น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 18. “ผึ้งรักแม่ ผึ้งรักน้อง ผึ้งจะอดทนเพื่อแม่เพื่อน้อง"

18.

“คือผมรู้สึกถูกชะตากับน้ำผึ้งครับ”

“ค่ะ”

“ผมอยากเรียนให้คุณแม่ทราบว่าผมคิดจริงจังกับน้ำผึ้งนะครับ”

“แต่ว่าน้ำผึ้งยังเด็ก แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้นเอง” ใจจริงน้ำอ้อยอยากจะถามว่า ตัวท่านนั้นอายุเท่าไหร่ แต่ดูจากเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคที่ปกปิดร่างกำยำสมส่วนพร้อมกับใบหน้าที่เค้าความหล่อเมื่อครั้งเป็นหนุ่มแล้ว น้ำอ้อยก็พอจะเดาว่าท่านนั้นอายุเกินห้าสิบปีแน่ ๆ แต่จะกว่าเท่าไหร่นั้นน้ำอ้อยไม่กล้าเดา

“ครับ ยังเด็ก แต่เป็นเด็กดี และก็สวยด้วย คุณแม่เลี้ยงลูกได้ดีครับ ผมสืบมาแล้ว”

“ค่ะ”

“ผมอยากเรียนขอโอกาสจากคุณแม่”

“โอกาสอะไร”

“ผมอยากเข้าตามตรอกออกตามประตูครับ”

“แล้วท่านยังไม่มีครอบครัวหรือคะ”

“ผมกับภรรยาหย่าร้างกันแล้ว ผมมีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคน ตอนนี้ลูกชายผมก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา ลูกสาวผมก็กำลังจะจบปริญญาตรีปีนี้แหละครับ ปีหน้าก็คงตามพี่ชายไป ส่วนผมเองอีก หกปีก็จะเกษียณอายุราชการ นอกจากจะรับราชการแล้วครอบครัวผมมีโรงแรม มีอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าอยู่ในกรุงเทพฯ ครับ ผมรับรองเลยว่า น้ำผึ้งจะต้องอยู่ดีมีสุขอย่างแน่นอน”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยค่ะ”

“ผมเข้าใจว่ามันเร็วไปครับ แต่อยากเรียนให้คุณแม่ทราบว่าผมถูกใจน้ำผึ้งจริง ๆ อยากแต่งงานด้วยอย่างออกหน้าออกตา แล้วส่งให้เรียนหนังสือด้วยครับ”

“แต่ผึ้งยังเด็ก”

“ไม่เด็กแล้วครับ แล้วอีกอย่างวัยอย่างน้ำผึ้งถ้ามีลูกให้ผมก็จะเป็นเรื่องดีมาก”

ใจของน้ำอ้อยเต้นแรง อยากจะด่า ว่า อีตาบ้าคนนี้เป็นเฒ่าหัวงู แต่เขาก็มาอย่างสุภาพนอบน้อมและมาอย่างไม่ทันให้เตรียมตัวเตรียมใจเลย...

“เอ่อ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะ...เพราะฉันตัดสินใจอะไรคนเดียวไม่ได้หรอก”

“ผมยินดีให้คุณแม่เรียกค่าสินสอดทองหมั้นนะครับแพงเท่าไหร่ผมก็สู้”

“ฉันไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ ทุกอย่างมันแล้วแต่น้ำผึ้งเขา...”

“เป็นอันว่าคุณแม่ไม่รังเกียจผมนะครับ”

“อย่าเรียกฉันว่าแม่เลยค่ะท่าน ฉันอ่อนกว่าท่านอีกนะ”

“แต่ผมเรียกเพราะผมหวังว่าต่อไปผมจะได้เป็นลูกเขยของคุณแม่”

น้ำอ้อยพ่นลมหายใจออกจากแรง ๆ...หันซ้ายหันขวา ส่วนสำลีก็นั่งนิ่งไม่รู้จะช่วยเหลือน้ำอ้อยได้อย่างไร...

