ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: 18 มุกดารา . กรยุพา

18

“ผมระดมคนมาช่วยแล้ว ลุงจ่าจะเอายังไงก็สั่งได้เลยนะครับ” เสียงอึกทึกจากการเผาไหม้ ทำให้ภูมิรพีตะโกนแข่งเมื่อชยุตย้อนกลับมายังแนวป้องกันที่สองโดยมีคุณหนูเป็นแม่งานหลัก
“แล้วทางไร่คุณล่ะครับ” ชยุตยังเป็นห่วง เพราะอาณาเขตของทั้งสองที่ติดกัน
“ลมมาทางฟาร์มนี่ ลุงจ่าไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงเสียเราก็ต้องรักษาที่นี่ไว้ให้ได้” พูดเช่นนั้นเพราะเขาเข้าไปที่ไร่เพื่อระดมลูกน้องตัวกลั่นโดยไม่ได้แวะทักทายมารดา


ไม่น่าเชื่อว่านาทีนั้นฐิตารีย์จะเสมือนมีพลังขับเคลื่อนตัวเองขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปลุยมันกันกันเถอะครับ คุณหนูคอยคุมข้างหลังอย่าให้ลูกไฟมันลอยมาปะทุขึ้นได้อีกนะครับ” ชยุตบอกก่อนนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ภูมิรพีเพียงสบตาหญิงสาวโดยไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกมาทั้งสิ้น


เจียระไนที่อยู่เคียงข้างหลานสาวอดไม่ได้ที่จะป้ายน้ำตาลวกๆ เพราะยามนี้เธอนึกถึงสุทธินัยอย่างที่สุดทีมดับไฟป่าที่ระดมทั้งทางอากาศและทางบก ถึงนายอำเภอจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่สำหรับสุทธินัยเป็นข้อยกเว้น เพราะเพียงคำว่า ‘คนของแผ่นดิน’ ย่อมควรทดแทนคุณ จึงไม่มีสิ่งใดขัดความปรารถนานั้นของเขาได้ เขาจึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัย นาทีนี้เธอจึงได้รู้ว่าบุคคลที่ควรค่ากับคำว่ารัก ที่สำคัญคนดีอย่างเขาสมควรที่จะได้รับการทดแทนด้วยความรักจากเธอไม่ใช่หรือ


“ถึงผมจะเข้าไปช่วยคุณไม่ได้ แต่ขอให้คุณรู้ไว้ว่าผมเป็นห่วงคุณยิ่งกว่าใครๆ แต่เพราะหน้าที่ที่เราต่างมี ผมหวังเพียงว่าคุณคงจะเข้าใจผมดีกว่าใครๆ”
นั่นคือคำพูดของเขา ที่นาทีนี้เธออยากจะบอกเจ้าตัวเหลือเกินว่า เธอยินดีที่จะเข้าใจเขาอย่างที่สุด
และกว่าที่ทุกอย่างจะคลี่คลายขอบฟ้าก็เรืองๆ ด้วยแสงของวันใหม่แล้ว แต่ท่ามกลางความยินดีของทุกคน หารู้ไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ...เทพทัตเป็นผู้ใช้คาถา ‘กันไฟ’ สวดภาวนากับทรายเจ็ดจบ จากนั้นจึงโปรยทรายไว้เป็นแนวไม่ให้เปลวไฟกล้ำกลายเข้ามา และอีกหนึ่งคืออาณุภาพของ ‘นกคุ้มกันไฟ’ ที่สามารถทำให้ลมเปลี่ยนทิศพัดกลับไปยังสันเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด


นกคุ้มหรือนกคุ่มปรากฏในชาดกพระเจ้าห้าร้อยชาติ มีใจความว่าพ่อแม่นกได้ทิ้งลูนกที่เพิ่งเกิดใหม่ไปหาอาหาร ลูกนกพอบินได้ แต่แขนขายังไม่แข็งแรง จู่ๆ ก็เกิดไฟป่าลูกนกจึงคิดว่านอกจากศีลและสัจจะวาจาแล้วก็ไม่มีที่พึ่งอื่น จึงได้กล่าวคาถาแปลความว่า “ปีกทั้งสองของเรามีแต่ยังบินไม่ได้ เท้าทั้งสองมีแต่ยังเดินไม่ได้ พ่อแม่ของเราก็ออกจากรังไปแล้ว ไฟเอ๋ย จงกลับไปในบัดนี้” สิ้นคำอธิษฐาน ไฟก็ดับลงอย่างน่าอัศจรรย์ คาถานกคุ้มไม่เพียงป้องกันชีวิตของตัวเอง แต่ยังสามารถคุ้มกันป่าใหญ่แห่งนั้นด้วย

