น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 20. “มีโปรแกรมไปประกวดเวทีไหนอีกหรือเปล่า”
20.
น้ำอ้อยขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับไปช่วยน้ำหวานขายของ โดยทิ้งน้ำผึ้งให้นวดคุณนายวรรณี...โดยคุณนายวรรณีได้สัญญาว่าจะให้วรณศุกร์ขับรถไปส่งที่บ้าน แต่น้ำผึ้งนั้นบอกว่า ขอเดินกลับไปเอง เพราะบ้านของคุณนายวรรณีกับบ้านของตนนั้นไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ...
“ไม่ได้หรอก เป็นสาวเป็นนาง สวยด้วย จะเที่ยวเดินเตร็ดเตร่ทะเล่อทะล่าอย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้วนะ ทำอะไรต้องระมัดระวังตัวให้มาก ๆ รู้ไหม” คุณนายวรรณีนั้นพอรู้เรื่องที่สารวัตรทะนงศักดิ์มาติดพันน้ำผึ้งจากปากของสมานที่รับรู้เรื่องนี้มาจากคชาพัฒน์
น้ำผึ้งนวดเฟ้นคุณนายวรรณีที่นอนคว่ำนอนหงายจนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงโดยน้ำผึ้งก็ต้องตอบคำถามเป็นระยะ ๆ กระทั่งวรรณศุกร์ที่ขึ้นไปนอนหลับตั้งแต่ภัทรินกลับไป เดินลงมาจากชั้นบน...
“อ้าว ผึ้ง”
น้ำผึ้งมองหน้าเขาแล้วหันกลับไปนวดต่อ เมื่อเห็นว่าแม่ของตนนั้นหลับคามือน้ำผึ้ง วรรณศุกร์จึงเดินเข้าไปในครัว...อึดใจใหญ่ ๆ หลังจากที่กินผลไม้รองท้องแล้วเขาก็เดินออกมาทรุดตัวลงนั่ง...น้ำผึ้งยังไม่กล้าหันไปดูวรรณศุกร์ เพราะตอนนี้เขาใส่เสื้อกร้ามกับกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นเนื้อตัวที่ทำให้น้ำผึ้งรู้สึกใจคอไม่ดี
คุณนายวรรณีนั้นตื่นแล้ว จึงบอกกับลูกชายว่า
“เดี๋ยวไปส่งน้ำผึ้งที่บ้านหน่อยนะ”
“ผึ้งขอไปล้างมือก่อนนะคะ”
น้ำผึ้งลุกไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว...โดยระหว่างที่เดินผ่านวรรณศุกร์ไปหญิงสาวก็ค้อมหลังลงสายตามองอยู่ที่พื้น
“น้ำผึ้งเขาน่ารักนะ...มีสัมมาคารวะดี แม่ให้ทองเป็นของขวัญเขาไปสองสลึงกับพระเลี่ยมทอง เขากับแม่น้ำอ้อยเอามาคืน แต่แม่ไม่รับคืนหรอก ให้แล้วให้เลย”
“ครับ” วรรณศุกร์นั้นพอจะดูออกว่าการที่แม่ของเขาดูจะเอ็นดูน้ำผึ้งอย่างออกนอกหน้านั้น แม่ต้องการอะไร...ดีแต่ว่าน้ำผึ้งนั้นรู้จักวางตัว เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดใจเหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่แม่พามาเสนอตัว
และเมื่อน้ำผึ้งเดินออกมาจากห้องน้ำ คุณนายวรรณีก็เอ่ยปากถามว่า
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมน้ำผึ้ง แต่กับข้าวเป็นของที่เหลือจากเลี้ยงพระเลี้ยงแขกนะ ยังไม่ได้ทำใหม่เลย”
“เดี๋ยวผึ้งขอไปช่วยแม่เข็นรถกลับบ้านดีกว่าค่ะ...”
“ช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียจริง ไป ๆ ศุกร์ไปส่งน้องที่ตลาดหน่อย”
“ผึ้งเดินไปเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้...บอกแล้วไง ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว รู้ตัวไว้นะว่าเราเป็นสาวแล้วและก็สวยด้วย สมัยนี้ผู้ชายไว้ใจไม่ได้หรอก”
อันที่จริงน้ำผึ้งอยากจะเถียงว่า แล้วลูกชายของคุณนายนี่ไว้ใจได้หรือคะ แต่น้ำผึ้งก็ไม่กล้าพูดไปอย่างที่ใจคิด...
เมื่อเข้าไปนั่งในรถของวรรณศุกร์แล้วน้ำผึ้งก็หันไปมองข้างทาง...วรรณศุกร์เองก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งรถถึงปากซอยเขาก็เอ่ยปากถามว่า
“เห็นคุณภัทตบรางวัลผึ้งด้วยใช่เปล่า”
“ค่ะ” น้ำผึ้งตอบสั้น ๆ ใจนั้นรู้สึกประหม่ากลัวว่าเขาจะซักไซ้ให้เธอต้องลำบากใจ
“ฉันไม่ได้ให้อะไรผึ้งเลย”
“ที่คุณนายให้มาก็มากเกินไปแล้วค่ะ”
“เกิดเงินขาดมือก็เอาเข้าโรงจำนำได้นะ ไม่ต้องคิดว่าค่าของมันมากเสียจนเก็บไว้จนตัวเองเดือดร้อน”
“ค่ะ”
“ได้คุยอะไรกับเพื่อนที่ชื่อนงลักษณ์หรือเปล่า”
พอเขาถามถึงนงลักษณ์น้ำผึ้งจึงหันไปมองหน้าเขา แต่สายตาของวรรณศุกร์ยังจับจ้องอยู่ที่ถนน...ครุ่นคิดถึงเรื่องที่พิชญาได้บอกกับเขาว่า คุณครูที่โรงเรียนบ้านไพรคนหนึ่งใช้เส้นครูวนาลีเจ้าของปางวนาลี รีสอร์ทพาลูกสาวไปหาพี่อ๊อดแล้วฝากเนื้อฝากตัวหวังให้พี่อ๊อดพาเข้าวงการ และพี่อ๊อดเองก็ตัดรำคาญโดยให้ไปยืนอยู่หน้ากล้องแล้วให้แอ๊คติ้ง แต่ด้วยเด็กคนนั้นประหม่าแสดงสีหน้าท่าทางไม่ได้กับไม่ขึ้นกล้องทั้งที่หน้าตาดี พี่อ๊อดจึงได้ปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม...
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“นงลักษณ์เขาเล่าอะไรให้ฟังบ้างหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรล่ะก็คุยกันเกือบทุกวัน วันละหลายเรื่อง”
“เรื่องที่แม่เขา พาเขาไปเทสต์หน้ากล้องน่ะ”
น้ำผึ้งชักสีหน้าแปลกใจ...
“เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวานตอนเย็น”
“เมื่อวานพอแยกย้ายกันที่วัดแล้วก็ยังไม่ได้คุยกับลักษณ์เลยค่ะ แล้วเขาไปเทสต์หน้ากล้องที่ไหนคะ”
“กับพี่อ๊อด”
“พี่อ๊อด...พี่ติ๋วนั่นหรือคะ”
“อืม...แม่เขาพาไปน่ะ คงอยากให้ลูกสาวเข้าวงการบ้างมั้ง”
“แล้วได้ไหมคะ”
“คุณติ๋วเขาบอกว่า นงลักษณ์สวย แต่ไม่ขึ้นกล้อง...” อันที่จริง พิชญาบอกกับเขาว่า นงลักษณ์นั้นขาวกว่า สวยกว่าน้ำผึ้งแต่ว่าไม่ขึ้นกล้อง ผิดกับน้ำผึ้งที่ตัวผอม ๆ ดำ ๆ แต่พออยู่ในกล้องแล้วกลับดูดี
น้ำผึ้งนิ่งคิดทบทวนว่าตนเองนั้นได้คุยอะไรกับนงลักษณ์ไปบ้าง...เท่าที่จำได้ เธอหลุดปากเรื่องที่พี่หนิงหน่องจะพาเธอไปประกวดเวทียอดพธูไทยเท่านั้น เรื่องพิ่ติ๋ว พิชญาเธอยังไม่ได้บอกเล่าเพราะพี่หนิงหน่องนั้น
อยากให้รู้แค่เฉพาะคนกันเองเท่านั้น
มันคงเป็นความบังเอิญมากกว่า เพราะเมื่อกี้คุณศุกร์ก็บอกว่า อาจารย์นวลอนงค์นั้นรู้จักกับเจ้าของปางวนาลีรีสอร์ท...เมื่อรู้จักกันก็คงอยากให้นงลักษณ์ไปเป็นดารา เพราะเป็นอาชีพที่สร้างชื่อเสียงและเงินทองได้อย่างรวดเร็ว...น้ำผึ้งมองโลกในแง่ดี
“ถึงแล้ว...” วรรณศุกร์จอดรถชิดซ้ายที่ฝั่งตรงกันข้ามกับร้านลูกชิ้นปิ้ง น้ำผึ้งจึงรีบบอกกับเขาว่า
“ขอบคุณค่ะ”...