“คุณแม่คงจะตกใจที่ผมเข้ามาจู่โจม เอาเป็นว่าอย่างไร ผมอยากให้คุณแม่เก็บเรื่องของผมไปครุ่นคิดแล้วกันครับ ผมยินดีแต่งงานกับน้ำผึ้งด้วยเงินสินสอดที่คุณแม่อยากได้เท่าไหร่ก็ได้ ยินดีส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี ยินดีดูแลน้ำผึ้งตลอดไป...แล้ววันนี้ผมก็คงรบกวนคุณแม่เพียงเท่านี้ครับ...ผมลาละ”

พูดจบแล้วท่านก็ยกมือพนมระดับอกทำให้น้ำอ้อยต้องรีบรับไหว้...

และเมื่อสารวัตรทะนงศักดิ์จากไปแล้ว น้ำอ้อยก็ถึงกับเรอออกมาเพราะรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน...

“ทำอย่างไรดีล่ะสำลี”

“เรียกไปสักร้อยล้านเลยไหม พี่จะได้สบายไปทั้งชาติ”

“จริงหรือเท็จก็ไม่รู้ แล้วอย่าพูดมากไปล่ะ โอ้ย ฉันอยากจะบ้า คนอะไรทำไมใจร้อนอย่างนี้”



“สำลี” เสียงเรียกของวิธิตทำให้สำลีที่เดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อหันไปทางต้นเสียงที่ยืนอยู่ตรงมุมหนังสือ ในมือของวิธิตนั้นมีนิตยสารรถกางอยู่...สำลีเดินเข้าไปหาเขาเพราะไม่กล้าส่งเสียงคุยกันให้ดังลั่นร้านแม้ว่าพนักงานหลังเคาน์เตอร์นั้นจะรู้จักกันเป็นอย่างดีก็ตาม

“มีอะไรหรือคะคุณทิต”

“เมื่อกี้ผมเห็นสารวัตรมายืนคุยอยู่หน้าร้านลูกชิ้นปิ้งเป็นนานสองนาน คุยอะไรกันเหรอ”

“เอ่อ...เอ่อ คุยเรื่องทั่ว ๆ ไป” รับปากน้ำอ้อยมาแล้วว่าจะไม่ปูดเรื่องนั้นออกไป แต่ด้วยไม่ใช่คนชอบโกหก สำลีจึงอึดอัดใจที่จะตอบ

“เรื่องอะไรล่ะ”

“อย่าซักเลย...สำลีไปแล้วนะ”

“แล้วนี่จะแวะมาซื้ออะไร ไม่ซื้อก่อนเหรอ”

“เดินตากแอร์เล่น ๆ น่ะ ของที่จะซื้อได้แล้ว” สำลียกถุงหมูถุงผักในมือในมือข้างซ้ายชูขึ้น

“พี่หน่องให้มาซื้อกระดูกหมูไปต้มยำไว้ให้น่ะ”

“น่าอร่อยนะ ไปกินด้วยได้เปล่า” เมื่อหมดหวังจากน้ำผึ้งแล้ว วิธิตก็รู้สึกเหงา ๆ เช่นทุก ๆ วัน ครั้นจะจีบ นัยนิตเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงลักษณะอย่างนั้น วันหยุดอย่างนี้จะกลับบ้านไปนอนดูโทรทัศน์ก็ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ จะไปบ้านวรรณศุกร์ในตอนนี้เพื่อชวนดื่ม ภัทรินก็เดินทางมาถึงแล้ว...และเขาก็ยืนอ่านหนังสือฟรีจนรู้สึกเมื่อยขาเต็มทนแล้วเช่นกัน

“น่าจะได้นะ”

“งั้นเดี๋ยวตามไปนะ”

