สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน
เรื่องย่อ สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน (บัวสุพรรณ)
มัทรีเป็นลูกสาวของ ส.ส.วันชัย ซึ่งถูกส่งไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา หล่อนใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยสมกับเป็นลูกของคนมีเงินโดยไม่สนใจเรียน หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพ่อตนเองเป็นนักค้ายาเสพติด จนวันหนึ่งระหว่างบินมาเยี่ยมมัทรีที่อเมริกาก็ถูกจับได้โทษฐานขนยาเสพติดมาด้วย และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือมัทรี ยกเว้นเริงฤทธิ์ ซึ่งเอื้อเฟื้อให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในอพาร์ทเมนท์ส่วนตัว แต่ข่าวก็รู้ถึงแม่ของเขาซึ่งเป็นสตรีหม้ายที่อยู่ในสังคมระดับสูง ทำให้แม่ของเขา และศรุตซึ่งเป็นอาของเขาต้องบินมาจัดการไล่มัทรีออกจากชีวิตของเริงฤทธิ์
ด้วยความสงสารและต้องการแก้ปัญหาศรุตจึงเสนอเงื่อนไขให้หญิงสาวด้วยการจ่ายค่าเรียนให้แต่มัทรีต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับเริงฤทธิ์เด็ดขาด
มัทรีย้ายไปเรียนต่ออีกเมืองหนึ่งเพื่อตัดปัญหาเรื่องเริงฤทธิ์ตามคำแนะนำของศรุต หล่อนเรียนจนจบและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่อเมริกา แต่กลับกลายเป็นว่า หล่อนกลับตัดสินใจใหม่ด้วยการบินกลับมาเมืองไทยด้วยเหตุผลเพียงเพราะ หล่อนอยากอยู่ใกล้กับศรุต ซึ่งบังเอิญว่าบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ได้ประกาศรับสมัครพอดี
ทันทีที่ศรุตพบหน้ามัทรีก็เข้าใจว่า หญิงสาวกลับมาแบล็คเมล์เขาอีกรอบเพราะเห็นว่าเขาจ่ายเงินให้หล่อนได้ง่าย ๆ ในรอบแรก มัทรีเจ็บใจที่ถูกเขาเข้าใจผิดและพูดจาเสียดสีเย้ยหยัน จึงบอกว่าหล่อนต้องการจะใช้นามสกุลของเริงฤทธิ์ให้ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าเริงฤทธิ์เป็นเกย์ แต่ต้องการตอบโต้เขา และขอค่าแลกเปลี่ยนด้วยการเรียกร้องเงิน บ้าน และรถ ซึ่งศรุตก็ตกลง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดสินใจแก้ปัญหานี้อย่างไร
มัทรีย้ายไปอยู่คอนโดที่ศรุตจัดไว้ตามคำเรียกร้อง แต่เมื่อเริงฤทธิ์กลับมาจากอเมริกา มัทรีก็ออกไปกับเขาเพราะปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ ซึ่งทำให้ศรุตโกรธ และตัดสินใจที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับหญิงสาวในที่สุด

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2


เสียงดนตรีที่แผดดังก้องกลบสองหูได้ยุติลงในที่สุด พร้อมกับเสียงปรบมือดังกราวใหญ่ มัทรีเป็นแดนเซอร์คนสุดท้ายที่วิ่งเข้าหลังเวที หล่อนอ้าปากน้อย ๆ เป็นการบรรเทาอาการเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการกระโดดโลดเต้นอย่างไม่มีเวลาหยุดอยู่บนเวทีมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เกาะพราวอยู่ตามขมับ และเหนือริมฝีปากทั้ง ๆ ที่อากาศเย็นเฉียบ
“เป็นไง” เสียงเจนนี่ เพื่อนร่วมงานกึ่ง ๆ พี่เลี้ยงของหญิงสาวร้องถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนหอบอยู่ ขณะที่คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อจัดการกับตัวเองหลังจากการแสดงได้ยุติลง
“เหนื่อย” มัทรีตอบพลางใช้หลังมือปาดเหงื่อออกลวก ๆ แต่ก็ยิ้มให้คนถามอย่างขอบคุณ เจนนี่เป็นเพื่อนร่วมงานที่เอาใจใส่กับหล่อนมากกว่าคนอื่น นับตั้งแต่ที่หล่อนเข้ามาทำงานร่วมอยู่ในคณะแดนเซอร์ของไนท์คลับแห่งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว เจนนี่นับได้ว่าเป็นเพื่อน ในขณะที่คนอื่น ๆ เป็นเพียงผู้ร่วมงานเฉย ๆ มิได้มีการพูดคุยกันมากมายนอกเหนือจากการทักทาย หรือมีธุระจำเป็น บางที อาจจะเป็นเพราะหล่อนเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นานนัก เลยยังไม่สนิทสนมพอจะมีเรื่องให้พูดคุยก็เป็นได้
