ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 20

“ขิง... ตากฤษณ์โดยรถชนตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”

สิ้นเสียงบอกของมารดา มือที่ถือหูโทรศัพท์ไว้อ่อนแรงลงทันควัน มือบางแทบปล่อยโทรศัพท์ให้หล่นพื้นถ้าไม่ติดว่าคนในสายคือแม่ตัวเอง

“ละ แล้วพี่กฤษณ์เป็นยังไงบ้างแม่ ชนแรงมั้ย”

“แม่ก็ไม่รู้อะไรมาก พอดีแอมป์โทรฯ มาบอก แม่ก็เลยมาบอกเรานี่แหละ” ใจของขิงชักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงสาวน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าพร้อมจะหยดทุกเมื่อ แต่ด้วยไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเธอเลยต้องสูดลมหายใจกลั้นมันเอาไว้พร้อมทั้งพยายามไม่ทำเสียงให้สั่นเครือ

“ถ้างั้นเดี๋ยวขิงกลับบ้านเลยแล้วกันนะแม่ ขิงนั่งเครื่องกลับแป๊บเดียว ขิงจะไปหาพี่กฤษณ์”

“ถึงแล้วมาที่บ้านก่อนนะขิง เดี๋ยวค่อยไปพร้อมแม่” ขิงรับปากแม่อีกสองสามคำแล้ววางสาย แล้วน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ในที่สุดก็กลั้นไม่อยู่ ขิงปล่อยสะอื้นออกมาอย่างไม่อายทองที่ยืนมองอยู่ด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของมัน เด็กชายทำหน้าตาเงอะงะเมื่อเห็นน้ำตาผู้หญิงอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น เพราะเห็นทีไรใจอ่อนทุกที

เด็กชายปล่อยให้คุณหนูของมันร้องไห้จนพอใจ คอยส่งกระดาษทิชชู่ให้ซับน้ำตาจนแห้งแล้วถึงพาเธอไปหาพ่อเลี้ยงที่ยังคุมคนงานอยู่ที่สวนยางพารา คุณหนูขิงของมันบอกพ่อเลี้ยงว่าจะกลับวันนี้ให้คนจองตั๋วเครื่องบินพร้อมกับไปส่งเธอที่สนามบินด่วนที่สุดเพราะมีเรื่องเกิดที่กรุงเทพฯ

คุณพิทักษ์ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่พอเห็นคราบน้ำตาของลูกสาวก็พอจะรู้อะไรมาบ้างจากภรรยาเก่าที่โทรฯ มาเล่าให้ฟังก่อนลูกสาวจะพักด้วย เรื่องคงหนีไม่พ้นว่าที่ลูกเขยของเขา มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลายืนมาลูบผมลูกสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ

“รู้คำตอบแล้วใช่มั้ยลูก” ความอบอุ่นของพ่อที่ส่งผ่านมายิ่งทำให้เธอน้ำตาไหล ขิงโผเข้ากอดคนเป็นพ่อแน่นแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายคนงานรอบๆ

“เค้าถูกรถชนค่ะพ่อ เค้าถูกรถชน ถ้าเค้าเป็นอะไรไปแล้วขิงจะอยู่ยังไง” เสียงสะอึกสะอื้นยิ่งทำให้คนเป็นพ่อปวดร้าว ลูกเจ็บเขาก็เจ็บไปด้วย นึกอยากเห็นหน้าไอ้หมอนั่นคนที่ทำให้ลูกสาวเขาร้องไห้ได้ขนาดนี้บ้าง

“ขิงอย่าเพิ่งไปนะ รอพ่อก่อนขอพ่อเก็บเสื้อผ้าแป๊บนึง”

คราวนี้คนเป็นลูกหยุดร้องไห้ ขิงเงยหน้ามองพ่อเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ “พ่อจะไปด้วยเหรอคะ”

“ใช่ เดี๋ยวพ่อนั่งเครื่องไปเป็นเพื่อน”

คนเป็นพ่อพูดแค่นั้นแล้วปล่อยให้ลูกสาวทำหน้างงสักพักก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองก็ต้องรีบเก็บเสื้อผ้าของตัวเองเหมือนกัน จึงทำได้เพียงรีบกลับไปที่บ้านหลังน้อยของตัวเองแล้วจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย


ขิงเดินลงจากรถแท็กซี่ด้วยความรีบร้อน ปล่อยให้คุณพิทักษ์เป็นคนจ่ายค่าโดยสารที่นั่งมาจากสนามบิน ส่วนตัวเองเดินตรงดิ่งเข้าบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทาง เพราะต้องการคุยกับแม่ให้เร็วที่สุด

แต่ยังไม่ทันไปถึงไหน หญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยสองเสียงกำลังสอดประสานกันอยู่ในบ้าน ขาเล็กรีบก้าวเร็วไปยังทิศทางของเสียง เห็นคุณอรุณีนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอารมณ์ดีก่อนจะเงียบเสียงลงเมื่อหันมาเห็นลูกสาวยืนหน้าบึ้งอยู่ การเงียบนั้นพลอยทำให้อีกคนหันมองจุดเดียวกับคนที่หยุดหัวเราะ

“ขิง” คนเป็นแม่เรียกลูกสาวที่ยืนตาพองอยู่ใกล้ๆ เธอไม่ยอมขยับเข้าไปใกล้มากกว่านี้ทั้งที่ปกติแล้วถ้ากลับบ้านต้องวิ่งเข้ากอดผู้เป็นแม่แน่น จากนั้นต้องรู้สึกคอแห้งผากขึ้นมาเมื่อลูกสาวหันไปเห็นอีกคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรงโซฟา

“ไหนแม่บอกว่าพี่กฤษณ์รถชนไง... คะ” หางเสียงลูกสาวยังพอทำให้คนเป็นแม่ใจชื้นขึ้นมาบ้างว่าอย่างน้อยอารมณ์ของขิงก็ยังพอควบคุมได้

“ก็พี่รถชนจริงๆ” กฤษณ์ตอบน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนแถมยังลุกขึ้นไหว้ทักทายคนมาใหม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาว

“แล้วไหนล่ะคะอาการหนัก ไหนล่ะคะนอนโรงพยาบาล”

“ก็...” กฤษณ์อึกอัก มองหน้าคนถามแล้วพูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ก็อาการไม่หนักไงครับ”

“แม่คะ พ่อคะ ขอขิงคุยกับพี่กฤษณ์ได้มั้ยคะ”

เป็นการขออนุญาตที่คุณอรุณีไม่ค่อยได้พบบ่อยหนัก น้ำเสียงเรียบเล่นเอาคนเป็นแขกของบ้านขนลุกขึ้นมาแถวรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก

กฤษณ์ยืนมองบุพการีทั้งสองคนพยักหน้าให้กันแล้วเดินออกไปคุยกันข้างนอกเงียบๆ ส่วนขิงหันยิ้มให้แม่เล็กน้อย แม้เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนให้กำลังใจ แต่กลับทำให้คนเป็นแม่ก็รู้สึกหวาดๆ อยู่พอตัว เนื่องจากชนักติดหลังที่สมรู้ร่วมคิดกับชายหนุ่มอีกคนแทนที่จะอยู่ข้างลูกสาว

เธอมองแม่เดินออกไปกับพ่อด้วยความรู้สึกดีใจ ถึงแม้ท่านทั้งสองเลิกกันไปแล้วแต่เธอรู้ดีว่าความรักที่พวกท่านให้เธอยังคงเป็นของจริง และทุกวันนี้แม่ยังคุยกับพ่อเรื่องเธออยู่เสมอ

“ตกลงว่ารถชนจริงๆ เหรอคะ” จบจากเรื่องพ่อแม่ หญิงสาวก็หันมามองชายหนุ่มด้วยท่าทางเอาเรื่อง จนคนมองแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ขิงมาเหนื่อยๆ มานั่งก่อนมั้ย” เธอส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับย้ำคำเดิม

“รถชนจริงๆ เหรอคะพี่กฤษณ์”

“อ่า... ชนครับ” ชายหนุ่มมองหน้าคนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ชนฟุตบาท”

“หา?” คราวนี้คนถามเริ่มงงเป็นไก่ตาแตก “ยังไงนะคะ”

“พี่ขับรถชนฟุตบาทข้างทางครับ”

“แล้วที่แม่บอกขิงว่าพี่กฤษณ์อยู่โรงพยาบาลล่ะคะ”

