oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo บทที่ 3 oOo


บทที่3


ร่างบอบบางในชุดนักศึกษากำลังเดินไปเรื่อยๆ ด้วยอาการเหม่อลอย สองแขนโอบหนังสือไว้กับอก สายตาทอดมองไร้จุดหมาย ความคิดล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...เพลงพรรษไม่ได้เป็นอย่างนี้บ่อยนัก

“จ๊ะเอ๋!”

“อุ๊ย!”

เพราะเสียงใสๆ กับใบหน้าน่ารักกระโดดมาขวางแบบไม่ทันตั้งตัว เพลงพรรษจึงสะดุ้งตกใจจนหนังสือหลุดร่วงลงพื้น แต่คนทำให้ตกใจก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร กลับทำหน้าทะเล้นหัวเราะร่า ก้มลงช่วยเก็บหนังสือขึ้นมาส่งคืนให้ด้วยรอยยิ้มแจ่มใสน่ามอง

“ทำไมเดินเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างแบบนี้ล่ะ ทำข้อสอบไม่ได้เหรอ” คนถามเอียงคอมองนิดๆ และอีกฝ่ายไม่ทันตอบเธอก็ตอบมาเสียเอง “แต่...ไม่น่านะ ดูท่าทางเพลงพรรษน่ะเรียนเก่งออก ไม่น่าทำข้อสอบไม่ได้หรอก จริงไหม”

“เรียกพรรษเฉยๆ ก็ได้ค่ะ แล้วคุณมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ” เพลงพรรษตอบสุภาพ เลี่ยงการพูดถึงสาเหตุที่เธอเดินเหมือนคนไร้วิญญาณอย่างที่ถูกกล่าวหา

“ดีๆ เรียกพรรษจะได้ดูสนิทกัน แต่พรรษเองก็ต้องเรียกเราว่าดาเฉยๆ เหมือนกันนะ เรียกคุณเรียกฉันน่ะผู้ใหญ่เขาเรียกกัน เราน่ะเป็นเพื่อนกัน เรียกชื่อเล่นดีกว่า อืม...อีกอย่างเวลาแทนตัวก็แทนว่า ‘เรา’ ดีกว่าเนอะ เคยดูในหนัง ฟังแล้วมันเท่ดี”

นอกจากไม่ตอบคำถามของเพลงพรรษแล้วหญิงสาวหน้าใสที่เพิ่งเจอกันเมื่อวานแค่ครั้งเดียวคนนี้ก็ยังทำตัวราวกับสนิทกันมาแสนนาน หากความสดใส และท่าทางสบายๆ ของเธอก็ทำให้เพลงพรรษไม่นึกระวังตัวเหมือนเวลาเจอคนแปลกหน้าคนอื่นๆ

“ถ้าคุณไม่มีอะไรฉันขอตัวก่อนนะคะ” เพลงพรรษเอ่ยสุภาพ เธอไม่คุ้นชินกับการพูดสไตล์เพื่อนเท่าไรนัก เพราะขีดจำกัดในสังคมเธอมันเยอะเสียเหลือเกิน ท่าทางอารดาดูดี ‘คนละระดับ’ กับเธออย่างที่คุณปภาวีชอบแบ่งชนชั้นให้คนนั้นคนนี้ หญิงสาวจึงไม่กล้าพูดตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

แต่ด้วยเป็นคนที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ถึงอารดาจะไม่ใช่คนเอาแต่ใจเสียทีเดียว แต่หญิงสาวก็มักมีวิธีการเอาชนะได้น่ารักและได้ผลเสมอ

“อืม...ถ้าพรรษไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ไม่เป็นไร ไปเถอะ เราก็แค่ไม่ค่อยมีเพื่อน...ไม่ใช่สิ เราไม่เคยมีเพื่อนสนิทเลย พอเห็นพรรษเรารู้สึกถูกชะตา เลยมาคุยด้วย ไม่คิดว่าพรรษจะรังเกียจเราถึงขนาดนี้...ต้องขอโทษด้วยนะที่รบกวน” ใบหน้าที่ร่าเริงอยู่เมื่อวินาทีก่อน บัดนี้ฉายแววเศร้าชัดเจน ดวงตาหม่นแสง ขยับขาไปด้านข้างเพื่อหลบให้อีกฝ่ายได้เดินผ่าน

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่...ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากเหมือนกัน ก็เลยไม่รู้จะทำตัวยังไง ขอโทษนะคะถ้าทำให้คุณเสียใจ ฉัน...”