“อ้าว แม่เก็บร้านไปแล้วนี่...” วรรณศุกร์ที่หันไปทางซ้ายมือเห็นว่ารถเข็นลูกชิ้นปิ้งของน้ำผึ้งไม่ได้อยู่ตรงที่มันเคยอยู่แล้ว...
“ทำไมแม่เก็บร้านเร็วจังเลย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านแล้วกันนะ” ว่าแล้วเขาก็ออกรถไปข้างหน้าเพื่อที่จะไปกลับรถวนกลับมาทางเดิมเพื่อไปส่งน้ำผึ้งในซอยที่อยู่เยื้อง ๆ กับซอยบ้านของเขา...
“มีโปรแกรมไปประกวดเวทีไหนอีกหรือเปล่า” เขายังชวนคุย
“ยังค่ะ พี่หน่องกำลังถามไถ่เพื่อน ๆ เขาอยู่ค่ะ”
“ต่อไปหน่องให้ค่าตัวครั้งละเท่าไหร่”
“เริ่มต้นที่สามพันค่ะ”
“เยอะอยู่นะ”
“แต่ถ้าไม่ได้รางวัลอะไรกลับมาเลย พี่หน่องก็เสี่ยงเหมือนกัน”
“หรือจะลดค่าตัวให้หน่องเขาสักพันเดียว แล้วก็ไปลุ้นรางวัลด้วยกัน”
“พี่หน่องเขาเสนอให้ผึ้งเอง”
“คงจะกลัวว่าคนอื่นจะมาฉกเราไปเข้าสังกัดนะซิ...”
วรรณศุกร์ยังไม่ทันจะชวนน้ำผึ้งคุยต่อ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น เขารู้ว่าเป็นสายเรียกเข้าจากภัทริน...แต่ถ้ารับสายในเวลานี้ ภัทรินก็ต้องถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าปล่อยให้สายดังแล้วตัดไป ปัญหาก็จะตามมาอีก
น้ำผึ้งเบือนหน้าไปนอกรถ แล้วหูของน้ำผึ้งก็ได้ยินเขาพูดกับคนที่โทรมาว่า
“ขับรถอยู่ครับภัท ออกมาหาอะไรกิน ที่บ้านมีแต่กับข้าวที่เหลือเมื่อตอนกลางวัน ป้าสมานไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม” จังหวะนั้นเขาชะลอความเร็วรถลงจนแทบจะเรียกว่าคลานเป็นเต่า...
“เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้ว ผมโทรหานะครับ...ครับ ๆ คิดถึงซิครับ คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออกเลย...บายครับ จุ๊บ ๆ”...
วางสายจากภัทรินแล้ววรรณศุกร์ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งรถของเขาถึงหน้าบ้านน้ำผึ้ง น้ำผึ้งเปิดประตูรถลงไปโดยไม่ได้หันมาขอบคุณเขา...และไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมาส่งในขณะที่เดินเข้ารั้วบ้านไปด้วย...
น้ำผึ้งเดินกลับเข้าบ้านด้วยการพยายามเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด...คำพูดหวาน ๆ ที่เขามีให้กัน คำโกหกที่เขามีให้กับหญิงคนรัก ทำให้น้ำผึ้งรู้สึกเจ็บแปลบเหลือเกิน...
เขาจะโกหกภัทรินไปเพื่ออะไร ทำไมเขาไม่ยอมบอกกับปลายสายไปตามตรงว่า เขากำลังขับรถมาส่งเธอที่บ้าน?
“กลับมาแล้วจ้า”น้ำผึ้งแสร้งทำเป็นอารมณ์ดีเมื่อเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วน้ำผึ้งก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่า ที่พื้นหน้าโทรทัศน์มีถังใส่ไก่ทอดเคเอฟซีวางอยู่พร้อมกับกล่องใส่ขนมโดนัทอีก...
น้ำผึ้งมีลางสังหรณ์ว่าของพวกนี้ต้องเป็นของท่านสารวัตรแน่ ๆ
“แม่อยู่ในครัว” น้ำต้อยรายงาน
“ใครซื้อของพวกนี้มาเยอะแยะเลย”
“ศาลาวัด” น้ำต้อยออกเสียงไม่ถูก...น้ำหวานนั้นหันมามองแล้วก็หันหน้ากลับไปหาโทรทัศน์อีก...น้ำผึ้งเดินเข้าไปหาแม่ที่ในครัว...
“ทำไมกลับมาเร็วจังเลยแม่”
“ตำรวจที่โรงพักมาเหมาไปหมดเลย...”
“เป็นร้อย ๆ ไม้เลยนะ”
“อืม...” น้ำอ้อยมีสีหน้าหนักใจ...
“แล้วไก่กับขนมนั่นละ”
“ท่านเอามาให้เอง ต้อยมันอยู่บ้าน มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเลยรับไว้ กินไปหลายชิ้นแล้วด้วย”
“ทำอย่างไรดีล่ะแม่”
น้ำอ้อยถอนหายใจอย่างแรง เพราะคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะแก้ปัญหา ตาเฒ่าหัวงูทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มนี้อย่างไร...
“หนูบอกกับแม่แล้วว่าหนูไม่มีความสามารถ แม่ก็ยังส่งหนูไปขายหน้า”...นงลักษณ์เดือดดาลเมื่อแม่จะให้ไปหัดเล่นดนตรีไทยกับครูถนอมเหมือนกับน้ำผึ้ง...ทั้งที่เมื่อวานนี้หลังจากได้โอกาสจากพี่อ๊อดแล้วนงลักษณ์ก็ตื่นเต้นประหม่าทำไม่ได้ยามเมื่ออยู่หน้ากล้อง...และพี่อ๊อดก็คงไม่ให้โอกาสอีก
ถ้าน้ำผึ้งรู้เรื่องนี้ น้ำผึ้งคงจะคิดว่าเธอ คิดแข่งเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ด้วยอย่างแน่นอน
“ขายหน้าที่ไหน มันเป็นการให้โอกาสตัวเองนะลักษณ์”
“ให้โอกาสไปขายหน้าใช่ไหม”
“เรายังไม่ได้ฝึกฝน ถ้าฝึกมาก ๆ เข้า เดี๋ยวก็ดีเอง แม่ว่าไปเรียนดนตรีสักอย่าง ไปเรียนร้องเพลง”
“ทำไมแม่อยากให้หนูไปเป็นดารานัก ทั้งที่หนูก็ไม่ได้อยากเป็น”
“เป็นครูมันเหนื่อย หนูก็เห็นนี่ พ่อกับแม่ เหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยนะ แล้วเงินเดือนก็น้อยนิดเดียว
เป็นดารามันโก้ มันได้เงินเยอะ แล้วหนูเองก็ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ เมื่อน้ำผึ้งที่เขาด้อยกว่าเรา เขายังมีฝัน
จะเป็นนั่นเป็นนี่ได้ แล้วทำไมลูกของแม่จะทำไม่ได้”
“ทำไมแม่ต้องเอาหนูไปเปรียบกับน้ำผึ้ง”
“แม่อยากให้หนูสู้ไง ถ้าไม่มีคู่แข่ง ถ้าไม่มีการแข่งขัน หนูก็จะไม่มีการฝึกฝนและไม่มีการเรียนรู้เพื่อที่จะเอาชนะ”
นงลักษณ์ถอนหายใจอย่างแรง...