“อ๋อ” เขานึกออกพร้อมกับยิ้มเจ้าเลห์

“พี่แค่ไปตรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไรเฉยๆ”

“เอ๊ะ แล้วทำไมแม่พูดเหมือนพี่กฤษณ์อาการหนักมากล่ะคะ” หญิงสาวนิ่งคิดก่อนจะเบิกตากว้าง “อ๋อ นี่พี่กฤษณ์กับแอมป์ร่วมมือกันหลอกขิงเหรอคะ”

“ปละ เปล่าครับ พี่ไม่ได้โกหกอะไรนะ” หญิงสาวหรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ ใช่สิ เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่ได้พูดซักคำ คนอื่นต่างหากที่ส่งสารให้เธอเข้าใจผิดไปเองว่าเขาอาการหนัก “มานั่งนี่เถอะขิง ตั้งแต่มายังไม่ได้นั่งเลยนะ”

คนเพิ่งมาถึงถอนหายใจ ในที่สุดก็ใจอ่อนยอมเดินไปนั่งข้างๆ คนที่เพิ่งจับได้ว่าโกหก หญิงสาวมองสำรวจใบหน้าของคนที่ทำให้เธอรีบกระหืดกระหอบกลับมา มือเล็กยกขึ้นจับไรผมของอีกฝ่ายเปิดให้เห็นพลาสเตอร์แผ่นบางแปะอยู่ตรงขยับข้างขวา

“ไหนบอกไม่เป็นอะไรไงคะ” เห็นเขาบาดเจ็บเล็กน้อย ใจที่ว่าแข็งๆ ก็กลับอ่อนยวบ รู้สึกผิดอยู่บ้างที่โวยวายไปเมื่อครู่โดยไม่ทันได้มองอะไร “เจ็บมั้ยคะ”

มือเล็กลูบบนพลาสเตอร์ปิดแผลเบาๆ ยิ่งชายหนุ่มตรงหน้าเงียบยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกที่ทำตัวเหมือนคนไม่มีเหตุผล

“ขิงขอโทษ”

“ขอโทษอะไรกัน ขิงทำอะไรผิดครับ” กฤษณ์พูดเสียงอ่อนส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนตรงหน้า

“ก็ขิงโวยวายทั้งๆ ที่ยังไม่ดูอะไรเลย”

“พี่รู้ว่าขิงเป็นห่วง” ชายหนุ่มยิ้ม เอื้อมมือมากุมมือเล็กไว้ “รู้ว่าขิงรีบกลับมาหาพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว”

“แต่” ขิงพูดขัด เงยหน้าด้วยสายตาที่ทำเอาคนมองชักร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “แต่พี่กฤษณ์ยังไม่หมดคดีที่ให้แอมป์โทรมาโกหกแม่ขิงนะ”

หญิงสาวหน้ามุ่ย พยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแต่ก็ทำไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายกุมไว้แน่น เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจแต่พอเห็นสายตาปรามจากเขาที่ไม่ค่อยได้เห็นก็ต้องจำใจยอมให้มือใหญ่จับอยู่ข้างนั้น

“ตกลงมันยังไงคะ เกิดอะไรขึ้นทำไมแอมป์ถึงช่วยพี่กฤษณ์โกหก” ‘พี่กฤษณ์’ มองหน้าคนถามอย่างชั่งใจ เห็นสายตาคาดคั้นของอีกฝ่ายเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

“แอมป์แค่อยากช่วยเร่งปฏิกิริยา” เขาเล่าอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือเล็กไปด้วย แน่นั่นทำให้ความรู้สึกขิงเซไปเล็กน้อย ทั้งที่พ่อกับแม่เธอก็นั่งอยู่หน้าบ้านแต่ดูเขาสิ “แอมป์บอกว่าทำแบบนี้ขิงจะได้รู้ใจตัวเองเร็วขึ้น”

หญิงสาวมองค้อน “ด้วยการโกหกนี่นะคะ”

“แล้วมันได้ผลมั้ยล่ะ” กฤษณ์ถามกลั้วหัวเราะ มองหน้าคนค้อนตาพราว รู้ดีว่าเธอทำแก้เขินไปอย่างนั้นเอง “ใครก็ไม่รู้รีบหาตั๋วเครื่องบินกลับมาดูคนเจ็บ”