“อีกหน่อยจะดีขึ้นกว่านี้ ถ้าอยู่ตัวแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก ต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ออกวิ่งตอนเช้า ๆ หรือเปล่า “
“พยายามอยู่เหมือนกัน “ มัทรียิ้มเจื่อน ๆ “แต่มันไม่ค่อยอยากตื่นเท่าไร ไม่ไหว นอนดึกแล้วต้องตื่นเช้ามันทรมาณเหลือเกินเลย เจนนี่”
“ต้องฝึกให้ชิน ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยมากเวลาเต้น เมื่อกี๊ก็เห็นเซตั้งสองสามครั้งตอนที่เต้นอยู่ ยังใจไม่ดีกลัวจะล้ม ขืนล้มลงไปล่ะก็ โดนนังแจ็คเล่นงานแน่”
หญิงสาวยิ้มแหย ๆ อันเป็นคุณสมบัติใหม่เอี่ยมที่หล่อนเพิ่งจะรู้จักว่าทำอย่างไรเมื่อไม่นานมานี่เอง เพราะตลอดชีวิตของหล่อนตั้งแต่เล็กจนโต หล่อนมักจะอยู่เหนือใคร ๆ เสมอ ถึงแม้จะทำอะไรผิดพลาด หล่อนก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัวใคร
“ขามันพันกัน ก็ท่าอะไรไม่รู้ พิสดารเหลือเกิน” หล่อนอุบอิบแก้ตัว ทั้งที่ความจริงหล่อนหมดแรงต่างหาก ท่าเต้นต่อให้ยากเย็นแค่ไหนดูจะไม่ทำความลำบากให้สักเท่าไร เพราะก่อนที่จะเข้ามาทำงานอย่างนี้ หล่อนก็จัดอยู่ในลำดับแถวหน้าของดาราเท้าไฟอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาต้องมากระโดดโลดเต้นอยู่บนเวทีเพื่อทำงาน ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนานบันเทิงอย่างที่แล้ว ๆ มา มันเลยกลับกลายเป็นการสร้างความเหน็ดเหนื่อย บั่นทอนกำลังของหล่อนให้ถดถอยไปอย่างไม่น่าเชื่อ
“นี่เห็นว่าจะคิดท่าใหม่อีกแล้ว มีหวังว่าคงจะพิสดารกว่านี้แน่ ๆ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ พระเจ้าช่างสร้างสรรค์มันสมองส่วนนี้มาให้อย่างเหลือเฟือเสียจริง แน่ะ นั่นเดินมาตรงเราแล้ว สงสัยจะมาเล่นงานอะไรเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มัทรีเหลือบตามองตามการพยักเพยิดนั้น ก็เห็นร่างสูงทว่าสะโอดสะองของนังแจ็ค ผู้กำกับการแสดงของคณะแดนเซอร์เดินรี่เข้ามาหา หน้าตาไม่มีรอยยิ้มแต้มอยู่ แสดงถึงอารมณ์ที่คงไม่สู้ดีนัก หล่อนชักใจไม่ดี แต่ก็ยืนนิ่งรออยู่
ในเมื่อหล่อนไม่มีทางเลือกนี่นะ
วูบหนึ่งที่หล่อนนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
เวรกรรมอะไรหนอถึงทำให้หล่อนต้องตกมาอยู่ในสถานะอันตกต่ำอย่างน่าใจหายอย่างนี้ นี่ถ้าเมื่อสักหกเดือนที่แล้ว แล้วเกิดมีใครมาทำนายทายทักว่าหล่อนจะต้องลำบากเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อการยังชีพอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ หล่อนคงไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด
“ซ้อมน้อยไปหน่อยหรืออย่างไง มัทรี” น้ำเสียงนั้นเข้มงวดเช่นเดียวกับสีหน้า
มัทรีกัดริมฝีปากเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อยู่เสี้ยวอึดใจ ก่อนจะบังคับตัวเองให้เอ่ยออกมาตามที่เจนนี่แอบกระซิบบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า
“ขอโทษค่ะ แจ็ค คราวหน้าฉันจะพยายามไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก”
แจ็คพยักหน้า สีหน้าค่อยอ่อนลงเล็กน้อย อย่าพยายามไปเถียงมัน ขอโทษ ขอโทษเอาไว้ก่อน เดี๋ยวมันก็หาย นังนี่มันโกรธง่ายหายเร็ว ให้มันโวยซักคำสองคำ ดีกว่าไปเถียง ดีไม่ดีมันไล่ออกเลย ผู้จัดการเขาหลงมันจะตาย อย่าไปขอความกรุณาเสียให้ยาก ลงนังแจ็คสั่งให้ออก ก็ต้องออก แล้วอีกอย่างที่นี่เขาไม่แคร์แดนเซอร์ด้วย ใครอยากออกก็ออก คนอยากเข้ามาทำที่นี่เยอะแยะ เพราะเขาจ่ายดี เจนนี่เคยบอกหล่อนอย่างนี้ และก็จริงอย่างที่ฝ่ายนั้นพูดมาไม่มีผิด นี่ถ้าเกิดเถียงออกไป หรือไม่ยอมรับผิดเสียดี ๆ ล่ะก็ มีหวัง...
