น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 25.ผึ้งมันกตัญญูอย่างนี้ซินะ ถึงได้มีเรื่องดี ๆ เข้ามา
25.
หลังจากดูคอนเสิร์ตวรรณศุกร์ก็ขับรถไปส่งภัทรินที่บ้าน และด้วยวันพรุ่งนี้ภัทรินจะมีบินไฟล์เช้า หญิงสาวจึงไม่สามารถค้างกับเขาที่คอนโดได้ วรรณศุกร์จึงขอกลับบ้านไพร เพราะไม่อยากนอนเหงาอยู่เพียงลำพัง
ภัทรินไม่พูดจากระทบกระเทียบอย่างที่วรรณศุกร์นึกไว้ หญิงสาวปล่อยให้เขากลับบ้าน โดยบอกว่า
“ขับรถระวัง ๆ นะคะ ดึกแล้ว ถึงบ้านแล้วก็โทรมาบอกภัทด้วย”
“ไม่โทรได้ไหมอยากให้ภัทพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเมื่อคืนภัทก็ไม่ได้นอนทั้งคืนแล้ว...”
ภัทรินเมินหน้าหนีถ้อยคำหยอกเย้าของเขา...และก่อนที่เขาจะเลื่อนรถออกจากหน้าบ้านเขาก็เอียงแก้มให้ภัทรินจูบลาหนึ่งฟอดใหญ่ ๆ...
“ห้ามเถลไถลนะคะ”
“ครับผม...”
ขับรถออกจากหน้าบ้านของภัทรินมาแล้ววรรณศุกร์ก็นึกได้ว่าวันนี้คชาพัฒน์พาน้ำผึ้งไปขึ้นเวที...ด้วยความอยากรู้ เขาจึงกดโทรศัพท์ไปหาคชาพัฒน์ที่เขามั่นใจว่า ตอนนี้คงกำลังขับรถพาน้ำผึ้งกลับบ้านไพรเช่นกัน
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงช่องเก็บของใกล้ๆ กับเกียร์ ทำให้คชาพัฒน์ที่ขับรถอยู่ละสายตามามอง...
“คุณศุกร์...” คชาพัฒน์รีบละมือมาคว้าโทรศัพท์ไปกดรับสาย...
“ขับรถอยู่นะพี่” ประทินที่นั่งคู่มาด้านหน้าเตือนเบา ๆ เพราะเป็นช่วงที่รถลงเขาและรถที่คชาพัฒน์ขับอยู่นั้นค่อนข้างใช้ความเร็วสูง...
“คุณศุกร์ฮะ มีอะไรฮะ”
“น้ำผึ้งเป็นไงบ้าง...”
“คุยกับผึ้งเลยดีกว่า...เอ้าผึ้งคุยกับคุณศุกร์หน่อย” ว่าแล้วคชาพัฒน์ก็ส่งโทรศัพท์ไปข้างหลัง น้ำผึ้งรีบคว้าโทรศัพท์ไปแนบหู...ใจนั้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่เคยสนทนากับเขาผ่านเจ้าเครื่องมือสื่อสารแบบนี้เลย
“สวัสดีค่ะ”
“เป็นไงบ้างผึ้ง...”
“ก็...ได้ที่สี่ค่ะ”
“โอ้ว...เป็นนิมิตหมายอันดีมากเลยนะ สองเวทีแล้วได้รางวัลมาตลอด ได้เงินรางวัลมาเท่าไหร่”
“รางวัลที่สี่ได้หนึ่งหมื่นบาท พร้อมขันน้ำพานรอง แล้วผึ้งก็ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย ได้เงินมาอีกห้าพัน”
“รวยแล้ว ๆ”
“ค่ะ แบ่งกันคนละครึ่งกับพี่หน่อง”
“ก็เก็บไว้เรียนหนังสือนะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแล้ว...”
“แก่งคอยแล้วค่ะ” ด้วยนั่งมองป้ายตามข้างทางทำให้น้ำผึ้งพอเห็นป้ายข้างทาง น้ำผึ้งจึงตอบไปโดยที่
ต้องเอ่ยปากถามคชาพัฒน์
“ใกล้ถึงบ้านแล้ว...ฉันก็ใกล้จะถึงบ้านไพรแล้วเหมือนกัน”
“ไม่ได้อยู่กรุงเทพเหรอคะ”
“กำลังเดินทางกลับ เดี๋ยวถ้าฉันถึงก่อน ฉันจะรอแสดงความยินดีกับเราที่หน้าร้านหน่องนะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่ค่ะ...ไม่อยากได้อะไร”
“ดึกแบบนี้ก็ไม่รู้จะหาอะไรเอาไปให้ด้วย งั้นผลัดเป็นดอกไม้สักช่อ ในวันพรุ่งนี้แล้วกันนะ คืนนี้นอนที่ร้านหน่องใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้วนี่มีใครไปด้วยบ้าง”
“พี่ทินมาด้วยค่ะ...พี่ทินก็คงค้างที่ร้านพี่หน่องเหมือนกัน”
“นอนตรงไหนได้ละนั่น”
“ไม่รู้เหมือนกัน...” อันที่จริงน้ำผึ้งได้ยินคชาพัฒน์ชวนประทินให้นอนในห้องเดียวกันแต่ประทินบอกว่าขอนอนบนโซฟาด้านล่างแทน...
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ เดินทางปลอดภัยนะ ดีใจด้วยจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาดีใจด้วยอย่างที่ปากว่าจริง ๆ และน้ำผึ้งก็รู้สึกโหวงเหวงที่หว่างอกขึ้นมา...เพราะถึงเขาจะดีกับตนมากแค่ไหน อย่างมากเขาก็เป็นได้พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น
พอคชาพัฒน์กลับมาถึงร้าน นัยนิตก็เดินลงมารับหน้าทั้งชุดนอนที่เป็นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดตัวหลวมๆ
“ได้ไหมผึ้ง” นัตนิตร้องถามน้ำผึ้งที่หอบหิ้วชุดที่ใช้ประกวดเข้ามาในร้านพร้อมกับถุงใส่ขันน้ำพานรอง โดยมีประทินหิ้วถุงน้อยหน่าที่คชาพัฒน์เหมาซื้อมาฝากคุณนายวรรณี แม่ของน้ำผึ้ง นัยนิต สำลีและเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันตามประสาคนมีน้ำใจ และคนที่คชาพัฒน์จะลืมไม่ได้ก็คือ จวงจันทร์ คู่ปรับที่เขาจำต้องซื้อน้อยหน่ามาฝากก็เพื่อจะเข้าไปยั่วอารมณ์...
“ได้ ที่สี่ พร้อมตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ”
“เก่งมากน้องพี่”
น้ำผึ้งวางชุดสวยที่อยู่ในถุงกับถุงถ้วยรางวัลลงกับโซฟาแล้วล้มตัวลงนั่งเพราะรู้สึกเมื่อยขบกับง่วงนอนเต็มทน ประทินที่หิ้วน้อยหน่าตามมาได้ทีเอ่ยปากถามนัยนิต “เอาถุงน้อยหน่านี่ไว้ตรงไหน”
“ในครัวเลย”
“มีแบบสุกด้วยนะ กินไหม”
“ไม่หรอก พรุ่งนี้เช้าค่อยจัดการ”
ประทินเดินผ่านนัยนิตเข้าไปในครัว โดยมีน้ำผึ้งลอบมองดูอากัปกิริยาของคนทั้งคู่อยู่...คชาพัฒน์ที่ล็อครถเสร็จแล้วก็เดินตามเข้ามา...แล้วก็ตั้งท่าจะเลื่อนประตูเหล็กยืดลง...