“วันหนึ่งที่น้ำผึ้งเขาไปเป็นดาวได้จริง ๆ ทั้งที่เขามาจากดิน หนูจะได้ไม่เสียใจไง แม่ไม่อยากให้หนูทิ้งโอกาสนี้นะ เพียงแต่หนูต้องคิดว่า หนูก็ทำได้”
“แล้วถ้าหนูแพ้น้ำผึ้ง”
“กีฬามันก็มีแพ้มีชนะ นักกีฬาก็มีตัวสำรองตัวจริง ทุกวงการมันก็มีที่หนึ่งที่สองทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรมของโลก...”
“หนูไม่เรียนดนตรีไทยได้ไหม หนูไม่ชอบ”
“แล้วหนูชอบอะไร”
“หนูอยากเป็นอย่างที่หนูเป็นนี่แหละ หนูเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอล หนูชอบขับรถ หนูไม่ชอบร้องเพลง ไม่ชอบรำ ไม่ชอบดนตรี ไม่ชอบการแสดง...”
นวลอนงค์ถอนหายใจอย่างแรง...ก่อนจะบอกว่า
“แล้วอยากได้รถไหม”
“อยากได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นเวทีให้แม่สักครั้งแล้วกัน แม่ขออย่างเดียว”
“เวทีอะไร”
“นางนพมาศบ้านไพร”
“ทำไมละแม่”
“ปีนี้น้ำผึ้งเขาขึ้นแน่ ๆ แล้วถ้าลูกขึ้น ลูกชนะ เมื่อนั้นลูกอาจจะมีกำลังใจไปทำอะไรต่อก็ได้”
นงลักษณ์ครุ่นคิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะบอก
“แค่เวทีนางนพมาศบ้านไพรแค่นั้นนะ ห้ามมีข้อแม้อีก”
“แล้วนี่มีโปรแกรมไปขึ้นเวทีไหนอีก” นวลอนงค์เอ่ยปากถามน้ำผึ้งเมื่อน้ำผึ้งเอารายงานไปส่ง...
“พี่หน่องกำลังดูอยู่ค่ะ” ด้วยเป็นช่วงฤดูฝนทำให้เวทีการประกวดสาวงามมีน้อยลง และที่ใกล้ ๆ บ้านไพรก็ไม่มี ทำให้คชาพัฒน์ยังไม่มีแผนพาน้ำผึ้งไปประกวดที่ไหน ชีวิตประจำวันของน้ำผึ้งจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือ กลับมาขายลูกชิ้นปิ้ง กลางคืนทำการบ้าน ซ้อมขิม ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเช้า ๆ น้ำผึ้งก็จะหัดทำขนมไทยให้น้อง ๆ ได้ชิมฝีมือหรือไม่ก็หอบหิ้วเอามาที่ร้านหนิงหน่อง
แฮร์คัท เพราะคนที่คอมเม้นท์ฝีมือได้ดีที่สุดก็คือ คชาพัฒน์และนัยนิต แต่ทั้งคู่ก็จะบอกหลังจากที่ติไปกินไปว่า
การติติงนั้นเป็นไปเพื่อก่อให้เกิดเชฟนางงงามสวยที่สุดในสยามประเทศในอนาคต
และวันที่ไปนวดคุณนายวรรณีนั้น คุณนายก็บอกว่าจะให้น้ำผึ้งไปเรียนทำอาหารหวานคาวกับป้าสมานที่มีความรู้เรื่องอาหารไทยอยู่ไม่น้อย แต่ว่าน้ำผึ้งยังไม่มีเวลา เพราะการเรียนหนักมีรายงานเดี่ยวรายงานกลุ่มมีกิจกรรมตลอดเพราะเป็นปีสุดท้ายแล้ว...
“อย่างไรก็อย่าทิ้งการเรียนนะ การเรียนสำคัญ”
“ค่ะ”
“เวทีนางนพมาศบ้านไพรปีนี้ หน่องเขาคงส่งเธอขึ้นประกวดแน่ ๆ...ครูเองก็จะให้นงลักษณ์ขึ้นเหมือนกันนะ”
“นงลักษณ์ก็จะขึ้น” ก่อนหน้านั้นนงลักษณ์ไม่เคยได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้น้ำผึ้งรู้เลยสักนิด
“จวงจันทร์เขามาติดต่อน่ะ” นวลอนงค์โยนเหตุที่นงลักษณ์ต้องขึ้นเวทีแข่งกับน้ำผึ้งไปจวงจันทร์เพราะปีที่แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า ที่ศุภวารีต้องขึ้นเวทีก็เพราะจวงจันทร์ใช้เส้นผู้อำนวยการเช่นกัน
“ครูเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอก็รู้ ๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ลักษณ์เขาก็ไม่ได้อยากขึ้นหรอกนะ แต่ว่าเขาก็ต้องขึ้นเพราะอยากช่วยแม่ เธอไม่โกรธ
ลักษณ์เขาหรอกนะ”
“ผึ้งจะโกรธทำไมละคะ ดีซะอีก ลักษณ์ขึ้น ผึ้งจะได้มีเพื่อน”
“แต่ครูอยากให้ลักษณ์ได้”
พออาจารย์นวลอนงค์พูดตรง ๆ แบบนี้ น้ำผึ้งก็ชักสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“ทำไมคะ”
“บอกตามตรงเลยก็ได้ อันที่จริงนงลักษณ์เขาไม่อยากขึ้นเวทีนางนพมาศนี่หรอกนะ แต่เมื่อโอกาสมาแล้วครูอยากให้เขาขึ้น อยากให้เขากล้าแสดงออก ครูเอารถเก๋งไปล่อให้เขาขึ้นเวทีนะ เพราะถ้าเขายอมขึ้น ปีหน้าเขาก็จะมีรถขับไปมหาวิทยาลัย แล้วถ้าเรียนทีเดียวกัน ผึ้งก็จะได้นั่งรถที่เขาขับไปกลับระหว่างบ้านไพรกับมหาวิทยาลัยด้วย”
อันที่จริงน้ำผึ้งมีแผนจะขึ้นรถประจำทางไปเรียน หรือไม่ก็ไปอยู่หอพักแถว ๆ หน้ามหาวิทยาลัย แต่ ไป ๆ กลับ ๆ น่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าเพราะกินอยู่ที่บ้านเสียแต่ค่ารถกับเสียเวลาเดินทางเท่านั้นและไอ้เรื่องที่จะอาศัยรถนั่งรถของนงลักษณ์ไปกลับ คนอย่างน้ำผึ้งไม่มีวันทำเด็ดขาด
“และถ้าเขาได้ตำแหน่งนางนพมาศบ้านไพรในปีนี้ ครูคิดว่าเขาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น”
น้ำผึ้งยังไม่เข้าใจเข้าในเรื่องที่อาจารย์นวลอนงค์พูดอยู่ดี
“ครูพอรู้เรื่องที่เธอจะไปขึ้นเวทียอดพธูไทยอยู่เหมือนกัน บอกตามตรงว่า ครูอยากให้นงลักษณ์เขาไปบ้าง ครูอยากให้เขากล้าแสดงออกเหมือนเธอ”
“ผึ้งก็ไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ”
“แต่เธอก็มีแรงจูงใจเรื่องเงินค่าตัวก่อนไป แต่นงลักษณ์เธอก็รู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีอะไรเขาก็อยู่ได้อย่างสบาย ครูอยากให้เขาให้โอกาสตัวเอง คนเรามันสำคัญที่โอกาสนะผึ้ง หนูว่าอย่างนั้นไหม”
“ค่ะ ผึ้งพอเข้าใจแล้ว”
“ถ้าครูอยากให้ผึ้งช่วยเพื่อนหน่อยจะได้ไหม”
“ช่วยอย่างไรคะ”
“ ถ้าเกิดว่าเราทั้งคู่เข้ารอบห้าคนสุดท้าย รอบตอบคำถาม ครูอยากให้ผึ้งตอบอะไรก็ได้ที่ไม่ตรงกับคำถามสักเท่าไหร่ จะได้ไหม เพราะถ้าผึ้งไม่ได้ ลักษณ์เขาก็มีลุ้นขึ้นมา”
“ค่ะ”
“ช่วยครูหน่อยนะ แล้วต่อไป มีอะไรจะให้ครูช่วยก็มาบอก ครูยินดี”