ร้านของคชาพัฒน์นั้นออกประตูร้านเซเว่นแล้วออกเดินไปทางขวามือ เดินตรงไปแล้วก็เลี้ยวขวาอีกห้าสิบเมตรก็ถึง วิธิตจึงไม่ได้ชวนสำลีให้นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขาที่จอดอยู่หน้าร้านเซเว่นไป และเมื่อสำลีเดินไปถึงร้า นวิธิตก็ขับรถเข้ามาจอดพอดี

“จะชวนให้นั่งรถมาด้วยกันหน่อยก็ไม่ได้” สำลีแกล้งต่อว่า

“ออกกำลังกายน่ะดีแล้วจะได้แข็งแรง”

“ใจดำ”

“งั้นก็เดินกลับไปหน้าร้านเซเว่นใหม่เดี๋ยวผมขี่กลับไปรับกลับมา...ผมจะได้เป็นคนใจขาว” เขาบอกยิ้ม ๆ สำลีจึงค้อนปะหลับปะเหลือกให้ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไปพบว่านัยนิตกำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่

นัยนิตนั้นแปลกใจที่วิธิตเดินตามหลังสำลีเข้ามาในร้านด้วย...

“จะตัดผมเหรอฮะ” นัยนิตร้องทัก เพราะวิธิตนั้นถ้าไม่ตัดผมเขาก็ไม่มีธุระอะไรที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัท

“จะรีบตัดไปไหน ผมผมยังไม่ยาวเลย จะมาฝากท้องมื้อเย็นที่นี่นะ”

“งั้นตามสบาย” บอกแล้วนัยนิตก็ยกนิตยสารขึ้นมาอ่านต่อ...สำลีเดินเข้าไปด้านหลังร้านที่เป็นส่วนของครัว วิธิตทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับนัยนิตก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะกระจกขึ้นมาอ่าน ความเงียบเข้าครอบงำทั้งคู่อยู่อึดใจใหญ่ ๆ เสียงกระดิ่งที่ผูกไว้กับประตูก็ดังกรุ้งกริ้งทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมอง

“อ่านกันใหญ่เลย มาได้ไงคุณทิต” คชาพัฒน์ร้องทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“จะมากินต้มยำกระดูกหมูกับหน่อง”

“แล้วใครไปบอกว่าหน่องจะทำต้มยำกระดูกหมูกิน”

“เจอสำลีที่เซเว่น สำลีบอกก็เลยตามกลิ่นมา...”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”

“น้ำผึ้งล่ะ” แม้จะตัดใจได้แล้วแต่วิธิตก็อดถามถึงไม่ได้...

“ส่งกลับบ้านไปแล้ว มีอะไรรึ” หูตาแพรวพราวของคชาพัฒน์ล้อเลียนอย่างรู้ทัน

“ไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว...” วิธิตอุบอิบ

“เป็นพี่น้องกันก็ดี คบหากันได้นานดี”

“วันนี้สารวัตรทะนงศักดิ์ไปป้วนป้วนที่ร้านลูกชิ้นปิ้งอีกแล้ว ถามสำลีว่าอะไรก็ไม่ยอมบอก” มันเป็นประโยคชวนคุยที่ทำให้ คชาพัฒน์ต้องตะโกนถามสำลีในทันที

“สำลี สารวัตรทะนงศักดิ์ไปที่ร้านลูกชิ้นทำไม”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่หน่อง” สำลีตะโกนตอบกลับมา

“มันต้องมีซิ เล่ามา ๆ ด่วน ๆ”

“ไม่มีจริง ๆ...”

“อย่าหัดมีความลับ เล่ามาเลย เขาพูดอะไรมั่งอยากรู้ เล่าให้ละเอียดยิบ”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ”

“ออกมาเล่าเดี๋ยวนี้ว่าเขาพูดอะไรบ้าง” คชาพัฒน์ขึ้นเสียง สำลีจึงต้องเดินหน้ามุ่ยออกมาหน้าร้าน ถอนหายใจแรง ๆ แล้วสำลีก็เล่าเรื่องที่น้ำอ้อยให้เหยียบไว้เสียทุกประโยคจนคนที่นั่งฟังต่างตาค้างกันเป็นแถว...