“แล้วทินเขาไม่กลับบ้านเหรอพี่หน่อง” นัยนิตเอ่ยปากถาม
“ไม่กลับ ดึกแล้วให้เขาค้างที่นี่แหละ” ตอบนัยนิตแล้วคชาพัฒน์ก็เลื่อนประตูลง คล้องแม่กุญแจปิดประตูกระจก
“แล้วจะนอนที่ไหนละเนี่ย”
“ห้องพี่ไง” อันที่จริงคชาพัฒน์ตั้งใจจะปูผ้าให้ประทินนอนที่ชั้นลอยเพราะรู้อยู่ว่าถ้าให้เข้าไปนอนกับตนในห้องบนเตียงเดียวกัน ประทินคงไม่ยอมแน่ ๆ แต่คชาพัฒน์ก็อยากจะยั่วนัยนิต...
และมันก็ได้ผล นัยนิตยกไหล่...ก่อนจะบอกว่า “ไปผึ้ง ขึ้นห้องของเรา”
“อย่าทำอะไรผึ้งของฉันล่ะ” คชาพัฒน์ปรามเมื่อเห็นว่านัยนิตเดินเข้าไปหาน้ำผึ้งแล้วส่งมือไปให้จับ
“พี่หน่องนั่นแหละอย่าทำอะไรพี่ทินเขาละ” จับมือนัยนิตดึงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วน้ำผึ้งก็ย้อนให้
“อะไร คืออะไร ยะน้ำผึ้ง” คชาพัฒน์แกล้งเย้า...
“นั่นแหละ”
“อย่ามาแก่แดดนะ”...
น้ำผึ้งเดินตามนัยนิตขึ้นชั้นสามไปก่อนที่ประทินจะเดินออกมากจากในครัว...
“เดี๋ยวผมนอนที่โซฟานี่ก็ได้ครับพี่หน่อง”
“ไม่ได้ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นอนที่ชั้นลอย เดี๋ยวพี่ปูผ้านวมให้...” น้ำเสียงของคชาพัฒน์เป็นงานเป็นการและสายตาก็ไม่ได้กรุ้มกริ่มแต่อย่างใด
“ครับ รบกวนพี่สักคืนนะ”
“พี่รู้หรอกน่าว่าที่ไม่ยอมขับรถกลับบ้านน่ะ เพราะอยากจะนอนใกล้ ๆ กับนัยนิตใช่ไหม”
“เพิ่งรู้ว่านอกจากจะเป็นกูรูเรื่องนางงาม พี่หน่องก็ยังเป็นกูรูเรื่องความรักด้วย”
“ถ้ารักเขาจริงก็หมั่นเกี้ยว...บอกได้แค่นี้แหละ...”
ตอนเช้านัยนิตลงมาจากชั้นสาม ถึงชั้นลอยก็พอพบว่าประทินนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มโดยใบหน้าได้รูปของเขานั้นโผล่มา...นัยนิตยืนนิ่งพิจารณาใบหน้าเขา ยอมรับกับตัวเองว่าใจนั้นสั่นหวิวชอบกล...
นึกถึงสายตาของเขาครั้งใด นัยนิตจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา เขาเป็นคนบ้านนอก เป็นชาวไร่ที่ตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เธอชอบเขาตรงนี้ และเมื่อวานตอนที่เขาหิ้วผลไม้จากสวนข้างบ้านมาฝาก เธอเห็นแล้วนึกขำ เพราะมันมีสารพัดผลหมากรากไม้จากสวนข้างบ้านจริง ๆ ประมาณว่าเจออะไรเก็บได้ก็เก็บมา...
“ของ ๆ คนบ้านนอกคอกนามีดีสุดก็แค่นี้แหละครับ แต่ผมอยากเอามาฝาก”...
“งั้นก็เอาไปไว้ในครัว”
“หัวปลีนี่ต้มยำกับไก่ได้นะ”
“ที่ตลาดก็มีขาย”
“แต่หัวปลีที่บ้านผมจะหวานกว่า กินดิบ ๆ จิ้มน้ำพริกปลาทูนี่รสชาติไม่เป็นสองรองใครเลย”
เขาพลิกตัวบิดขี้เกียจ นัยนิตผละตกใจ แล้วก็รีบเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง...
วันนี้เป็นวันอาทิตย์สำลีจะเข้ามาในร้านตอนสาย ๆ อาหารเช้านั้นเธอกับคชาพัฒน์ไม่ค่อยได้กินกันแต่วันนี้เป็นวันพิเศษ นัยนิตจึงนึกอยากจะเอาใจทั้งคชาพัฒน์ น้ำผึ้ง และประทิน...หญิงสาวจึงต้มข้าวต้มทรงเครื่องใส่หมูสับและกุ้งแห้งที่เหลืออยู่ในตู้เย็นไว้คอยท่า...
และกลิ่นน้ำซุบกับเสียงที่ดังเล็ดลอดขึ้นมาทำให้ประทินลืมตาตื่น เขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวของคชาพัฒน์ซึ่งให้เขามาใช้พร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงสั้นที่ตากไว้กับเก้าอี้มาพาดคอก่อนจะเดินขึ้นไปล้างหน้าที่ห้องน้ำชั้นสาม เดินลงมาชั้นลอยเก็บที่นอนกับผ้าห่มพับแล้วเขาก็เดินลงบันไดแล้วเลี้ยวเข้าไปในครัว...
นัยนิตที่ยืนมองข้าวต้มอยู่หันมาหาเขา...เขายิ้มให้อย่างพอใจ
“ทำอะไรกินครับ กลิ่นหอมฉุยขึ้นไปถึงข้างบนเลย”
“ข้าวต้มเครื่อง” นัยนิตตอบไปสั้น ๆ ไม่มีลงท้ายคะ ขา น้ำเสียงอ่อนหวานแต่อย่างใด แต่ว่ามันก็ไม่ได้ห้วนสั้นไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี
“น่าจะอร่อยนะ”
“พอกันตายกันไป”
“แต่กลิ่นที่โชยเข้ามาจมูกผม ผมรู้ว่ามันต้องอร่อยมาก”
“รสดีหมดไปซอง คนอร์หมดไปกล่อง” นัยนิตยังถ่อมตน
“ตื่นแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเลยเปล่าครับ” ตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงกว่า ๆ
“ไม่ทุกวันหรอก วันนี้มีคนมานอนด้วยเลยระแวง ๆ”
“แล้วผึ้งยังไม่ตื่นเหรอครับ”
“ยัง คงจะเหนื่อย” ไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่ว่าเมื่อคืนนี้ พออาบน้ำเสร็จแล้วน้ำผึ้งก็ไม่ได้นอนหลับอย่างที่มันควรจะเป็น หญิงสาวเล่าเรื่องโกลาหลเพราะกะเทยพี่เลี้ยงนางงามตัวเก็งที่ตกรอบไป ประท้วงด่าทอคณะกรรมการจนถูกตำรวจมาลากตัวไปพร้อมกับหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ จนเกือบจะสว่าง แล้วต่างคนต่างก็ม่อยหลับไป ดีแต่ว่านัยนิตนั้นไม่ชินกับการนอนกับคนอื่นจึงรู้สึกระแวง และเมื่อรู้สึกตัวแล้วจึงรีบลุกออกมาปล่อยให้น้ำผึ้งนอนต่อเพราะถ้าพลิกตัวไปมาจะทำให้น้ำผึ้งพักผ่อนไม่เพียงพอ
“แล้วจะกลับบ้านกี่โมง”
“ไล่เลยเหรอครับ”
“จะได้เปิดประตูร้านให้น่ะ...”