“ค่ะ”
“แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกทั้งนงลักษณ์และหน่องนะ เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคน จะได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ตอนนี้พี่หน่องก็มีเด็กในสังกัดแล้ว ต่อไปพี่หน่องก็ไม่ต้องมาเรียกหนูไปใช้งานอีกนะคะ” ปวีณา นาน้อย ขอให้ประทินพามาแวะที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัทเพื่อคุยธุระของตนกับคชาพัฒน์
“ทำไมล่ะ มีหลาย ๆ คนซิดี พาไปทีเดียว สองคนสามคนมันก็มีลุ้นมากกว่าไปคนเดียว”
“หนูอยากเรียนหนังสืออย่างเดียวค่ะพี่ แล้วอีกอย่าง พ่อแม่หนูเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนเราถ้าต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบไม่ได้ปรารถนา อย่างไรมันก็ไม่มีวันประสบผลสำเร็จหรอกค่ะ”
“ก็จริง...แต่ว่า หลาย ๆ คนเขาก็ไม่ได้เริ่มต้นที่ชอบหรอกนะปวีณา แต่ทำไปทำมาเขาก็ชอบ แล้วก็ได้ดีเพราะการเป็นนางงามเดินสายกันเยอะแยะ”
“คงไม่ใช่หนูหรอกค่ะ...อย่างไรหนูก็ต้องขอบคุณพี่หน่อง สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนหนู แม้หนูไม่ได้เป็นนางงามอาชีพ หนูก็ดีใจว่าครั้งหนึ่งหนูเคยขึ้นเวทีประกวดนางงาม เวทีประกวดมันให้อะไรกับหนูเยอะเลยค่ะ”
คชาพัฒน์จำนนต่อเหตุผลของปวีณา นาน้อย
ส่วนประทิน นาน้อย ผู้เป็นพี่ชายนั้นพอมาถึงก็เอาแต่นิ่งเงียบ มีแต่สายตาของเขาเท่านั้นที่พยายามแลเหลือบไปทางนัยนิตที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ไม่สนใจว่าคนรอบ ๆ ตัวนั้นคุยอะไรกัน
ประทินกระแอมเบา ๆ เขาอยากสบตากับนัยนิตก่อนจะพาน้องสาวกลับบ้าน และมันก็ได้ผล นัยนิตละสายตาจากหนังสือ สบตาของเขาแล้วก็ก้มดูหน้ากระดาษในมือต่อ
“อันที่จริงพี่ต้องขอบใจปวีณามากกว่านะ ถ้าไม่ได้ปวีณาจุดประกาย พี่ก็ไม่คิดจะการใหญ่โตอย่างนี้หรอก”
“น้องน้ำผึ้งเขาสวยเก๋นะคะ หนูว่า เขาน่าจะไปได้ไกลกว่าหนู หนูเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ แล้วกันค่ะ”
“ขอบใจ”
“ขอตัวกลับก่อนนะคะ ไปพี่ทินกลับบ้าน พี่นัตนิตคะ”
พอปวีณาร้องเรียกนัยนิตก็ละหนังสือแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“แม้ว่าปวีณา นาน้อยคนนี้จะไม่ได้เป็นเด็กในสังกัดพี่หน่องแล้ว ก็ใช่ว่า ครอบครัวนาน้อยของเรากับที่นี่จะเป็นคนอื่นคนไกลกันนะคะ”
หัวคิ้วของคชาพัฒน์ขมวดเข้าหากัน ส่วนนัตนิตนั้นได้แต่ยิ้มบางๆ สบตากับปวีณาแล้วก็กลอกลูกตาไปมา...
“คือพี่หน่องจะว่าอะไรพี่ทินไหม ถ้าหนูจะบอกว่า ตอนนี้ พี่ทินน่ะ เขาตกหลุมรักพี่นิตเข้าให้แล้ว”
“ว๊าย...อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก ...” คชาพัฒน์แสร้งอุทานเสียงหลง เรียกเสียงหัวเราะให้กับปวีณาและประทิน สวนนัตนิตนั้นหน้าแดงระเรื่อตามประสาสาว ๆ ที่ย่อมเขินอายกับการถูกบอกความในใจจากชายหนุ่ม แม้วิธีการบอกนั้น มันจะเป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงก็ตาม
“มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมทิน” คชาพัฒน์ละล่ำละลัก
“เรื่องจริงครับพี่หน่อง ผม เอ่อ ผม รู้สึก แปลก ๆ กับนัยนิตครับ”
“แล้ว ยายน้องเล็กอะไรนั่นล่ะ”
“ผมก็เคยบอกกับพี่หน่องไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว เขาเองก็มีแฟนไปแล้ว”
“แล้วกับพี่ล่ะ” คชาพัฒน์ตีหน้าเศร้าเซ้าซี้เอาสนุก
“พี่หน่องก็เป็นพี่ชาย...ที่แสนดีของผมไงครับ”
คชาพัฒน์แกล้งสะอื้นก่อนจะบอกว่า
“แล้วนัยนิตล่ะ เธอคิดอย่างไรกับทินเขา”
“ให้โอกาสพี่ทินหน่อยนะพี่นิต...พี่ทินเป็นคนดี ขยันขันแข็ง และก็เป็นผู้ชายจริง ๆ หนูยืนยันได้เลย” ปวีณารีบเชียร์พี่ชาย
“แต่คนของพี่เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงจริง ๆ นะปวีณา” คชาพัฒน์รีบหาข้อด้อยของนัยนิตมาทำให้สองพี่น้องเปลี่ยนใจ
“ผมชอบผู้หญิงแบบนัยนิตนี่แหละครับ”
“ชอบของแปลก”
“ครับ นัยนิตเขาสวยแปลก ๆ ผมชอบครับ”
“คุยอะไรกันเนี่ย” ว่าแล้วนัยนิตก็วางหนังสือแล้วผละเดินขึ้นชั้นบนไป...
คชาพัฒน์ยกไหล่ ปวีณามองหน้าพี่ชาย ส่วนประทินนั้นมีรอยยิ้มละมุนเพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานหรอก เขาจะต้องทำให้นัตนิตใจอ่อนและรับรักเขาจนได้...
น้ำอ้อยขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับไปช่วยน้ำหวานขายของ โดยทิ้งน้ำผึ้งให้นวดคุณนายวรรณี...โดยคุณนายวรรณีได้สัญญาว่าจะให้วรณศุกร์ขับรถไปส่งที่บ้าน แต่น้ำผึ้งนั้นบอกว่า ขอเดินกลับไปเอง เพราะบ้านของคุณนายวรรณีกับบ้านของตนนั้นไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ...
“ไม่ได้หรอก เป็นสาวเป็นนาง สวยด้วย จะเที่ยวเดินเตร็ดเตร่ทะเล่อทะล่าอย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้วนะ ทำอะไรต้องระมัดระวังตัวให้มาก ๆ รู้ไหม” คุณนายวรรณีนั้นพอรู้เรื่องที่สารวัตรทะนงศักดิ์มาติดพันน้ำผึ้งจากปากของสมานที่รับรู้เรื่องนี้มาจากคชาพัฒน์
น้ำผึ้งนวดเฟ้นคุณนายวรรณีที่นอนคว่ำนอนหงายจนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงโดยน้ำผึ้งก็ต้องตอบคำถามเป็นระยะ ๆ กระทั่งวรรณศุกร์ที่ขึ้นไปนอนหลับตั้งแต่ภัทรินกลับไป เดินลงมาจากชั้นบน...