ฐิตารีย์ที่คาดปากครึ่งจมูกครึ่งเพราะทนควันไม่ไหว สบักสบอมมอมแมมราวผ่านสงครามกลางสนามรบ เธอหมดเรี่ยวแรงจนลงนอนแผ่กับพื้นหญ้า และเพิ่งได้รู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่าท้องฟ้าในเช้าของวันนี้ช่างงดงามกว่าวันใดๆ ที่ผ่านมา กลิ่นควันไฟยังลอยอวลในอากาศ และเศษใบหญ้าก็ยังคงลอยละล่อง แล้วร่างที่ยื่นมือมาให้กับเธอก็ทำให้หญิงสาวกลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง


“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ แล้วค่อยเข้านอน”
น้ำเสียงแสนอบอุ่นที่ได้ยิน ทำให้เธอต้องคว้ามือหนานั้นไว้ก่อนที่เขาจะช่วยฉุดเพื่อให้ลุกขึ้นยืน
“คงหลับตาไม่ลงหรอกค่ะ ทานกาแฟกันก่อนนะคะ” ดูเหมือนความน้อยใจเมื่อหลายวันก่อนจะมลายไปจนสิ้น
“สภาพอย่างผมเนี่ยนะครับ คุณยังจะชวนทานกาแฟ” เขาพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


“ไม่ได้ชวนคุณคนเดียวนี่คะ อาเอื้องเชิญทุกคนเลยค่ะ ป่านนี้คงเตรียมของไว้รอที่หน้าฟาร์มแล้วล่ะค่ะ”
จริงอย่างที่เธอบอก เพราะเมื่อออกมายังหน้าฟาร์ม ขนมนมเนยพร้อมกาแฟก็รอท่าทุกคนอยู่แล้ว เค้กที่เจียระไนตั้งใจนำไปส่งในเช้าวันนี้ เธอตัดสินใจนำมาเลี้ยงทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณ
และชายหนุ่มก็เพิ่งได้เห็นผู้สูงอายุในชุดขาวที่มีผ้าพาดไหล่ นั่งอยู่บนระเบียงของร้านกาแฟ


“ผมขอขึ้นไปกราบท่านก่อนดีกว่า”
ฐิตารีย์มองตามไปยังที่ที่ชายหนุ่มบอกแต่กลับไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
“เอ่อ…คุณหมายถึงใครกันคะ”
“ก็คุณปู่ของคุณ” ไม่พูดเปล่าแต่มองไปยังระเบียงด้านบนอีกด้วย
“เอ๊ะ…ท่านอยู่ที่บ้านนี่คะ อาเอื้องคะ คุณปู่ออกมาหรือเปล่า คุณภูอยากจะเข้าไปสวัสดีน่ะค่ะ”


“เปล่านี่จ๊ะ ปกติท่านลุกมาสวดมนต์ตั้งแต่ตีสี่แล้วล่ะค่ะ คุณจะเข้าไปก็เชิญสิคะ”
ภูมิรพีถึงกับพูดไม่ออก เมื่อครู่เขาตาฝาดไปจริงๆ น่ะหรือ
ข่าวการกลับมาของบุตรชายที่บุญกรองแม่บ้านคนสนิทมากระซิบแต่เช้ามืดทำให้แสงดาวอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเรื่องที่จะตามมาจะเป็นเช่นใด แต่ที่แน่ๆ เธอกำชับว่ายังไม่ต้องบอกสริตาเพื่อป้องกันความยุ่งยากที่จะมาถึง


ชายหนุ่มที่เข้ามาจุดธูปพร้อมกราบพระพุทธรูปเหมือนปราศจากความเหนื่อยอ่อน แม้ต้องผ่านเปลวเพลิงมาหยกๆ จะมีก็เพียงกลิ่นควันไฟที่ยังติดตัวมาเท่านั้น หน้าต่างบานใหญ่เปิดโล่งเพื่อรับลมจากภายนอก และกลิ่นดอกพิกุลก็ลอยลมมาให้ชื่นใจ
“คุณคงไม่ว่าที่ผมให้ชยุตขึ้นไปตามถึงบ้านม่อนละอองเมฆ” เทพทัตเอ่ยเมื่ออีกฝ่ายคลานเข่าเข้ามาหา


