oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo บทที่ 2 oOo


บทที่2



เย็นวันนี้เพลงพรรษยังคงมาปฏิบัติภารกิจการดูแลสุนัขจรจัดตัวนั้นเหมือนเดิม อย่างเคยหาอาหารมาให้มันกิน ลูบหลังลูบหัวปลอบประโลมด้วยความสงสาร ท่าทางหญิงสาวผิดแผกจากทุกวัน เธอมองซ้ายแลขวาด้วยความระแวงเล็กๆ กลัวจะเจอเหตุการณ์เช่นเมื่อวาน พอสายตาไม่พบชายหนุ่มท่าทางน่ากลัวคนนั้นหญิงสาวจึงระบายลมหายใจเบาๆ เดินไปหยุดยืนข้างกอดอกแก้ว

“อ้าว...หายไปไหนแล้วนะ”

จากสภาพหนังเหี่ยวย่นยับยู่ เต็มไปด้วยแผลเล็กแผลน้อย อาการร่อแร่ของสุนัขจรจัดตัวนั้นแล้วไม่น่าที่มันจะไปไหนได้ หรือถ้าได้ก็คงไม่ไกลจากตรงนี้นัก ใบหน้าเรียวหันมองทั่วบริเวณกลับไม่พบ สีหน้าเธอสลดลงด้วยใจห่วงกังวล

เพราะเมื่อวานเธอเห็นว่าปรานต์กำลังไม่สบายใจจึงไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้ ยิ่งเช้านี้ไม่ได้เจอกันเนื่องจากคุณปภาวีคอยยืนส่งลูกชายจนขับรถออกจากบ้าน กันไม่ให้เขา ‘หิ้ว’ เธอขึ้นรถมาส่งถึงมหาวิทยาลัย เพลงพรรษจึงหมดโอกาสขอความช่วยเหลือจากเขา

ใบหน้ารูปไข่จวนเจียนจะร้องไห้รอมร่อเมื่อคิดสะระตะไปว่ามันอาจตายไปแล้ว หรือใครไล่มันด้วยความรังเกียจ

“หาหมาตัวนั้นอยู่ใช่ไหมคะ” เสียงของใครสักคนดังสกัดหยดน้ำตาที่คลอเบ้าไม่ให้ร่วงริน

เพลงพรรษเงยมองแล้วเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ...หญิงสาวในชุดนิสิตแบบเดียวกันกับเธอยืนอยู่ตรงหน้า แต่คนสวมผิวขาวจัด ริมฝีปากอิ่มเอิบเป็นกระจับน่ารักน่ามอง ใบหน้าเล็กๆ ถูกล้อมด้วยเส้นผมสีดำยาวถึงกลางหลังเป็นลอนหยิกสวยงาม เหนือหูด้านขวาติดกิ๊ฟแฟชั่นรูปดอกไม้ดูแล้วน่ารักน่ามอง

“ใช่ค่ะ” เพลงพรรษตอบเสียงเบานุ่มนวล หลบตาที่เผลอจ้องอีกฝ่ายลงต่ำ ด้วยกลัวจะเสียมารยาทที่สำรวจความงามของคนตรงหน้า

“ฉันพามันไปไว้ที่อื่นแล้วล่ะค่ะ”

อีกครั้งที่เพลงพรรษเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ

“เอ่อ...คุณพามันไปไว้ที่ไหนคะ แล้วคุณไม่รังเกียจหมาตัวนั้นหรือคะ”

ออกจะแปลกใจอยู่ว่าผู้หญิงคนนี้มารู้จักเธอตอนไหน แต่เพลงพรรษก็เลือกสรุปเอาเองว่า หญิงสาวอาจเห็นเธอมานั่งตรงนี้บ่อยๆ จึงถามถึงเรื่องที่กำลังอยากรู้มากกว่าจะถามเรื่องตัวเอง

