กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 7.พระเอกใจดี..

7.
ก่อนที่ถมยาจะลงจากรถ สูรย์ก็ควักเงินให้ถมยากอีกห้าพันบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงรักษาตัวให้หายเป็นปกติ ก่อนจะไปเขียนใบสมัครงานและเข้าทำงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถมยายกมือไหว้ขอบคุณซ้ำ ๆ ซาก ๆ สูรย์เองก็ได้แต่บอกว่า

“อย่าได้ไปหลงผิดอีก คนจะรวยได้มั่นคงก็มาจากหนึ่งสมองสองมือสองเท้าเท่านั้น..”

หลังจากส่งถมยาแล้ว ใจหนึ่งสูรย์ก็อยากกลับร้าน แต่อีกใจ เขาก็รู้สึกว่า ใจของตัวเองนั้นไม่ปกติ เพราะตั้งแต่ กุสุมาเข้ามาในร้าน เขาก็นั่งมองจอมอนิเตอร์อยู่บ่อย ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงอยากจะเห็นท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้งแสดงความเป็นผู้หญิงของเจ้าหล่อน

ซึ่งอาการแบบนี้เขาไม่เคยเป็นกับลูกน้องคนใดมาก่อน แต่สำหรับกุสุมา เจ้าหล่อนสามารถทำให้โลกที่ดูเป็นสีเทา ๆ ของเขานั้น แปรเปลี่ยนเป็นความสว่างไสวขึ้นมาอย่างประหลาด จะเรียกว่า ‘ชอบ’ ก็ได้ แต่คำว่า ‘รัก’ เหมือนที่เคยมีให้ วรรณพรก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ยังรู้สึกว่า กุสุมานั้นเหมือนน้องสาวมากกว่า

แต่ว่าเมื่อไม่ได้เห็นหน้า เขากลับคิดถึง!!

สูรย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวดไฟฟ้าราคาแพงที่ตั้งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ถอนหายใจแรง ๆ

“สูรย์”

เขาหันไปก็พบว่าพ่อประคองแม่ ลงมาจากชั้นบน ดูจากเครื่องแต่งกายก็พอเดาออกว่า พ่อกับแม่จะออกไปงานเลี้ยง และในงานเลี้ยงเพื่อน ๆ ของพ่อกับแม่ก็จะเอ่ยถึงเขา ซึ่งบางคนก็พยายามยัดเยียดลูกสาวมาให้ บางคนก็พยายามแนะนำคนดี ๆ ให้เขาอีกด้วย

แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกอยากมีใคร แบบที่เคยมีวรรณพรอีกเลย

“ไปไหนกันหรือครับ ให้ผมไปส่งไหม” พ่อยังขับรถเองได้ แม่ก็ยังเป็นหูเป็นตา เพียงแต่ว่าทำอะไรได้ช้าลงและมีสติกับการมีชีวิตมากขึ้น ความสุข ในบั้นปลายของพ่อกับแม่คืองานกุศล และปรารถนาเห็นเขาซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กเป็นฝั่งเป็นฝากับใครสักคนที่คู่ควรกัน

“แล้วสูรย์ละทำไมกลับบ้านมาแต่วัน” แม่มักจะห่วงเรื่องของลูกชายเสียมากกว่าที่จะให้ลูกชายลูกสาวมาห่วงเรื่องของตนเอง

“ปวดหัวนิดหน่อยครับ..วันนี้วันธรรมดาด้วย คนไม่เยอะเท่าไหร่”

“ไปงานกับพ่อกับแม่ไหม” คนเป็นแม่เอ่ยถาม ส่วนคนเป็นพ่อเดินไปหยิบรองเท้าที่วางอยู่ในตู้ และแม่ก็เดินมาเกาะเก้าอี้นวดที่สูรย์นั่งอยู่ โดยพยายามมองสีหน้าของลูกชายไปด้วย

“อยากพักครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เพราะตอนที่วรรณพรบอกยุติความสัมพันธ์ สูรย์แทบจะกลายเป็นบ้าเสียให้ได้ เขาเมามาย เขาร้องไห้ และเขาก็หมดเรี่ยวแรงบริหารจัดการร้านอยู่พักใหญ่ หน้าตาหมองคล้ำ มีชีวิตอย่างซังกะตาย ที่ดินเปล่าในซอยเดียวกันนี้ ซึ่งผู้เป็นแม่ยกให้เขาเพื่อปลูกเรือนหอ บัดนี้ก็รกร้าง

“ไม่มีอะไรครับ ..สบายดี”

“แต่สีหน้าของลูกมันฟ้อง”

สูรย์ปิดปุ่มไฟฟ้า ก่อนจะลุกขึ้นมากอดแม่แล้วหอมเบา ๆ

“ขอบคุณครับแม่”

“หรือเจอใครถูกใจใหม่ แต่ว่าไม่กล้าจีบ..” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามเมื่อได้รองเท้าจากตู้มาแล้ว สูรย์ประคองแม่ไปยังประตู้หน้าบ้าน พ่อถือรองเท้าตามไปวาง สูรย์นั่งลงประคองเท้าของแม่สวมรองเท้า ระหว่างนั้นแม่ก็เอ่ยว่า

“ถ้าเจอใครถูกใจจะหมั้นจะหมายอะไรก็รีบบอกแม่นะ แม่จะได้ไม่..”

“ผมขอหาเองดีกว่าครับ พ่อกับแม่ทำบุญให้สนุกแล้วกัน อย่ากังวลเรื่องผมเลย” สูรย์รีบขัด

“ตกลงสงกรานต์นี่จะไปทำบุญกับแม่ไหม มีนัดไปไหนหรือเปล่า” ช่วงสงกรานต์เป็นธรรมเนียมวันหยุดประจำปีของร้าน และทุก ๆ ปีแม่จะไปทอดผ้าป่าสามัคคีในงานสรงน้ำรูปหล่ออดีตพระเจ้าอาวาสที่แม่นับถือและให้ของดีชื่อเมตตามหานิยมมาจนกระทั่งแม่มีครัวอิ่มสุขสองสาขา แม่จะชวนคนรู้จัก คนในร้านร่วมเดินทาง บางปีก็จัดรถบัส บางปีก็รถตู้ แล้วแต่ว่าจะชวนพวกหมู่ไปทำบุญได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนเขาเอง ก่อนหน้านั้นก็ไป บ้างไม่ไปบ้าง เพราะคิดว่า เรื่องบุญกุศลไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่พอไปดูแลสาขาสอง

ซึ่งอนาคตมันจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน การคิดไม่สนใจกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตาเนื้อมองไม่เห็นเริ่มเปลี่ยนไป เพราะช่วงแรก ๆ ร้านมีลูกค้าไม่มาก แต่หลังจากที่เขา ตั้งศาลพระภูมิ มีเครื่องเซ่นภูตผีทางเข้าหน้าร้านทุกวัน มีหิ้งพระในห้องทำงาน มีการสวดมนตร์บทสั้น ๆ ในตอนเช้า ๆ มีการทำบุญตามคำแนะนำและชักชวนของแม่มากขึ้น ลูกค้าก็ดีขึ้น จนทำกำไรได้จนถึงตอนนี้

และปีนี้ เขาก็ยังไม่ได้สรุป เพราะรู้สึกอยากไปทะเล หรือไม่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า แต่ว่า เมื่อมองดูพ่อกับแม่ที่มีอายุมากขึ้น สูรย์ก็ตัดสินใจได้ว่า ควรมอบความสุขให้พ่อกับแม่ก่อนสิ่งอื่นใด

“ไปก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้น้าส้มลิ้มซาวเสียงเด็กในร้านอีกทีว่าใครจะไปด้วยมั่ง” เพราะช่วงสงกรานต์ทุกคนก็อยากกลับไปอยู่กับครอบครัวในถิ่นที่จากมา ดังนั้นร้านจึงต้องหยุดติดต่อกันหลายวันจนกลายเป็นธรรมเนียมที่ลูกค้าขาประจำจะต้องรู้ และช่วงก่อนร้านหยุดก็จะมีต้นผ้าป่าไปตั้งเพื่อชักชวนให้ลูกค้าได้ทำบุญร่วมกัน