“อ้าว ผึ้ง”
น้ำผึ้งมองหน้าเขาแล้วหันกลับไปนวดต่อ เมื่อเห็นว่าแม่ของตนนั้นหลับคามือน้ำผึ้ง วรรณศุกร์จึงเดินเข้าไปในครัว...อึดใจใหญ่ ๆ หลังจากที่กินผลไม้รองท้องแล้วเขาก็เดินออกมาทรุดตัวลงนั่ง...น้ำผึ้งยังไม่กล้าหันไปดูวรรณศุกร์ เพราะตอนนี้เขาใส่เสื้อกร้ามกับกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นเนื้อตัวที่ทำให้น้ำผึ้งรู้สึกใจคอไม่ดี
คุณนายวรรณีนั้นตื่นแล้ว จึงบอกกับลูกชายว่า
“เดี๋ยวไปส่งน้ำผึ้งที่บ้านหน่อยนะ”
“ผึ้งขอไปล้างมือก่อนนะคะ”
น้ำผึ้งลุกไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว...โดยระหว่างที่เดินผ่านวรรณศุกร์ไปหญิงสาวก็ค้อมหลังลงสายตามองอยู่ที่พื้น
“น้ำผึ้งเขาน่ารักนะ...มีสัมมาคารวะดี แม่ให้ทองเป็นของขวัญเขาไปสองสลึงกับพระเลี่ยมทอง เขากับแม่น้ำอ้อยเอามาคืน แต่แม่ไม่รับคืนหรอก ให้แล้วให้เลย”
“ครับ” วรรณศุกร์นั้นพอจะดูออกว่าการที่แม่ของเขาดูจะเอ็นดูน้ำผึ้งอย่างออกนอกหน้านั้น แม่ต้องการอะไร...ดีแต่ว่าน้ำผึ้งนั้นรู้จักวางตัว เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดใจเหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่แม่พามาเสนอตัว
และเมื่อน้ำผึ้งเดินออกมาจากห้องน้ำ คุณนายวรรณีก็เอ่ยปากถามว่า
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมน้ำผึ้ง แต่กับข้าวเป็นของที่เหลือจากเลี้ยงพระเลี้ยงแขกนะ ยังไม่ได้ทำใหม่เลย”
“เดี๋ยวผึ้งขอไปช่วยแม่เข็นรถกลับบ้านดีกว่าค่ะ...”
“ช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียจริง ไป ๆ ศุกร์ไปส่งน้องที่ตลาดหน่อย”
“ผึ้งเดินไปเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้...บอกแล้วไง ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว รู้ตัวไว้นะว่าเราเป็นสาวแล้วและก็สวยด้วย สมัยนี้ผู้ชายไว้ใจไม่ได้หรอก”
อันที่จริงน้ำผึ้งอยากจะเถียงว่า แล้วลูกชายของคุณนายนี่ไว้ใจได้หรือคะ แต่น้ำผึ้งก็ไม่กล้าพูดไปอย่างที่ใจคิด...
เมื่อเข้าไปนั่งในรถของวรรณศุกร์แล้วน้ำผึ้งก็หันไปมองข้างทาง...วรรณศุกร์เองก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งรถถึงปากซอยเขาก็เอ่ยปากถามว่า
“เห็นคุณภัทตบรางวัลผึ้งด้วยใช่เปล่า”
“ค่ะ” น้ำผึ้งตอบสั้น ๆ ใจนั้นรู้สึกประหม่ากลัวว่าเขาจะซักไซ้ให้เธอต้องลำบากใจ
“ฉันไม่ได้ให้อะไรผึ้งเลย”
“ที่คุณนายให้มาก็มากเกินไปแล้วค่ะ”
“เกิดเงินขาดมือก็เอาเข้าโรงจำนำได้นะ ไม่ต้องคิดว่าค่าของมันมากเสียจนเก็บไว้จนตัวเองเดือดร้อน”
“ค่ะ”
“ได้คุยอะไรกับเพื่อนที่ชื่อนงลักษณ์หรือเปล่า”
พอเขาถามถึงนงลักษณ์น้ำผึ้งจึงหันไปมองหน้าเขา แต่สายตาของวรรณศุกร์ยังจับจ้องอยู่ที่ถนน...ครุ่นคิดถึงเรื่องที่พิชญาได้บอกกับเขาว่า คุณครูที่โรงเรียนบ้านไพรคนหนึ่งใช้เส้นครูวนาลีเจ้าของปางวนาลี รีสอร์ทพาลูกสาวไปหาพี่อ๊อดแล้วฝากเนื้อฝากตัวหวังให้พี่อ๊อดพาเข้าวงการ และพี่อ๊อดเองก็ตัดรำคาญโดยให้ไปยืนอยู่หน้ากล้องแล้วให้แอ๊คติ้ง แต่ด้วยเด็กคนนั้นประหม่าแสดงสีหน้าท่าทางไม่ได้กับไม่ขึ้นกล้องทั้งที่หน้าตาดี พี่อ๊อดจึงได้ปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม...
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“นงลักษณ์เขาเล่าอะไรให้ฟังบ้างหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรล่ะก็คุยกันเกือบทุกวัน วันละหลายเรื่อง”
“เรื่องที่แม่เขา พาเขาไปเทสต์หน้ากล้องน่ะ”
น้ำผึ้งชักสีหน้าแปลกใจ...
“เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวานตอนเย็น”
“เมื่อวานพอแยกย้ายกันที่วัดแล้วก็ยังไม่ได้คุยกับลักษณ์เลยค่ะ แล้วเขาไปเทสต์หน้ากล้องที่ไหนคะ”
“กับพี่อ๊อด”
“พี่อ๊อด...พี่ติ๋วนั่นหรือคะ”
“อืม...แม่เขาพาไปน่ะ คงอยากให้ลูกสาวเข้าวงการบ้างมั้ง”
“แล้วได้ไหมคะ”
“คุณติ๋วเขาบอกว่า นงลักษณ์สวย แต่ไม่ขึ้นกล้อง...” อันที่จริง พิชญาบอกกับเขาว่า นงลักษณ์นั้นขาวกว่า สวยกว่าน้ำผึ้งแต่ว่าไม่ขึ้นกล้อง ผิดกับน้ำผึ้งที่ตัวผอม ๆ ดำ ๆ แต่พออยู่ในกล้องแล้วกลับดูดี
น้ำผึ้งนิ่งคิดทบทวนว่าตนเองนั้นได้คุยอะไรกับนงลักษณ์ไปบ้าง...เท่าที่จำได้ เธอหลุดปากเรื่องที่พี่หนิงหน่องจะพาเธอไปประกวดเวทียอดพธูไทยเท่านั้น เรื่องพิ่ติ๋ว พิชญาเธอยังไม่ได้บอกเล่าเพราะพี่หนิงหน่องนั้น
อยากให้รู้แค่เฉพาะคนกันเองเท่านั้น
มันคงเป็นความบังเอิญมากกว่า เพราะเมื่อกี้คุณศุกร์ก็บอกว่า อาจารย์นวลอนงค์นั้นรู้จักกับเจ้าของปางวนาลีรีสอร์ท...เมื่อรู้จักกันก็คงอยากให้นงลักษณ์ไปเป็นดารา เพราะเป็นอาชีพที่สร้างชื่อเสียงและเงินทองได้อย่างรวดเร็ว...น้ำผึ้งมองโลกในแง่ดี
“ถึงแล้ว...” วรรณศุกร์จอดรถชิดซ้ายที่ฝั่งตรงกันข้ามกับร้านลูกชิ้นปิ้ง น้ำผึ้งจึงรีบบอกกับเขาว่า
“ขอบคุณค่ะ”...
“อ้าว แม่เก็บร้านไปแล้วนี่...” วรรณศุกร์ที่หันไปทางซ้ายมือเห็นว่ารถเข็นลูกชิ้นปิ้งของน้ำผึ้งไม่ได้อยู่ตรงที่มันเคยอยู่แล้ว...
“ทำไมแม่เก็บร้านเร็วจังเลย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านแล้วกันนะ” ว่าแล้วเขาก็ออกรถไปข้างหน้าเพื่อที่จะไปกลับรถวนกลับมาทางเดิมเพื่อไปส่งน้ำผึ้งในซอยที่อยู่เยื้อง ๆ กับซอยบ้านของเขา...