“ดีเลย! ถ้าพรรษไม่คิดแบบนั้น งั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ มา...สัญญาว่าเราจะเป็นเพื่อนสนิทกันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” จากใบหน้าเศร้าดวงตาหม่น ท่าทางหงอยๆ กลับกลายเป็นเชิดหน้าขึ้น ยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกาย และมือเรียวยื่นมาจับมือเพลงพรรษเขย่าเบาๆ ทำเอาหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกอึ้งกับอารมณ์ปรวนแปรของ...เพื่อนใหม่

“ก็...ก็ได้ค่ะ” อารดายิ้มกว้างสวมกอดเพื่อนใหม่ตามความเคยชินที่เธอมักทำแบบนี้กับพ่อ แม่ และพี่ชาย หรือใครก็แล้วแต่ที่เธอรัก หรือรับเข้ามาในหัวใจ

“และต่อไปนี้ห้ามพูดคุณพูดฉันกับเราอีกนะ...แม้แต่คำว่า ‘ค่ะ’ เนี่ยก็ยังดูห่างเหินไป พูดเฉยๆ แบบเพื่อนเขาพูดกันดีกว่านะ” เพลงพรรษยังคงพยักหน้าอึ้งๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเจอเพื่อนคนไหนเป็นแบบอารดาเลยสักคน หากก็ยอมรับว่าดูแล้วน่ารักดี “แล้วนี่จะกลับบ้านใช่ไหม จะกลับยังไงล่ะ”

“กลับรถเมล์ค่ะ เอ้อ...เรากลับรถเมล์น่ะ” เมื่อเจอสายตาดุๆ ส่งมาเพลงพรรษจึงรีบเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่ เรียกรอยยิ้มกว้างจากคนตรงข้ามได้อีกครั้ง

“งั้นให้เราไปส่งนะ เรามีคนขับรถมารับ นั่งรถเราสบายกว่าเยอะ อ้ะๆ อย่าปฏิเสธเด็ดขาดเลย รับรองไม่พาไปฆ่าหมกป่าหรอกน่า นะ ให้เราไปส่งนะ” เจอคำพูดอ้อนๆ ประกอบกับการเขย่าแขนทำเอาเพลงพรรษที่ตั้งใจปฏิเสธหนักแน่น ถึงกับพูดไม่ออก เลยได้แต่พยักหน้ายอมรับ

อารดาเดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ใกล้ตึกคณะฯ ของเธอด้วยท่วงท่าร่าเริง เพลงพรรษมองตามแล้วเธอก็สดชื่นตามจนลืมปรานต์ไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าสมองเฝ้าวนเวียนคิดไปต่างๆ นานา เพราะก่อนเข้านอนไม่ได้รับรู้ถึงการกลับมาของเขา แถมเช้านี้เธอยังต้องออกมาสอบแต่เช้าอีก รีบออกมารอรถเมล์เพราะกลัวไม่ทันสอบจนลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน...ป่านนี้เขาจะเป็นห่วงเธอไหมนะ

“พรรษ กินไอติมไหม...พรรษ! เหม่ออีกแล้วนะ” เสียงคนเดินนำร้องเรียก เพลงพรรษกวาดสายตามองจึงเห็นว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้ารถไอศกรีมที่เธอชอบซื้อกินเวลาปรานต์มารับไม่ได้

“คุณ...เอ่อ ดาชอบกินไอติมด้วยเหรอ”

“ชอบสิ ของโปรดเราเลยล่ะ พูดแบบนี้แสดงว่าพรรษก็ชอบใช่ไหม ดีเลย งั้นเราเลี้ยง อ้ะ ห้ามปฏิเสธ เราเลี้ยงในฐานะเป็นเพื่อนกันวันแรกแล้วกัน”