หลังจากอาบน้ำทาครีมบำรุงผิวหน้าผิวตัว สวมเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อกางเกงผ้าสำลีลายการ์ตูนแล้ว กุสุมาก็เดินมาทรุดตัวลงบนเตียงนอน สายตานั้นมองโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ ใจนั้นนึกถึงถมยา แต่ลึก ๆ กุสุมารู้ตัวเองดีว่าคิดถึง ‘สูรย์’ มากกว่า แต่ว่าเรื่องของถมยากับสูรย์ในตอนนี้นั้นมันเกี่ยวเนื่องกัน

“ทำไมมันไม่โทรมาคุยนะ” ว่าแล้วกุสุมาก็กดหมายเลขของเพื่อนที่พักอยู่หอเดียวกับถมยา แต่ว่าก็ได้คำตอบว่า “กูออกมาข้างนอก มันคงอยู่ที่หอแหละ มึงโทรเข้าเครื่องหอสิ เดี๋ยวเขาก็ตามให้”

กุสุมาวางโทรศัพท์ เลื่อนเบอร์โทรศัพท์ในหน้าจอไปมา จน
กระทั่งเห็นชื่อของทรงฤทธิ์..

“มีอะไรไอ้ม่า”

“พี่รู้เรื่องนี้ไหม..” เรื่องนี้ของกุสุมาก็คือเรื่องที่สูรย์จะฝากงานถมยาเข้าทำงานกับบริษัทที่เพื่อนของตนทำงาน เพื่อที่เพื่อนจะได้ช่วยดูแลหนี้ของถมยาที่ต้องหักมาคืน

“ที่นี่แหละ แต่ให้ไอ้ถมยามันหน้าหายบวมก่อนค่อยมาสมัครงาน มันโทรมาหาพี่แล้ว คุยกันแล้ว”

“ช่วยมันหน่อยนะพี่ ลูกนกลูกกาตาดำ ๆ”

“พูดเหมือนไอ้สูรย์เปี๊ยบเลยม่า..เนื้อคู่กันแน่ ๆ”

“ไม่ต้องมา” แม้จะห้ามไม่ให้เขาทำตัวเป็นพ่อสื่อแต่ว่ากุสุมารู้สึกว่าหน้าตัวเองตึงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“มันเป็นไงมั่ง จุกจิกจู้จี้ไหม..”

“เอ่อ พี่ แล้วเรื่องไอ้พวกนั้นน่ะ คุณสูรย์เขาจัดการอย่างไร ถามใครก็ไม่มีใครบอกม่า” กุสุมาตั้งคำถามใหม่

“ไอ้คนที่มันจับ.. แกนะเหรอ”

“จับตูดอ่ะ” กุสุมาไม่อ้อมค้อม

“เอ่อ..แหม เรารึอุตส่าห์เว้นไว้ ไอ้สูรย์มันก็บอกว่า พี่น่าจะรู้ดีว่าพี่ทำอะไรลงไป อย่าให้มันต้องเอาหลักฐานมาประจานเลย สรุปว่า พวกมันก็สั่งเช็คบิลแล้วก็ออกไปจากร้าน”

“ม่านึกว่าเขาให้กินฟรีเสียอีก”

“ไอ้สูรย์มันไม่ตาขาวขนาดนั้นหรอก ว่าแต่แกเหอะม่า ระวัง ๆ ตัวไว้มั่ง มันอาฆาตไว้ใช่หรือเปล่า”

“คนเมาพี่ คงพูดไปอย่างนั้นแหละ หรือไม่ มันก็มีเรื่องกับคน จนมันจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”

“พี่ก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น.. แล้วสรุปว่า ไอ้สูรย์เป็นไงจุกจิกจู้จี้ไหม”

“ก็ดีพี่”

“น่ารักไหม”

“พี่ซ้ง พอเลย”