“ผมดีใจเสียอีกครับ หากท่านไม่ส่งลุงจ่าไปตาม ผมคงไม่ได้ลงมาช่วยดับไฟในวันนี้” พูดมาจากใจ
“อีกอย่างก็ไม่คิดว่าจะหลบอยู่ที่นั่นไปจนตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังหาจังหวะดีๆ กลับมาไม่ได้เสียที”
“จริงสิครับ ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านมากๆ กับพระที่ท่านฝากไปให้ผม”
เทพทัตเพียงยิ้มรับระหว่างจิบน้ำชาจากถ้วยกระเบื้อง


“เอ่อ…ผมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณตาจากลุงจ่าแล้ว” ในที่สุดเขาก็พูดเรื่องสำคัญออกมาจนได้
“คุณอย่ากังวลไปเลย เรื่องไม่เป็นเรื่อง ตาเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว ว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
“แต่...คุณตาเสียหายเพราะผมเป็นต้นเหตุ”
“แล้วคุณคิดว่าจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อเราห้ามปากคนไม่ได้ แล้วคนที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็หวังทำลายชื่อเสียงเราอยู่แล้ว” ครั้งนี้ผู้สูงอายุ


“ผมจะพูดกับแฟนเธอให้เข้าใจ”
ครั้งนี้เทพทัตมองชายหนุ่มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณคงไม่ต้องเสียเวลาแล้วล่ะ”
ภูมิรพีมองอย่างสงสัย
“ก็ป่านี้พ่อหนุ่มนั่นคงกลับประเทศเขาไปแล้วน่ะสิ”
ภูมิรพีตกใจจริงๆ กับเรื่องที่ได้ยิน “เป็นเพราะเรื่องข่าวลือนั่นสินะครับ”


“เปล่า แต่เป็นเพราะยัยตาไม่ได้มีใจให้พ่อหนุ่มคนนั้นต่างหาก แต่หากจะถามผมว่าเขามีใจให้กับใคร ข้อนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้ เรื่องของหนุ่มสาวบางครั้งมันก็ซับซ้อนเสียจนคนแก่ๆ อย่างผมไม่อาจเข้าใจได้” วูบหนึ่งที่เขานึกถึงคำพูดของคมแก้ว
“ท่านเจ้าคุณไม่รีบ แต่ดิฉันรีบนะเจ้าคะ ปล่อยให้สองคนนั่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่อย่างนี้ จู่ๆ ‘ตานา’ มาคว้าเอาหลานตาไป แล้วจะมานั่งเสียใจทีหลังนะเจ้าคะ”


แม้เทพทัตจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าหลานสาวคิดเช่นใดกับชายหนุ่มตรงหน้า แต่ไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย บางเรื่องเขาก็ควรให้ธรรมชาติเป็นตัวตัดสิน
“คุณเคยได้ยินมั้ยว่าปีศาจมีอยู่ในตัวเรากันทุกคน อยู่ที่ใครจะให้อำนาจด้านไหนขึ้นมาครอบครองหัวใจของตัวเท่านั้น คนดีสามารถควบคุมมันไว้ได้ ส่วนคนชั่วกลับปล่อยให้มันควบคุมตัวเองก็เท่านั้น”


ภูมิรพีมองผู้สูงอายุอย่างไม่เข้าใจว่าจะนำไปสู่เรื่องใดกันแน่
“และน่าแปลกด้วยว่าโลกใบนี้ ปีศาจมักจะเข้ามาครอบครองอยู่ทุกซอกหลืบ ผิดชอบชั่วหรือดี ก็แทบแยกกันไม่ออกกันแล้ว คนดีๆ จึงเลยแทบไม่มีที่ให้ยืน จึงมักมีคำถามขึ้นมาอยู่เสมอๆ ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยังจะใช้ได้หรือไม่ในโลกทุกวันนี้”
ชายหนุ่มยังรับฟังอย่างตั้งใจ