“น้อยใจจัง...นึกว่าจะชวนกินข้าวต้มก่อน”
“ที่ถามเพราะจะชวนกินข้าวต้มก่อน ถ้ารีบกลับก็จะได้ตักให้กินก่อนเลย”
“ไม่รีบครับ รอพี่หน่องกับผึ้งก่อนก็ได้”
“อย่ารอเลย...”
“เช้า ๆ แบบนี้อยากใส่บาตรจังเลย”
“เป็นความคิดที่ดีมาก...ขอบคุณนะที่บอก” ว่าแล้วนัยนิตก็เปิดลิ้นชักหาถุงร้อนกับหนังยาง หญิงสาวตักข้าวต้มใส่ถุงโดยตอนนั้นประทินกรากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แล้วบอกว่า
“ระวังหกใส่มือนะครับ”
ด้วยประทินเป็นคนมีร่างกายกำยำรูปหน้าคมคายทำให้นัยนิตรู้สึกถึงความเป็นผู้ชายเต็มตัวที่แผ่ออกมา นัยนิตผงะขยับตัวไปจนชิดมุมเคาน์เตอร์...ก่อนจะส่งถุงข้าวต้มให้กับเขาแล้วบอกว่า
“ช่วยมัดหนังยางทีนะ”
“พระมีกี่องค์”
“ถ้าตั้งใจจะใส่ก็มีเป็นสิบ ๆ แหละแต่ไม่ได้มาพร้อมกันหรอก หลายวัดต่างคนต่างมาต่างเดิน”
“เอาน้อยหน่าไปใส่ด้วยนะ...”
“ต้องห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วก็เอาใส่ถุง ไม่งั้นจะไปแตกและอยู่ในบาตรพระ...”
“ได้ ๆ เดี๋ยวผมทำให้ ตกลงเอาจะเอากี่องค์กี่ลูกครับ”
“เก้าแล้วกัน เอาเคล็ด”
“ขอเป็นสิบได้ไหม...เป็นคู่”
“ได้...”
ช่วยนัยนิตมัดถุงข้าวต้มแล้วประทินก็รีบคว้าถุงน้อยหน่าที่คชาพัฒน์ขนซื้อมาซะเยอะแยะออกมาเลือกลูกที่สวยตาห่าง ๆ ลูกใหญ่ห่อลงหนังสือพิมพ์แล้วก็ใส่ถุงหิ้วส่วนนัยนิตนั้นเตรียมถาดออกมาใส่ข้าวต้ม...และเมื่อทุกอย่างพร้อมนัยนิตก็รีบเดินไปไขกุญแจประตูโดยที่ประทินช่วยดึงประตูขึ้นแล้ววกกลับมาเป็นคนยกถาดอาหารออกไปรอพระข้างนอก...
หลังจากพระองค์สุดท้ายให้พรเสร็จเรียบร้อย...ประทินกับนัยนิตที่นั่งคู่กันรับพรก็พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน...“อนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ” ประทินบอกกับนัยนิตเบา ๆ ด้วยดวงใจที่เป็นสุข นัยนิตเองยังวางสีหน้าได้เป็นปกติไม่มีความเขินอายแบบผู้หญิงแต่อย่างใด...
“ฮะแอ่ม” น้ำผึ้งที่ลงมายืนดูอยู่ตั้งนานกระแอมเพื่อให้ทั้งคู่เห็นว่าตนนั้นรู้เห็นนะ...
“อ้าวผึ้ง ตื่นแต่เช้าเลย” นัยนิตร้องทัก
“จะใส่บาตรกันก็ไม่ชวนเลยนะ” น้ำผึ้งแสร้งต่อว่า
“ไม่ได้ตั้งใจใส่หรอก พอดีทำข้าวต้มซะหม้อใหญ่เลย แล้วน้อยหน่าก็มี” นัยนิตไม่ได้แก้ตัวเพียงแต่อธิบายด้วยสีหน้าปกติ
“ค่ะ สาธุด้วย”...น้ำผึ้งตัดบทก่อนจะเดินออกมาจากในร้าน
“แล้วจะไปไหน” นัยนิตถามเพราะว่าน้ำผึ้งเหมือนจะไปข้างนอก
“ผึ้งจะไปช่วยแม่ขายของหน่อย ยังไม่ได้แจ้งข่าวดีให้แม่รู้เลย...เมื่อคืนโทรศัพท์ผึ้งแบตหมดน่ะ เลยไม่ได้โทรไป...” แม้จะชาร์ทแบตแล้วแต่น้ำผึ้งก็ไม่คิดจะโทรกลับไปเพราะอยากไปบอกกับแม่ด้วยตัวเอง อยากไปเห็นสีหน้าดีใจของแม่
“แม่คงจะดีใจมากนะผึ้ง”
“ไม่ดีใจได้ไงละ ได้มาตั้ง 15,000 บาท” ประทินแซว
“หารสองครับพี่ทิน” น้ำผึ้งบอกรายละเอียดที่ประทินก็รู้ดีอยู่แล้ว...
และเมื่อน้ำผึ้งเดินผ่านร้านของจวงจันทร์บิวตี้ซาลอนน้ำผึ้งก็ได้ยินเสียงเจ้าของร้านร้องทัก
“ผึ้ง...” น้ำผึ้งชะงักเท้าในทันที
“คะ พี่เจี๊ยบ”
จวงจันทร์ยังคงอยู่ในชุดนอนแบบกระโปรงยาวลูกไม้ทั้งตัว หน้าไม่ได้แต่งผมเผ้ายังมัดไว้แบบรวก ๆ
“เป็นไงผลการประกวดได้ไหม”
“ได้ที่สี่ค่ะ ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย”
“ดีใจด้วยนะ” ปากนั้นดีใจ แต่ใจนั้นริษยาคชาพัฒน์ที่ดูจะรุ่งเรืองกับการเป็นพี่เลี้ยงนางงาม เพราะตัวเองนั้น แม้จะมีสาวงามอยู่ในมือหลายคน แต่ว่าแต่ละคนนั้น ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงานสักเท่าไหร่
“ขอบคุณค่ะ ผึ้งขอตัวก่อนนะคะพี่เจี๊ยบ จะรีบไปช่วยแม่ขายผักหน่อย” ใจจริงน้ำผึ้งอยากจะไปตั้งแต่ตีสี่แต่ว่าพอเผลอหลับไปแล้วก็หลับลึก แต่พอรู้สึกตัวน้ำผึ้งก็รีบลุกขึ้นไปทำตามใจที่ได้ตั้งไว้
และเมื่อน้ำผึ้งเดินจากไปแล้ว จวงจันทร์ก็เปรยตามหลังไปว่า...