มือเล็กที่ว่างอีกข้างฟาดเข้าไปที่อกหนาเต็มแรง รู้ล่ะว่ายิ่งพูดเธอยิ่งเขินก็ยังจะพูดให้ได้อายกัน “แค่กลัวใครบางคนตายเถอะถึงรีบมา”

“อย่ามาปากแข็งเลย พี่รู้หรอกว่าเป็นห่วงพี่มาก เห็นคุณน้าบอกว่าใครก็ไม่รู้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง” ตอนนี้ทำอะไรก็โดนย้อนรอยไปหมด คน ‘ร้องไห้ขี้มูกโป่ง’ กัดปากตัวเองอย่างหาทางออกไม่ได้แล้วตัดสินใจเงื้อมือขึ้นสูงพร้อมจะฟาดลงร่างหนาได้ทุกเมื่อ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำเมื่อกฤษณ์ยกมืออีกข้างขึ้นมาจับไว้แล้วยิ้มใส่เธออย่างผู้ชนะ

“อย่าเขินบ่อยสิครับ เขินบ่อยแบบนี้พี่ก็เจ็บตัวแย่”

คนโดนล็อคทุกทางทำได้แต่ฮึดฮัดอย่างขัดใจที่ไร้หนทางสู้พยายามดึงมือทั้งสองข้างออกจากแต่ทำไม่ได้เพราะคนตัวโตกว่าแถมแรงเยอะกว่าดึงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“พี่กฤษณ์ปล่อยขิงเดี๋ยวนี้เลยนะ” เธอทำท่าขู่ฟอดแฟด แต่คนที่มองกลับไม่มีความกลัวเลยสักนิด กฤษณ์กลับคิดว่าน่าเอ็นดูอีกต่างหาก

“ไม่ปล่อยหรอก ปล่อยพี่ก็น่วมสิขิงมือหนักจะตาย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

“หนอย ตัวเองโกหกเค้ายังมาตลกอีกเหรอ” คนตัวเล็กพยายามยื้อตัวเองออกจากข้อมือแข็งอย่างสุดกำลังพอข้อมือตัวเองทำท่าจะหลุดจากอีกฝ่ายคนตัวใหญ่ก็ดึงเธอกลับไปแล้วกระชับข้อมือแน่นขึ้นอีก จนขิงต้องถลึงตามอง

“พี่กฤษณ์ปล่อยนะ ขิงหลุดไปได้พี่กฤษณ์เละแน่”

“หืม... น่ากลัวจังเลยนะครับ” กฤษณ์พูดกลั้วหัวเราะ มือใหญ่ยังคงยื้อยุดอยู่กับข้อมือเล็กที่ไม่ยอมผ่อนแรง ตัวเล็กก็เท่านั้นจะมีอะไรสู้เขาได้

สองคนที่ยื้อกันไปยื้อกันมาในบ้านไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้คนที่เคยนั่งอยู่หน้าบ้านเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้ว และมองดูหนุ่มสาวอยู่นานพอสมควร คุณอรุณีหันมาคว้าแขนของคุณพิทักษ์ที่กำลังจะเดินเข้าไปแยกสองคนออกจากกัน อดีตสามีทำหน้าถมึงทึงด้วยท่าทางหวงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ส่วนอีกคนกลับหัวเราะคิกเมื่อเห็นหนุ่มสาวหยอกกัน

“ปล่อยเด็กๆ เถอะคุณ ลูกอายุยี่สิบห้าแล้วนะ”

“ยี่สิบห้าแล้วนะอะไรกัน ยัยขิงยังเด็กอายุเพิ่งจะยี่สิบห้าเอง” คุณพิทักษ์พูดขึงขัง ถ้ามีหนวดหน่อยคงกำลังกระดิกเชียวล่ะ

“โธ่ แล้วใครกันอุตส่าห์นั่งเครื่องมาเป็นเพื่อนลูกเพราะตากฤษณ์โดนรถชนน่ะ ทำไมไม่ห้ามไว้ ให้มันวิ่งเล่นอยู่ในสวนยางไปสิ ปล่อยให้ทะเลาะกับแม่กุหลาบอะไรของคุณนั่นไปคงสนุกพิลึก”