“แต่คุณเชื่อผมมั้ย ว่ามันยังใช้ได้ กรรมยังคงตามทัน และปีศาจก็ยังต้องถูกกำจัดด้วยคนดีๆ ที่ยังคงมีอยู่ในแผ่นดิน และเรื่องที่ยัยตาและคุณเจอในครั้งนี้ก็ยังเล็กนักเมื่อต้องเทียบกับหลายๆ เรื่องที่คุณได้พบกับมัน หรือที่ยังมาไม่ถึง”
ภูมิรพีอดคิดไม่ได้ว่าช่างน่าเสียดายวันเวลาที่ผ่านมานัก เขาน่าจะได้รู้จักผู้สูงอายุคนนี้มานานแล้ว
“หากท่านจะรวมถึงพวกที่ตัดไม้ทำลายป่า...ผมหวังว่าคงมีสักวันที่กรรมจะตามพวกนั้นทันได้บ้าง”


ครั้งนี้เทพทัตกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ผมมักบอกหลานสาวเสมอๆ ว่าอย่าได้พะวงถึงอดีต และอย่าได้ห่วงกับอนาคต จงอยู่เพียงเพื่อวันนี้เท่านั้น คุณก็อย่าได้รอให้กรรมตามพวกนั้นทันเลย เพราะในชาตินี้คุณอาจจะผิดหวังเสียเปล่าๆ ในเมื่อจับได้คนหนึ่ง คนใหม่ก็เข้ามาแทนที่”
“นั่นหมายถึงผมอาจต้องสู้ทั้งชีวิต” ภูมิรพีคิดอย่างที่พูดจริงๆ


เทพทัตส่ายหน้า “คุณเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม หากวันใดที่คุณวางมือ จะมีคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ อีกอย่างบางที…พอแมวไม่อยู่ พวกหนูก็มักจะออกมาร่าเริง”
ดวงตาอันคมกล้าวของเทพทัตมองคู่สนทนาอย่างจดจ่อ
“แมวที่ถูกผูกกระพรวนไว้แล้วย่อมเป็นจุดให้พวกหนูสนใจได้ทุกครั้งไม่ว่ามันจะกระดิกตัวไปทางไหน คุณเข้าใจที่ผทมพูดมาหรือเปล่า”


ภูมิรพีได้แต่นิ่งอึ้งกับเรื่องราวที่เทพทัตเอ่ยถึง
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องขึ้นกับเวลาและโอกาส คุณก็ลองคิดดูก็แล้วกัน เอาล่ะ…วันนี้คุณคงเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ มีอะไรเข้ามาคุยกับผมได้ทุกเวลา”
“ขอบคุณท่านมากครับ” ภูมิรพีไหว้ลาเทพทัต
“ผมขอแนะนำอีกอย่าง ช่วงนี้อย่าออกไปพบใครจะเป็นการดีที่สุด ระวังตัวให้มากๆ ด้วย นาทีนี้ใครก็ไว้ใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณคงเคยได้ยินที่ว่าเพื่อนเราบางทีก็เผาเรือนได้เหมือนกัน”


เทพทัตมองตามร่างที่จากไปจนลับตา อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้ชายหนุ่มคิดได้มากน้อยเพียงใด และแม้เหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับจอมขมังเวทย์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ กับเทพทัต แต่เขาก็มิได้วางใจแม้แต่น้อย เพราะนับจากวันนั้นเขาก็ใช้อาคมจัดตั้งเวณยามเต็มอัตราศึก เพราะขึ้นชื่อว่าอสรพิษย่อมแว้งกัดไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัวธนู โดยนำวัวธนูเสกด้วยคาถาแล้วนำน้ำมนต์ที่ว่าคาถารดลงบนหลังวัวธนู จากนั้นจึงรองเอาน้ำนั้นไปรดรอบบริเวณเพื่อกำหนดเขตที่ต้องการจะป้องกันภูตผีและปีศาจจากภายนอก


ชายหนุ่มลากลับแล้วก็จริง แต่กลับพบกับหญิงสาวที่มาดักคอยด้วยใจจดจ่อ ที่สำคัญเธอยังอยู่ในชุดเดิม เอี๊ยมยีนมอมแมมกับเสื้อเชิร์ตลายสก๊อต
“คุณจะรีบกลับหรือเปล่าคะ” ถามอย่างคนใจร้อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เธอพยักหน้ารับ


“คือ…ดิฉันไปล้างรูปมาแล้ว และก็ได้นี่มาด้วยค่ะ”
ภาพถ่ายของคนร้ายซึ่งพบที่บ้านบนเขา ถึงแม้จะตกอยู่ในสภาพปราศจากสติสัมปชัญญะ แต่ใบหน้าก็ชัดเจน
“ดิฉันคิดว่าจะไปแจ้งตำรวจ บางทีเราอาจได้ตัวคนร้าย”
“แต่ผมคิดว่าคุณควรยุติเรื่องนี้เสียจะดีกว่า”