“มีโปรแกรมไปประกวดเวทีไหนอีกหรือเปล่า” เขายังชวนคุย
“ยังค่ะ พี่หน่องกำลังถามไถ่เพื่อน ๆ เขาอยู่ค่ะ”
“ต่อไปหน่องให้ค่าตัวครั้งละเท่าไหร่”
“เริ่มต้นที่สามพันค่ะ”
“เยอะอยู่นะ”
“แต่ถ้าไม่ได้รางวัลอะไรกลับมาเลย พี่หน่องก็เสี่ยงเหมือนกัน”
“หรือจะลดค่าตัวให้หน่องเขาสักพันเดียว แล้วก็ไปลุ้นรางวัลด้วยกัน”
“พี่หน่องเขาเสนอให้ผึ้งเอง”
“คงจะกลัวว่าคนอื่นจะมาฉกเราไปเข้าสังกัดนะซิ...”
วรรณศุกร์ยังไม่ทันจะชวนน้ำผึ้งคุยต่อ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น เขารู้ว่าเป็นสายเรียกเข้าจากภัทริน...แต่ถ้ารับสายในเวลานี้ ภัทรินก็ต้องถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าปล่อยให้สายดังแล้วตัดไป ปัญหาก็จะตามมาอีก
น้ำผึ้งเบือนหน้าไปนอกรถ แล้วหูของน้ำผึ้งก็ได้ยินเขาพูดกับคนที่โทรมาว่า
“ขับรถอยู่ครับภัท ออกมาหาอะไรกิน ที่บ้านมีแต่กับข้าวที่เหลือเมื่อตอนกลางวัน ป้าสมานไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม” จังหวะนั้นเขาชะลอความเร็วรถลงจนแทบจะเรียกว่าคลานเป็นเต่า...
“เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้ว ผมโทรหานะครับ...ครับ ๆ คิดถึงซิครับ คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออกเลย...บายครับ จุ๊บ ๆ”...
วางสายจากภัทรินแล้ววรรณศุกร์ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งรถของเขาถึงหน้าบ้านน้ำผึ้ง น้ำผึ้งเปิดประตูรถลงไปโดยไม่ได้หันมาขอบคุณเขา...และไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมาส่งในขณะที่เดินเข้ารั้วบ้านไปด้วย...
น้ำผึ้งเดินกลับเข้าบ้านด้วยการพยายามเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด...คำพูดหวาน ๆ ที่เขามีให้กัน คำโกหกที่เขามีให้กับหญิงคนรัก ทำให้น้ำผึ้งรู้สึกเจ็บแปลบเหลือเกิน...
เขาจะโกหกภัทรินไปเพื่ออะไร ทำไมเขาไม่ยอมบอกกับปลายสายไปตามตรงว่า เขากำลังขับรถมาส่งเธอที่บ้าน?
“กลับมาแล้วจ้า”น้ำผึ้งแสร้งทำเป็นอารมณ์ดีเมื่อเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วน้ำผึ้งก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่า ที่พื้นหน้าโทรทัศน์มีถังใส่ไก่ทอดเคเอฟซีวางอยู่พร้อมกับกล่องใส่ขนมโดนัทอีก...
น้ำผึ้งมีลางสังหรณ์ว่าของพวกนี้ต้องเป็นของท่านสารวัตรแน่ ๆ
“แม่อยู่ในครัว” น้ำต้อยรายงาน
“ใครซื้อของพวกนี้มาเยอะแยะเลย”
“ศาลาวัด” น้ำต้อยออกเสียงไม่ถูก...น้ำหวานนั้นหันมามองแล้วก็หันหน้ากลับไปหาโทรทัศน์อีก...น้ำผึ้งเดินเข้าไปหาแม่ที่ในครัว...
“ทำไมกลับมาเร็วจังเลยแม่”
“ตำรวจที่โรงพักมาเหมาไปหมดเลย...”
“เป็นร้อย ๆ ไม้เลยนะ”
“อืม...” น้ำอ้อยมีสีหน้าหนักใจ...
“แล้วไก่กับขนมนั่นละ”
“ท่านเอามาให้เอง ต้อยมันอยู่บ้าน มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเลยรับไว้ กินไปหลายชิ้นแล้วด้วย”
“ทำอย่างไรดีล่ะแม่”
น้ำอ้อยถอนหายใจอย่างแรง เพราะคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะแก้ปัญหา ตาเฒ่าหัวงูทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มนี้อย่างไร...
“หนูบอกกับแม่แล้วว่าหนูไม่มีความสามารถ แม่ก็ยังส่งหนูไปขายหน้า”...นงลักษณ์เดือดดาลเมื่อแม่จะให้ไปหัดเล่นดนตรีไทยกับครูถนอมเหมือนกับน้ำผึ้ง...ทั้งที่เมื่อวานนี้หลังจากได้โอกาสจากพี่อ๊อดแล้วนงลักษณ์ก็ตื่นเต้นประหม่าทำไม่ได้ยามเมื่ออยู่หน้ากล้อง...และพี่อ๊อดก็คงไม่ให้โอกาสอีก
ถ้าน้ำผึ้งรู้เรื่องนี้ น้ำผึ้งคงจะคิดว่าเธอ คิดแข่งเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ด้วยอย่างแน่นอน
“ขายหน้าที่ไหน มันเป็นการให้โอกาสตัวเองนะลักษณ์”
“ให้โอกาสไปขายหน้าใช่ไหม”
“เรายังไม่ได้ฝึกฝน ถ้าฝึกมาก ๆ เข้า เดี๋ยวก็ดีเอง แม่ว่าไปเรียนดนตรีสักอย่าง ไปเรียนร้องเพลง”
“ทำไมแม่อยากให้หนูไปเป็นดารานัก ทั้งที่หนูก็ไม่ได้อยากเป็น”
“เป็นครูมันเหนื่อย หนูก็เห็นนี่ พ่อกับแม่ เหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยนะ แล้วเงินเดือนก็น้อยนิดเดียว
เป็นดารามันโก้ มันได้เงินเยอะ แล้วหนูเองก็ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ เมื่อน้ำผึ้งที่เขาด้อยกว่าเรา เขายังมีฝัน
จะเป็นนั่นเป็นนี่ได้ แล้วทำไมลูกของแม่จะทำไม่ได้”
“ทำไมแม่ต้องเอาหนูไปเปรียบกับน้ำผึ้ง”
“แม่อยากให้หนูสู้ไง ถ้าไม่มีคู่แข่ง ถ้าไม่มีการแข่งขัน หนูก็จะไม่มีการฝึกฝนและไม่มีการเรียนรู้เพื่อที่จะเอาชนะ”
นงลักษณ์ถอนหายใจอย่างแรง...
“วันหนึ่งที่น้ำผึ้งเขาไปเป็นดาวได้จริง ๆ ทั้งที่เขามาจากดิน หนูจะได้ไม่เสียใจไง แม่ไม่อยากให้หนูทิ้งโอกาสนี้นะ เพียงแต่หนูต้องคิดว่า หนูก็ทำได้”
“แล้วถ้าหนูแพ้น้ำผึ้ง”
“กีฬามันก็มีแพ้มีชนะ นักกีฬาก็มีตัวสำรองตัวจริง ทุกวงการมันก็มีที่หนึ่งที่สองทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรมของโลก...”
“หนูไม่เรียนดนตรีไทยได้ไหม หนูไม่ชอบ”
“แล้วหนูชอบอะไร”
“หนูอยากเป็นอย่างที่หนูเป็นนี่แหละ หนูเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอล หนูชอบขับรถ หนูไม่ชอบร้องเพลง ไม่ชอบรำ ไม่ชอบดนตรี ไม่ชอบการแสดง...”