“ผึ้งมันกตัญญูกตเวทีอย่างนี้ซินะ ถึงได้มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต...”
ระหว่างที่เดินไปร้านแผงขายผักของแม่น้ำผึ้งก็ยิ้มโปรยปรายให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักกันไปตลอดทางบ้างก็ร้องทักว่า “มาได้อย่างละธิดากระท้อนหวาน”
บ้างที่พอรู้ว่าเมื่อคืนน้ำผึ้งไปขึ้นเวทีก็ร้องถามว่าได้ตำแหน่งหรือไม่
“ได้ที่สี่ค่ะ” น้ำผึ้งตอบเสียงดังพอประมาณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กระทั่งเดินไปถึงแผงผักของแม่น้ำอ้อยที่ง่วนนั่งหั่นขิงให้ลูกค้าเจ้าประจำอยู่...
“แม่”
เพียงแค่หันมาเห็นสีหน้าระรื่นของลูกสาว น้ำอ้อยก็พอรู้หรอกว่า น้ำผึ้งจะต้องมีข่าวดีมาฝากแน่ ๆ
“ได้ที่เท่าไหร่ล่ะ”
“ได้ที่สี่จ้ะ ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย ได้มาทั้งหมด 7500 บาท...เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝากให้แม่เอาไปเข้าธนาคารให้...หรือแม่จะเอาไว้ใช้ไหม”
“ไม่หรอก เอาไปฝากน่ะดีแล้ว”
“อ้อ ลืมเลย พี่หน่องซื้อน้อยหน่ามาฝากด้วยเดี๋ยวสาย ๆ ผึ้งเอากลับไปที่บ้าน”
“แล้วทำไมตื่นแต่เช้า น่าจะพักให้หายเหนื่อยซะก่อน”
“เช้าที่ไหนละแม่ จะเจ็ดโมงแล้ว”
“ดูซิตาโหลเลย”
“ขายดีไหมแม่” น้ำผึ้งรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะว่าตัวเองแค่ตาโหล แต่แม่นั้นผอมจนเหลือแต่กระดูก...และน้ำผึ้งก็หวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะทำงานหาเลี้ยงแม่และน้อง ๆ ได้ เธออยากให้แม่สบายอยากให้แม่อยู่กับเธอไปนาน ๆ
“เหมือน ๆ ทุกวันแหละ”
สองแม่ลูกยังคงคุยกันกระหนุงกระหนิง...กระทั่งลูกค้ากิตติมศักดิ์เดินเข้ามา น้ำผึ้งกับน้ำอ้อยรีบยกมือไหว้คุณนายวรรณีที่มีป้าสมานเดินตามมาด้วยในทันที...
“ขอแสดงความยินดีกับรองอันดับสามธิดาน้อยหน่าคนล่าสุด...” คุณนายวรรณีเป็นฝ่ายร้องทักเพราะรู้เรื่องนี้จากสมานที่โทรไปหาคชาพัฒน์ตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านมาแล้ว...
“มาหาซื้ออะไรกันแต่เช้าคะ” น้ำอ้อยเป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนคุย
“เห็นอะไรน่าซื้อก็ซื้อ ไม่ได้มีแผนอะไรหรอก.....ดีใจด้วยนะน้ำผึ้ง”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำผึ้งที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้ายกมือไหว้ประกอบไปด้วย...
“ไหน ๆ ก็เจอตัวแล้ว เลยบอกข่าวดีอีกสักเรื่องไปเลยแล้วกัน คือ เพื่อนฉันที่มาทำบุญด้วยกันวันนั้นนะ เขาเป็นเจ้าของโรงแรมอยู่ในเมือง แล้วทีนี้เขาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดเขาในโรงแรม แล้วเขาอยากได้หนูไปเล่นขิมให้แขกฟังสักสี่ห้าเพลง แต่เป็นเพลงร่วมสมัยอย่างเพลงเสน่หาน่ะ”
“วันไหนคะ”
“อีกสักสามสัปดาห์ จะซ้อมทันไหม”
“ต้องไปปรึกษาครูถนอมก่อนค่ะ แต่น่าจะได้ค่ะ เล่นตอนไหนคะ”
“ช่วงหัวค่ำ เดี๋ยวไปกับฉัน...เอาครูถนอมไปด้วยก็ได้นะ ฉันยินดีจ่ายค่าตัวให้ทั้งสองคนแหละ ให้เท่า ๆ กันด้วย”
“อย่าให้เยอะเหมือนครั้งที่แล้วนะคะ” น้ำอ้อยรีบออกตัวแทนลูกสาว
“ก็ฉันเป็นคนหาไปช่วยเขา ไปโชว์ว่าในบ้านไพรก็มีของดี แล้วทำไมฉันจะไม่กล้าสู้ราคาล่ะ...”
“ค่ะ” น้ำผึ้งยิ้มบาง ๆ กับผลประโยชน์ที่ได้รับเพราะการช่วยเหลือของคุณนายวรรณี
“อ้อ ลืมบอกไปวันก่อนฉันถามกับศุกร์แล้วว่า ไอ้เพลงเสน่หา เนี่ย เปียโนกับขิม เล่นไปพร้อมกันได้ไหม แล้วเขาบอกว่า น่าจะได้ ฉันก็เลยขอศุกร์เขาเป็นกรณีพิเศษ ให้เขากับหนูผึ้งเล่นขิมกับเปียโนด้วยกันเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนฉันสักเพลง...เขาตอบตกลงแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ ก็ค่อยไปซ้อมกับพี่เขานะ นัดหมายกันอีกที”
หลังจากดูคอนเสิร์ตวรรณศุกร์ก็ขับรถไปส่งภัทรินที่บ้าน และด้วยวันพรุ่งนี้ภัทรินจะมีบินไฟล์เช้า หญิงสาวจึงไม่สามารถค้างกับเขาที่คอนโดได้ วรรณศุกร์จึงขอกลับบ้านไพร เพราะไม่อยากนอนเหงาอยู่เพียงลำพัง
ภัทรินไม่พูดจากระทบกระเทียบอย่างที่วรรณศุกร์นึกไว้ หญิงสาวปล่อยให้เขากลับบ้าน โดยบอกว่า
“ขับรถระวัง ๆ นะคะ ดึกแล้ว ถึงบ้านแล้วก็โทรมาบอกภัทด้วย”
“ไม่โทรได้ไหมอยากให้ภัทพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเมื่อคืนภัทก็ไม่ได้นอนทั้งคืนแล้ว...”
ภัทรินเมินหน้าหนีถ้อยคำหยอกเย้าของเขา...และก่อนที่เขาจะเลื่อนรถออกจากหน้าบ้านเขาก็เอียงแก้มให้ภัทรินจูบลาหนึ่งฟอดใหญ่ ๆ...