อดีตสามีถอนหายใจเฮือกรู้อยู่หรอกว่าโดนคนเป็นอดีตภรรยาพูดกระทบ ยิ่งเรื่องผ่านมานานแล้วและทั้งสองตกลงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยิ่งทำให้คุณอรุณีพูดคิดตามใจอยากแบบไม่มีเก็บไว้เลยสักนิด

“อย่าเพิ่งหาเรื่องเลยน่าคุณ เข้าไปขัดจังหวะหน่อยไป” คุณพิทักษ์ไล่ ไม่อยากฟื้นเรื่องตัวเองจนต้องเอาเรื่องลูกขึ้นมาอ้าง ท่านมองเห็นลูกสาวยังคงยื้อยุดอยู่กับแขกของบ้านไม่หยุดทำให้นึกโมโหขึ้นมา ฉันพลันท่านต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นลูกสาวดูท่าทางทรงตัวไม่อยู่ล้มลงทับชายหนุ่มนิ่งอยู่อย่างนั้น

นี่กะจะให้ลูกสาวเขามองตากับมันแล้วท้องเลยหรือไงวะ

อะแฮ่ม!
เสียงกระแอมทำเอาขิงผละตัวเองลุกจากอกกว้างแทบไม่ทัน หญิงสาวรีบลุกยืดตัวขึ้นแล้ววิ่งไปหาแม่เหมือนเด็กโดนเพื่อนแกล้ง

“ดึกแล้ว กลับได้แล้วมั้งคุณ ขิงมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อน” คุณพิทักษ์ว่าเสียงเข้มตาดุจ้องร่างสูงที่ยืนอยู่นิ่งๆ

“ครับ ถ้างั้นผมกลับเลยแล้วกันนะครับ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสอง ยังไม่วายหันไปคาดโทษหญิงสาวที่กำลังแลบลิ้นใส่เขาทั้งๆ หลบอยู่หลังแม่แท้ๆ

“พรุ่งนี้ไปทำงานด้วยนะ” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้นทำเอาขิงชักกลัว ที่บริษัทไม่มีแม่ให้หลบด้วยสิ “อย่าบอกนะว่าจะยังไม่ไปทำงาน”

“ไปสิคะ” โพล่งออกไปแล้วนึกเสียใจทีหลังคงไม่ทัน ขิงกำชายเสื้อแม่แน่นขึ้นด้วยความเจ็บใจที่น่าจะคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยรับปาก แต่นี่เธอดันรับปากอย่างเด็ดขาดเสียด้วย

“ครับ ถ้างั้นพรุ่งนี้เช้าพี่จะมารับที่บ้าน คงต้องขออนุญาตคุณน้าทั้งสองด้วยนะครับ”

“ตามสบายเลยจ้ะ กฤษณ์มารับก็ดีเหมือนกัน ขิงจะได้ไม่ไปทำงานสาย”

“คุณ!/แม่!” สองพ่อลูกร้องออกจากพร้อมกันไม่คิดว่าคุณอรุณีจะรับปากแบบนั้นง่ายดาย

“เชิญตามสบายเลยค่ะ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมาถามขิงหรอกขิงเหนื่อยอยากนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ” ว่าแล้วเธอก็รีบเดินขึ้นห้องตัวเองเพื่อจัดการอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนนอนพัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายได้ยินแม่เผาตัวเอง

“อย่างงี้แหละ เขินทีไรทำท่าหงุดหงิดแบบนี้ทุกที พรุ่งนี้ค่อยมารับมันไปคุยแล้วกันนะตากฤษณ์”

คุณอรุณีทิ้งท้ายไว้ให้คนหวงลูกสาวได้ถลึงตาดุมอง แต่คนโดนมองกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดแถมยังยักไหล่ให้แล้วรีบไล่อดีตสามีออกจากบ้าน

“น้าฝากไปส่งเค้าที่โรงแรมด้วยนะลูก นอนที่นี่คงไม่ดีนัก” เจอแบบนี้คุณพิทักษ์เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยกกระเป๋าของตัวเองไปนอนโรงแรมที่นอนประจำเวลามากรุงเทพฯ