“พรุ่งนี้นัดซ้อมท่าใหม่ ตอนบ่ายโมงตรง” แจ็คบอก แล้วพยักหน้าไปทางเจนนี่เป็นเชิงให้รู้ด้วย ก่อนจะเดินผละไปที่คนอื่น ๆ แล้วกล่าวประกาศให้ผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ ได้รับรู้โดยทั่วหน้ากัน
พอชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างสะโอดสะองลับกายไปจากช่องประตู เสียงพึมพำอย่างเบื่อหน่ายก็ดังงึมงำขึ้นเกือบทุกจุดในห้องแต่งตัว เพราะคำสั่งนั้นเป็นการบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเพิ่มขึ้น และเวลาพักผ่อนที่ต้องขาดหายไปอย่างน้อย ๆ ก็เป็นอาทิตย์ กว่าที่ท่าใหม่จะอยู่ตัวจนไม่ต้องซ้อมหนักอีก
เจนนี่หันมาสบตา แล้วเบ้ปากนิด ๆก่อนจะยักไหล่ แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่ทำเป็นเคาน์เตอร์ยาวผนังจรดผนัง และผนังทุกด้านมีกระจกบานยาวจากเพดานถึงพื้นติดไว้เพื่อความสะดวกในการแต่งตัว
มัทรีเดินแยกไปอีกด้านหนึ่งที่ว่างมากกว่า หล่อนหันไปยิ้มให้หญิงสาวเจ้าของผมสีทองยาวจรดเอวที่กำลังใช้ครีมล้างคราบเครื่องสำอางอยู่ตรงหน้ากระจกแถวนั้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว คลับคล้ายคลับคลาว่าจะชื่อ คิมเบอร์ลี่ หรืออย่างไรนี่แหละ หล่อนไม่แน่ใจนัก
หญิงสาวผู้นั้นหันมายิ้มตอบ หลังจากต่างคนต่างจัดการกับใบหน้าของตัวเองอย่างเงียบ ๆ สักครู่หนึ่ง ก็หันมาถามเป็นเชิงชวนสนทนากับมัทรีว่า
“นังแจ็คว่าอะไร”
มัทรีหันไปสบตาอีกฝ่ายแว่บหนึ่ง
“หาว่าอ่อนซ้อม”
ฝ่ายนั้นหัวเราะหึ ๆ
“โชคดีที่โดนแค่นั้น บางคนโดนไล่ออกยังมี”
“ความจริง มันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดโดนไล่ออก” มัทรีอดพูดอย่างที่ใจคิดไม่ได้ ในเมื่อแค่การทำผิดพลาดนิด ๆ หน่อย ๆ จะหกล้ม หรือจะเซ มันก็ไม่น่าที่จะต้องถึงกับไล่ออก คนไม่ใช่หุ่นยนต์ ที่จะทำอะไรไม่มีผิดพลาดเอาเสียเลย
“จะเอานิยมนิยายอะไรกับคนต่อมฮอร์โมนพิการอย่างนั้น” คนพูดทำปากเหยียด ๆ แบบที่มัทรีผู้เหลือบเห็นจากทางกระจกถึงกับเฉลียวใจขึ้นมาวูบหนึ่งว่า คล้าย ๆ กับที่ตนเคยทำอยู่เหมือนกัน เออ...เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันไม่น่าดู “ผู้จัดการก็หลงมันอย่างกับอะไรดี พวกโรคจิตก็อย่างนี้”
มัทรีเงียบไม่กล้าสานต่อ ประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ สอนให้หล่อนรู้จักเอาตัวรอดในชีวิตประจำวัน หล่อนเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ และไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่หล่อนกำลังสนทนาอยู่ด้วยนี้มีนิสัยอย่างไร หากสิ่งที่หล่อนพูดออกไปแล้วเกิดรู้ไปถึงหูของแจ็คเข้า หล่อนจะลำบาก
มัทรีไม่อยากตกงาน ในขณะที่เงินกำลังมีค่ากับหล่อนอย่างเหลือเกินในเวลานี้