“ทำไมต้องรังเกียจคะ ทีคุณยังไม่เห็นรังเกียจมันเลย” คนที่ยังไม่รู้จักชื่อตอบน้ำเสียงร่าเริงขึ้นมานิด มองเพลงพรรษด้วยสายตาเป็นมิตร จนหญิงสาวเกือบยิ้มตาม ติดแต่คำพูดถัดมาของคู่สนทนาทำให้ริมฝีปากบางขยับไม่ออก “มันตายแล้วค่ะ เมื่อเช้านี้...ฉันพามันไปฝังไว้หลังตึกนู้นแน่ะ”

นิ้วเรียวสวยยกชี้ไปทางด้านหลัง สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความหม่นเศร้าและเห็นใจไม่น้อย จมูก ขอบตา และริมฝีปากของเพลงพรรษค่อยๆ แดงขึ้นทีละนิด ความโศกาอาดูรแล่นอยู่ทั่วสรรพางค์กาย…ไม่น่าเลย เพราะเธอทำอะไรเชื่องช้าแท้ๆ เชียว

“อย่าเสียใจเลยค่ะ ความตายเป็นสิ่งที่รอทุกชีวิตอยู่ข้างหน้า ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้มันต้องจากคุณจากโลกนี้ไปแน่นอน อ้อ แล้วอย่านึกโทษตัวเองนะคะ คุณทำดีที่สุดแล้ว”

คำพูดนั้นกึ่งปลอบใจกึ่งเห็นสัจธรรมของชีวิต เพลงพรรษฝืนกลืนหยาดน้ำตากลับไปในที่ที่มันมา พยักหน้าช้าๆ รับคำพูดอีกฝ่าย

“คุณอยากไปดูหลุมศพมันไหม?” เมื่อเพลงพรรษยังพูดอะไรไม่ออก คู่สนทนาจึงจำต้องพูดต่อ คราวนี้สายตาสาวหวานแบบฉบับนางเอกยุคเก่าฉายรอยหวาดหวั่น เธอไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้ามีจุดประสงค์อะไร ถึงจะเรียนที่เดียวกัน แต่ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “ฉันชื่อ ‘อารดา’ เรียนโท เอกภาษาฝรั่งเศส นี่บัตรประจำตัวฉันค่ะ”

ราวกับเธออ่านใจเพลงพรรษออก จึงเพิ่มรอยยิ้มพร้อมกับดึงบัตรประจำตัวนักศึกษาออกมายืนยันความมั่นใจ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้กลัวคุณ เพียงแต่...เราเพิ่งรู้จักกัน”

“ค่ะ ฉันเข้าใจ” มือเรียวหดบัตรประจำตัวที่หญิงสาวอีกคนไม่ได้รับไปมอง “แล้วคุณจะไปดูหลุมศพมันไหม หรือกลัวทำใจไม่ได้”

“ไปค่ะ ฉันอยากไปขอโทษ และลามันเป็นครั้งสุดท้าย”

อารดาพยักหน้าแล้วออกเดินนำไปทางหลังตึกที่เธอบอก

เนินดินขนาดประมาณตัวสุนัข ประกอบกับมีดอกไม้สีขาวช่อเล็กๆ วางอยู่ด้านบน ทำให้เพลงพรรษรู้ว่านั่นคือหลุมศพของสุนัขจรจัดตัวนั้น สายตาคู่สวยจับจ้องมองนิ่ง หัวใจไหววาบประหวัดนึกไปถึงเมื่อครั้งมีนรักษ์ หญิงสาวที่เคารพรักประดุจแม่บังเกิดเกล้าเสียชีวิต วินาทีนั้นรู้สึกเช่นไร แม้ตอนนี้ไม่อาจเทียบเท่าได้ แต่มันก็คือการจากพรากเช่นกัน

หยดน้ำใสไล้แก้มเนียนลากไหลลงสู่ปลายคางมน ไหล่บางไหวระริกจนคนพาเดินมาต้องยกมือขึ้นจับแผ่วเบา ผ้าเช็ดหน้าสีหวานที่พกติดตัวเป็นประจำถูกดึงออกมาซับน้ำตา

“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฝังศพให้มัน ฉันเสียอีกไม่ดี มัวแต่ชักช้า มันเลย...” ริมฝีปากถูกเม้มแน่นสกัดกั้นอาการสั่นจากแรงสะอื้น