“ห้ามเถลไถลนะคะ”
“ครับผม...”
ขับรถออกจากหน้าบ้านของภัทรินมาแล้ววรรณศุกร์ก็นึกได้ว่าวันนี้คชาพัฒน์พาน้ำผึ้งไปขึ้นเวที...ด้วยความอยากรู้ เขาจึงกดโทรศัพท์ไปหาคชาพัฒน์ที่เขามั่นใจว่า ตอนนี้คงกำลังขับรถพาน้ำผึ้งกลับบ้านไพรเช่นกัน
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงช่องเก็บของใกล้ๆ กับเกียร์ ทำให้คชาพัฒน์ที่ขับรถอยู่ละสายตามามอง...
“คุณศุกร์...” คชาพัฒน์รีบละมือมาคว้าโทรศัพท์ไปกดรับสาย...
“ขับรถอยู่นะพี่” ประทินที่นั่งคู่มาด้านหน้าเตือนเบา ๆ เพราะเป็นช่วงที่รถลงเขาและรถที่คชาพัฒน์ขับอยู่นั้นค่อนข้างใช้ความเร็วสูง...
“คุณศุกร์ฮะ มีอะไรฮะ”
“น้ำผึ้งเป็นไงบ้าง...”
“คุยกับผึ้งเลยดีกว่า...เอ้าผึ้งคุยกับคุณศุกร์หน่อย” ว่าแล้วคชาพัฒน์ก็ส่งโทรศัพท์ไปข้างหลัง น้ำผึ้งรีบคว้าโทรศัพท์ไปแนบหู...ใจนั้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่เคยสนทนากับเขาผ่านเจ้าเครื่องมือสื่อสารแบบนี้เลย
“สวัสดีค่ะ”
“เป็นไงบ้างผึ้ง...”
“ก็...ได้ที่สี่ค่ะ”
“โอ้ว...เป็นนิมิตหมายอันดีมากเลยนะ สองเวทีแล้วได้รางวัลมาตลอด ได้เงินรางวัลมาเท่าไหร่”
“รางวัลที่สี่ได้หนึ่งหมื่นบาท พร้อมขันน้ำพานรอง แล้วผึ้งก็ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย ได้เงินมาอีกห้าพัน”
“รวยแล้ว ๆ”
“ค่ะ แบ่งกันคนละครึ่งกับพี่หน่อง”
“ก็เก็บไว้เรียนหนังสือนะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแล้ว...”
“แก่งคอยแล้วค่ะ” ด้วยนั่งมองป้ายตามข้างทางทำให้น้ำผึ้งพอเห็นป้ายข้างทาง น้ำผึ้งจึงตอบไปโดยที่
ต้องเอ่ยปากถามคชาพัฒน์
“ใกล้ถึงบ้านแล้ว...ฉันก็ใกล้จะถึงบ้านไพรแล้วเหมือนกัน”
“ไม่ได้อยู่กรุงเทพเหรอคะ”
“กำลังเดินทางกลับ เดี๋ยวถ้าฉันถึงก่อน ฉันจะรอแสดงความยินดีกับเราที่หน้าร้านหน่องนะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่ค่ะ...ไม่อยากได้อะไร”
“ดึกแบบนี้ก็ไม่รู้จะหาอะไรเอาไปให้ด้วย งั้นผลัดเป็นดอกไม้สักช่อ ในวันพรุ่งนี้แล้วกันนะ คืนนี้นอนที่ร้านหน่องใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้วนี่มีใครไปด้วยบ้าง”
“พี่ทินมาด้วยค่ะ...พี่ทินก็คงค้างที่ร้านพี่หน่องเหมือนกัน”
“นอนตรงไหนได้ละนั่น”
“ไม่รู้เหมือนกัน...” อันที่จริงน้ำผึ้งได้ยินคชาพัฒน์ชวนประทินให้นอนในห้องเดียวกันแต่ประทินบอกว่าขอนอนบนโซฟาด้านล่างแทน...
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ เดินทางปลอดภัยนะ ดีใจด้วยจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาดีใจด้วยอย่างที่ปากว่าจริง ๆ และน้ำผึ้งก็รู้สึกโหวงเหวงที่หว่างอกขึ้นมา...เพราะถึงเขาจะดีกับตนมากแค่ไหน อย่างมากเขาก็เป็นได้พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น
พอคชาพัฒน์กลับมาถึงร้าน นัยนิตก็เดินลงมารับหน้าทั้งชุดนอนที่เป็นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดตัวหลวมๆ
“ได้ไหมผึ้ง” นัตนิตร้องถามน้ำผึ้งที่หอบหิ้วชุดที่ใช้ประกวดเข้ามาในร้านพร้อมกับถุงใส่ขันน้ำพานรอง โดยมีประทินหิ้วถุงน้อยหน่าที่คชาพัฒน์เหมาซื้อมาฝากคุณนายวรรณี แม่ของน้ำผึ้ง นัยนิต สำลีและเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันตามประสาคนมีน้ำใจ และคนที่คชาพัฒน์จะลืมไม่ได้ก็คือ จวงจันทร์ คู่ปรับที่เขาจำต้องซื้อน้อยหน่ามาฝากก็เพื่อจะเข้าไปยั่วอารมณ์...
“ได้ ที่สี่ พร้อมตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ”
“เก่งมากน้องพี่”
น้ำผึ้งวางชุดสวยที่อยู่ในถุงกับถุงถ้วยรางวัลลงกับโซฟาแล้วล้มตัวลงนั่งเพราะรู้สึกเมื่อยขบกับง่วงนอนเต็มทน ประทินที่หิ้วน้อยหน่าตามมาได้ทีเอ่ยปากถามนัยนิต “เอาถุงน้อยหน่านี่ไว้ตรงไหน”
“ในครัวเลย”
“มีแบบสุกด้วยนะ กินไหม”
“ไม่หรอก พรุ่งนี้เช้าค่อยจัดการ”
ประทินเดินผ่านนัยนิตเข้าไปในครัว โดยมีน้ำผึ้งลอบมองดูอากัปกิริยาของคนทั้งคู่อยู่...คชาพัฒน์ที่ล็อครถเสร็จแล้วก็เดินตามเข้ามา...แล้วก็ตั้งท่าจะเลื่อนประตูเหล็กยืดลง...
“แล้วทินเขาไม่กลับบ้านเหรอพี่หน่อง” นัยนิตเอ่ยปากถาม
“ไม่กลับ ดึกแล้วให้เขาค้างที่นี่แหละ” ตอบนัยนิตแล้วคชาพัฒน์ก็เลื่อนประตูลง คล้องแม่กุญแจปิดประตูกระจก
“แล้วจะนอนที่ไหนละเนี่ย”
“ห้องพี่ไง” อันที่จริงคชาพัฒน์ตั้งใจจะปูผ้าให้ประทินนอนที่ชั้นลอยเพราะรู้อยู่ว่าถ้าให้เข้าไปนอนกับตนในห้องบนเตียงเดียวกัน ประทินคงไม่ยอมแน่ ๆ แต่คชาพัฒน์ก็อยากจะยั่วนัยนิต...
