็ตีได้ไพเราะชวนให้จิตใจสงบ...แต่ว่าเพื่อให้งานครั้งนี้มีสีสัน คชาพัฒน์จึงได้ให้ครูถนอมช่วยต่อเพลงร่วมสมัยให้กับน้ำผึ้ง และ ‘เพลงเสน่หา’ นั้น เป็นเพลงที่คุณนายวรรณีโปรดปราณเป็นอย่างมาก และเมื่อปีก่อนนั้น วรรณศุกร์ก็เคยเล่นเปียโนโดยใช้เพลงเสน่หานี้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับคุณนายวรรณี ส่วนปีนี้หากว่า เปียโนและขิมบรรเลงเพลงนี้พร้อมกันได้ คุณนายจะมีความสุขเพียงใด และเมื่อคุณนายมีความสุข...

คชาพัฒน์มั่นใจว่า คุณนายวรรณีจะยิ่งโปรดปราณน้ำผึ้ง...ประโยชน์ในเบื้องต้นก็คือ เครื่องแต่งตัวสำหรับขึ้นเวทีประกวด รวมถึงยอมให้ยืมเครื่องทองโบราณของคุณนาย ประโยชน์ในชั้นถัด ๆ มา หากคุณนายวรรณีโปรดปราณน้ำผึ้งจนอยากได้เป็นลูกสะใภ้ อนาคตของน้ำผึ้งจะมีความสุขเพียงใด...เพราะดู ๆ แล้ว ผู้ชายที่น้ำผึ้งฝันถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณวรรณศุกร์พ่อเทพบุตรรูปหล่อที่สาวคนใดเห็นก็ต้องเหลียวหลังกลับมามองหรือไม่ก็ต้องลอบมองในความคมคายของวงหน้า น้ำผึ้งก็คงไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ เพียงแต่น้ำผึ้งนั้นเจียมตัวเองดี เพราะรู้ว่าวรรณศุกร์นั้นมีคนรักอยู่แล้ว...แต่ใช่ว่าคนรักและความรักของวรรณศุกร์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้นี่...ตราบใดที่วรรณศุกร์กับภัทรินยังไม่ได้แต่งงานสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้าด้วยกัน หากว่าน้ำผึ้งจะเป็นมือที่สามที่ทำให้ทั้งคู่เลิกรากันไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด...และคุณนายวรรณีคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง

แต่คชาพัฒน์ก็ไม่ได้บอกเหตุผลลึก ๆ นี้ให้น้ำผึ้งได้รับรู้ เมื่อให้ครูถนอมช่วยต่อเพลงเสน่หาให้กับน้ำผึ้ง...เพราะคชาพัฒน์ไม่อยากให้น้ำผึ้งนั้นคาดหวังอะไรไปมากกว่าการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

เสียงดนตรีที่ดังจากขิมตัวที่วางอยู่ตรงหน้าน้ำผึ้ง ทำให้คชาพัฒน์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่...ต้องร้องเพลง เสน่หา ของ สุเทพ วงศ์คำแหง คลอ ๆ ไปด้วย

“ความรักเอย เจ้าลอยลมมาหรือไร มาดลจิต มาดลใจเสน่หา”...

น้ำผึ้งปรายตามองคชาพัฒน์แล้วก็ก้มมองขิมพลางลงน้ำหนักมือไปที่สายโครมาติก ใจนั้นหวนไปนึกถึงใบหน้าและกลิ่นกายของวรรณศุกร์

“รักนี้จริงจากใจหรือเปล่า หรือเย้าเราให้เฝ้าร่ำหา หรือแกล้งเพียงแต่แลตา ยั่วอุราให้หลงลำพอง...”


“สำลี” น้ำอ้อยร้องทักเมื่อสำลีเดินมามาหยุดอยู่หน้าร้านขายลูกชิ้นปิ้งซึ่งวันนี้น้ำอ้อยยังต้องมาอยู่โยงขายแทนน้ำผึ้งที่ติดภารกิจซ้อมขิมที่จะเล่นโชว์ทำบุญวันคล้ายวันเกิดของคุณนายวรรณี

“ขายดีไหมพี่” ถามแล้วสำลีก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้พลาสติกที่วางอยู่...