“จะพอก็ต่อเมื่อ แกกับมันเป็นฝั่งเป็นฝาไป”

“จ้า งั้นพี่ก็ทำหน้าที่ต่อไป ม่านอนแล้ว เหนื่อยง่วง เพลีย”

ไม่ฟังเสียงว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง กุสุมาก็ตัดสัญญาณก่อนจะนั่งยิ้มกับโทรศัพท์ กรอกตาไปมาแต่ใจนั้นก็ประมวลผลความรู้สึกของตนเองจนกระทั่งยอมรับอย่างอาย ๆ ตัวเองว่า เธอรู้สึกพิเศษ ๆ กับคุณสูรย์ของพี่ซ้ง แต่ว่า กุสุมาก็นึกไม่ออกว่า ความรู้สึกแบบนี้มันจะเป็นอย่างไงต่อไป?



ด้วยอยากเห็นหน้าสูรย์ ทำให้กุสุมาตื่นมาโดยที่นาฬิกาปลุกยังไม่ทันส่งเสียงและเมื่อตื่นแล้ว เจ้าหล่อนก็รีบอาบน้ำแต่งตัว หยิบกระโปรงใส่เป้แล้วสะพายลงบันได

“อ้าว ม่าจะรีบไปไหนแต่เช้า”

“เอ่อ วันนี้เวรม่ายกโต๊ะลงกวาดถูพื้นน่ะแม่ เขาผลัดกันไปแต่เช้า” ว่าพลางกุสุมาก็เดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์

“ป้าพรรณไม่มาหรือแม่” ไม่อยากให้แม่ซักเรื่องงานของตนจึงต้องคุยเรื่องอื่น

“ยังเช้าอยู่ แกจะมาสายกว่านี้”

“เหรอ เห็นมาทุกวัน พอไม่เห็นมันก็แปลก ๆ.. แม่ ม่าไปก่อนนะ พ่อละไปไหนแล้ว”

“ไปทำงานแล้ว แล้วไม่กินข้าวก่อนหรือลูก”

“ไม่ทันแล้วแม่ ไปแล้วนะ” ว่าแล้วกุสุมาก็สวมหมวกกันน็อค เข็นรถออกมาแล้วรีบสตาร์ทก่อนจะขับออกจากบ้านไป โดยผู้เป็นแม่ได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงเหมือนทุก ๆวัน


พอถึงร้านกุสุมาก็ทักลุงชมคนงานเหมือนเช่นเคย แต่ว่าตรงนั้นไม่มีสูรย์ แต่ว่ากุสุมาก็เห็นว่ารถของเขาจอดในที่ประจำ แต่ว่า นอกจากนั้นก็ยังมีรถซีดานสีขาวอีกคันที่กุสุมาไม่เคยเห็น..

“ใครหว่า” กุสุมาแปลกใจเมื่อเห็นสูรย์นั่งคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะริมบ่อปลาคาร์ฟ เขาใช้สายตานิ่ง ๆ มองมา กุสุมายกมือขึ้นระดับอกสั่นปลายนิ้วนิด ๆ ทักทายเขา แล้วก็เดินรี่ไปยังที่ตอกบัตร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เธอมาแต่เช้า จึงรู้สึกว่าร้านเงียบเป็นอย่างมาก เมื่อตอกบัตรแล้วกุสุมาก็เดินไปในครัวมีพี่ ๆ มากันแล้ว กุสุมาทักทายเสียงดังให้ได้ยินกันทุกคนก่อนจะเดินเข้าห้องล็อกเกอร์เพื่อนำกระเป๋าไปเก็บ

เมื่อเดินออกมาหน้าร้าน กุสุมาก็เห็นว่า คุณสูรย์ยังนั่งยิ้มแย้มกับคนสวยคนนั้น อารมณ์กรุ่น ๆ หงุดหงิดของกุสุมาพลุ้งขึ้นมา และทางแก้ก็คือดึงโทรศัพท์มือถือมาเปิดเพลงก่อนจะใช้หูฟังเสียบกับหูของตัวเอง..