และมันก็ได้ผล นัยนิตยกไหล่...ก่อนจะบอกว่า “ไปผึ้ง ขึ้นห้องของเรา”
“อย่าทำอะไรผึ้งของฉันล่ะ” คชาพัฒน์ปรามเมื่อเห็นว่านัยนิตเดินเข้าไปหาน้ำผึ้งแล้วส่งมือไปให้จับ
“พี่หน่องนั่นแหละอย่าทำอะไรพี่ทินเขาละ” จับมือนัยนิตดึงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วน้ำผึ้งก็ย้อนให้
“อะไร คืออะไร ยะน้ำผึ้ง” คชาพัฒน์แกล้งเย้า...
“นั่นแหละ”
“อย่ามาแก่แดดนะ”...
น้ำผึ้งเดินตามนัยนิตขึ้นชั้นสามไปก่อนที่ประทินจะเดินออกมากจากในครัว...
“เดี๋ยวผมนอนที่โซฟานี่ก็ได้ครับพี่หน่อง”
“ไม่ได้ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นอนที่ชั้นลอย เดี๋ยวพี่ปูผ้านวมให้...” น้ำเสียงของคชาพัฒน์เป็นงานเป็นการและสายตาก็ไม่ได้กรุ้มกริ่มแต่อย่างใด
“ครับ รบกวนพี่สักคืนนะ”
“พี่รู้หรอกน่าว่าที่ไม่ยอมขับรถกลับบ้านน่ะ เพราะอยากจะนอนใกล้ ๆ กับนัยนิตใช่ไหม”
“เพิ่งรู้ว่านอกจากจะเป็นกูรูเรื่องนางงาม พี่หน่องก็ยังเป็นกูรูเรื่องความรักด้วย”
“ถ้ารักเขาจริงก็หมั่นเกี้ยว...บอกได้แค่นี้แหละ...”
ตอนเช้านัยนิตลงมาจากชั้นสาม ถึงชั้นลอยก็พอพบว่าประทินนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มโดยใบหน้าได้รูปของเขานั้นโผล่มา...นัยนิตยืนนิ่งพิจารณาใบหน้าเขา ยอมรับกับตัวเองว่าใจนั้นสั่นหวิวชอบกล...
นึกถึงสายตาของเขาครั้งใด นัยนิตจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา เขาเป็นคนบ้านนอก เป็นชาวไร่ที่ตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เธอชอบเขาตรงนี้ และเมื่อวานตอนที่เขาหิ้วผลไม้จากสวนข้างบ้านมาฝาก เธอเห็นแล้วนึกขำ เพราะมันมีสารพัดผลหมากรากไม้จากสวนข้างบ้านจริง ๆ ประมาณว่าเจออะไรเก็บได้ก็เก็บมา...
“ของ ๆ คนบ้านนอกคอกนามีดีสุดก็แค่นี้แหละครับ แต่ผมอยากเอามาฝาก”...
“งั้นก็เอาไปไว้ในครัว”
“หัวปลีนี่ต้มยำกับไก่ได้นะ”
“ที่ตลาดก็มีขาย”
“แต่หัวปลีที่บ้านผมจะหวานกว่า กินดิบ ๆ จิ้มน้ำพริกปลาทูนี่รสชาติไม่เป็นสองรองใครเลย”
เขาพลิกตัวบิดขี้เกียจ นัยนิตผละตกใจ แล้วก็รีบเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง...
วันนี้เป็นวันอาทิตย์สำลีจะเข้ามาในร้านตอนสาย ๆ อาหารเช้านั้นเธอกับคชาพัฒน์ไม่ค่อยได้กินกันแต่วันนี้เป็นวันพิเศษ นัยนิตจึงนึกอยากจะเอาใจทั้งคชาพัฒน์ น้ำผึ้ง และประทิน...หญิงสาวจึงต้มข้าวต้มทรงเครื่องใส่หมูสับและกุ้งแห้งที่เหลืออยู่ในตู้เย็นไว้คอยท่า...
และกลิ่นน้ำซุบกับเสียงที่ดังเล็ดลอดขึ้นมาทำให้ประทินลืมตาตื่น เขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวของคชาพัฒน์ซึ่งให้เขามาใช้พร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงสั้นที่ตากไว้กับเก้าอี้มาพาดคอก่อนจะเดินขึ้นไปล้างหน้าที่ห้องน้ำชั้นสาม เดินลงมาชั้นลอยเก็บที่นอนกับผ้าห่มพับแล้วเขาก็เดินลงบันไดแล้วเลี้ยวเข้าไปในครัว...
นัยนิตที่ยืนมองข้าวต้มอยู่หันมาหาเขา...เขายิ้มให้อย่างพอใจ
“ทำอะไรกินครับ กลิ่นหอมฉุยขึ้นไปถึงข้างบนเลย”
“ข้าวต้มเครื่อง” นัยนิตตอบไปสั้น ๆ ไม่มีลงท้ายคะ ขา น้ำเสียงอ่อนหวานแต่อย่างใด แต่ว่ามันก็ไม่ได้ห้วนสั้นไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี
“น่าจะอร่อยนะ”
“พอกันตายกันไป”
“แต่กลิ่นที่โชยเข้ามาจมูกผม ผมรู้ว่ามันต้องอร่อยมาก”
“รสดีหมดไปซอง คนอร์หมดไปกล่อง” นัยนิตยังถ่อมตน
“ตื่นแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเลยเปล่าครับ” ตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงกว่า ๆ
“ไม่ทุกวันหรอก วันนี้มีคนมานอนด้วยเลยระแวง ๆ”
“แล้วผึ้งยังไม่ตื่นเหรอครับ”
“ยัง คงจะเหนื่อย” ไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่ว่าเมื่อคืนนี้ พออาบน้ำเสร็จแล้วน้ำผึ้งก็ไม่ได้นอนหลับอย่างที่มันควรจะเป็น หญิงสาวเล่าเรื่องโกลาหลเพราะกะเทยพี่เลี้ยงนางงามตัวเก็งที่ตกรอบไป ประท้วงด่าทอคณะกรรมการจนถูกตำรวจมาลากตัวไปพร้อมกับหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ จนเกือบจะสว่าง แล้วต่างคนต่างก็ม่อยหลับไป ดีแต่ว่านัยนิตนั้นไม่ชินกับการนอนกับคนอื่นจึงรู้สึกระแวง และเมื่อรู้สึกตัวแล้วจึงรีบลุกออกมาปล่อยให้น้ำผึ้งนอนต่อเพราะถ้าพลิกตัวไปมาจะทำให้น้ำผึ้งพักผ่อนไม่เพียงพอ
“แล้วจะกลับบ้านกี่โมง”
“ไล่เลยเหรอครับ”
“จะได้เปิดประตูร้านให้น่ะ...”
“น้อยใจจัง...นึกว่าจะชวนกินข้าวต้มก่อน”
“ที่ถามเพราะจะชวนกินข้าวต้มก่อน ถ้ารีบกลับก็จะได้ตักให้กินก่อนเลย”
“ไม่รีบครับ รอพี่หน่องกับผึ้งก่อนก็ได้”
“อย่ารอเลย...”