เพลงพรรษตั้งท่าจะบอกว่าไม่เอา แต่เธอก็เปลี่ยนใจ แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอเรียนรู้ได้รวดเร็วว่าเพื่อนใหม่คนนี้ คงไม่ยอมอะไรง่ายๆ แม้ท่าทางจะดูไม่เรื่องมากก็ตาม

อารดายิ้มกว้างเมื่อเพลงพรรษยอมเลือกไอศกรีมแต่โดยดี...หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้นัก อาจเพราะท่าทางของเธอคล้ายแม่ คล้ายน้า...ผู้อ่อนโยนแบบไทยแท้

แล้วทั้งสองคนก็ได้ไอศกรีมคนละแท่งมายืนกินกันอย่างสนุกสนาน เพลงพรรษผ่อนคลายมากขึ้น ความร่าเริงสดใสของอารดามักทำให้คนอยู่ใกล้หลงรักง่ายดายเสมอ

“อร่อยจังเลยเนอะ พรรษรู้ไหม พี่ชายเราน่ะชอบซื้อไอติมให้กินประจำเลย เขาใจดี๊ใจดี แล้วพรรษล่ะ มีพี่น้องไหม” คำถามไม่ได้ละลาบละล้วง แต่ถามไปเพราะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือลึกอะไรเลย

เพลงพรรษสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย หากยังฝืนยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าใครบางคน

“ไม่มีพี่น้อง แต่มีคนที่รักเหมือนพี่ชาย...เขาไม่ชอบให้เรากินไอติม เขาบอกว่าเราไม่ใช่เด็กอนุบาลแล้ว” แม้คำพูดจะเหมือนบ่นเล็กๆ แต่รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏบนริมฝีปากบาง

“หือ...ไม่เห็นเกี่ยวเลย ผู้ใหญ่ก็กินไอติมได้ คนแก่ก็กินได้ ใครๆ ก็กินได้ทั้งนั้นแหละ ผู้ชายคนนั้นอายุเลยวัยกลางคนแล้วแหงเลย ใช่ไหมพรรษ” สีหน้าสีตาจริงจังของอารดาบวกคำพูดเซี้ยวๆ ทำเอาเพลงพรรษอึ้ง เพราะไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร และในชีวิตเธอก็แทบไม่เคยเจอคนอย่างอารดา หากเมื่อนึกไปถึงผู้ชายที่โดนกล่าวหาว่าเลยวัยกลางคน เพลงพรรษก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็...คงอย่างนั้นมั้ง” เพลงพรรษพูดพลางหัวเราะพลาง

“เห็นไหมเวลาพรรษหัวเราะแบบนี้ น่ารักกว่าทำหน้าเศร้าๆ เหม่อๆ ตั้งเยอะแน่ะ” อารดาเลียไอศกรีมในมือแล้วก้มลงมองโทรศัพท์ที่คล้องคอไว้กับสายยาวๆ ลายน่ารัก “แน่ะพูดถึงก็มาเลย...พี่ชายเราน่ะ” แล้วเธอก็เลี่ยงไปรับโทรศัพท์อีกทาง คุยอยู่ไม่กี่ประโยคจึงเดินกลับมาพร้อมกับสีหน้าเจื่อนๆ

“ถ้าดาไม่สะดวกไม่เป็นไรนะ เรากลับบ้านเองได้ กลับเองอยู่ทุกวัน”

“ไม่เสียแรงที่รับมาเป็นเพื่อนสนิท รู้ใจดีจริง แต่เราอยากไปส่งพรรษนี่นา”

“ไม่เป็นไรหรอก ไว้วันหลังก็ได้จ้ะ”

“จริงนะ วันหลังเราจะไปส่งให้ถึงในบ้านเลย แต่วันนี้เราต้องขอตัวก่อนพี่ชายมีธุระด่วนน่ะ กลับบ้านดีๆ นะพรรษ พรุ่งนี้เจอกัน อย่าลืมอ่านหนังสือเยอะๆ ล่ะ บ๊าย บาย” มือเรียวโบกลาด้วยท่วงท่าน่ารัก จนเพลงพรรษต้องยกขึ้นโบกตอบ ยืนมองจนรถของเพื่อนใหม่ลับสายตาจึงถอนหายใจยาว

...หากอารดาได้รู้จักชีวิตจริงๆ ของเธอ หญิงสาวคงไม่อยากไปส่งถึงในบ้านหรอก...