เช้าที่ไม่อยากตื่นสักนิด... ขิงนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางพร้อมจะล้มลงนอนได้ทุกเมื่อถ้าไม่ติดว่าแม่กำลังยืนมองเธออยู่ข้างเตียง

“ตื่นได้แล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวพี่เค้ามารับจะได้พร้อมไปเลย” หญิงสาวหันขวับกับสรรพนามใหม่ที่เพิ่งได้ยินครั้งแรก นี่เธอไม่อยู่แค่วันเดียวเองไม่ใช่เหรอ ทำไมแม่ถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้กัน

“พี่เค้า? พี่เค้าอะไรกันแม่”

“ก็พี่กฤษณ์ของหล่อนไงยะแม่ลูกสาว” คุณอรุณีมองลูกสาวด้วยสีหน้ารับไม่ได้กับความฟอร์มจัด “ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว แล้วก็นะ...” คนเป็นแม่มองหน้าลูกสาวอย่างจริงจัง “อย่าเล่นตัวให้มันมากนัก คนนี้หลุดมือไปฉันไม่มีปัญญาเลี้ยงหล่อนนะยะ”

“แม่อ่ะ!”

“อะไร เรียกทำไมอยู่กันแค่นี้เรียกเสียงดัง ไปได้แล้วแม่จะลงไปทำอาหารเช้า”

หญิงสาวนั่งมองคนย้ายฝ่ายอย่างหงุดหงิด นี่กฤษณ์เอาอะไรให้แม่เธอกินแน่ๆ แม่ถึงไปเข้าข้างฝ่ายนู้น เธอเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของบ้านเชียวนะ ทำไมถึงใส่พานถวายกันแบบนี้ล่ะ คิดแล้วก็หน้ามุ่ยลงไปอีก ปกติเธอเคยเห็นแต่บ้านไหนก็หวงลูกสาวกันทั้งนั้น มีบ้านนี้แหละที่คอยแต่จะยกให้เขาง่ายๆ

“แค่ไม่ได้พูดออกไปมันจะอะไรนักหนาวะ” ขิงบ่นงึมงำพลางลุกจากเตียงจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย ทั้งที่การกระทำทุกอย่างก็บอกชัดเจนอยู่แล้ว ยังจะต้องให้เธอยืนยันอะไรอีกมากมายกันนะ แล้วอีกอย่างเธอยังไม่ได้เอาคืนเรื่องหลอกเธอเลยสักนิดนะ คอยดูเถอะ! วันนี้เธอจะงอนให้หงอทั้งเพื่อนทั้งเจ้านายเลย

กฤษณ์มาที่บ้านเธอตรงเวลาเหมือนเดิม เหมือนคราวก่อนที่เคยรับส่ง ชายหนุ่มแสดงความคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านด้วยการเดินไปทักทายแม่ของเธอที่อยู่ในห้องครัวก่อน โดยข้ามหัวเธอไปอย่างไม่สนใจ แม้จะนั่งอยู่ทางผ่านไปห้องครัวก็ตาม

ใช่สิ เธอมันแค่ลูกเจ้าของบ้านนี่ หญิงสาวคิดพร้อมกับทำปากยื่นขัดใจ คิดว่าจะงอนให้ชายหนุ่มต้องตามง้อซักหน่อย แต่นี่อะไรกัน เธอกำลังงอนนะทำไมเขาถึงข้ามไปอย่างนี้ล่ะ

“ปากเป็นอะไรน่ะขิง” เสียงทุ้มที่มาพร้อมเสียงหัวเราะทำเอาเธอตกใจไม่คิดว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนี้ กฤษณ์เดินมานั่งข้างๆ มอองหน้าอีกฝ่ายนิ่งแล้วต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเอี้ยวตัวหันหลังให้

ทีนี้บอกได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ ฉันงอน!