“เช้า ๆ แบบนี้อยากใส่บาตรจังเลย”
“เป็นความคิดที่ดีมาก...ขอบคุณนะที่บอก” ว่าแล้วนัยนิตก็เปิดลิ้นชักหาถุงร้อนกับหนังยาง หญิงสาวตักข้าวต้มใส่ถุงโดยตอนนั้นประทินกรากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แล้วบอกว่า
“ระวังหกใส่มือนะครับ”
ด้วยประทินเป็นคนมีร่างกายกำยำรูปหน้าคมคายทำให้นัยนิตรู้สึกถึงความเป็นผู้ชายเต็มตัวที่แผ่ออกมา นัยนิตผงะขยับตัวไปจนชิดมุมเคาน์เตอร์...ก่อนจะส่งถุงข้าวต้มให้กับเขาแล้วบอกว่า
“ช่วยมัดหนังยางทีนะ”
“พระมีกี่องค์”
“ถ้าตั้งใจจะใส่ก็มีเป็นสิบ ๆ แหละแต่ไม่ได้มาพร้อมกันหรอก หลายวัดต่างคนต่างมาต่างเดิน”
“เอาน้อยหน่าไปใส่ด้วยนะ...”
“ต้องห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วก็เอาใส่ถุง ไม่งั้นจะไปแตกและอยู่ในบาตรพระ...”
“ได้ ๆ เดี๋ยวผมทำให้ ตกลงเอาจะเอากี่องค์กี่ลูกครับ”
“เก้าแล้วกัน เอาเคล็ด”
“ขอเป็นสิบได้ไหม...เป็นคู่”
“ได้...”
ช่วยนัยนิตมัดถุงข้าวต้มแล้วประทินก็รีบคว้าถุงน้อยหน่าที่คชาพัฒน์ขนซื้อมาซะเยอะแยะออกมาเลือกลูกที่สวยตาห่าง ๆ ลูกใหญ่ห่อลงหนังสือพิมพ์แล้วก็ใส่ถุงหิ้วส่วนนัยนิตนั้นเตรียมถาดออกมาใส่ข้าวต้ม...และเมื่อทุกอย่างพร้อมนัยนิตก็รีบเดินไปไขกุญแจประตูโดยที่ประทินช่วยดึงประตูขึ้นแล้ววกกลับมาเป็นคนยกถาดอาหารออกไปรอพระข้างนอก...
หลังจากพระองค์สุดท้ายให้พรเสร็จเรียบร้อย...ประทินกับนัยนิตที่นั่งคู่กันรับพรก็พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน...“อนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ” ประทินบอกกับนัยนิตเบา ๆ ด้วยดวงใจที่เป็นสุข นัยนิตเองยังวางสีหน้าได้เป็นปกติไม่มีความเขินอายแบบผู้หญิงแต่อย่างใด...
“ฮะแอ่ม” น้ำผึ้งที่ลงมายืนดูอยู่ตั้งนานกระแอมเพื่อให้ทั้งคู่เห็นว่าตนนั้นรู้เห็นนะ...
“อ้าวผึ้ง ตื่นแต่เช้าเลย” นัยนิตร้องทัก
“จะใส่บาตรกันก็ไม่ชวนเลยนะ” น้ำผึ้งแสร้งต่อว่า
“ไม่ได้ตั้งใจใส่หรอก พอดีทำข้าวต้มซะหม้อใหญ่เลย แล้วน้อยหน่าก็มี” นัยนิตไม่ได้แก้ตัวเพียงแต่อธิบายด้วยสีหน้าปกติ
“ค่ะ สาธุด้วย”...น้ำผึ้งตัดบทก่อนจะเดินออกมาจากในร้าน
“แล้วจะไปไหน” นัยนิตถามเพราะว่าน้ำผึ้งเหมือนจะไปข้างนอก
“ผึ้งจะไปช่วยแม่ขายของหน่อย ยังไม่ได้แจ้งข่าวดีให้แม่รู้เลย...เมื่อคืนโทรศัพท์ผึ้งแบตหมดน่ะ เลยไม่ได้โทรไป...” แม้จะชาร์ทแบตแล้วแต่น้ำผึ้งก็ไม่คิดจะโทรกลับไปเพราะอยากไปบอกกับแม่ด้วยตัวเอง อยากไปเห็นสีหน้าดีใจของแม่
“แม่คงจะดีใจมากนะผึ้ง”
“ไม่ดีใจได้ไงละ ได้มาตั้ง 15,000 บาท” ประทินแซว
“หารสองครับพี่ทิน” น้ำผึ้งบอกรายละเอียดที่ประทินก็รู้ดีอยู่แล้ว...
และเมื่อน้ำผึ้งเดินผ่านร้านของจวงจันทร์บิวตี้ซาลอนน้ำผึ้งก็ได้ยินเสียงเจ้าของร้านร้องทัก
“ผึ้ง...” น้ำผึ้งชะงักเท้าในทันที
“คะ พี่เจี๊ยบ”
จวงจันทร์ยังคงอยู่ในชุดนอนแบบกระโปรงยาวลูกไม้ทั้งตัว หน้าไม่ได้แต่งผมเผ้ายังมัดไว้แบบรวก ๆ
“เป็นไงผลการประกวดได้ไหม”
“ได้ที่สี่ค่ะ ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย”
“ดีใจด้วยนะ” ปากนั้นดีใจ แต่ใจนั้นริษยาคชาพัฒน์ที่ดูจะรุ่งเรืองกับการเป็นพี่เลี้ยงนางงาม เพราะตัวเองนั้น แม้จะมีสาวงามอยู่ในมือหลายคน แต่ว่าแต่ละคนนั้น ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงานสักเท่าไหร่
“ขอบคุณค่ะ ผึ้งขอตัวก่อนนะคะพี่เจี๊ยบ จะรีบไปช่วยแม่ขายผักหน่อย” ใจจริงน้ำผึ้งอยากจะไปตั้งแต่ตีสี่แต่ว่าพอเผลอหลับไปแล้วก็หลับลึก แต่พอรู้สึกตัวน้ำผึ้งก็รีบลุกขึ้นไปทำตามใจที่ได้ตั้งไว้
และเมื่อน้ำผึ้งเดินจากไปแล้ว จวงจันทร์ก็เปรยตามหลังไปว่า...
“ผึ้งมันกตัญญูกตเวทีอย่างนี้ซินะ ถึงได้มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต...”
ระหว่างที่เดินไปร้านแผงขายผักของแม่น้ำผึ้งก็ยิ้มโปรยปรายให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักกันไปตลอดทางบ้างก็ร้องทักว่า “มาได้อย่างละธิดากระท้อนหวาน”
บ้างที่พอรู้ว่าเมื่อคืนน้ำผึ้งไปขึ้นเวทีก็ร้องถามว่าได้ตำแหน่งหรือไม่
“ได้ที่สี่ค่ะ” น้ำผึ้งตอบเสียงดังพอประมาณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กระทั่งเดินไปถึงแผงผักของแม่น้ำอ้อยที่ง่วนนั่งหั่นขิงให้ลูกค้าเจ้าประจำอยู่...