ขณะที่วรรณศุกร์ขอตัวไปอาบน้ำ ภัทรินก็ผุดลุกขึ้นนั่งหลังจากที่รู้สึกว่าความเพลียนั้นหายไป...หญิงอยู่ในชุดคลุม มองเห็นกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ที่วรรณศุกร์วางไว้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ ภัทรินถดกายลงจากเตียงก่อนจะเดินไปหยิบกล้องมาเปิดดูรูปที่วรรณศุกร์ถ่ายไว้...และภัทรินก็รู้สึกว่าอารมณ์ที่แจ่มใสของตนนั้นเหมือนมีพยักหมอกเข้ามาปกคลุม...เพราะรูปในกล้องนั้นมันฟ้องอยู่โทนโท่ว่าวันนี้วรรณศุกร์หลอกลวงเธอ ...
เขาไม่ได้หลอกลวงเธอเพียงแต่ว่าเขาบอกความจริงไม่หมด...เขาพาแม่ไปวัดจริง ๆ แต่ว่า ในกล้องมีแต่รูปของน้ำผึ้งแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุคนุ่งโจงกระเบนห่มสไบผมยาวด้านหน้าเกล้าครึ่งหัวทัดดอกไม้ภาพในกล้องนั้นมันฟ้องว่า วรรณศุกร์จงใจซูมจับไปที่ใบหน้าของน้ำผึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้ภาพที่เรียกว่าสวยงามเลยทีเดียว...

“ศุกร์”...ภัทรินจะเรียกวรรณศุกร์ให้ออกมาเคลียร์ แต่ว่าภัทรินก็กดลิ้นตัวเองไว้ทัน และด้วยแรงหึงทำให้ภัทรินกดปุ่มลบภาพ แต่ว่าขณะที่มือกำลังจะกดปุ่มซ้ำอีกที ภัทรินก็ยั้งใจไว้ได้...

“ภัท” วรรณศุกร์เปิดประตูห้องน้ำออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ภัทรินวางถือกล้องนั่งนิ่งใบหน้านั้นบึ้งตึง

“เป็นอะไรเหรอครับ”

“ไหนบอกกับภัทว่าพาคุณแม่ไปไหว้พระ แล้วนี่อะไร” น้ำเสียงของภัทรินห้วน ๆ บ่งบอกว่ากำลังฉุนเฉียว กำลังน้อยใจ และกำลังมีปัญหา...

“รูปน้ำผึ้ง”

“แล้วทำไมถ่ายรูปเขาเสียสวยหยดเลย...มีอะไรหรือเปล่า” ถามพลางภัทรินก็จ้องหน้าเอาคำตอบจากเขาที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอเสเช็ดน้ำที่ผมที่ร่างกายไปพลาง...

“ก็...เอ่อ...จะบอกภัทอย่างไรดีล่ะ เรื่องมันยาว”

“เล่ามา เล่าให้ละเอียดด้วยอย่าให้มีช่องโหว่” ใบหน้าของภัทรินยังบึ้งตึง...ซึ่งเขาจะต้องงอนง้อเอาใจจนกว่าภัทรินจะกลับมาสดใสเหมือนเดิมให้ได้ เรื่องถึงจะเป็นอันยุติลง

“คือ ตอนนี้น้ำผึ้งเขามีแมวมองมาเห็นน่ะ แล้วแมวมองก็ใช่ใครที่ไหน ภัทจำติ๋วได้ไหม คนที่เราเคยเจอตอนไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน...”