“ถูพื้นหรือยัง” สูรย์ตะโกนถามเมื่อเห็นกุสุมาตั้งท่ายกเก้าอี้ลง
จากโต๊ะ แต่กุสุมาสั่นหัวโยกตัวตามจังหวะเพลงด้วยไม่ได้ยินเสียงของเขา และเขาก็จำต้องลุกเดินเข้ามาหา

“มีอะไร” กุสุมาถามเขา แต่ว่าก็ได้คิดจะดึงหูฟังออก เขาจึงต้องเป็นฝ่ายจับสายพลาสติกเสียเอง

“ก่อนจะยกโต๊ะลง ต้องถูพื้นก่อน”

“เหรอ” ว่าแล้วกุสุมาก็เชิดหน้าส่ายตัวไปทางหลังร้าน..


“เด็กใหม่หรือสูรย์” ธัญรัตน์เอ่ยถามเมื่อสูรย์เดินกลับมาที่โต๊ะ

“ครับ” เขาตอบเพียงแค่นั้นเพราะไม่ชอบนำเรื่องเด็กในร้านไปเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง

“น่ารักดีนะ แต่ท่าทางไม่กลัวสูรย์เลยนะ”

“เด็กสมัยนี้” สูรย์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปคว้าแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม

“ทานเค้กส้มหน่อยสิ เพิ่งทำมา” ธัญรัตน์นั้นเป็นเจ้าของร้านเบเกอร์รี่ และด้วยที่เป็นเพื่อนกับวรรณพร ร้าน Tanya Bakery จึงได้มีช็อปในสวนอาหารอิ่มสุข ซึ่งก็นับว่าเป็นผลดีกับร้านอาหารเพราะมีเบเกอรี่อร่อย ๆ ไว้เรียกลูกค้าผู้หญิงและเด็ก ๆ ให้อยู่กับร้านนาน ๆ แต่ว่าหลังจากที่เขากับวรรณพรเลิกกันไป ธัญรัตน์ก็เผยความรู้สึกมากขึ้นโดยไม่เห็นค่าความรักที่ทรงฤทธิ์เพียรมอบให้เลยสักนิด

และเขาเองก็หาได้สนใจไมตรีที่ธัญรัตน์หยิบยื่นมา ด้วยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ และก็ไม่มีใครสามารถที่จะมาแทนที่ใครได้แม้คน ๆ คนนั้นจะมีใบหน้าคล้าย ๆ กัน..

“เป็นไงบ้างคะ”

“ก็อร่อยเหมือนเคยครับ”

“เย็นนี้ว่างไหม..จะชวนไปดูหนัง”

เขาเคยไปดูหนัง เคยไปไหน ๆ กับธัญพร แต่ว่า เขาก็ปฏิบัติตนกับเธอแบบเพื่อนชายหญิงเท่านั้น และบางครั้งเขาก็แอบชวนทรงฤทธิ์ให้ตามไปสมทบ จนกระทั่งธัญรัตน์ต้องเอ่ยปาก

“ธัญญ่าไม่ชอบคุณซ้ง”

และเขาก็จะไม่พยายามเป็นพ่อสื่อให้ทรงฤทธิ์อีกเพราะไม่อยากหน้าหงาย และการถูกชวนคราวนี้เขาก็ต้องหาทางบ่ายเบี่ยงเช่นเคย

“ผมรับนัดเพื่อนไว้แล้วครับ เรื่องงาน”

“งาน”

“เดี๋ยวผมขอตัวแป๊บนะครับ..” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินอาด ๆ ไปยังกุสุมาที่ถูพื้นโดยที่ไม่ได้บิดน้ำจากผ้าให้หมาด ๆ เสียก่อน



เมื่อเห็นเขาลุกออกมาจากโต๊ะที่มีแม่ผู้หญิงหน้าสวยซึ่งตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นใคร กุสุมาก็กระหยิ่มใจพยายามปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่อยากจะหัวร่อจวนจะแย่

“นี่ นี่”