ตอนเพลงพรรษเดินเข้าบ้านมาถึงหน้าตึกใหญ่เป็นจังหวะเดียวกับที่ปรานต์ลงจากรถพอดี ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นคนที่เป็นห่วงมาทั้งวันแต่ติดต่อไม่ได้ ร่างสูงปราดเข้าไปหาอย่างลืมตัว หญิงสาวที่ยืนก้มหน้าไม่สบตาถอยหลังไปสองก้าว นั่นทำให้ปรานต์ระลึกได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในอาณาบริเวณของ...พสุธาเทพ

“พรรษ ทำไมปิดมือถือ...พี่โทรไปหลายรอบ ฝากข้อความตลอด งอนอะไรพี่หรือเปล่า” สีหน้าชายหนุ่มฉายความกังวลระคนห่วงใยชัดเจน

“เมื่อเช้ารีบน่ะค่ะเลยลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน คุณปรานต์มีอะไรจะใช้พรรษหรือเปล่าคะ”

“พรรษ!” ปรานต์พูดเสียงดังอย่างที่เขาไม่เคยทำ ความหงุดหงิดติดค้างมาตั้งแต่เช้าที่เขาพบว่าเพลงพรรษออกไปก่อน หนำซ้ำเมื่อโทร.หาก็ติดต่อไม่ได้ และเหตุผลที่เขาต้องกลับบ้านเร็ววันนี้คือคุณปภาวีบังคับให้กลับเพราะมีแขกสำคัญ แล้วนี่เธอยังมาพูดกับเขาแบบห่างเหินอีก เธอไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขาน่ะแทบบ้าตายอยู่แล้ว

หากเมื่อเห็นอาการนิ่งเงียบและร่างเล็กบางสั่นน้อยๆ ปรานต์ก็ต้องระงับอารมณ์ รู้สิ เขารู้ดีเลยว่าเพลงพรรษเองก็ทรมานไม่น้อยเช่นกัน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเธอเชื่องช้า หมายจะจับมือมาปลอบโยนแต่หญิงสาวห้ามไว้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“อย่าค่ะคุณปรานต์ เดี๋ยวคุณปรานต์จะเดือดร้อน” สิ้นคำพูดของเพลงพรรษ คนถูกห้ามก็ต้องห้ามใจ เสียงถอนหายใจทำให้ฝ่ายหญิงสาวต้องเงยมอง แววตาเขาเศร้าหมอง

“เห็นนมเอื้องบอกว่าวันนี้มีสอบ...ต้องสอบอีกกี่วันจ๊ะ” ปรานต์กลับมาเป็นคนใจเย็นสุขุมคนเดิม หากนั่นทำให้เพลงพรรษยิ่งจมลึกกับความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขา

“อีกสามวันค่ะ”

ทั้งสองคนสบตาสื่อสารความรู้สึกมากมายที่ไหลล้นมาจากหัวใจ...ปรานต์ไม่อยากให้ระหว่างเขากับเธอเหมือนมีกำแพงหนามาคั่นกลางแบบนี้เลย แล้วต้องทำอย่างไรเล่า เขาต้องทำอย่างไรกับกำแพงที่ชื่อว่า...แม่

“พรุ่งนี้ออกไปพร้อมพี่นะ”

“อย่าเลยค่ะ พรรษไม่อยากให้คุณปรานต์โดนคุณท่านดุ โดยเฉพาะตอนนี้ คุณปรานต์รีบเข้าบ้านเถอะค่ะ ถ้าคุณท่านมาเจอ แม้แต่หน้าเราอาจไม่ได้เห็นกันอีกนะคะ” ดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำเอ่อล้นจนใจเขาไหวสั่น

“ใช่! เธอพูดถูก” เสียงประกาศิตดังมาจากด้านหลังร่างใหญ่ “ถ้าแกยังดื้อดึงเรื่องแม่นี่อีก ฉันจะให้มันไปอยู่ในที่ไกลแสนไกล ชนิดแกพลิกแผ่นดินก็หาไม่เจอ”

“คุณแม่!”