“มันนานมาแล้ว” ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตวรรณศุกร์นั้นภัทรินจะจำได้อย่างแม่นยำทีเดียว

“ติ๋วเขาเป็นเลขาพี่อ๊อด ผู้จัดละคร แล้วแม่ของติ๋ว มาเปิดรีสอร์ทที่นี่ มาเป็นลูกค้าที่ร้านหน่อง เขาเห็นน้ำผึ้ง แล้วเขาก็บอกกับติ๋ว บังเอิญผมเจอติ๋วที่ร้านหน่อง ติ๋วเป็นรุ่นน้องผม หน่องก็เลยไว้วานให้ผมช่วยเป็นสะพานคุยเรื่องผึ้งกับติ๋วน่ะ...ผมก็เลยต้องถ่ายรูปผึ้งออกมาให้สวย ๆ เพราะจะเอาไปให้พี่หน่องดู เอาไปให้ติ๋ว เขาช่วยผึ้งหางานน่ะ แล้วติ๋วเขาก็แต่งงานแล้วด้วย...ภัทไม่ต้องหึงผมกับติ๋วหรอก ผมมีภัทเพียงคนเดียวและไม่เคยคิดจะมีใครมาแทนที่ด้วย”

“ไม่ได้คิดอะไรกับน้ำผึ้งจริง ๆ นะ” หลังจากเจอคำหวานจากปากได้รูปของเขาเสียงของภัทรินก็อ่อนลง

“โธ่จะไปคิดอะไร ผึ้งน่ะอ่อนกว่าผมเป็นรอบเลยนะ”

“อ่อนหรือแก่ไม่เห็นสำคัญเลย สมัยนี้มันโตทันกันได้...”

“หึงจริง ๆ เลยเมียผม” ว่าแล้วเขาก็นั่งลงข้าง ๆ แล้วใช้ปลายจมูกคลอเคลียที่ซอกคอ กกหู พวงแก้มแต่ว่าภัทรินนั้นบ่ายเบียงหลบหลีก... “เหม็นค่ะ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“ให้ผมอาบให้ไหม จะได้ช่วยถูหลังให้”

“ไม่ต้อง ๆ ภัทอาบเองได้”

“งั้นผมแต่งตัวนะ ขอลงไปดูข้างล่างก่อน เสร็จแล้วภัทตามลงไปนะ คุณแม่รอกินข้าวเย็นอยู่”...



เรื่องที่สารวัตรทะนงศักดิ์มาตามตื๊อน้ำผึ้งถึงร้านและมีขนมนมเนยมาฝากนั้นน้ำอ้อยรู้จากปากน้ำหวานและจากคนอื่นๆ แล้ว แต่ว่าน้ำอ้อยไม่คิดว่า ไฟรักของสารวัตรทะนงศักดิ์นั้นจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าน้ำผึ้งนั้นหวั่นไหวไปกับลมปากของนายตำรวจรุ่นราวคราวพ่อนี้หรือไม่
พอน้ำผึ้งกลับมาถึงบ้าน...หลังจากน้ำผึ้งกินข้าวเย็นเรียบร้อย น้ำผึ้งก็ไปยืนล้างจานอยู่ที่ในครัว น้ำอ้อยตามเข้าไปเพราะไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อหน้าน้ำหวานและน้ำต้อยที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์

“วันนี้สารวัตรแวะไปหาผึ้งที่ร้าน”

พอแม่เกริ่นมาแบบนี้น้ำผึ้งจึงหันมามองหน้าแม่ที่ช่วยหยิบจานที่ชามที่ล้างเสร็จแล้วมาเช็ดไปพลาง

“เขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

“แล้วผึ้งรู้สึกอย่างไรกับเขาไหมละ”

น้ำผึ้งส่ายหัวในทันที...