ด้วยหูฟังยังเสียบอยู่ที่หู กุสุมาจึงถูพื้นไปอย่างลอยหน้าลอยตาแถมยังแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาเสียด้วย พอเขาเดินมา กุสุมาก็หันหลังให้ ส่ายก้นนิดหน่อยเพื่อยั่วอารมณ์ของเขา นอกจากนั้น ก็ยังพยายามใช้ปลายไม้ถูพื้นกระทุ้งให้โดนเขาด้วย แต่เขาก็หลบไปหลบมา ก่อนจะหาจังหวะเข้าไปจับไม้ถูพื้นไว้แล้วก็ดึงหูฟังออกจากหูของคนกวนประสาท

“อ้าว” กุสุมาแสร้งตกใจ

“นี่ ..ถูพื้นประสาอะไร ทำไมไม่บิดน้ำให้แห้ง”

“บิด แห้ง”

“บิดน้ำที่ผ้าให้แห้ง ให้หมาด ๆ ก่อนถู”

“ก็บิดแล้ว ก็แห้งแล้ว”

“แห้งแบบนี้นะเหรอ” แบบนี้ก็คือ น้ำเจิงนองพื้นประหนึ่งว่าท่อประปาแตก กุสุมาเบ้หน้ากรอกลูกตาไปมาก่อนจะทำหน้าละห้อย

“ก็ม่าไม่มีแรง มันก็เลยแห้งได้แค่นี้”

“ไม้ถูพื้นของเรา ไม่ต้องใช้แรงบิด มันมีที่บิดผ้าวางอยู่ด้วยกัน”

“งั้นเหรอ ไหนอ่ะ”

“ก็อยู่ด้วยกัน ทำไมไม่เอาออกมาใช้”

“ม่าไม่เห็นอ่ะ..เห็นแต่ไม้ ใครเอาไปไว้ตรงไหนแล้วมั้ง หรือไม่ก็หายไปแล้วมั้ง” กุสุมายังกวนอารมณ์ จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวจึงดึงข้อมือลากเข้าไปทางห้องเก็บของ..


“นังเด็กคนนี้เป็นใคร” พอสูรย์กับนังเด็กคนนั้นลับตาไปแล้ว ธัญรัตน์ก็กระซิบถามตุ๊ดตู่ สาวประเภทสองที่ยังไม่ได้แปลงเพศ พนักงานหนึ่งในสองคนที่ประจำอยู่ในช็อปของตนทันที

“ไอ้ม่า เด็กฝึกงาน”

“ท่าทางใส่ใจเกินเหตุ”

“คนพิเศษฮะ”

“อย่างไงรึ”

พอเจ้านายถามปุ๊บ ‘ตุ๊ดตู่’ ผู้ที่ปรารถนาเป็นผู้หญิงทั้งใจและกาย ก็หันรีหันขวางก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องราวของกุสุมาจนหมดสิ้น

“ถึงว่า มันดูไม่เกรงสูรย์สักเท่าไหร่”

“ไม่น่าเป็นคู่แข่งของเจ๊นะ”

“รู้สึกว่าคุณสูรย์แคร์มันอย่างไงไม่รู้”

“หึงไปเอง..ตอนเจ๊ไม่มา คุณสูรย์ก็ดูแคร์ตุ๊ดซี่กับกิ๊บซี่เหมือนกัน” กิ๊บซี่คนที่เอ่ยถึงยังไม่มาทำงานเพราะจะผลัดกันมาเปิดร้านแต่เช้า คนละสัปดาห์

“อย่ามาพูดให้ฉันหงุดหงิดเลย”

“พูดให้อารมณ์ดีต่างหากละ”

“แล้วนังอรพิมละ มาบ้างไหม”

“ไม่เห็นมาเป็นหลายวันแล้วนะ ได้ข่าวว่าไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ถ้ามาแล้วจะรีบรายงานไปนะคะ”