“เข้าบ้านไปอาบน้ำอาบท่าซะ อย่าลืมสิวันนี้แกมีนัดกับคนสำคัญ” หางตาของคุณปภาวีมีร่องรอยยิ้มเยาะ เย้ยหยันส่งให้เพลงพรรษ

“แขกคนสำคัญของคุณแม่ครับ ไม่ใช่ของผม” ความจริงถ้าปรานต์พูดอย่างนี้คุณปภาวีน่าจะโมโห และโวยวายลั่นบ้าน ทว่านางยังยิ้มมุมปาก ยกมือกอดอกแล้วทอดสายตามองเพลงพรรษตรงๆ

“หึ จะของใครก็ช่าง...แต่ยังไงซะ แกก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่ดี” สีหน้าแววตาที่ฉายชัดถึงความสะใจ ทำเอาเพลงพรรษสะท้านไปทั้งร่าง ปรานต์เบิกตาโต นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากให้เพลงพรรษได้ยิน

“คุณแม่!” ปรานต์ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านั้น

“เรียกอยู่ได้คุณแม่ๆ รู้ว่าฉันเป็นแม่ก็ดีแล้วนี่ เข้าบ้านไปเสียที รำคาญ ขืนแกยังไม่เลิกบ้าอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” คราวนี้แววตาของคุณปภาวีจริงจังถึงขั้นโหดเหี้ยม ปรานต์เชื่อสุดหัวใจ มารดาเขาทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าบ้านด้วยความจนใจ

เมื่อลูกชายลับสายตาคุณปภาวีก็หันกลับมาหาผู้หญิงอีกคน พูดด้วยน้ำเสียงช้าและชัด

“วันนี้เธอห้ามออกมาจากเรือนคนใช้เด็ดขาด หมกตัวอยู่แต่ที่นั่น แม้แต่หน้าบ้านก็ไม่ต้องมาเฉียด...เพราะฉันไม่อยากให้ว่าที่เจ้าสาวของตาปรานต์เข้าใจผิด คิดว่าฉันเลี้ยงนางบำเรอไว้ให้ลูกชาย เข้าใจมั้ย”

วาจากล่าวร้ายรุนแรงแทบทำให้เพลงพรรษล้มทั้งยืน หากเธอก็ฝืนพยักหน้ารับคำอย่างรู้มารยาท

“ค่ะ คุณท่าน”

“ดี ไปได้แล้ว”

ร่างบางค่อยๆ หมุนตัวเดินไปยัง ‘เรือนคนใช้’ ด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว คุณปภาวีมองตามด้วยรอยยิ้มสมใจ

...ไม่ว่าใครที่ทำให้ฉันเจ็บปวด มันต้องเจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่า ต่อให้มันตายไปฉันก็จะจองล้างจองผลาญทายาทมันให้ตกนรกทั้งเป็น!


ในห้องรับแขกโอ่อ่ากว้างขวางเต็มด้วยของตกแต่งสูงค่า คุณปภาวีกับลูกชายที่ใบหน้าไร้ความรื่นรมย์นั่งกันเงียบๆ เพื่อรอแขกคนสำคัญ และเพียงไม่นานเจ้าของร่างระหงผิวขาวจัดหน้าตาเกินครึ่งที่บ่งบอกสัญชาติของแดนอาทิตอุทัยก็เดินเข้ามา โดยมีทินกรลูกน้องคนสนิทของคุณปภาวีเดินนำเข้ามา

สองแม่ลูกลุกจากโซฟาหนานุ่มราคาแพงเพื่อต้อนรับเธอ คุณปภาวียิ้มตามแบบฉบับคนเข้าสังคมบ่อย แต่สำหรับปรานต์เขาไม่ชอบกับการเข้าสังคมหลอกตา แม้จะโดนบังคับบ่อยๆ อย่างไรเขาก็ไม่ชิน

“สวัสดีค่ะ คุณป้า คุณปรานต์” ซุยุยกมือไหว้ได้สวยงามแม้เธอมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน

“แหม...มารยาทงดงามไม่แพ้คนไทยทั้งร้อยเลยนะจ๊ะเนี่ย” คุณปภาวีออกปากชมพร้อมเอื้อมมือไปลูบแขนเรียวเบาๆ ปรานต์เหลือบมองมารดา น้อยครั้งหรอกที่จะเห็นผู้หญิงรักศักดิ์ศรี ไว้เนื้อไว้ตัวอย่างแม่เขาจะรักชอบผู้หญิงคนไหนสักคน แสดงว่าซุยุต้องมีอะไรแปลกจากคนอื่น

“คุณแม่สอนมาตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนหันไปทางทินกรและยื่นมือออกไปรับของที่เขาช่วยถือมาจากหน้าบ้านมาส่งให้คุณปภาวี “นี่เป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากญี่ปุ่นค่ะ”

ของขวัญชิ้นที่ว่าคือแจกันใบงาม มองแวบเดียวก็รู้ว่าราคาแพงหูดับ ไม่รวยจริงไม่มีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน คุณปภาวีรับไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง ชื่นชมราวกับตัวเองไม่เคยมีของราคาแพง ทั้งๆ ที่ทั้งบ้านนี้ไม่มีของชิ้นไหนต่ำจากหลักหมื่นเลยสักชิ้นกระมัง

“สวยมากจ้ะ เคยซื้อแจกันมาก็หลายใบ หลายแห่ง ไม่เห็นใบไหนสวยเท่าใบนี้เลย ขอบใจหนูซุยุมากนะจ๊ะ ที่เอามาฝาก แต่ความจริงไม่น่าลำบากเลย”

ปรานต์ยังคงยืนเงียบมองมารดา ดูท่าคุณปภาวีจะเข้าสังคมจนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความยินดีในน้ำเสียงที่พูดออกมาของนาง แม้กระทั่งใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่นั่นก็ไม่ได้เจือแววเอ็นดูซุยุเท่าที่ควร...คุณปภาวีคิดจะทำอะไร

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ ซุยุเต็มใจเอามาฝากคุณป้า” พูดจบหญิงสาวก็เหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่มีโอกาสได้เจอและทานข้าวกันหนึ่งมื้อแล้ว ดูหน้าวันนี้ของเขาเครียดขรึมไม่ต่างจากตอนเจอเธอแวบแรกเมื่อวาน

“ตาปรานต์พาน้องไปห้องทานข้าวดีไหมจ๊ะ มัวแต่ยืนเงียบเดี๋ยวน้องวางตัวไม่ถูกกันพอดี” แม้ทุกคำจะพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายหยอกล้อ แต่น้ำเสียงแบบนี้ปรานต์รู้ว่าคุณปภาวีกำลังเตือนสติเขา

“เชิญครับ น้องซุยุ” ปรานต์แกล้งเรียก ‘น้อง’ ตามคำของมารดา พร้อมกับผายมือเชิญให้เธอเดินไปยังห้องอาหารของบ้านหลังใหญ่ ซุยุพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสดใส

“เดี๋ยวป้าเอาแจกันไปเก็บก่อนดีกว่าแล้วจะตามไปนะจ๊ะ” คุณปภาวีบอกเมื่อซุยุหันมาทางนาง คนเป็นแขกเลยเดินนำมีปรานต์เดินตามไปโดยปราศจากความเต็มใจ

คนเฝ้ามองอยู่เบื้องหลังทั้งสองคนมีเพียงรอยยิ้มสมใจ

เมื่อลับตาคุณปภาวีกับคนสนิทซุยุก็หลุดหัวเราะออกมา จนปรานต์ต้องหันขวับมามองเธอจึงแกล้งเอามือปิดปากพอเป็นพิธีไม่ได้รู้ว่าตัวเองเสียมารยาทแต่อย่างใด

“มีอะไรตลกหรือครับ” ปรานต์ถามน้ำเสียงสุภาพแต่แววตาติดดุ

“ขำคุณน่ะสิ ทำหน้าเหมือนไม่ได้ถ่ายมาสามวันแน่ะ แถมยังเรียกฉันว่าน้องอีก จักจี้จะตาย” แล้วเธอก็หัวเราะอีกครั้ง ปรานต์มองแล้วอยากโมโห แต่ไม่รู้ทำไมความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ของเขาเหมือนถูกเสียงหัวเราะของเธอทำให้มันจางหายไป