นับเป็นเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจากปากของชายผู้นี้
“นี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่คะ” ถามอย่างนึกไม่ถึง
“คุณถามตัวเองก่อนดีกว่า ว่าพร้อมที่เปิดศึกกับผู้มีอิทธิพลหรือไม่ และผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด”
“...” ในสิ่งที่ได้รับฟังเธอถึงกับพูดไม่ออก


“ฮีโร่บางทีก็มีอยู่เฉพาะในหนัง เพราะในชีวิตจริงเราอาจต้องแลกด้วยชีวิต ที่จะได้คำนั้นมาประดับเกรียติให้กับตัวเอก”
“คุณเปลี่ยนความคิดตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ” ถามน้ำเสียงเข้มจัด
“ผมไม่ได้เปลี่ยน แต่บางครั้งการชนกันซึ่งๆ หน้ามันเท่ากับว่าฆ่าตัวตายชัดๆ วันนี้ ผมยังอยากอยู่เพื่อดูจุดจบของใครอีกหลายๆ คน”
ฐิตารีย์ได้แต่มองบุรุษที่ขึ้นรถโฟร์วิวที่เขาให้เด็กที่ไร่มารอรับ ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจอย่างบอกไม่ถูก นาทีนี้เธอไม่รู้เลยว่าที่ตัดสัมพันธ์ยองฮวานั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะกับเขาคนนี้เพียงแค่จะไถ่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ โดยเฉพาะเรื่องข่าวลือนั่นก็ยังไม่มีให้ได้ยิน


นี่เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่หลงชอบคนอย่างเขาที่มีเจ้าของอยู่แล้ว หรือนี่จะคือการลงทัณฑ์ ซึ่งเป็นผลจากการกระทำที่ผ่านมาของเธอแล้วกันแน่ หักอกผู้ชายมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วจู่ๆ ก็ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ กรรมได้สนองเธอเข้าแล้วจริงๆ


การกลับมาอย่างเงียบเชียบของภูมิรพีโดยเขาเพียงใช้โทรศัพท์ติดต่อกับมารดา ส่วนตัวเองกลับไปนอนเอกขเนกที่กระท่อมท้ายไร่เพื่อหลบจากความวุ่นวายทั้งมวลโดยเฉพาะเรื่องของสริตา แม้รู้ดีว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้ตลอดแต่เพียงชั่วคราวก็ยังดี
ทว่าผู้ที่บุกมาถึงในวันนี้กลับทำให้ชายหนุ่มต้องคิดหนักอีกหลายเท่า


“ใจคอเราจะหลบอยู่อย่างนี้อีกกี่วันไม่ทราบ เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ หนูริต้านั่นยังไงซะก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ แน่“
“แต่ผมไม่เคยให้ความหวังเขาเลยนะครับแม่”
“แต่การที่ภูไม่พูดอะไรก็ไม่ต่างกับยอมรับแต่โดยดี แล้วทีนี้จะเอายังไง”
บุตรชายได้แต่ส่ายหน้า


“แล้วยิ่งเรื่องของหนูตานั่น คนเขาลือกันทั้งอำเภอว่าลูกน่ะแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว นี่ยังดีนะที่คุณธนวัตไม่อยู่ หากรู้เรื่องเข้าต้องเผลอๆ อาจเข้าโรงพยาบาลอีกรอบก็เป็นได้”
“หรือจะให้แม่ไปสู่ขอเธอให้เป็นเรื่องเป็นราว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่นะ”
“คุณแม่…”
“ทำไม ไม่คิดหรือว่าหนูตาน่ะเป็นผู้หญิง แล้วเธอก็เสียชื่อ เขาลือกันขนาดที่ว่าหนูตาท้องแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้แอบขึ้นไปแต่งกันบนดอยนั่น”


เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ แต่เป็นเพราะเหตุใดเมื่อพบกัน เธอถึงไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ
“ภูก็คิดดูก็แล้วกันว่าจะเอายังไง บอกตรงๆ ว่าแม่กลุ้มใจมากๆ อ้อ…แล้วตกลงเรื่องสริตานี่จะเอายังไง แม่ล่ะปวดหัวเสียจริงๆ”
บุตรชายยังคงเงียบกริบก็ยิ่งเพิ่มดีกรีในอารมณ์มารดาเป็นสองเท่า
“รีบคิด แล้วก็รีบทำด้วย ทั้งเรื่องหนูริต้า และหนูตา อย่าใหเรื่องมันคาราคาซังอยู่อย่างนี้ แม่ไม่ชอบ”