นวลอนงค์ถอนหายใจอย่างแรง...ก่อนจะบอกว่า
“แล้วอยากได้รถไหม”
“อยากได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นเวทีให้แม่สักครั้งแล้วกัน แม่ขออย่างเดียว”
“เวทีอะไร”
“นางนพมาศบ้านไพร”
“ทำไมละแม่”
“ปีนี้น้ำผึ้งเขาขึ้นแน่ ๆ แล้วถ้าลูกขึ้น ลูกชนะ เมื่อนั้นลูกอาจจะมีกำลังใจไปทำอะไรต่อก็ได้”
นงลักษณ์ครุ่นคิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะบอก
“แค่เวทีนางนพมาศบ้านไพรแค่นั้นนะ ห้ามมีข้อแม้อีก”
“แล้วนี่มีโปรแกรมไปขึ้นเวทีไหนอีก” นวลอนงค์เอ่ยปากถามน้ำผึ้งเมื่อน้ำผึ้งเอารายงานไปส่ง...
“พี่หน่องกำลังดูอยู่ค่ะ” ด้วยเป็นช่วงฤดูฝนทำให้เวทีการประกวดสาวงามมีน้อยลง และที่ใกล้ ๆ บ้านไพรก็ไม่มี ทำให้คชาพัฒน์ยังไม่มีแผนพาน้ำผึ้งไปประกวดที่ไหน ชีวิตประจำวันของน้ำผึ้งจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือ กลับมาขายลูกชิ้นปิ้ง กลางคืนทำการบ้าน ซ้อมขิม ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเช้า ๆ น้ำผึ้งก็จะหัดทำขนมไทยให้น้อง ๆ ได้ชิมฝีมือหรือไม่ก็หอบหิ้วเอามาที่ร้านหนิงหน่อง
แฮร์คัท เพราะคนที่คอมเม้นท์ฝีมือได้ดีที่สุดก็คือ คชาพัฒน์และนัยนิต แต่ทั้งคู่ก็จะบอกหลังจากที่ติไปกินไปว่า
การติติงนั้นเป็นไปเพื่อก่อให้เกิดเชฟนางงงามสวยที่สุดในสยามประเทศในอนาคต
และวันที่ไปนวดคุณนายวรรณีนั้น คุณนายก็บอกว่าจะให้น้ำผึ้งไปเรียนทำอาหารหวานคาวกับป้าสมานที่มีความรู้เรื่องอาหารไทยอยู่ไม่น้อย แต่ว่าน้ำผึ้งยังไม่มีเวลา เพราะการเรียนหนักมีรายงานเดี่ยวรายงานกลุ่มมีกิจกรรมตลอดเพราะเป็นปีสุดท้ายแล้ว...
“อย่างไรก็อย่าทิ้งการเรียนนะ การเรียนสำคัญ”
“ค่ะ”
“เวทีนางนพมาศบ้านไพรปีนี้ หน่องเขาคงส่งเธอขึ้นประกวดแน่ ๆ...ครูเองก็จะให้นงลักษณ์ขึ้นเหมือนกันนะ”
“นงลักษณ์ก็จะขึ้น” ก่อนหน้านั้นนงลักษณ์ไม่เคยได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้น้ำผึ้งรู้เลยสักนิด
“จวงจันทร์เขามาติดต่อน่ะ” นวลอนงค์โยนเหตุที่นงลักษณ์ต้องขึ้นเวทีแข่งกับน้ำผึ้งไปจวงจันทร์เพราะปีที่แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า ที่ศุภวารีต้องขึ้นเวทีก็เพราะจวงจันทร์ใช้เส้นผู้อำนวยการเช่นกัน
“ครูเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอก็รู้ ๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ลักษณ์เขาก็ไม่ได้อยากขึ้นหรอกนะ แต่ว่าเขาก็ต้องขึ้นเพราะอยากช่วยแม่ เธอไม่โกรธ
ลักษณ์เขาหรอกนะ”
“ผึ้งจะโกรธทำไมละคะ ดีซะอีก ลักษณ์ขึ้น ผึ้งจะได้มีเพื่อน”
“แต่ครูอยากให้ลักษณ์ได้”
พออาจารย์นวลอนงค์พูดตรง ๆ แบบนี้ น้ำผึ้งก็ชักสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“ทำไมคะ”
“บอกตามตรงเลยก็ได้ อันที่จริงนงลักษณ์เขาไม่อยากขึ้นเวทีนางนพมาศนี่หรอกนะ แต่เมื่อโอกาสมาแล้วครูอยากให้เขาขึ้น อยากให้เขากล้าแสดงออก ครูเอารถเก๋งไปล่อให้เขาขึ้นเวทีนะ เพราะถ้าเขายอมขึ้น ปีหน้าเขาก็จะมีรถขับไปมหาวิทยาลัย แล้วถ้าเรียนทีเดียวกัน ผึ้งก็จะได้นั่งรถที่เขาขับไปกลับระหว่างบ้านไพรกับมหาวิทยาลัยด้วย”
อันที่จริงน้ำผึ้งมีแผนจะขึ้นรถประจำทางไปเรียน หรือไม่ก็ไปอยู่หอพักแถว ๆ หน้ามหาวิทยาลัย แต่ ไป ๆ กลับ ๆ น่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าเพราะกินอยู่ที่บ้านเสียแต่ค่ารถกับเสียเวลาเดินทางเท่านั้นและไอ้เรื่องที่จะอาศัยรถนั่งรถของนงลักษณ์ไปกลับ คนอย่างน้ำผึ้งไม่มีวันทำเด็ดขาด
“และถ้าเขาได้ตำแหน่งนางนพมาศบ้านไพรในปีนี้ ครูคิดว่าเขาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น”
น้ำผึ้งยังไม่เข้าใจเข้าในเรื่องที่อาจารย์นวลอนงค์พูดอยู่ดี
“ครูพอรู้เรื่องที่เธอจะไปขึ้นเวทียอดพธูไทยอยู่เหมือนกัน บอกตามตรงว่า ครูอยากให้นงลักษณ์เขาไปบ้าง ครูอยากให้เขากล้าแสดงออกเหมือนเธอ”
“ผึ้งก็ไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ”
“แต่เธอก็มีแรงจูงใจเรื่องเงินค่าตัวก่อนไป แต่นงลักษณ์เธอก็รู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีอะไรเขาก็อยู่ได้อย่างสบาย ครูอยากให้เขาให้โอกาสตัวเอง คนเรามันสำคัญที่โอกาสนะผึ้ง หนูว่าอย่างนั้นไหม”
“ค่ะ ผึ้งพอเข้าใจแล้ว”
“ถ้าครูอยากให้ผึ้งช่วยเพื่อนหน่อยจะได้ไหม”
“ช่วยอย่างไรคะ”
“ ถ้าเกิดว่าเราทั้งคู่เข้ารอบห้าคนสุดท้าย รอบตอบคำถาม ครูอยากให้ผึ้งตอบอะไรก็ได้ที่ไม่ตรงกับคำถามสักเท่าไหร่ จะได้ไหม เพราะถ้าผึ้งไม่ได้ ลักษณ์เขาก็มีลุ้นขึ้นมา”
“ค่ะ”
“ช่วยครูหน่อยนะ แล้วต่อไป มีอะไรจะให้ครูช่วยก็มาบอก ครูยินดี”
“ค่ะ”
“แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกทั้งนงลักษณ์และหน่องนะ เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคน จะได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ตอนนี้พี่หน่องก็มีเด็กในสังกัดแล้ว ต่อไปพี่หน่องก็ไม่ต้องมาเรียกหนูไปใช้งานอีกนะคะ” ปวีณา นาน้อย ขอให้ประทินพามาแวะที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัทเพื่อคุยธุระของตนกับคชาพัฒน์
“ทำไมล่ะ มีหลาย ๆ คนซิดี พาไปทีเดียว สองคนสามคนมันก็มีลุ้นมากกว่าไปคนเดียว”
“หนูอยากเรียนหนังสืออย่างเดียวค่ะพี่ แล้วอีกอย่าง พ่อแม่หนูเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนเราถ้าต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบไม่ได้ปรารถนา อย่างไรมันก็ไม่มีวันประสบผลสำเร็จหรอกค่ะ”