“เป็นอะไรน่ะ ไปทานข้าวได้แล้วเดี๋ยวไปทำงานสาย”

สายก็ชั่งสิ ไหนอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าออฟฟิตไง ทีอย่างนี้ล่ะมาบังคับ แขนสองข้างถูกยกขึ้นมากอดอกด้วยท่าทีฮึดฮัดไม่หาย

“ขิง มากินข้าวได้แล้ว” คราวนี้เป็นเสียงคุณนายเจ้าของบ้านที่ออกมาเรียกเธอเลยทีเดียว จะไม่ลุกก็ไม่ได้ ร่างเล็กเลยได้แต่เดินเงียบๆ เข้าไปในห้องครัวเพื่อทานอาหารเช้าที่เค้าว่ากันว่ามีประโยชน์และจำเป็นมากที่สุดทำหรับร่างกาย


ภายในรถมีแต่ความเงียบ ตั้งแต่ออกจากบ้านขิง หญิงสาวหันหน้ามองกระจกหน้าต่างด้านข้างตัวเองตลอดเวลาจนคนขับถอนหายใจ กฤษณ์ถอนหายใจกันอาการของคนข้างๆ อยู่ๆ อยากจะงอนก็เกิดงอนขึ้นมาดื้อไม่ยอมพูดจาอะไรกับเขาสักคำ มือใหญ่ปล่อยพวงมาลัยรถข้างหนึ่งแล้วเอื้อมมาสะกิดแขนเล็ก พอได้รับปฏิกิริยาสะบัดหนีเขาก็หัวเราะเบาๆ กับอาการงอน จนต้องรีบคว้ามือนุ่มขึ้นมาจับแล้วเอามาวางไว้ที่ตักตัวเอง

“โกรธอะไรพี่กันครับ ไม่พูดไม่จาเลยเดี๋ยวน้ำลายบูดนะ”

เท่านั้นแหละคนทำท่างอนอยู่หันขวับแล้วใช้มืออีกข้างตีเข้าไปที่ไหล่หนาอย่างไม่ออมแรง แต่ในเมื่อท่าทีไม่ถนัดกฤษณ์ถึงได้รู้สึกแค่เหมือนมีอะไรมาสะกิดเล็กๆ ไม่ได้ทำให้เขาสะเทือนเลยสักนิด จนกระทั่งรถของเขาติดไฟแดง ชายหนุ่มถึงมีโอกาสเอี้ยวตัวมามองคนที่กำลังทุบเขาราวกับเป็นเรื่องสนุก มือใหญ่สองข้างรีบจับแขนอีกฝ่ายแน่นไม่ได้มีโอกาสหลุดมาทำร้ายเขาได้อีก

“ทำไมกลับมาคราวนี้โหดจังนะ ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะฮึ” ชายหนุ่มทอดสายตาอ่อนโยนมองอีกฝ่าย หวังว่าจะลดอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ “ไหนบอกมาซิงอนอะไรพี่”

“เปล่า” เธอเอ่ยเสียงสะบัดจนกฤษณ์ต้องเผลอหัวเราะให้หญิงสาวได้ตวัดค้อน

“เปล่าแล้วที่ทำอยู่นี่อะไร ทุบเอาๆ พี่ไม่ใช่กระท้อนนะ”

“ก็ไม่ได้บอกว่าพี่กฤษณ์เป็นกระท้อนซักหน่อย”

“เป็น” ขิงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่พูด “เป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ”

“ช่างไม่ได้สิ ถ้าช่างแล้วขิงจะหายงอนพี่หรือไง”

คนงอนอ้าปากพะงาบๆ จะบอกว่าไม่งอนก็ไม่ได้ในเมื่อที่เธอแสดงออกคืออาการงอนเต็มๆ หญิงสาวนั่งนิ่งทำหน้าตาครุ่นคิดบางอย่างจนชายหนุ่มนึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“พี่กฤษณ์อยากให้ขิงหายงอนจริงๆ เหรอคะ”

“ขิงต้องบอกพี่มาก่อนต่างหาก ว่างอนพี่เรื่องอะไร”

หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างตัดสินใจก่อนจะโพล่งออกไป “พี่กฤษณ์โกหกขิง ขิงไม่ชอบคนโกหก”

เขาปล่อยมือสองข้าง “โอเค พี่ผิดเอง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหันมองจับพวงมาลัยรถเพื่อเคลื่อนรถแทน เมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

กฤษณ์ยอมรับผิดอย่างที่ขิงคาดไม่ถึง เขายอมรับผิดง่ายเสียจนคนงอนชักไม่แน่ใจว่าเขาประชดหรือคิดว่าตัวเองผิดจริงๆ กันแน่