“แม่”
เพียงแค่หันมาเห็นสีหน้าระรื่นของลูกสาว น้ำอ้อยก็พอรู้หรอกว่า น้ำผึ้งจะต้องมีข่าวดีมาฝากแน่ ๆ
“ได้ที่เท่าไหร่ล่ะ”
“ได้ที่สี่จ้ะ ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพด้วย ได้มาทั้งหมด 7500 บาท...เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝากให้แม่เอาไปเข้าธนาคารให้...หรือแม่จะเอาไว้ใช้ไหม”
“ไม่หรอก เอาไปฝากน่ะดีแล้ว”
“อ้อ ลืมเลย พี่หน่องซื้อน้อยหน่ามาฝากด้วยเดี๋ยวสาย ๆ ผึ้งเอากลับไปที่บ้าน”
“แล้วทำไมตื่นแต่เช้า น่าจะพักให้หายเหนื่อยซะก่อน”
“เช้าที่ไหนละแม่ จะเจ็ดโมงแล้ว”
“ดูซิตาโหลเลย”
“ขายดีไหมแม่” น้ำผึ้งรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะว่าตัวเองแค่ตาโหล แต่แม่นั้นผอมจนเหลือแต่กระดูก...และน้ำผึ้งก็หวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะทำงานหาเลี้ยงแม่และน้อง ๆ ได้ เธออยากให้แม่สบายอยากให้แม่อยู่กับเธอไปนาน ๆ
“เหมือน ๆ ทุกวันแหละ”
สองแม่ลูกยังคงคุยกันกระหนุงกระหนิง...กระทั่งลูกค้ากิตติมศักดิ์เดินเข้ามา น้ำผึ้งกับน้ำอ้อยรีบยกมือไหว้คุณนายวรรณีที่มีป้าสมานเดินตามมาด้วยในทันที...
“ขอแสดงความยินดีกับรองอันดับสามธิดาน้อยหน่าคนล่าสุด...” คุณนายวรรณีเป็นฝ่ายร้องทักเพราะรู้เรื่องนี้จากสมานที่โทรไปหาคชาพัฒน์ตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านมาแล้ว...
“มาหาซื้ออะไรกันแต่เช้าคะ” น้ำอ้อยเป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนคุย
“เห็นอะไรน่าซื้อก็ซื้อ ไม่ได้มีแผนอะไรหรอก.....ดีใจด้วยนะน้ำผึ้ง”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำผึ้งที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้ายกมือไหว้ประกอบไปด้วย...
“ไหน ๆ ก็เจอตัวแล้ว เลยบอกข่าวดีอีกสักเรื่องไปเลยแล้วกัน คือ เพื่อนฉันที่มาทำบุญด้วยกันวันนั้นนะ เขาเป็นเจ้าของโรงแรมอยู่ในเมือง แล้วทีนี้เขาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดเขาในโรงแรม แล้วเขาอยากได้หนูไปเล่นขิมให้แขกฟังสักสี่ห้าเพลง แต่เป็นเพลงร่วมสมัยอย่างเพลงเสน่หาน่ะ”
“วันไหนคะ”
“อีกสักสามสัปดาห์ จะซ้อมทันไหม”
“ต้องไปปรึกษาครูถนอมก่อนค่ะ แต่น่าจะได้ค่ะ เล่นตอนไหนคะ”
“ช่วงหัวค่ำ เดี๋ยวไปกับฉัน...เอาครูถนอมไปด้วยก็ได้นะ ฉันยินดีจ่ายค่าตัวให้ทั้งสองคนแหละ ให้เท่า ๆ กันด้วย”
“อย่าให้เยอะเหมือนครั้งที่แล้วนะคะ” น้ำอ้อยรีบออกตัวแทนลูกสาว
“ก็ฉันเป็นคนหาไปช่วยเขา ไปโชว์ว่าในบ้านไพรก็มีของดี แล้วทำไมฉันจะไม่กล้าสู้ราคาล่ะ...”
“ค่ะ” น้ำผึ้งยิ้มบาง ๆ กับผลประโยชน์ที่ได้รับเพราะการช่วยเหลือของคุณนายวรรณี
“อ้อ ลืมบอกไปวันก่อนฉันถามกับศุกร์แล้วว่า ไอ้เพลงเสน่หา เนี่ย เปียโนกับขิม เล่นไปพร้อมกันได้ไหม แล้วเขาบอกว่า น่าจะได้ ฉันก็เลยขอศุกร์เขาเป็นกรณีพิเศษ ให้เขากับหนูผึ้งเล่นขิมกับเปียโนด้วยกันเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนฉันสักเพลง...เขาตอบตกลงแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ ก็ค่อยไปซ้อมกับพี่เขานะ นัดหมายกันอีกที”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2556, 08:42:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2556, 08:42:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1998
<< 24. “เสียดาย ไม่ได้ไปให้กำลังใจ” | 26.ดีใจกับเธออีกครั้งนะผึ้ง >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 12 ก.ค. 2556, 08:42:55 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ...พบกันอีกทีวันจันทร์นะครับ จุ๊บ
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ...พบกันอีกทีวันจันทร์นะครับ จุ๊บ



เดิมเดิม 12 ก.ค. 2556, 10:11:33 น.
ชอบพี่หน่องกับคุณนายวรรณีค่ะ น่ารักดี
ชอบพี่หน่องกับคุณนายวรรณีค่ะ น่ารักดี


mottanoy 12 ก.ค. 2556, 12:16:46 น.
วี้ดวิ้ววว
วี้ดวิ้ววว

คิมหันตุ์ 12 ก.ค. 2556, 13:03:49 น.
คุณแม่(สื่อ) น่าร้ากกกกกก หาโอกาสให้ตลอด อิอิ
คุณแม่(สื่อ) น่าร้ากกกกกก หาโอกาสให้ตลอด อิอิ

Zephyr 12 ก.ค. 2556, 21:23:39 น.
อัยยะ แม่เชียร์สุดใจขาดดิ้นมขนาดนี้
คุณศุกร์ตามใจแม่และตัวเองเถอะ ฮะฮ่า
อัยยะ แม่เชียร์สุดใจขาดดิ้นมขนาดนี้
คุณศุกร์ตามใจแม่และตัวเองเถอะ ฮะฮ่า

nateetip 12 ก.ค. 2556, 21:39:22 น.
น่ารักสุดๆเลยค่ะ..ชอบมว้ากกกกก
ป.ล. พยายามกดปุ่มlikeให้ด้วยนะคะ แต่ไม่ทราบเพราะอะไร ปุ่มไม่ทำงานค่ะ..-"-
น่ารักสุดๆเลยค่ะ..ชอบมว้ากกกกก
ป.ล. พยายามกดปุ่มlikeให้ด้วยนะคะ แต่ไม่ทราบเพราะอะไร ปุ่มไม่ทำงานค่ะ..-"-

อริสา 13 ก.ค. 2556, 01:10:53 น.
ชอบมากค่ะ เขียนเก่ง สนุกดี น้ำผึ้งเป็นเด็กดีจังเลย
ชอบมากค่ะ เขียนเก่ง สนุกดี น้ำผึ้งเป็นเด็กดีจังเลย

จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:26:04 น.
stop!
stop!