“ผึ้งไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยนะแม่ ผึ้งไม่ได้ชอบเขา แล้วผึ้งก็ไม่คิดจะชอบด้วย”

“ก่อนหน้านั้นเขาคุยอะไรกับผึ้งบ้าง”

“ก็ถามเรื่องเรียนต่อ ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย...แม่มีอะไรหรือ”

“เขามาฝากเนื้อฝากตัว มาขอสมัครเป็นลูกเขย พร้อมจะสู้สินสอดทองหมั้น พร้อมส่งเสียให้ผึ้งเรียนหนังสือ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เขาบอกว่าเขาหย่ากับเมียเขาแล้ว เขาเป็นโสด”

“จ้างก็ไม่เชื่อ อมพระมาพูดทั้งวัดก็ไม่เชื่อ”

“แม่ก็ไม่เชื่อหรอก...ปัญหาในตอนนี้ คือ แม่รู้สึกว่าเขาจริงจังจนดูน่ากลัว...แม่บอกไม่ถูก แม่คิดว่า แม่จะไม่ให้ผึ้งขายลูกชิ้นปิ้งแล้ว”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“อยู่ตรงนั้นเขาก็มีโอกาสเข้ามาวุ่นวาย รังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน”

“แล้วถ้าไม่ขายของ ก็ใช่ว่าคนอื่นจะคิดดีกับเรานะแม่ บ้านเราเขาก็มาได้ เขามาจอดรถที่หน้าบ้านเราสักครั้งสองครั้ง คนก็เอาไปพูดกันแล้ว บ้านไพรมันแคบจะตายไป แล้วถ้าผึ้งเลิกขายของ ไม่กลายเป็นว่า ผึ้งกับแม่ยอมรับเงินรับทองมาใช้จนไม่ต้องทำมาหากินหรอกรึ”
ฟังลูกสาวพูดจบน้ำอ้อยก็นิ่งคิด... “วันนี้แม่รู้สึกว่าเขาแรงเหลือเกินแม่กลั๊วกลัว”

“ถ้าผึ้งไม่เล่นด้วยซะอย่าง เขาก็คงจะถอยไป แม่เองก็อย่าไปรับข้าวของอะไรเขามาอีกล่ะ ส่วนผึ้งแม่สบายใจได้ ผึ้งดูแลตัวเองได้ แล้วเงินของเขา ก็ไม่มีทางซื้อผึ้งได้อย่างแน่นอน ถ้าเป็นแม่ค้าแล้วอดตาย คงมีคนตายกันไปเยอะแล้ว”

“พี่หน่องเขาว่าอย่างไรบ้าง”

“พี่หน่องยิ่งแล้วใหญ่เลยแม่ เขาเกลียดไอ้เฒ่าหัวงูนั่นจะตายไป แม่ยังไม่รู้นะซิ ผึ้งจะบอกอะไรให้นะ” แล้วน้ำผึ้งก็เล่าเรื่องที่คุณอี๊ดแม่ของคุณติ๋ว พิชญา พี่อ๊อด คชาพัฒน์และวรรณศุกร์ ที่เกี่ยวพันกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นกำลังจะผลักดันให้น้ำผึ้งไปเป็นดารานักแสดงในวันข้างหน้า

“จริง ๆ หรือผึ้ง”

“จริงจ๊ะแม่ เราอดทนกันสักพัก เดี๋ยวผึ้งก็เรียนจบ ม.หก แล้ว จบแล้ว ผึ้งก็จะไปสมัครเรียนคหกรรมอย่างที่ตั้งใจไว้ หลังจากนั้น ผึ้งจะเข้าประกวดนางงามยอดพธูไทย ได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญหรอกอย่างไรแล้วคุณศุกร์เขาจะเซ้าซี้คุณติ๋วพาผึ้งเข้าวงการได้อย่างแน่นอน เมื่อนั้น ชีวิตพวกเราคงดีขึ้นแล้วก็พ้นจากคนเจ้าชู้อย่างสารวัตรได้...แต่ถ้าไม่ได้เป็นดาราหรือนางงามอะไรนั่น ผึ้งก็มีเงินพอเข้าเรียนเทอมแรกก่อนจะกู้กองทุนมาเรียนแล้วนะแม่...ผึ้งจะไม่ยอมให้แม่มาลำบากกับผึ้งมากมายนักหรอก”

น้ำอ้อยน้ำตารื้อขอบตาเมื่อเห็นว่าลูกสาวคิดรับผิดชอบตัวเองและไม่ได้คิดทอดทิ้งครอบครัวหาความสุขสบายใส่ตัวอย่างเด็กสาวหลาย ๆ คนที่ตนนั้นรู้จัก...