“ผมก็เล่นตามบทที่คุณแม่เขียนให้ไงครับ คุณเองก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”

“มันก็ใช่ แต่คุณน่ะต้องทำหน้าให้สมจริงสมจังกว่านี้หน่อยนะ เนี่ยหัดยิ้มแบบนี้น่ะเป็นไหม ยิ้มกว้างๆ ตาหยีๆ แบบนี้ดูไว้” สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นยื่นหน้าไปใกล้เขา ยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างดึงมุมปากตัวเองให้ขยายออกจนเห็นฟันเรียงตัวสวย

ปรานต์มองหน้าตาเธอแล้วทั้งตลกทั้งน่ารักปนกัน เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมากับท่าทะเล้นที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาดูแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเจอแต่ผู้หญิงเรียบร้อย แต่เพราะมารดาเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนไหนต่างหาก

“ถ้าคุณแม่มาเห็นคุณตอนนี้คงลืมกิริยายกมือไหว้งดงามเมื่อกี้ไปเสียสนิทแน่ๆ เลย” ปรานต์พูดแก้เก้อ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกใจวูบๆ กับแก้มขาวสะอาดที่ลอยอยู่ตรงหน้า

“ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคงดีใจล่ะสิ คุณป้าจะได้ไล่ฉันออกจากบทละครชีวิตคุณ” หญิงสาวแกล้งย่นจมูกใส่เขา

“ทำอย่างกับคุณจะไม่ดีใจถ้าได้ออกจากชีวิตผม” ปรานต์พูดตรงไปตรงมา เพราะเมื่อวานเขากับเธอคุยกันจนเข้าใจแล้ว และตกลงว่าจะร่วมเล่นละครตบตาครอบครัวของทั้งสองฝ่าย

ซุยุมองหน้าชายหนุ่มแล้วเพียงยักไหล่สบายๆ เดินไปทรุดนั่งตรงเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหารสุดอลังการซึ่งสาวใช้กำลังทยอยนำอาหารมาวาง หญิงสาวมองไปรอบห้องอาหารอย่างไม่รู้จะทำอะไรมากกว่าสำรวจ


ค่ำคืนที่แสงดาวพราวฟ้ากับอากาศเย็นฉ่ำยามดึก เพลงพรรษปิดหนังสือที่อ่านมาตั้งแต่หัวค่ำเพื่อพักสายตา เมื่อหยุดอ่านหนังสือความว้าวุ่นที่ละวางไว้ก็กลับมาวนเวียนอีกครั้ง ตั้งแต่กลับมาเธอเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ย่างกรายออกไปไหนตามคำสั่งคุณปภาวี มือเรียวเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูสายที่ไม่ได้รับอีกครั้ง วันนี้ทั้งวันปรานต์โทร.หาเธอถึงสิบห้าสายด้วยกัน เขาคงเป็นห่วงเธอมาก

หญิงสาวลุกยืนแล้วเดินออกมารับลมด้านนอกเฉกเช่นทุกคืน ยามเมื่อมองดวงดาวระยับแสงพาให้หัวใจคิดถึง ‘ป้ามีน’ หญิงสาวที่บัดนี้อาจเป็นดาวดวงใดสักดวงบนท้องฟ้า

...ป้ามีนขาพรรษจะทำอย่างไรดี...เธอไล้นิ้วไปตามแหวนที่ห้อยไว้กับสร้อยคอ

โทรศัพท์ในมือสั่นโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาหญิงสาวตกใจ รีบก้มลงมอง ปรากฏเบอร์และรูปของคนที่ประทับในหัวใจตลอดมา เพลงพรรษลังอยู่ครู่เดียวก็กดรับ

“สวัสดีค่ะคุณปรานต์”

“พรรษเกลียดพี่แล้วใช่ไหม ถึงเรียกพี่อย่างนี้” ความน้อยใจสื่อสารมาในทุกคำพูดของเขา