“ต่อให้พามันไปหาหมอ ก็คงช่วยอะไรมันไม่ได้หรอกค่ะ มันแก่มากแล้วแถมป่วยด้วย ยังไงมันก็อยู่ได้ไม่นานแน่ๆ อย่าโทษตัวเองเลย” อีกฝ่ายปลอบ

เมื่อราวสองอาทิตย์ก่อนอารดาเดินผ่านจุดที่หมาตัวนั้นนอนร่อแร่อยู่ และเธอบังเอิญเห็นเพลงพรรษเฝ้าดูแลพูดคุยกับมันอย่างใส่ใจ ทำให้ต้องหยุดยืนมองอยู่นานสองนาน ความรู้สึกบางอย่างแล่นมาจับหัวใจ ผู้หญิงคนนี้ ‘แสนดี’ อย่างที่จะหาใครเหมาะกับคำนี้ได้ยากในยุคปัจจุบัน

ดังนั้นช่วงที่เพลงพรรษไม่อยู่ อารดาจึงคอยดูแลมันทดแทน โดยไม่ได้แสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้ เธอเพียงต้องการช่วยเหลือเท่าที่ช่วยได้ และอย่าว่าแต่เพลงพรรษเลยที่คิดจะพามันไปหาหมอแล้วช้า ตัวอารดาเองก็คิดเช่นนั้นและช้าไปเช่นกัน

“ฉันขอโทษ...ขอโทษจริงๆ หลับให้สบายนะ หมดทุกข์เสียที” ร่างบอบบางทรุดนั่งคุกเข่ากับพื้น มือลูบเนินดินคล้ายเวลาลูบหลังสุนัขตัวนั้นไม่ผิดเพี้ยน

เสียงเพลงสากลดังแทรกบรรยากาศเข้ามาก่อนคนที่ยืนอยู่จะรีบล้วงเครื่องมือสื่อสารรุ่นที่ ‘แชต’ ผ่านมือถือได้ออกมาแล้วกดรับสายพร้อมกรอกเสียงลงไป

“ฮัลโหล...ได้ค่ะ เดี๋ยวเค้าเดินไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วเธอก็กดตัดสัญญาณหันมาหาเพื่อนใหม่ “ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะพี่มารับแล้ว ว่าแต่คุณกลับบ้านยังไงคะ ให้ฉันกับพี่ไปส่งไหม”

เพลงพรรษลุกยืนแล้วฝืนยิ้มให้พร้อมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้ ขอบคุณคุณมากนะคะ”
อีกฝ่ายยักไหล่นิดๆ ก่อนบอก “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่” แล้วก็หมุนตัวเดินไปได้สามก้าว หยุดชะงักหันหลังเดินกลับมา “ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”

“ชื่อ...เพลงพรรษค่ะ”

“ชื่อเพราะจัง” เธอยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นจับแก้มคนเพิ่งแนะนำตัวเบาๆ พลางบอก “ชื่อเพราะ หน้าสวย อย่าทำตาเศร้าอีกนะ แล้วจะน่ามองกว่านี้อีกเยอะเลย” น้ำเสียงร่าเริงกับรอยยิ้มสดใสของคนพูดหายไปพร้อมกับร่างปราดเปรียวที่เดินลิ่วๆ จากไป

นิสิตสาวยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่เคยเจอผู้หญิงด้วยกันชมและแสดงกิริยาอย่างนี้มาก่อน หรือกับเพศตรงข้ามก็มีแต่ปรานต์เท่านั้นที่เคยปฏิบัติ ชายหนุ่มคนอื่นไม่เคยมีใครกล้า ใช่เพราะเธอดุ แต่เพราะรู้จักวางตัว


วันนี้ทั้งวันปรานต์มีแต่งานกับงาน หลังจากพลาดจากการประมูลงานใหญ่เมื่อวานคุณปภาวีก็กำชับเขานักหนา ให้หาวิธีเตรียมรับมือกับการประมูลครั้งหน้า และเขาไม่มีสิทธิ์พลาดซ้ำอีก ช่วงเช้าชายหนุ่มเรียกวิศวกรฝ่ายต่างๆ ของบริษัทเข้าประชุมจนถึงเที่ยง ได้พักทานข้าวแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องรีบกลับมาเตรียมตัวเข้าประชุมผู้บริหารช่วงบ่ายซึ่งมารดาเป็นคนเรียกประชุมแบบกะทันหัน

นี่หรือชีวิตของผู้บริหารระดับสูง...ทายาทมรดกพันล้านเพียงคนเดียว หึ!