“แล้วนี่พากันไปไหน ไม่เห็นออกมาซะที” ธัญรัตน์ชะเง้อชะแง้ไปทางหลังร้านที่สูรย์ลากข้อมือของผู้หญิงมีมาดเป็นผู้ชายไป ความรู้สึกมันบอกว่า เขารู้สึกพิเศษกับเด็กคนนั้นมากกว่า เด็กในร้านคนอื่น ๆ แต่ครั้นจะเดินตามไปดู เธอก็ไม่เคยละลาบละล้วงเรื่องในร้านของเขา นอกจากสั่งให้เด็กของตนเป็นหูเป็นตาให้


ขณะที่สูรย์ลากข้อมือกุสุมาพลางถือไม้ถูพื้นไปทางหลังร้าน นางส้มลิ้มที่กำลังคุมงานอยู่ในครัวก็เหลือบตามองอยู่ตลอด และก็รู้สึกได้ว่า สูรย์ใส่ใจเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ

แต่ว่าไปแล้ว ไอ้เด็กคนนี้มันก็น่ารักน่าตีเป็นอย่างยิ่ง มันกล้าต่อปากต่อคำเล่นหูเล่นตาไม่มากไม่น้อย และมันก็มีชั้นเชิงคารมคมคายพอตัวทีเดียว

“อ๋อ อืม ทำอย่างนี้นี่เอง ก็ที่บ้านม่าไม่มีนี่ ถ้ามี ม่าก็ทำไปแล้ว”

“อย่าไถลลองดู”

“ก็มันแห้งแล้ว ม่าจะทำให้มันเปียกทำไมอีก”

“เธอนี่มันกวนจริง ๆ”

“คนเมื่อกี้นี้ใครเหรอ” ถามแล้วก็กรอกตาสอดรู้สอดเห็นไปมา

“อยากรู้ไปทำไม” ว่าพรางเขาใช้ปลายไม้ถูพื้นจุ่มลงน้ำแล้วก็หย่นใส่บีบน้ำก่อนจะใช้ปลายเท้าเหยียบคันโยกเพื่อบีบไล่น้ำออกจากผ้า เขาทำอย่างนี้ไม่รู้จักกี่รอบแต่ว่ากุสุมาก็หาได้คิดจะรับไม้ไปหัดทำ
เองหรือรับไม้ออกไปถูพื้น

“ก็ อยากรู้ไว้ จะได้ผูกมิตรไว้ถูก”

“ผูกทำไม”

“อ้าว คุณสูรย์มีบุญคุณกับม่า กับเพื่อนม่า เป็นเพื่อนรักของพี่ซ้งคนที่ม่านับถือด้วย คุณสูรย์รักใคร ม่าก็ต้องรักด้วยและจะต้องรักให้มาก ๆ ด้วย” กุสุมาอธิบายพรางเงยหน้าดูตาวาว ๆ กับไรหนวดของเขา

“มากไปละ”

“สรุปว่าแฟนเหรอ”

“เปล่า แค่ทำธุรกิจร่วมกัน คนนี้ ไอ้ซ้งมันจีบอยู่ แต่จีบไม่ติด”

“คนนี้เหรอที่พี่ซ้งจีบ”

“รู้จักมันมาตั้งนาน ไม่รู้เลยได้ไง ว่ามันรักใครชอบใคร”

“เคยรู้อยู่ แต่อยู่ ๆ มันก็หายไปจากความทรงจำซะงั้น..”

พูดไปแล้วท้องก็ร้องหาอาหารจนกระทั่งคู่สนทนาได้ยิน

“กินข้าวมาหรือยัง” เขาก้มถามใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางจนกระทั่งเผยผิวสีชมพูที่พวงแก้มและริมฝีปากเล่าก็อ่อนละมุนอย่างที่เขาไม่คุ้นตา

“ยัง รีบมา บอกตรงๆ นะ อยู่บ้านไม่เคยถูพื้นทำงานบ้านเลยนะเนี่ย”

“จะบอกว่าตัวเองเป็นคุณหนูว่างั้นเถอะ แล้วเรียนก่อสร้างได้อย่างไง”

“ก็เรียนไปงั้น ๆ แหละ แล้วมันก็ไม่มีวิชาถูพื้นนี่ด้วยนะ”