ไม่ใช่เพียงมารดาที่รู้สึกเช่นนั้น เขาเองก็รู้สึกเช่นกันแต่ไม่ใช่กับสริตาแต่เป็นฐิตารีย์ต่างหาก เขาอยากรู้นักว่าแท้จริงแล้วในใจเธอเป็นเช่นใดกันแน่ หากวันนี้เขาจะไม่ใช่วีรบุรุษในสายตาของเธออีกต่อไปอีกแล้ว
ซ้ำคำพูดของเทพทัตก็ยังต้องนำมาขบคิด จริงอย่างที่ผู้สูงอายุเอ่ยมาก็เป็นได้ กับเรื่องแมวไม่อยู่หนูร่าเริงนั่น… ทว่าเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจคือใครกันที่รู้ว่าเขาขึ้นไปบ้านบนเขาในวันนั้น อีกทั้ง ’เพื่อนเราเผาเรือน’ ที่เทพทัตเอ่ยก็ยิ่งทำให้ต้องเก็บเอามาคิด


การหายเงียบไปของหลานสาวกระทั่งอาหารค่ำก็ไม่มาร่วมรับประทาน เป็นสิ่งผิดปกติจนเทพทัตทนนิ่งอยู่ไม่ได้ การมาปรากฏตัวของเขายังบ้านปีกไม้พร้อมเจ้าคุ๊กกี้ที่เมื่อขึ้นบันไดมาก็นอนหมอบอยู่ที่นอกชานอย่างรู้หน้าที่
“หลานปู่เป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทานข้าวที่บ้านใหญ่ ปวดหัว หรือว่าตัวร้อน” เทพทัตถามพร้อมรอยยิ้มที่เห็นหลานสาวยังนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยมีเจ้าเหมียวทั้งสี่นอนเฝ้ามิได้ห่าง กับเสียงของโทรทัศน์ที่เปิดเป็นเพื่อนไว้เท่านั้น


“เปล่าหรอกค่ะ แต่มันเหนื่อยมั้งคะ เมื่อคืนลุ้นกับเรื่องไฟจนเครียดไปหมด นี่ขนาดอยากจะนอนยังนอนไม่หลับเลยค่ะ”
“ทานอะไรหรือยังล่ะ”
เจ้าตัวส่ายหน้า “ไม่หิวเลยค่ะ แต่อาเอื้องให้คนเอาสลัดทูน่ามาให้แล้ว”
“แล้วได้คุยกับคุณภูเขาหรือยังล่ะ” เทพทัตเข้าประเด็น
“คุณปู่จะให้ตาคุยกับเขาด้วยเรื่องอะไรกันล่ะคะ” ถามอย่างหมดเรี่ยวแรง


“จะเรื่องอะไร ก็เรื่องข่าวลือนั่น”
“ช่างมันเถอะค่ะ มันไม่สำคัญหรอกค่ะ ลือได้ ก็เงียบได้ เอาไว้ก็เบื่อกันไปเอง ก็ตาไม่ใช่คนของประชาชนเสียหน่อยนี่คะ หากเป็นเขาก็ว่าไปอย่าง” บอกอย่างไม่ยี่หระ
“หมายความว่ายังไง”
“ก็คุณภูของคุณปู่ มีลูกมีเมียแล้วน่ะสิคะ วันนั้นที่เขาขึ้นไปบนเขานั่นของที่เขาเอาไปด้วยมีทั้งนมผงเด็ก แล้วก็เครื่องใช้เด็กอ่อนเต็มไปหมด น่าแปลกมั้ยล่ะคะ ว่าทำไมเขาถึงต้องเอาลูกเอาเมียไปแอบไว้ถึงบนเขานั่นด้วย”


เทพทัตยอมรับจริงๆ ว่าหากไม่ใช่หลานสาวเป็นคนมาพูด เขาจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด
“พอตาถามว่าเขาเอาของพวกนั้นไปให้ใคร เขาก็ไม่ตอบ ทีนี้คุณปู่คงต้องมองเขาใหม่แล้วล่ะค่ะ คนดีของคุณปู่ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นหรอกนะคะ” กล่าวพลางค้อนอย่างแค้นใจ
“เขาถึงได้ว่าคนเราบางครั้ง รู้หน้าไม่รู้ใจยังไงล่ะคะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่เทพทัตรู้สึกจริงๆ ว่าน้ำเสียงของหลานรักเหมือนกำลังประชดอะไรบางอย่าง