ชายหนุ่มคิดหยันๆ หลังจากได้นั่งพักหลับตาบนเก้าอี้เนื้อนุ่มราคาแพงในห้องทำงานโอ่อ่าส่วนตัว เมื่อเวลาล่วงมาจนถึงห้าโมงเย็น

ห้าโมงเย็น!

ร่างใหญ่ลืมตาโพลงดีดตัวนั่งหลังตรง ทำงานจนลืมไปว่าหัวใจสั่งให้ไปรับเพลงพรรษกลับบ้าน ป่านนี้เธอจะคอยเขาไหม คิดแล้วไม่รอช้า เอื้อมมือหยิบกุญแจรถพร้อมกับสูทที่ถอดพาดไว้ตรงพนักเก้าอี้ขึ้นถือ ยังไม่ทันก้าวขาพ้นโต๊ะทำงาน เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะมาเสียก่อน

พอเขาเอ่ยอนุญาตประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างสันทัดของหุ่นยนต์ประจำตัวมารดาเดินใบหน้าเรียบนิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้า พร้อมเอ่ย

“คุณมีนัดตอนหกโมงครับ”

“นัด?” น้ำเสียงห้วนห้าวเผยความแปลกใจ “แล้วทำไมเลขาฯ ผมไม่รายงาน ทำไมต้องเป็นคุณ” ความไม่พอใจกรูกันเข้ามาเกาะกุมหัวใจปรานต์

“เพราะนัดครั้งนี้คุณปภาวีเป็นคนจัดการ และผมเป็นคนรับคำสั่งมาบอกคุณ ส่วนคุณเพียงแค่เตรียมตัวครับ” คำพูดคำจาฟังสุภาพเหลือล้น แต่วิธีการไม่อาจทำให้ปรานต์เข้าใจว่าคนตรงหน้าเคารพเขาในฐานะเจ้านายคนหนึ่ง สำหรับหมอนี่ มีเจ้านายแค่คนเดียว คือมารดาเขาเท่านั้น

“หึ!” ปรานต์ทำเสียงหยันในลำคอ ปกติเขาเป็นคนสุภาพ ทว่าคราวนี้มารดาเขาดูจะทำเกินไป ไม่ให้อิสระราวกับเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุสักห้าหกขวบ

“ผมสั่งดอกไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวเลขาฯ คุณก็จะเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน เชิญคุณไปอาบน้ำรอได้เลย ห้าโมงครึ่งหวังว่าคุณจะลงไปที่รถ ผมจะรออยู่ที่นั่นครับ”

แม้สีหน้าปรานต์จะเรียบเฉย แต่มือเขากำแน่นจนปรากฏรอยแดงตามข้อ ข่มใจ สงบอารมณ์อย่างหนัก ก่อนหมุนตัวเดินไปยังชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ซึ่งเพียงแยกออกก็พบประตูเชื่อมไปยังห้องส่วนตัว ไว้สำหรับค้างเวลามีงานต้องทำต่อเนื่อง หรือเวลาไม่สบายใจอยากได้ความสงบเงียบ

กระทั่งนัดครั้งนี้คือนัดอะไร กับใคร ที่ไหน ปรานต์ยังไม่มีสิทธิ์รู้ ถึงมี...เขาก็ไม่ต้องการรับรู้ เพราะใจเขาไม่ได้ต้องการไปตามนัดใดๆ ทั้งสิ้น เพียงอยากกลับไปเจอใบหน้าหวาน พบรอยยิ้มสวยแห่งกำลังใจเท่านั้น!