จากหางตา หล่อนเห็นอีกฝ่ายปรายตามาด้วยลักษณะอย่างไรชอบกล คล้าย ๆ กับการที่หล่อนไม่ต่อความยาวสาวความยืดด้วย จะสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าตัวหรืออย่างไรก็ไม่รู้ หญิงสาวไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะไม่อยากสร้างศัตรู แค่นี้ หล่อนก็แทบจะเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา ก็พอดีมีเสียงเรียก “คิม คิม” มาจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะแต่งตัว แล้วผู้ที่ยืนอยู่ข้างหล่อนก็ผละไป
มัทรีแอบมองตามไปอย่างอย่างอดไม่ได้ จะเป็นเพราะอุปาทานหรือเปล่าก็ไม่รู้ หล่อนเห็น คิม เพื่อนร่วมงานที่หล่อนคุยด้วยเมื่อครู่พูดอะไรบางอย่างกับผู้ที่เรียกมา แล้วฝ่ายนั้นก็หันมามองหล่อน
หญิงสาวแอบถอนหายใจ รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น แต่ก็พยายามปรามตัวเองไม่ให้คิดมาก เมื่อรู้สึกว่าชักจะเป็นโรคหวาดระแวงขึ้นสมองใหญ่แล้ว คอยแต่จะนึกว่ามีคนคอยนินทาอยู่เรื่อย ๆ นับแต่มีเรื่องเกิดขึ้น
“บอยเฟรนด์มารับหรือเปล่า”
เสียงเจนนี่ถามเมื่อหล่อนเดินผ่านขณะกำลังจะออกจากห้องนั้น
“มา”
“สวีทจริงนะ” มีอีกเสียงหนึ่งเปรยเป็นเชิงล้อเลียน
มัทรีหันไปมองคนพูด เห็นสีหน้านั้นยิ้มให้อย่างเป็นมิตร มิใช่กระแนะกระแหนอย่างที่หล่อนนึกกลัว จึงยิ้มตอบ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงอำลาแล้วก้าวยาว ๆ ออกจากห้องนั้นไป
รถทรงสปอร์ตสีดำใหม่เอี่ยมของเริงฤทธิ์มาจอดรออยู่แล้ว หญิงสาวจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นจนเกือบจะเป็นวิ่งด้วยความเกรงใจที่อีกฝ่ายต้องมานั่งรอ
“โทษที เริง มารอนานหรือยัง” หญิงสาวถามอย่างเกรงใจ
“ไม่นานหรอก เพิ่งมาเหมือนกัน” เสียงตอบอย่างอารมณ์ดี “เป็นไงวันนี้”
“หวุดหวิดจะโดนไล่ออก”
“ทำไมล่ะ”
“เต้น ๆ แล้วเซสองสามหน หมดแรง” มัทรีถอนหายใจเฮือก “แจ็คเลยถามว่าซ้อมน้อยไปหน่อยหรืออย่างไง”
“แค่เซนี่นะ จะไล่ออก” เริงฤทธิ์ถามอย่างประหลาดใจ “บ้าหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นพวกคนเก่า ๆ พูดกันว่า มีบางคนโดนไล่ออก เพราะว่าแค่เต้นผิดพลาด หรือว่า ไม่ขยันซ้อม”
“ถ้าไม่ขยันซ้อมแล้วโดนไล่ออกก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าแค่เต้นผิดพลาดนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วไล่ออกก็เกินไปหน่อย เห็นจะมีแต่พวกโรคจิตเท่านั้นแหละที่ทำอย่างนั้น”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวอดนึกย้อนไปถึงคำพูดของหญิงสาวที่ชื่อคิม ที่เอ่ยพาดพิงไปถึงแจ็คว่าเป็นพวกโรคจิตไม่ได้ ถ้าการที่ชายกับชายเกิดผูกใจสมัครรักใคร่ในเพศเดียวกันถูกจัดอยู่ในข่ายโรคจิต แล้วคนที่นั่งข้าง ๆ หล่อนอยู่ในเวลานี้เล่า เขาจะต้องโดนจัดอยู่ในประเภทเดียวกันด้วยหรือเปล่า
หล่อนรู้จักเริงฤทธิ์มานานแล้ว ก็ตั้งแต่เมื่อเขามาอยู่ที่นี่แรก ๆ เคยรวมกลุ่มเที่ยวเตร่เฮฮากันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากเท่าไรนัก หล่อนกับเขาคบกันอย่างผิวเผิน เพิ่งจะมาตระหนักว่าเขาเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงก็เมื่อไม่นานมานี้เอง...