“ที่สำคัญ พอตาเอารูปพวกนี้ให้เขาดู และบอกว่าเป็นหลักฐานจะเอาไปแจ้งตำรวจ เขาก็กลับไม่เอาด้วยอีกต่างหาก”
เทพทัตถึงบางอ้อ “ตาก็เลยไม่พอใจเขางั้นสิ”
“เขาถามตาว่า พร้อมหรือเปล่าที่จะมีเรื่องกับพวกมีอิธิพล”
ครั้งนี้เทพทัตกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง


“แล้วเขาพูดถูกมั้ยล่ะ”
“คุณปู่….” เธอออกอาการกระเง้ากระงอดในทันที
“ปู่ว่าหนูกลับไปจับงานชุมชนนั่นให้เป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่า โครงการที่กำนันเขาอุตส่าห์ทุ่มทุนสร้างนั่นก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องเข้าไปสู้รบปรบมือนั่น ปล่อยให้พวกผู้ชายเขาจัดการจะดีกว่า”
“แต่คงไม่ใช่นักอนุรักษ์ที่ชื่อภูมิรพีแน่ๆ ค่ะ เขาคนนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ” กล่าวอย่างเผ็ดร้อน


“ไม่ดีหรอกหรือ อย่างน้อยลูกเมีย หรือกระทั่งแม่ของเขาจะได้นอนตาหลับ เมียก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหม้าย ลูกก็ไม้ต้องกลัวว่าจะไม่มีพ่อ แม่ก็จะไม่ต้องกลัวว่าลูกจะจากไปก่อนวัยอันควร”
“แต่หากทุกคนคิดอย่างที่คุณปู่พูดมา แล้วความยุติธรรม และความถูกต้อง มันจะไปอยู่ตรงไหนกันล่ะคะ”
“แสดงว่าปู่ต้องมองหาหลานเขยที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคุณภูสินะ ตาถึงจะประทับใจ”


ครั้งนี้หลานรักถึงกับอ้าปากค้าง โดยไม่ทันโต้ตอบสิ่งใดผู้เป็นปู่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยังระเบียงทันที
“คุณปู่คะ...”
“อ้อ...ระยะนี้ หากได้ยินอะไรกลางค่ำกลางคืน อย่าออกมาดูเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่ง และถ้าเห็นอะไรผิดปกติก็ให้บอกปู่ทันที”
ไม่รู้ว่าทำไม หญิงสาวถึงรู้สึกเย็นยเยือกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลันสายตามองไปยังลุงจ่าที่เอารถกอล์ฟมารอรับอยู่แล้ว แท้จริงเทพทัตได้ใช้วัวธนูคอยเฝ้าบริเวณรอบๆ ฟาร์มเพื่อไม่ให้ภูตผีจากภายนอกกล้ำกลายเข้ามาได้


“พ่อเขาจะกลับพรุ่งนี้แล้ว เตรียมคำตอบดีๆ ไว้ด้วยก็แล้วกัน”
นับเป็นอีกเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกใจฝ่ออย่างไรชอบกล

“ท่านเจ้าคุณคิดจะทำอย่างไรต่อไปล่ะเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน ไอ้หมอเขมรนั่นมันได้เห็นกรุหรือเปล่าก็ไม่รู้” คมแก้วอดรนทนไม่ไหว เธอเอ่ยเรื่องนี้ทันทีที่ท่านเจ้าคุณขึ้นมาบนเรือน
“เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย ฉันเชื่อว่ามันไม่รู้ไม่เห็นแน่ๆ เพราะอีกาที่มันส่งมาถูกเราจับได้เสียก่อน”เทพทัตตอบอย่างมั่นใจ
“ท่านเจ้าคุณคิดว่าใครส่งไอ้หมอเขมรนั่นมันมากันเจ้าคะ”
วูบหนึ่งที่เทพทัตนึกถึงเรื่องที่บุตรสาวมาพูดให้ฟังเมื่อหลายเดือนก่อน
“กำนันว่า หากทางเราร้อนเงิน และคิดจะปล่อยพระชุดเบญจภาคี ทางเขาจะขอรับซื้อไว้เอง”