สุดท้ายชายหนุ่มทำได้เพียงยกโทรศัพท์ขึ้นกดหาหมายเลขที่จำขึ้นใจ โทร.ไปเพื่อบอกให้เธอกลับบ้านด้วยตัวเอง แค่คิดหัวใจเขาก็รานร้าว ห่วงกังวล

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พรรษกลับเองได้ พี่ปรานต์ไปตามนัดคุณท่านน่ะดีแล้ว คุณท่านจะได้สบายใจไงคะ”

“ใช่ คุณแม่จะได้สบายใจ แต่พี่ต้องกังวลใจที่ปล่อยให้พรรษกลับบ้านคนเดียว” ถึงคำพูดจะประชดอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับแหบโหยเต็มทน

“ฮื่อ...พรรษกลับเองออกบ่อยไปค่ะ พี่ปรานต์อย่าห่วงเลย แค่นี้สบายมาก อย่าลืมสิคะ พรรษกำลังจะจบปริญญาโทแล้วนะคะ ไม่ใช่เพิ่งเข้าเรียนอนุบาลหมีน้อยสักหน่อย” น้ำเสียงร่าเริงของอีกฝ่ายกับมุกน่ารักๆ ที่เธอพยายามพูดปลอบใจเขาทำให้ปรานต์หัวเราะได้จริงๆ

“จ้า พี่รู้ว่าพรรษเก่ง แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวให้มากนะ อ้อ แล้วพอถึงบ้านต้องโทร.บอกพี่ทันทีเลย รู้ไหม” ทุกคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ห่วงหาอาทร เพลงพรรษยิ้มเศร้าให้ตัวเอง

“ขอบคุณนะคะพี่ปรานต์ รีบไปแต่งตัวเถอะค่ะ คุยนานแล้ว ไหนว่ามีนัดตอนหกโมงไงคะ เดี๋ยวก็สายหรอกค่ะ”

“พรรษ”

“คะ?”

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงเศร้าๆ น้อยใจหรือที่พี่ไม่ได้ไปรับ”

สิ้นคำถามคนทางปลายสายก็เงียบเสียเฉยๆ ปรานต์รอฟังอยู่อึดใจใหญ่เธอจึงตอบกลับมาร่าเริง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไม่น้อยใจเลยสักนิดด้วย ดีเสียอีกกลับบ้านเองจะได้ซื้อไอติมกิน ถ้าพี่ปรานต์มารับนะ พรรษอดทุกทีเลย”

“แน้...แล้วใครนะบอกว่าไม่ได้เรียนอนุบาลหมีน้อย แล้วทำไมยังกินไอติมเป็นเด็กๆ ล่ะ” ถึงจะไม่อยากเชื่อคำพูดหญิงสาวนัก แต่ปรานต์ไม่มีเวลาคะยั้นคะยอถามอะไรมาก อีกอย่างลองไม่บอก ต่อให้คาดคั้นแค่ไหน สาวหวานอย่างเพลงพรรษก็ใจแข็งไม่บอกได้แน่ๆ เขาเชื่อ

หญิงสาวย่นจมูกใส่โทรศัพท์

“ไปเถอะค่ะ พรรษก็จะกลับบ้านแล้ว”

“พรรษ...”

“คะ? อย่าบอกนะคะว่ามีเรื่องสงสัยอีก คราวนี้คงได้โดนคุณท่านจับตีก้นแน่ๆ เลยพี่ปรานต์น่ะ” คำพูดหยอกเย้าด้วยหวังให้เขาสดชื่นนั้นปรานต์รับรู้ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ หัวใจเริ่มคลายความตึงเครียดลงบ้าง

“พี่ไม่ได้จะถามอะไรเลย แค่จะบอก...” คู่สนทนาเงียบฟัง “ต่อให้คุณแม่ห้าม...พี่ก็จะรักพรรษคนเดียวจ้ะ จำไว้นะเด็กดีของพี่”

เท่านั้นเสียงสัญญาณก็ขาดไป เพลงพรรษรู้สึกร่างกายชาวาบไปทั้งตัว ความจริงการถูกบอกรักน่าจะรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจ แต่ทำไมหนอ เธอกลับอยากร้องไห้...และแล้วก็ร้องไห้จริงๆ