เมื่อไม่นานมานี้เอง.....ดูเหมือนอะไรต่อมีอะไรก็จะเกิดขึ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเมื่อไม่นานมานี้เอง ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพความเป็นอยู่ของหล่อนที่มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากนางฟ้าตกสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ บางอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะตกอยู่ในภาวะจำยอม บางอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะสภาพแวดล้อมทำให้เปลี่ยนไปโดยอัติโนมัติ และบางอย่างประสบการณ์ก็สอนให้ต้องเปลี่ยน.....
เปลี่ยนพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
แววตาที่เคยเจิดจ้าแจ่มจรัสของหญิงสาวหม่นแสงลงอีกครั้ง พูดที่จริงแล้วมันก็ไม่เคยเปล่งแสงระยิบระยับอีกเลยนับตั้งแต่วันที่หล่อนได้รับฟังข่าวคราวความหายนะของครอบครัวของตัวเองเป็นต้นมา
“พรุ่งนี้ว่าจะลุกขึ้นไปวิ่งแต่เช้า” มัทรีเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“นึกสนุกอะไรขึ้นมา”
“ไม่ได้นึกสนุกอะไรหรอก แต่เจนนี่...จำได้ไหม คนที่ผมดำ ตาคม ๆ ที่เจอกับเริงบ่อยๆ เป็นคนแนะนำให้ออกวิ่งตอนเช้า ๆ กำลังจะได้อยู่ตัว” หญิงสาวพูดแล้วก็ถอนหายใจเฮือก” ไม่รู้จะลุกไหวหรือเปล่า ทุกวันนี้จะตื่นให้ทันไปเรียนตอนสิบโมงยังลุกแทบไม่ขึ้น อ้อ แล้วพรุ่งนี้บ่ายก็ต้องโดดเรียนอีก มีซ้อมท่าใหม่ สงสัยจะเรียนไปไม่ตลอดรอดฝั่งเสียแล้วล่ะเริง” น้ำเสียงของคนพูดบอกอาการเหนื่อยหน่ายแกมท้อใจ “ครั้งแรกนึกว่าทำงานแต่เฉพาะช่วงกลางคืน ตอนกลางวันก็คงมีเวลาไปเรียน แต่ทำไปทำมา มันกลับกินเวลามาช่วงกลางวันด้วย ถึงจะไม่ใช่ทุกวันก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เราเรียนไม่ได้เต็มที่”
“หางานใหม่ไม่ดีกว่าหรือ” เริงฤทธิ์แนะนำ
“ก็อยากจะหาเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะหาอย่างไง แค่งานเสริฟตามร้านอาหารก็ไม่พอจ่ายค่าเทอม ไม่เหมือนงานเต้น จ่ายดี แต่เหนื่อยใจแทบขาด นี่ดีนะว่าย้ายมาอยู่กับเริงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดหรอก เราไม่รู้จะขอบคุณเริงอย่างไงที่ช่วยถึงขนาดนี้” หล่อนเอื้อมมือไปแตะที่แขนของเขาอย่างสำนึกบุญคุณ
“อย่าคิดมาก ทุกวันนี้มัทก็ช่วยเราอยู่เหมือนกัน”
“ช่วยอะไรนักหนา” มัทรีส่ายหน้า “ยังนึกไม่ออกเลยว่า ทำไมเริงจะต้องมาอาศัยเราเป็นคู่ควงหลอกคนนั้นคนนี้อยู่ได้ ชื่อเสียงตัวเองนั่นแหละจะเสียไปมากกว่าที่มาคบกับลูกคนคุกคนตาราง" น้ำเสียงของหล่อนบอกความขมขื่นอย่างปิดไม่มิด ขณะที่น้ำใส ๆ เอ่อคลอขึ้น จนเจ้าตัวต้องกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไม่ให้มันไหลออกมา
เริงฤทธิ์เอื้อมมือมาบีบมือของหญิงสาวเบา ๆ อย่างปลอบใจ ขณะเอ่ยว่า
“เราไม่แคร์เรื่องนั้น แต่แคร์พวกปากหอยปากปูที่มาซุบซิบเรื่องเรากับโทนี่มากกว่า”
“ความจริงมันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ถ้าเริงไม่แคร์เรื่องมาคบกับเรา แล้วทำไมต้องแคร์เรื่องโทนี่”
เริงฤทธิ์ยักไหล่ ละมือจากมือของอีกฝ่ายกลับไปจับพวงมาลัยรถตามเดิม “ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราผิดปกติมั้ง”