พระที่ว่าประกอบด้วยพระจำนวนห้าองค์ด้วยกัน จัดเป็นพระที่นิยมอย่างสูงสุด โดยมีพระสมเด็จวัดระฆัง ซึ่งได้รับสมญสนามให้เป็นจักรพรรดิ์แห่งพระพระเครื่อง สร้างโดยท่านเจ้าคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พฺรหฺมรังสี แห่งวัดระระฆังโฆษิตาราม ซึ่งถือเป็นตัวแทนของยุครัตนโกสินทร์เป็นองค์ประธาน อีกสี่องค์คือพระพิมพ์เนื้อดินที่เป็นอันดับหนึ่งของแต่ละเมือง


คือพระนางพญา ถือเป็นตัวแทนสมัยอยุธยา - พิษณุโลก พระซุ้มกอ หรือกำแพงเม็ดขนุน ทุกกรุในจ.กำแพงเพชร ถือเป็นตัวแทนยุคสุโขทัย พระผงสุพรรณ กรุวัดมหาธาตุ จ. สุพรรณบุรี เป็นตัวแทนยุคอู่ทอง –สุพรรณภูมิ สุดท้ายคือพระรอด กรุวัดมหาวรรณ จ. ลำพูน ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของยุคลพบุรี โดยกล่าวกันว่าผู้มีบุญและวาสนาเท่านั้นที่จะได้แขวนบูชาครบทั้งห้าองค์นี้ได้


“เขาบอกด้วยว่าไม่เกี่ยงราคานะคะพ่อ และถ้าเราต้องการปล่อยองค์ไหนๆ ทางเขาก็จะรับเช่าทุกองค์ด้วย”
นาทีนี้จะให้คิดเป็นบุคคลอื่นได้อย่างไร ในเมื่อที่ผ่านมากำนันก็แสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่าต้องการครอบครองของที่เขามีมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ถึงกับลงทุนจ้างเพียงเพราะพระชุดนั้น ที่เฉพาะองค์ประธานของแท้เพราะอยู่ในสมัยเดียวกับที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสียังมีพระชนม์ชีพอยู่ ที่ครั้งล่าสุดมีผู้มาเสนอเช่ามูลค่ากว่าสองร้อยล้านบาท หรือว่าจะมีสิ่งใดแอบแฝงอีกกันแน่ กำนันถึงขนาดต้องเร่งมือด้วยการใช้หมอเขมรผู้นั้นเข้ามาเป็นตัวช่วย


“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ”
“อยู่เฉยๆ สิ รอดูมันว่าจะเอายังไง”
“แต่ดิฉันหวั่นใจจริงๆ ว่าเรื่องมันจะไม่จบเพียงเท่านี้”
“นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องติดตามกันต่อไป”
สายตาที่สบกันต่างคิดกันไปคนละทางอย่างสิ้นเชิง


คมแก้วอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องราวในอดีต...
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้เข้ามาจนถึงกรุ ครั้งนั้นที่เธอต้องทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยโดยปราศจากเทพทัต...แม้ท่านเจ้าคุณจะลงอาคมศักดิ์สิทธิ์ปิดผนึกไว้อย่างแน่หนา ทว่าผู้ที่มาก็แก่กล้าวิชาอาคมเช่นเดียวกัน แต่ใช่ว่าจะมีเพียงจักรพยนต์ที่เอาไว้ป้องกัน


แต่ยังมีวิญญาณที่หวงแหนและคอยเฝ้าสมบัติสิงสถิตย์อยู่อีกด้วย แต่การแก้อาถรรพณ์ที่ท่านเจ้าคุณได้ลงไว้แล้วนั้นไม่อาจทำได้โดยง่าย ขุมทรัพย์แม้อยู่ตรงหน้าก็ยังสามารถเคลื่อนที่หนีไปได้เองโดยที่เธอไม่ต้องออกแรงใดๆ แม้แต่น้อย





สวัสดีค่ะ

พบกับป่าหนาวในเงารัก ตอนที่ 18 กันนะคะ หวังว่าจะสนุกกับตอนนี้นะคะ
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปค่ะ ^^

ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร



ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2556, 10:20:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2556, 10:20:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1269





<< 17 มุกดารา . ยุพากร   19 >>
อัปสรา 16 ก.ค. 2556, 23:56:14 น.
มาเชียร์จ้า สู้ๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account