“ผึ้งรักแม่ ผึ้งรักน้อง ผึ้งจะอดทนเพื่อแม่เพื่อน้อง...แม่เป็นกำลังใจและไว้ใจผึ้งเถอะนะจ๊ะ”

“ผึ้ง” แล้วน้ำอ้อยก็กอดลูกสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความปลาบปลื้มใจที่มีลูกดี...


“ของขวัญวันเกิดค่ะ ขอให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เจริญด้วยทรัพย์สินเงินทองยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ”...ภัทรินนั่งลงกับพื้นหน้าโซฟาที่คุณนายวรรณีนั่งอยู่พร้อมส่งกล่องของขวัญให้แล้วกล่าวอวยพรวันเกิดล่วงหน้า...

แม้ว่าจะมีความคิดที่ขัดแย้งกัน กับเรื่องในอนาคต แต่ภัทรินก็คือลูกสะใภ้ที่ตนเองต้องยอมรับ เพราะวรรณศุกร์นั้นพาภัทรินเข้าบ้าน และประกาศกับตนว่าจะไม่สนใจผู้หญิงคนไหนอีก...

และเมียคนนี้ของเขา เขาก็รักมากเสียด้วย รักพอ ๆ กับที่เขารักแม่ วรรณศุกร์จึงเป็นคนกลางที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกับปัญหาที่คาราคาซังมานาน

“ขอบใจจ้ะ”

“เป็นน้ำหอมจากฝรั่งเศสค่ะ แล้วก็มีผ้าพันคอด้วย หวังว่าคุณแม่คงจะชอบนะคะ”

“ไม่น่าซื้อมาให้เปลืองเงินเปลืองทองเลย”

“ปีละหนค่ะไม่เป็นไรหรอก”

“ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาเถอะ”

ยามมาหาวรรณศุกร์ที่บ้านไพร ภัทรินก็จะคลอเคลียอยู่กับวรรณศุกร์ หลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคุณนายวรรณี และเหตการณ์ที่ผ่านพ้นไป ต่างก็รู้ว่ามันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น

ภัทรินนั้นอึดอัดกับแม่สามีที่ยังไม่ได้ตีทะเบียนซึ่งไม่ค่อยจะสนใจตนสักเท่าไหร่ คุณนายวรรณีนั้นประกาศตัวเป็นศัตรูกับเธออย่างเงียบ ๆ ข้อนั้นเธอรู้ดี เธอเองจะให้ประจ๋อประแจ๋เอาอกเอาใจ เธอก็ไม่อยากจะฝืนความรู้สึก เพราะพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกัน เธอก็ไม่เคยมีเวลาเอาอกเอาใจเพราะต่างฝ่ายต่างก็ทำงานของตน พ่อแม่มีแต่เอาใจเธอเสียด้วยซ้ำ ขึ้นเครื่องไปทำงานก็ต้องทนกับผู้โดยสารตลอดเวลา ลงมาแล้วเธออยากเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด...

ภัทรินลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างวรรณศุกร์ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของโซฟาเนื้อดี...สายตาของเขานั้นอยู่กับโทรทัศน์จอใหญ่...ถ้าเขาหันมาหาภัทรินเขาจะรู้ว่าตอนนี้ภัทรินนั้นอยากจะขึ้นห้องของเขาเพื่อความเป็นส่วนตัวจะแย่แล้ว เพราะตอนนี้คุณนายวรรณีเองก็ดูจะสนใจข่าวในโทรทัศน์เสียมากกว่า

“แล้วจะกลับกรุงเทพวันไหน” เมื่อเห็นว่าบรรยายกาศชักจะตึงเครียดคุณนายวรรณีจึงเป็นฝ่ายชวน ภัทรินคุย

“พรุ่งนี้หลังทำบุญเสร็จค่ะ...มีบินตอนเที่ยงคืนไปนาริตะแล้วก็ทำไฟล์กลับจากนาริตะวันรุ่งขึ้นค่ะ”

“เหนื่อยแย่เลยนะ”

“มันเป็นงานค่ะ ภัทอยู่ตัวแล้วค่ะกับการพักผ่อนไม่ค่อยเป็นเวลา”

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนะ”

“ขึ้นสามสิบแล้วค่ะ” บอกไปแล้วภัทรินก็คอแข็งขึ้นมานึกโกรธวรรณศุกร์ที่ไม่ยอมตัดสินใจทำอะไรเสียที เธออยากแต่งงาน อยากมีลูก อยากอยู่กับเขาทุกวันที่อยู่เมืองไทย

“อืม...”

“คุณแม่อยากได้อะไรที่ญี่ปุ่นไหมคะ”

“ไม่อยากได้อะไร ขอบใจ” คุณนายวรรณีนั้นเดินทางท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์เสียรอบโลกแล้ว จึงไม่ได้นึกอยากไปเห็นอะไรอีก...แต่ทุก ๆ ปีคุณนายวรรณีก็ซื้อทัวร์ไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ๆ เพราะถือเป็นการพักผ่อนเปิดหูเปิดตา...ความโก้หรูที่ภัทรินบอกเล่าหรือของฝากจากประเทศใด ๆ จึงไม่ได้ทำให้คุณนายวรรณีรู้สึกตื่นเต้น ภัทรินเองก็เบื่อที่จะคุยด้วย ไอ้คำลงท้ายประโยคว่า ขอบใจ ภัทรินก็รู้สึกว่า เป็นการกล่าวไปอย่างนั้นเอง





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2556, 06:51:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2556, 06:51:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1727





<< 17. “แล้วมีใครที่ไหนคิดว่า เขาทำอะไรได้ตั้งแต่เกิดล่ะ"   19. ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 2 ก.ค. 2556, 06:51:43 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจครับ


คิมหันตุ์ 2 ก.ค. 2556, 09:28:06 น.
เบื่อเจ้ ภัทร เมื่อไรจะเลิกกับคุณศุกร์เนี่ย ฮ่าฮ่า


Sansanook 2 ก.ค. 2556, 10:29:45 น.
เป็นห่วงน้ำผึ้งจังเลย สารวัตรหัวงูนั่น


nateetip 2 ก.ค. 2556, 11:10:08 น.
เอาใจช่วยน้ำผึ้งคนดีนะคะ


mottanoy 2 ก.ค. 2556, 12:07:59 น.
แรงได้ใจ


เดิมเดิม 2 ก.ค. 2556, 12:27:48 น.
น้ำผึ้งสู้ต่อไป


nunoi 2 ก.ค. 2556, 15:13:26 น.
เป็นกำลังใจให้น้ำผึ้งจ้า


Zephyr 2 ก.ค. 2556, 19:24:02 น.
เมื่อไรภัทกับคุณศุกร์จะสะบั้นรักกันนะ
อยากรู้ขึ้นทุกทีๆๆ คนนึงเหมือนจะรักมาก หึงมาก
กับอีกคนไม่อยากให้เสียคำพูด รึป่ะคะ
มันจะลงเอยยังไงละนี่


loveleklek 2 ก.ค. 2556, 22:17:12 น.
ศาลาวัดไปไกลๆ เลย


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:27:10 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account