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “กินอะไรรองท้องอีกรอบมั้ย เดี๋ยวกลับไปต้มข้าวต้มกินกัน มื้อดึก “
“อ้วน”
มัทรียิ้มออกมาได้ เริงฤทธิ์รักษาหุ่นของเขาได้เนี๊ยบจนน่าอิจฉา สูงและโปร่งได้สัดส่วนอย่างพอดิบพอดี “แต่เราหิวจนท้องร้องเลย เมื่อกี๊ที่เซอาจจะเป็นเพราะหิว เมื่อเย็นไม่ได้กินอะไร รถเมล์ดันมาช้า เลยไม่ได้หาอะไรรองท้องเสียก่อน”
“ก็บอกให้โทรเรียก จะไปส่งให้”
“อย่าให้เรารู้สึกเอาเปรียบเริงมากไปกว่านี้เลย อาศัยอยู่ฟรี ข้าวก็กินฟรี รอบดึกยังขับรถออกมารับให้อีก แค่นี้บุญคุณเริงก็ท่วมหัวจนชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว นี่ถ้าชีวิตเราไม่มีเริง จะเป็นอย่างไงก็ไม่รู้เลย”
“ก็บอกแล้ว ว่าเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เขาเรียกว่าอยู่กันอย่างเกื้อกูลกันอย่างไงเล่า ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ไม่มีใครเสีย ภาษาวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอะไรนะ การอยู่ร่วมกันแบบนี้ในระบบนิเวศน์ โปรโตโคออปะเรชั่นใช่มั้ย เอาเถอะน่า อย่าไปคิดมาก เราไม่เดือดร้อนก็แล้วกันที่ให้มัทมาอยู่ด้วย ว่าแต่มัทเถอะ ไม่กลัวคนอื่นนินทาบ้างหรือไง ที่มาอยู่กับเรา”
“นินทาเรื่องอะไร” หญิงสาวย้อนถาม นิ่วหน้าอย่างสงสัย
“อ้าว ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ใครเขาจะไปคิดว่ามัทยังเวอร์จิ้นอยู่ เผื่อใครเขาอยากจะแต่งงานกับสาวบริสุทธิ์ ก็เป็นว่า มัทหมดสิทธิ์”
“ไม่มีใครอยากได้เราไปเป็นเมียหรอก เริง” หญิงสาวพูดอย่างคนปลงตก “แค่ได้ยินว่าเราเป็นลูกนักโทษยาเสพติดก็วิ่งหนีไปหมื่นไมล์แล้ว ทุกวันนี้ เริงก็เห็น มีคนไทยคนไหนในเมืองนี้อยากคบกับเราบ้าง แค่ยิ้มให้ยังฝืนกันแทบแย่ อย่าว่าจะเข้ามาจีบเลย ไม่เหมือนแต่ก่อน เช้าถึงเย็นถึง มีเริงคนเดียวที่เสมอต้นเสมอปลาย จริง ๆนะถ้าช่วงนั้นไม่มีเริง สงสัยเราจะแย่ ดีไม่ดีฟิวส์ขาดไปตั้งแต่เห็นพ่อเดินเข้าคุก”
“พ่อเป็นอย่างไงมั่ง”
“ก็ปลงได้แล้ว แต่สุขภาพไม่ค่อยดี สุขภาพจิตแย่ สุขภาพกายก็แย่ตาม พ่อแก่แล้วด้วย ต้องมาทนทุกข์ทรมาณขนาดนี้ ใจก็คงไม่สู้แล้ว”
เริงฤทธิ์ไม่ออกความเห็นว่าอะไร พอดีมาถึงอพาร์ทเมนท์ที่พัก ก็เลยหยุดสนทนาเพียงเท่านั้น พอเข้าไปถึงห้องพัก เสียงโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น หล่อนเดินมาถึงที่เคาน์เตอร์ที่วางโทรศัพท์ก่อนก็เลยรับอย่างเคยชิน เพราะดึก ๆ อย่างนี้ มีแต่โทนี่เท่านั้นที่โทรมาหาเพื่อนของหล่อน และโทนี่ก็รู้จักกับหล่อนเป็นอย่างดี
แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกลับไม่คุ้นหู แถมยังถามเป็นภาษาไทยชัดเจนว่า
“ขอโทษนะครับ ใช่ห้องของเริงฤทธิ์หรือเปล่า”
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่เพื่อนนักเรียนไทยด้วยกันแน่ ๆ เพราะเป็นเสียงเคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่ มัทรีคิดว่าน่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งของเขา จึงรีบตอบไปว่า
“ใช่ค่ะ รอสักครู่นะคะ “ หล่อนหันไปเรียกเพื่อนให้มารับสาย แล้วเดินเข้าครัว เพื่อไปต้มข้าวต้มอย่างที่บอก แต่หูก็ยังคงได้ยินเสียงพูดอย่างชัดเจน เพราะห้องโถงกับครัวก็อยู่ติด ๆ กันนั่นเอง