“ชีวิตคนทำงานก็อย่างนี้หละ มันมีหน้าที่ที่เราไม่อยากทำพ่วงอยู่ด้วยเสมอ ๆ ต่อไปเธอก็รู้เองว่า งานทุกงานมันต้องมีเรื่องที่ต้องฝืนใจทำ ๆ ไป”

“อยากทำงานอย่างที่ใจรัก”


“รักทำงานครัวงั้นสิถึงอยากเป็นแม่ครัว”

“เปล่า เผื่อ ๆ ไว้ แต่ว่าไปมันก็ดูสนุกนะ” ขณะนั้นสายตาของกุสุมาแลไปในครัวซึ่งพ่อครัวแม่ครัวกำลังวุ่นเตรียมงานกัน แต่ถึงกระนั้นเธอก็เห็นว่าสีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข

ความสุขของคนทำอาหารก็คือคนกินชมว่าอร่อย และตั้งแต่มาทำงาน เธอจะได้ยินคำว่า อาหารจานนั้นจานนี้อร่อยไม่ขาดปาก และที่มันอร่อยก็คงเป็นเพราะคนปรุงมีความสุขระหว่างปรุงอยู่ด้วย

“อยากเข้าครัวหรือยังละ”

“แล้วจะให้เข้าได้หรือยังละ”

“ยัง ไปถูพื้นให้เป็นก่อน”

“หิวข้าวอ่ะ” กุสุมาทำตาปรอย ๆ น้ำเสียงนั้นก็เหมืนคนหมดแรง

“ถูเสร็จค่อยมากิน” สูรย์ยังใจแข็งแต่ว่าก็ใกล้จะอ่อนยวบแล้วเหมือนกัน

“ช่วยยกโต๊ะลงด้วยได้ไหม? คงไม่มีแรงหรอก โต๊ะตัวเท่ายักษ์ ช่วยหน่อยนะ นะ นะคะ”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 09:44:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 22:20:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 3642





<< 6.เรียนรู้ ดูใจกัน   8.ยังไม่รัก แต่หึง.. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 4 เม.ย. 2554, 09:47:04 น.
สวัสดีครับสวัสดี วันนี้วันจันทร์ เบิกบานบ้านใหม่ ไฉไลจริง ๆ...

ขอบคุณสำหรับแรงใจที่มีมาให้กันนะครับ..สำหรับเรื่องนี้ช่วงนี้รุดหน้า..แบบว่าคนเขียนมีความมสุขเพราะไอ้ม่ามันได้ใจจริง ๆ...

คริคริ...

อย่าลืมไปดูตำน้านนานสมเด็จพระนเรศวรกันนะครับ อารมณ์รักชาติยิ่งชีพมันทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน..


ปลากัด 4 เม.ย. 2554, 09:50:14 น.
ทักทายวันแรกของการทำงานค่ะ ^^
(จริงๆ ทำงานทุกวันไม่เว้นวันหยุด 555+)


innam 4 เม.ย. 2554, 13:51:25 น.
ตามเป็นกำลังใจ


boonja 4 เม.ย. 2554, 15:57:49 น.
ชอบไอ้ม่าอ่ะ กวนดีค่ะ


เจ้าชายน้อย 4 เม.ย. 2554, 19:14:23 น.
มาติดตามค่ะ
ท่าทางตัวร้ายจะร้ายจริงจัง แต่ไอ้ม่าสู้ได้อยู่แว้วววว 555


ณิณ 4 เม.ย. 2554, 19:30:20 น.
โห..ม่ามีอ้อนด้วย 555


ก้อนอิฐ 4 เม.ย. 2554, 19:59:00 น.
รอตอนต่อไปจ่ะ


เจ้าหญิงสุเอะ 4 เม.ย. 2554, 21:58:59 น.
สนุกมาก


หมูบิน 5 เม.ย. 2554, 06:19:46 น.
น่ารักมากค่ะ


เจ้ากิ๊ง 5 เม.ย. 2554, 13:06:35 น.
มาต่ออีกนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account