มือเรียวยกปิดปากกั้นเสียงสะอื้นเล็ดลอด เวรกรรมอันใดทำให้เธอกับเขาต้องเหมือนอยู่คนฝั่งของกระจกใส เห็นหน้า สบตา ถ่ายทอดความรู้สึกอ่อนหวาน แต่มิอาจจับต้อง ครอบครองได้ คล้ายๆ สวรรค์ตั้งใจกลั่นแกล้งให้ทรมาน


ร่างใหญ่ลงมายืนจัดสูทให้เข้าที่ข้างรถเรียบร้อย แหงนหน้ามองภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นแล้วแนวคิ้วกระตุกมาชนกันอย่างห้ามไม่อยู่ หรือไม่อยากห้ามก็สุดรู้ ดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ถูกส่งมาตรงหน้าเมื่อก้มลงมอง

ภาพหุ่นยนต์หน้าเฉยถือดอกไม้บอบบางกลิ่นหอม ไม่เข้ากันเลยสักนิด ปรานต์จึงยื่นมือไปรับมาถือไว้ กระทั่งกับตัวเขาเองยังดูไม่เหมาะเลย ไม่เหมาะสักนิดที่เขาจะต้องถือไปให้คู่ ‘ดูตัว’

‘คุณปภาวีนัดลูกสาวเจ้าของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครับ’ ทินกรรายงานขณะขับรถให้เขานั่งสบายอยู่เบาะหลัง ความจริงปรานต์รู้นัยของมารดา ท่านกลัวเขาไม่ไปตามนัดจึงให้หุ่นยนต์ตัวนี้มาคอยคุม

‘อะไรนะ!’ ปรานต์เผลอถามเสียงดัง แต่แม้จะนึกออกเขาก็ไม่ลดระดับเสียงลง ‘อย่าบอกนะว่าคุณแม่นัดดูตัวให้ผม’

‘เกรงว่าผมคงจะต้องบอกคุณอย่างนั้นครับ’

ชายหนุ่มอ้าปากจะพูดอะไรสักคำ โต้แย้งอย่างใจคิด แต่แล้วเขาก็เงียบไปเสียเฉยๆ อะไรที่มารดาเขาให้ทินกรเป็นคนจัดการต่อ นั่นหมายถึงต้องสำเร็จเท่านั้น และเท่าที่ผ่านมาชายวัยสี่สิบเศษคนนี้ ไม่เคยทำให้มารดาเขาผิดหวัง แล้วมีหรือครั้งนี้ปรานต์จะหลุดไปได้ง่ายๆ

พ่นลมหายใจออกจมูกแรงแล้วขายาวก็ก้าวเดินเมื่อทินกรผายมือเชื้อเชิญ เป็นการบังคับมากกว่าให้เกียรติ

ประตูกระจกเนื้อหนาถูกเปิดออกด้วยพนักงานในชุดยูนิฟอร์มบ่งบอกสัญชาติร้านอาหาร ปรานต์กำลังจะแทรกตัวผ่าน อยู่ๆ ก็มีใครสักคนลุกลี้ลุกลนเดินมาชนจนดอกไม้ในมือร่วงลงกับพื้น

“โอ๊ะ...โกะเมนนะไซ” ภาษาญี่ปุ่นเปล่งออกมาโดยหญิงสาวรูปร่างดี ไร้ไขมันส่วนเกิน เธอโค้งศีรษะให้เขาทำสีหน้าตื่นตกใจ แล้วก้มลงหยิบช่อดอกลิลลี่ส่งคืนให้เขา กล่าวคำเดิมซ้ำอีกครั้งพร้อมกับโค้งให้อีกหน แล้วพรวดพราดวิ่งเข้าไปข้างในร้านอาหารรวดเร็ว ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามแล้วส่ายหน้าเบาๆ

ปรานต์แจ้งชื่อโต๊ะที่มารดาจองไว้แก่พนักงาน ก่อนจะเดินตามไปยังโต๊ะด้านในสุดค่อนข้างเงียบ และปลอดคนพอสมควร เหมาะแก่การนั่งคุยกันตามลำพัง ทรุดนั่ง วางช่อดอกไม้ไว้ข้างตัวแล้วสะบัดข้อมือขึ้นดูนาฬิกา เคยได้ยินว่าชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องเวลานักหนา แต่นี่หกโมงเย็นตรงเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน เขากลับไม่พบคู่นัดอยู่ตรงนี้เลย