“อารุต สวัสดีครับ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงโทรมา” แล้วก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ ก่อนจะโต้ตอบกับปลายสายอีกด้านหนึ่งว่า “โทรได้ครับ โทรได้ ผมเพียงแต่แปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอารุตโทรมา เลยตกใจ....ครับ ครับ สบายดีครับ อารุตล่ะครับ ......อ๋อ เพื่อนน่ะครับ พอดี ห้องมันว่าง ๆ อยู่ห้องหนึ่งก็เลยชวนเขามาอยู่ด้วย จะได้ไม่เหงา” เสียงเริงฤทธิ์หัวเราะเบา ๆ มัทรีเดาว่า คนที่เขาเรียกว่าอารุตคงจะถามถึงหล่อนนั่นเอง เออ อารุตของเริงฤทธิ์จะว่าอะไรหรือเปล่าที่หล่อนมาอยู่กับหลานชายของเขา บางทีอาจจะเป็นข่าวของหล่อนกับพ่อที่ดังครึกโครมอยู่ในหนังสือพิมพ์เมื่อหลายเดือนก่อนที่เป็นต้นเหตุให้อาของเขาโทรมาก็เป็นได้ เพราะเริงฤทธิ์ก็พูดเองว่า ร้อยวันพันปีอาของเขาไม่เคยโทรมา
มัทรีรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนักเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เริงฤทธิ์อาจไม่แคร์ก็จริง แต่ครอบครัวของเขาอาจจะแคร์ นามสกุลอภิวรรณของเริงฤทธิ์ไม่ใช่โนเนมเลยในสังคมเมืองไทย ตรงกันข้าม จะเรียกว่าเป็นแบรนด์เนมติดอันดับก็ว่าได้ หล่อนน่าจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
ความรู้สึกหิวโหยเมื่อครู่เหือดแห้งไปกะทันหัน หญิงสาวชะงักมือที่กำลังจะเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบกล่องข้าวสารออกมา หล่อนคงกินอะไรไม่ลง อย่าต้มให้เปลืองของเสียจะดีกว่า
หล่อนได้ยินเริงฤทธิ์คุยอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยที่ไม่ได้พาดพิงมาถึงหล่อน เสียงเขาบอกถึงความดีใจอย่างชัดเจนที่อีกฝ่ายโทรมาหา และสนิทชิดเชื้ออย่างไม่ต้องสงสัยว่าอารุตน่าจะเป็นคนในครอบครัวมากว่าญาติห่าง ๆ จำได้ว่าเริงฤทธิ์เคยบอกว่าพ่อของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่แม่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงอารุตคนนี้
แต่จะว่าไปแล้วเริงฤทธิ์ก็ไม่เคยเล่าเรื่องทางบ้านของเขาให้หล่อนฟังมากนัก รู้แต่ว่าเขาเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยได้ยินเขาพูดถึง
เป็นเวลาครู่ใหญ่กว่าที่เพื่อนของหล่อนจะวางสาย แล้วเดินเข้ามาดูหล่อนในครัว คงจะสงสัยว่าทำไมหล่อนถึงไม่ออกไปเสียที เพราะครัวแคบ ๆ นั้นไม่มีที่จะให้หล่อนนั่งกินอะไรต่อมิอะไรได้ ปกติ หล่อนจะตั้งหม้อข้าวไว้ แล้วก็เดินออกไปทำโน่นทำนี่ พอข้าวสุก หล่อนถึงจะยกออกมานั่งกินที่ห้องโถงด้านนอก
“อ้าว ยังไม่ต้มข้าวอีกเหรอ” เขาถาม ขมวดคิ้วเมื่อเห็นหญิงสาวยืนพิงหน้าต่างในห้องครัว พอสบตากัน เขาก็เลิกคิ้ว “เป็นอะไร”
“อาของเริงโทรมาเหรอ” มัทรีย้อนถาม โดยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ฮื่อ สงสัยมีใครคาบข่าวไปบอกเรื่องของมัท”
“เราก็คิดว่าอย่างนั้น แล้ว........” คนพูดกัดริมฝีปากอย่างว้าวุ่นใจ ด้วยความกังวลกับสวัสดิภาพของตัวเอง สังหรณ์ใจว่า หล่อนน่าจะต้องหาที่อยู่ใหม่ในเร็ววันนี้เป็นแน่ ครอบครัวของเริงฤทธิ์ไม่น่าจะยอมให้คนที่มีเรื่องอื้อฉาวเข้าไปแผ้วพานกับเขาเป็นแน่ ว่าแต่ว่า หล่อนจะไปอยู่ที่ไหน...พระพรหมจะเล่นตลกกับหล่อนไปถึงไหนกัน ทำไมไม่ให้หล่อนเกิดมาเป็นคนจนตั้งแต่แรก หล่อนจะได้เคยชินกับความลำบากของคนยากไร้ ไม่ใช่ให้หล่อนใช้ชีวิตอย่างสบายลอยละล่องราวกับนางฟ้า แล้วกลับมาลำบากยากแค้นราวกับตกสรรค์ให้ต้องทุกข์ระทมขนาดนี้