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ตอนนี้เราอยู่ในพสุธาเทพ แล้วอีกอย่าง...” หญิงสาวไม่กล้าพูดเรื่องที่คุณปภาวีบอกเมื่อตอนเย็น นับจากวันนี้ไปเธออาจต้องห่างปรานต์แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังคุณปภาวี ปรานต์กำลังจะเลือกเดินเส้นทางใหม่กับใครอีกคนที่เหมาะสมและคู่ควรกับเขาทุกประการ

“อีกอย่างอะไร...ห้ามพรรษคิดตามคำที่คุณแม่พูดเด็ดขาด พี่ไม่มีวันแต่งงานกับใครนอกจากพรรษเท่านั้น”

“คุณปรานต์!” เพลงพรรษตกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งกล้าพูดเป็นครั้งแรก และมันจะเป็นเรื่องใหญ่หากคุณปภาวีมาได้ยิน

“หันมามองพี่แล้วเรียกใหม่” ปรานต์ออกคำสั่งแต่น้ำเสียงเจือแววรักและเอ็นดูล้นหัวใจ เพลงพรรษรู้ว่าเธอต้องหันไปทางไหนถึงจะเจอเขา หญิงสาวทำใจกล้าอยู่ครู่แล้วค่อยๆ หันไปทางขวาพร้อมเงยหน้าขึ้นไปยังเรือนหลังใหญ่ระเบียงชั้นบน “เรียกพี่อย่างที่พรรษเคยเรียกสิ”

แม้จะยืนในระยะห่างเกินเอื้อมมือถึงหรือมองได้ชัด แต่สำหรับเพลงพรรษทุกอย่างที่เป็นปรานต์ประทับตรึงตราในหัวใจเธอทุกรายละเอียด รอยยิ้มของเขา แววตาของเขา พัดพาเอาหยดน้ำตาขึ้นมาคลอเบ้า

“พี่ปรานต์...” เพียงคำเรียกสั้นๆ หยดน้ำตาก็รินไหลอาบแก้ม หญิงสาวยิ้มตอบคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านบน

“วันนี้...พี่คิดถึงพรรษทั้งวัน” ยิ่งเขาพูดดีๆ น้ำเสียงอ่อนโยนน้ำตาของเธอยิ่งรินไหล ทั้งปลาบปลื้มทั้งเจ็บปวด

ปรานต์อยากเดินไปถามมารดาเดี๋ยวนี้เลยว่า หากท่านไม่ต้องการให้เขากับเพลงพรรษติดต่อหรือเจอหน้ากัน แล้วทำไมถึงจัดห้องของเขาใกล้บ้านหลังเล็กของเพลงพรรษอย่างนี้ จะว่าดีมันก็ดี แต่มันดีแบบทรมาน...

และคนที่จะให้คำตอบปรานต์ได้ก็กำลังยืนกอดอกมองจากระเบียงอีกห้องหนึ่งของตัวเอง...เฝ้ามองด้วยรอยยิ้ม หาใช่ความหงุดหงิดโมโหแต่อย่างใด เพราะนี่แหละคือสิ่งที่คุณปภาวีต้องการ

...ความสุขปนทรมานของคนที่แม่มันเคยทำให้นางทรมาน...

“ตั้งใจอ่านหนังสือนะจ๊ะ...พี่เชื่อว่าพรรษเก่งอยู่แล้ว” ปรานต์ให้กำลังใจ ใบหน้าเรียกพยักรับ

“พี่ปรานต์ก็พักผ่อนเยอะๆ นะคะ พรรษเชื่อเหมือนกันว่าพี่ปรานต์เก่งอยู่แล้ว” ทั้งสองคนยิ้มให้กันก่อนกดตัดสัญญาณมือถือ สบตากันอีกครู่แล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับเข้าห้องตัวเอง...ได้แต่ภาวนาว่าหนทางข้างหน้าของพวกเขาจะพบแสงสว่าง ไม่ใช่ความมืดมิด





โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชม



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2554, 00:30:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2554, 00:30:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1961





<< oOo บทที่ 2 oOo   oOo บทที่ 4 oOo >>
สามปอย 5 เม.ย. 2554, 09:52:02 น.
ตามมาลงชื่อก่อนนะ เดี๋ยวเค้าจะค่อยๆๆ ตามอ่าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account