“ก็เหมือน ๆ ทุกวันแหละ กินไหม หยิบเอาเลย” ด้วยเป็นเหมือนญาติกัน กับตอนที่น้ำผึ้งติดภารกิจน้ำอ้อยจึงไม่ได้คิดจะขายของหากว่าสำลีหิวหรืออยากกินของที่วางขายอยู่

“ยังอิ่มอยู่เลย”

“แล้วจะไปไหน”

“เดินมาซื้อกระดูกหมูไปต้มยำให้พี่หน่อง พี่หน่องอยากกิน” นอกจากมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยนัยนิตแล้วสำลียังต้องทำงานบ้านและทำอาหารเป็นบางมื้อให้กับคชาพัฒน์ด้วย แต่ว่าคชาพัฒน์ก็ไม่ใช่คนหวงกิน ของที่มีอยู่ในครัวในตู้เย็นใครใคร่ทำอะไรก็สามารถทำได้เลย หรือไม่คชาพัฒน์ก็จะให้เงินสำลีนั้นซื้ออาหารสดหรือของแห้งมาไว้ในตู้เย็น

“ผึ้งมันบอกว่าหน่องเป็นคนดีมาก”

“ใช่ บุญของผึ้งมันพี่ ไม่ใช่แค่ปลุกปั้นนะ แต่พี่หน่องเขาหวังดีกับผึ้งจริง ๆ ทางใดที่จะช่วยให้ผึ้งเจริญได้ เขาพร้อมจะช่วยแหละ”

“แล้วนี่กลับมาจากซ้อมขิมบ้านครูถนอมกันหรือยัง”

“ยังเลย แต่เดี๋ยวก็คงมาหรอก แล้วพรุ่งนี้พี่อ้อยจะไปทำบุญที่บ้านคุณนายหรือเปล่า”

“ว่าจะไปนะ อยากไปดูผึ้งมันเล่นขิมด้วย ให้กำลังใจลูกสักหน่อย วันนี้ตอนรำก็ไม่ได้ไปเพราะยังเก็บร้านไม่เสร็จ แต่คนที่ไปดูเขาก็มาบอก ๆ กันว่าผึ้งรำสวยมาก”

“หนูก็ไม่ได้ไป...แต่คนที่เขาไปก็บอกว่าผึ้งรำสวยมาก”

ยังไม่ทันที่สำลีกับน้ำอ้อยจะคุยกันต่อที่หน้ารถเข็นก็มีรถยนต์ของสารวัตรทะนงศักดิ์เข้ามาจอด ลงจากรถมาแล้วท่านก็ยิ้มให้ทั้งสำลีและน้ำอ้อยที่เขารู้อยู่แล้วว่าเป็นแม่ของน้ำผึ้งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า “น้ำผึ้งไม่ได้มาขายของหรือครับ”

“เปล่าค่ะ” น้ำอ้อยตอบสั้น ๆ

“นึกว่ามา แต่ไม่เป็นไรเจอคุณแม่ก็ดีครับ จะได้ทำความรู้จักกันไว้”
น้ำอ้อยทำหน้าปั้นยากที่ถูกผู้ชายที่มีอายุมากกว่าและมียศถาบรรดาศักดิ์มาเรียกตัวเองว่า ‘แม่’






จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ค. 2556, 07:35:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ค. 2556, 07:35:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1718





<< 16.“หน้าเขานางเอกละครไทย เหมาะที่จะเล่นพวกงานพีเรียด"   18. “ผึ้งรักแม่ ผึ้งรักน้อง ผึ้งจะอดทนเพื่อแม่เพื่อน้อง" >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ก.ค. 2556, 07:36:10 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ


mottanoy 1 ก.ค. 2556, 08:58:30 น.
งานเข้า หวังว่าคงไม่มีไรน้า


คิมหันตุ์ 1 ก.ค. 2556, 10:29:23 น.
คู่แข่งเดินทางมาถึงแล้วสินะ น้ำืผึ้ง


เดิมเดิม 1 ก.ค. 2556, 18:41:54 น.
คุณศุกร์ ยังไงๆ น้า


loveleklek 1 ก.ค. 2556, 22:28:26 น.
ตามมาอ่าน


Zephyr 1 ก.ค. 2556, 23:08:46 น.
คุณศุกร์ก็ดูมี ซัมติงเล็กๆ คริคริ
คุณนายแม่เชียร์อีกต่างหาก
แทบจะรอวันเปียโน กะ ขิมเล่นพร้อมกันไม่ไหวแล้วววววว


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:27:18 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account