“แล้ว.....เราจะทำอย่างไงดี” หล่อนหลุดปากออกมาจนได้ น้ำเสียงแหบแห้งไปถนัดใจ
“ก็ไม่เห็นต้องทำอย่างไง อารุต แค่โทรมาถาม ไม่ได้พูดว่าอะไรนี่นา “
“ไม่น่าจะแค่นั้นหรอกเริง ถ้าไม่ซีเรียส คงไม่โทรมาถาม”
“อย่าไปคิดอะไรมาก เรื่องยังไม่เกิด ไปคิดทำไมให้กลุ้มเปล่า ๆ อารุตงานมากจะตาย เขาคงไม่บินมาวุ่นวายกับเราถึงนี่หรอกน่า แล้วอีกอย่างอารุตไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล กับอีแค่อยู่ด้วยกัน มันไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่นา เราไม่ได้ขอเงินเพิ่มเสียที่ไหน ก็ใช้เท่าเดิม อพาร์ทเมนท์นี่อารุตก็เป็นคนมาดูให้ตั้งแต่แรกบอกว่าเป็น สองห้องนอนก็ดี เผื่อมีใครไปใครมาจะได้มาพัก ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม ใหม่ ๆ แม่เรามาออกบ่อยไป แต่หลัง ๆ คงขี้เกียจนั่งเครื่องก็เลยไม่มา หาเพื่อนมาไม่ได้ด้วยมั้ง ทำไม กลัวอะไรเหรอ” เริงฤทธิ์ถามยิ้ม ๆ
“กลัว...” หล่อนบอกตามความรู้สึกอย่างไม่คิดจะปิดบัง “กลัวว่า ครอบครัวของเริงน่าจะไม่แฮบปี้ที่เรามาอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้น...คงไม่โทรมาสอบถาม”
“เราเป็นผู้ชายนะ....” เริงฤทธิ์ แย้ง แล้วก็หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยด้วยสะดุดปมของตัวเองในใจ แต่แล้วก็ยักไหล่ “อย่างน้อยก็เป็นผู้ชายในสายตาของสังคมนั่นแหละ ไม่มีอะไรเสียหายถ้าจะอยู่กับผู้หญิงซักคนแก้เหงา ไม่มีใครเขาถือสาหรอก ผู้หญิงต่างหากที่จะเสียหาย อย่างมัทต่างหากที่จะต้องกังวลกับภาพพจน์ของตัวเอง ไม่ใช่เรา”
“เราไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว แต่เริงไม่ใช่ เริงอย่าลืม ว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาที่ใคร ๆ จะยินดีคบหา ประวัติเรามัน... มัน...” หล่อนหยุดพูด เพราะเหมือนมีก้อนอะไรวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอกะทันหัน
“บอกว่าอย่าคิดมาก” เริงฤทธิ์เดินเข้าไปดึงแขนของอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นเชิงให้ออกไปจากห้องครัว เมื่อสังเกตเห็นความว้าวุ่นใจของอีกฝ่าย ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นเรื่องกังวลเกิดกว่าเหตุแท้ ๆ
เขาไม่คิดว่า ครอบครัวของเขาจะมาเดือดร้อนอะไรนักหนากับแค่การที่เขาจะมีเพื่อนผู้หญิงมาอยู่ด้วย ต่อให้เขามีอะไรกับมัทรีจริง ๆ ตามประสาชายหนุ่มกับหญิงสาว ถ้าเขาเป็นชายหนุ่มปกติทั่ว ๆ ไป เขาก็ไม่ได้เสียหายอะไร มัทรีต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียหาย แล้วทุกวันนี้เขาก็อาศัยมัทรีเป็นโล่กำบัง เพื่อให้สังคมรับรู้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มทั้งแท่งอยู่ เขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากมัทรีมากกว่าที่มัทรีจะได้จากเขา




บัวสุพรรณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2556, 13:58:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2556, 13:58:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 867





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account