“อ้าว ทำไมมองอย่างนั้นล่ะครับ” เขาหันมองเธอเล็กน้อยก่อนหันมองถนนอีกครั้ง

“พี่กฤษณ์คิดว่าตัวเองผิดจริงๆ เหรอคะ”

“อ้าว จริงสิครับ” เขาตอบด้วยความแปลกใจพลางเอื้อมมือมาจับมือเล็กแล้วดึงไปวางไว้ที่ตักอีกครั้ง “ก็พี่โกหกขิง พี่ทำให้ขิงเป็นห่วง ขิงโกรธก็ไม่แปลกหรอก”

“รู้แต่พี่กฤษณ์ก็ยังทำเหรอคะ หรือแอมป์พูดอะไรพี่กฤษณ์ถึงยอมเล่นกันมัน” คนฟังชักกลัวแทนจำเลยอีกคนที่ยังไม่ได้เจอ จากเรียกชื่อกันเฉยๆ สามารถกลายเป็น ‘มัน’ คงไม่ใช่คำพูดธรรมดาแน่นอน ขิงมากับอารมณ์ล้วนๆ !!!!

“แอมป์บอกว่าถ้าทำแบบนี้ขิงจะได้รีบกลับมา” เขาพูดแล้วหัวเราะ แล้วรีบกำมือเล็กแน่นไม่ยอมให้สะบัดออก เพราะรู้ได้เลยว่าตัวเองกำลังจะโดนอะไร “เฮ้ๆ พี่บอกแล้วนะว่าพี่ไม่ใช่กระท้อน ทุบมากๆ เดี๋ยวได้เจอดีหรอก”

หญิงสาวทำเสียง ‘ฮึ’ อย่างคนไม่มีทางสู้ “ร่วมมือกันแบบนี้แสดงว่าเคลียร์กันได้แล้วเหรอคะ ที่ต่อยกันวันนั้นไม่มีใครติดใจเอาเรื่องแล้วใช่มั้ย”

“ไม่มีอะไรแล้ว” กฤษณ์ต้องพลางเลี้ยวรถเข้าจอดในลานจอดรถของตึก จำใจต้องปล่อยมือนุ่มออกเพื่อลงจากรถ แต่พอลงจากรถได้ก็ยังไม่วายรีบยื่นมือมาดึงกระเป๋าของขิงเอาไปถือเอง

“พี่กฤษณ์ ขิงถือเองได้ค่ะ”

หากแต่อีกคนยังคงเงียบ กฤษณ์มองหน้าขิงแล้วเอ่ยช้าๆ “ไหนล่ะคำตอบของพี่”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โหยยยย ไม่มันส์เลยอ่ะ รู้ทันกันหมดเลย เค้างอนแล้วนะ!
ฮาาาาาาาา พี่กฤษณ์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ นั่นแหละค่ะ
คนอ่านเก่งกันทุกคนเลยน้าาาา

ตอนนี้คิดว่าเรื่องน่าจะใกล้จบแล้วนะคะ เบื่อกันรึยังเอ่ย ถ้าเรื่องมันดูลากๆ หรือเฉื่อยๆ ไปก็บอกได้นะคะ
มิณทิมาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันดีรึยัง ^^

ยังไงวันนี้ขออนุญาติไม่ตอบเม้นท์ละกันนะคะ ไหนๆ ทุกคนก็ทายถูกกันหมด จะได้ไปรีบปั่นต่อให้จบเร็วๆ
ไม่ว่ากันนะคะ จุ๊บๆ
=========================================
รักทุกคนเลยเจ้าค่ะ :)



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2556, 23:17:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2556, 23:17:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1279





<< ตอนที่ 19   ตอนที่ 21 >>
คิมหันตุ์ 16 ก.ค. 2556, 00:26:55 น.
ฮ่าาาาาาาาาาาาา อยากรู้ว่า เคลียร์กะตาแอมป์แบบไหน?


pseudolife 16 ก.ค. 2556, 00:53:09 น.
ฮ่าๆๆ คนแต่งงอนแทนที่คนอ่านเดาถูก
เออ พี่กฤษณ์กับตาแอมป์เค้าแอบไปเคลยร์กันตอนไหนน้า


mhengjhy 16 ก.ค. 2556, 14:58:26 น.
ดีค่า งวดนี้ขอชมแอมป์หน่อย หลังจากหมั่นไว้มาหลายตอน 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account