ชายหนุ่มเบือนหน้าไปด้านข้างทอดสายตามองไปไร้จุดหมาย เขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องว่าคู่นัดจะมาหรือไม่มา ดีเสียอีกถ้าฝ่ายนั้นไม่มา เขาจะได้กลับโดยไม่ถูกตำหนิจากมารดา เพราะไม่ใช่ความผิดเขา

หางตาเห็นว่าเงาของใครมายืนข้างโต๊ะพร้อมกับพูดอะไรกันสองสามคำ เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าพนักงานที่เดินนำมายังโต๊ะกลับไปแล้วเหลือเพียงหญิงสาวที่เดินชนเขายืนยิ้มรออยู่ ดวงตากลมโตบ๊องแบ๊วแบบสาวญี่ปุ่นเบิกกว้าง

“คุณนั่นเอง” เธอชี้มือมาทางเขาพร้อมพูดเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว แวบแรกปรานต์แปลกใจ แต่เขากลับแสดงสีหน้าเฉยๆ ไม่ได้ยิ้มหรือออกอาการตื่นเต้นอะไร กับแค่คนที่เดินชนกลายเป็นคู่นัดดูตัว

“เชิญนั่งครับ” เขาผายมือเชื้อเชิญแต่ไม่ลุกยืน อีกฝ่ายย่นจมูก ทำแก้มป่องคล้ายจะตำหนิ แต่ก็ยอมนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ขอโทษด้วยค่ะที่มาช้า พอดี...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือ จะสั่งอาหารเลยไหมครับ” ท่าทางการพูดของเขาราวกับท่องสคริปต์มาอย่างไรอย่างนั้น แถมไม่รอให้เธอพูดจบก่อนนี่สิ น่าขัดใจเสียจริงๆ ไร้มารยาท ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย!

“สั่งเลยก็ได้ค่ะ”

“นี่ดอกไม้ของคุณ” หญิงสาวอ้าปากหวอ ก่อนหุบฉับแล้วรับมา...อะไรกัน เขาน่าจะพูดว่า ‘นี่ดอกไม้สำหรับคุณครับ’ ต่างหาก มันสุภาพกว่ากันไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่พูดแข็งๆ ทำท่าทื่อๆ แบบนี้เวลาให้ดอกไม้ผู้หญิง

“ถ้าให้ฉันเดา คุณคงโดนบังคับมาใช่ไหมคะ” ในเมื่อเขาไม่อ่อนโยน หญิงสาวจึงวางท่าเชิดบ้าง และปรานต์ก็กำลังจะตอบออกไปว่า ‘ใช่’ แต่อะไรสักอย่างทำให้เขาฉุกคิด...คุณปภาวีคงไม่ได้ต้องการเพียงให้เขามีคู่แน่ๆ ทุกอย่างสำหรับมารดาเป็นเงินเป็นทอง และนัดครั้งนี้คงมีเรื่องธุรกิจมาร่วมด้วยแน่แท้

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่ผมมีธุระ และเพราะนัดกะทันหัน เลยต้องยกเลิกนัดทางนั้นไป” เขาจ้องหน้าเพื่อบอกกับเธอตรงๆ และนั่นทำให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าสวยชัดตา

“อ้อ...” เธอลากเสียงยาว พยักหน้าหลายครั้งว่าเข้าใจ “ฉันชื่อ ‘ซุยุ’ ค่ะ แล้วคุณล่ะ จะไม่แนะนำตัวหน่อยหรือ”

“ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณรู้แล้ว ผม...ปรานต์” น้ำเสียงเรียบๆ กับใบหน้าเฉยๆ ของเขาทำให้ซุยุเดาออกว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังรู้สึกเช่นไร หากไยเธอต้องสนใจ

“คุณคงคิดสินะว่าฉันเต็มใจมาตามนัดครั้งนี้ คิดด้วยหรือเปล่าว่าฉันต้องการคุณจนตัวสั่น” คำพูดชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเพี้ยนกระทั่งสำเนียงทำให้ปรานต์สะอึก เขามองออกตั้งแต่แวบแรกว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นลูกครึ่ง หากไม่คิดว่าภาษาไทยเธอจะคล่องถึงเพียงนี้

คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ แล่นมาอาบหัวใจและสมองอีกครั้ง ปรานต์มัวแต่คิดเคืองมารดาจนเผลอพาลเอากับหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่บางทีเธอเองอาจจะถูกบังคับมาด้วยเหมือนกัน ใครบ้างอย่างนัดดูตัวกับคนไม่รู้จัก

“ผมขอโทษครับที่แสดงกิริยาไม่ดีออกไป ผมคงเครียดเรื่องงานมากไปหน่อย” คราวนี้ชายหนุ่มยอมมุสาเพื่อรักษามารยาท

ซุยุยิ้มพอใจกับท่าทีอ่อนโยนลง

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ” ไหนๆ ได้ทีแล้วขอย้อนหน่อยก็แล้วกัน

ปรานต์ตวัดสายตาขึ้นสบตาคู่สนทนา เห็นเธอยักไหล่ยิ้มๆ แล้วทำได้เพียงผ่อนลมหายใจเบาๆ ท่าทางนั้นไม่ได้น่าหมั่นไส้ หากดูน่ารักสไตล์สาวมั่นใจในตัวเอง

นับตั้งแต่บทสนทนานั้นเป็นต้นมา การพูดคุยของหนุ่มสาวทั้งสองเอนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซุยุเป็นคนคุยง่ายสบายๆ แม้ไม่อ่อนหวานเท่ากับเพลงพรรษแต่เธอจำกัดอยู่ในคำว่า ‘น่ารัก’ ปรานต์ผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าต้องการตัวเขา หรือสื่อสารกันในแบบคนมาดูตัวต้องพูดกัน

อย่างนั้นแล้วปรานต์จึงเพลิดเพลินกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันกับ ‘เพื่อนใหม่’ จนเวลาล่วงเลยมากกว่าความตั้งใจในตอนแรกที่คิดไว้ว่าจะรีบทานรีบกลับ


ร่างบางในชุดนอนสีหวานนั่งอยู่บนบันไดเตี้ยๆ หน้าเรือนหลังเล็ก คอระหงชะเง้อมองประตูรั้วนานนับชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววของคนที่เฝ้ารอ หลังจากกลับมาถึงบ้านและโทร.รายงานเขาเรียบร้อย ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับมาอีกเลย

“เข้าบ้านเถอะพรรษ ดึกแล้ว คุณหนูคงงานยุ่งตามเคย ไม่ต้องรอหรอก”

“จ้ะยาย”

หันไปตอบรับนางเอื้องแล้วหญิงสาวก็ลุกยืน ทอดสายตาไปทางประตูรั้วอีกครั้ง ก่อนตัดใจเดินเข้าบ้าน

จากมุมสูงของบ้านหลังใหญ่คุณปภาวีมองลงมายังเรือนหลังเล็ก นึกถึงคำรายงานของทินกรที่บอกว่าปรานต์ยังอยู่ที่ภัตตาคารกับซุยุแล้วรอยยิ้มบางอย่างก็ผุดพรายขึ้นทั้งปาก สีหน้า และแววตา

“หึ...คนอย่างฉัน ยิงปืนนัดเดียวไม่ได้นกแค่ตัวหรือสองตัวแน่”

เจ้าของร่างนางพญาในชุดนอนกรุยกรายยืนกอดอกพึมพำกับตัวเองอย่างสมใจ หมายมาดวาดฝันอะไรต่อมิอะไรไว้มากมาย แผนการหลายอย่างกำลังดำเนินไปได้สวย

จะมีสิ่งใดอยู่เหนือกำมือน่ะ ไม่มีหรอก!





โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 09:55:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2554, 09:55:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1912





<< oOo บทที่ 1 oOo   oOo บทที่ 3 oOo >>
ก้อนอิฐ 4 เม.ย. 2554, 19:59:27 น.
มาลงตอนต่อไปเร็วๆ นะคะ ร๊อรอ ค่ะ ^____^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account