“ก็จริง...แต่ว่า หลาย ๆ คนเขาก็ไม่ได้เริ่มต้นที่ชอบหรอกนะปวีณา แต่ทำไปทำมาเขาก็ชอบ แล้วก็ได้ดีเพราะการเป็นนางงามเดินสายกันเยอะแยะ”
“คงไม่ใช่หนูหรอกค่ะ...อย่างไรหนูก็ต้องขอบคุณพี่หน่อง สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนหนู แม้หนูไม่ได้เป็นนางงามอาชีพ หนูก็ดีใจว่าครั้งหนึ่งหนูเคยขึ้นเวทีประกวดนางงาม เวทีประกวดมันให้อะไรกับหนูเยอะเลยค่ะ”
คชาพัฒน์จำนนต่อเหตุผลของปวีณา นาน้อย
ส่วนประทิน นาน้อย ผู้เป็นพี่ชายนั้นพอมาถึงก็เอาแต่นิ่งเงียบ มีแต่สายตาของเขาเท่านั้นที่พยายามแลเหลือบไปทางนัยนิตที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ไม่สนใจว่าคนรอบ ๆ ตัวนั้นคุยอะไรกัน
ประทินกระแอมเบา ๆ เขาอยากสบตากับนัยนิตก่อนจะพาน้องสาวกลับบ้าน และมันก็ได้ผล นัยนิตละสายตาจากหนังสือ สบตาของเขาแล้วก็ก้มดูหน้ากระดาษในมือต่อ
“อันที่จริงพี่ต้องขอบใจปวีณามากกว่านะ ถ้าไม่ได้ปวีณาจุดประกาย พี่ก็ไม่คิดจะการใหญ่โตอย่างนี้หรอก”
“น้องน้ำผึ้งเขาสวยเก๋นะคะ หนูว่า เขาน่าจะไปได้ไกลกว่าหนู หนูเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ แล้วกันค่ะ”
“ขอบใจ”
“ขอตัวกลับก่อนนะคะ ไปพี่ทินกลับบ้าน พี่นัตนิตคะ”
พอปวีณาร้องเรียกนัยนิตก็ละหนังสือแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“แม้ว่าปวีณา นาน้อยคนนี้จะไม่ได้เป็นเด็กในสังกัดพี่หน่องแล้ว ก็ใช่ว่า ครอบครัวนาน้อยของเรากับที่นี่จะเป็นคนอื่นคนไกลกันนะคะ”
หัวคิ้วของคชาพัฒน์ขมวดเข้าหากัน ส่วนนัตนิตนั้นได้แต่ยิ้มบางๆ สบตากับปวีณาแล้วก็กลอกลูกตาไปมา...
“คือพี่หน่องจะว่าอะไรพี่ทินไหม ถ้าหนูจะบอกว่า ตอนนี้ พี่ทินน่ะ เขาตกหลุมรักพี่นิตเข้าให้แล้ว”
“ว๊าย...อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก ...” คชาพัฒน์แสร้งอุทานเสียงหลง เรียกเสียงหัวเราะให้กับปวีณาและประทิน สวนนัตนิตนั้นหน้าแดงระเรื่อตามประสาสาว ๆ ที่ย่อมเขินอายกับการถูกบอกความในใจจากชายหนุ่ม แม้วิธีการบอกนั้น มันจะเป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงก็ตาม
“มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมทิน” คชาพัฒน์ละล่ำละลัก
“เรื่องจริงครับพี่หน่อง ผม เอ่อ ผม รู้สึก แปลก ๆ กับนัยนิตครับ”
“แล้ว ยายน้องเล็กอะไรนั่นล่ะ”
“ผมก็เคยบอกกับพี่หน่องไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว เขาเองก็มีแฟนไปแล้ว”
“แล้วกับพี่ล่ะ” คชาพัฒน์ตีหน้าเศร้าเซ้าซี้เอาสนุก
“พี่หน่องก็เป็นพี่ชาย...ที่แสนดีของผมไงครับ”
คชาพัฒน์แกล้งสะอื้นก่อนจะบอกว่า
“แล้วนัยนิตล่ะ เธอคิดอย่างไรกับทินเขา”
“ให้โอกาสพี่ทินหน่อยนะพี่นิต...พี่ทินเป็นคนดี ขยันขันแข็ง และก็เป็นผู้ชายจริง ๆ หนูยืนยันได้เลย” ปวีณารีบเชียร์พี่ชาย
“แต่คนของพี่เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงจริง ๆ นะปวีณา” คชาพัฒน์รีบหาข้อด้อยของนัยนิตมาทำให้สองพี่น้องเปลี่ยนใจ
“ผมชอบผู้หญิงแบบนัยนิตนี่แหละครับ”
“ชอบของแปลก”
“ครับ นัยนิตเขาสวยแปลก ๆ ผมชอบครับ”
“คุยอะไรกันเนี่ย” ว่าแล้วนัยนิตก็วางหนังสือแล้วผละเดินขึ้นชั้นบนไป...
คชาพัฒน์ยกไหล่ ปวีณามองหน้าพี่ชาย ส่วนประทินนั้นมีรอยยิ้มละมุนเพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานหรอก เขาจะต้องทำให้นัตนิตใจอ่อนและรับรักเขาจนได้...

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ค. 2556, 09:54:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ค. 2556, 09:54:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1983
<< 19. ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย | 21. “ผึ้งโชคดีที่เจอหน่อง” >> |


nunoi 5 ก.ค. 2556, 11:31:09 น.
แหมๆๆ คุณครูนวลอนงค์นี่ร้ายไม่เบาเลยนะ มีการขอร้องน้ำผึ้งอย่างนี้ ทุเรศทีุ่สุด
แหมๆๆ คุณครูนวลอนงค์นี่ร้ายไม่เบาเลยนะ มีการขอร้องน้ำผึ้งอย่างนี้ ทุเรศทีุ่สุด


mottanoy 5 ก.ค. 2556, 12:12:33 น.
คุณครูร้ายน่าดูเลย
คุณครูร้ายน่าดูเลย

เดิมเดิม 5 ก.ค. 2556, 12:48:26 น.
เป็นกำลังใจให้น้ำผึ้งคนดีที่ 1 ค่ะ
เป็นกำลังใจให้น้ำผึ้งคนดีที่ 1 ค่ะ

คิมหันตุ์ 5 ก.ค. 2556, 13:41:27 น.
คุณครู วางตัวไม่เหมาะนะคะ
คุณศุกร์จะรู้ไหมเนี่ยว่าน้ำผึ้งน้อยใจอ่ะ..หึหึ
คุณครู วางตัวไม่เหมาะนะคะ
คุณศุกร์จะรู้ไหมเนี่ยว่าน้ำผึ้งน้อยใจอ่ะ..หึหึ

Zephyr 5 ก.ค. 2556, 19:06:48 น.
เอิ่ม แม่พิมพ์ของชาติแบบนี้ไม่ไหวนะคะ
ภาพลักษณ์เสียหาย พูดเหมือนหวังดี แต่เห็นแก่ตัวนะคะ
อยากให้ลูกแสดงออกมากกว่านี้แข่งกันแบบยุติธรรมดีกว่ามั้ย
นงลักษณ์ไม่น่ามีแม่แบบนี้เลย เฮ้อ
เอิ่ม แม่พิมพ์ของชาติแบบนี้ไม่ไหวนะคะ
ภาพลักษณ์เสียหาย พูดเหมือนหวังดี แต่เห็นแก่ตัวนะคะ
อยากให้ลูกแสดงออกมากกว่านี้แข่งกันแบบยุติธรรมดีกว่ามั้ย
นงลักษณ์ไม่น่ามีแม่แบบนี้เลย เฮ้อ

yapapaya 5 ก.ค. 2556, 21:29:23 น.
เพลียใจกับแม่พิมพ์ของชาติจริงๆ น้ำผึ้งสู้ๆๆ
เพลียใจกับแม่พิมพ์ของชาติจริงๆ น้ำผึ้งสู้ๆๆ

loveleklek 8 ก.ค. 2556, 23:03:09 น.
มาเชียร์น้ำผึ้ง
มาเชียร์น้ำผึ้ง

จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:26:53 น.
stop!
stop!