สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน
เรื่องย่อ สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน (บัวสุพรรณ)
มัทรีเป็นลูกสาวของ ส.ส.วันชัย ซึ่งถูกส่งไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา หล่อนใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยสมกับเป็นลูกของคนมีเงินโดยไม่สนใจเรียน หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพ่อตนเองเป็นนักค้ายาเสพติด จนวันหนึ่งระหว่างบินมาเยี่ยมมัทรีที่อเมริกาก็ถูกจับได้โทษฐานขนยาเสพติดมาด้วย และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือมัทรี ยกเว้นเริงฤทธิ์ ซึ่งเอื้อเฟื้อให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในอพาร์ทเมนท์ส่วนตัว แต่ข่าวก็รู้ถึงแม่ของเขาซึ่งเป็นสตรีหม้ายที่อยู่ในสังคมระดับสูง ทำให้แม่ของเขา และศรุตซึ่งเป็นอาของเขาต้องบินมาจัดการไล่มัทรีออกจากชีวิตของเริงฤทธิ์
ด้วยความสงสารและต้องการแก้ปัญหาศรุตจึงเสนอเงื่อนไขให้หญิงสาวด้วยการจ่ายค่าเรียนให้แต่มัทรีต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับเริงฤทธิ์เด็ดขาด
มัทรีย้ายไปเรียนต่ออีกเมืองหนึ่งเพื่อตัดปัญหาเรื่องเริงฤทธิ์ตามคำแนะนำของศรุต หล่อนเรียนจนจบและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่อเมริกา แต่กลับกลายเป็นว่า หล่อนกลับตัดสินใจใหม่ด้วยการบินกลับมาเมืองไทยด้วยเหตุผลเพียงเพราะ หล่อนอยากอยู่ใกล้กับศรุต ซึ่งบังเอิญว่าบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ได้ประกาศรับสมัครพอดี
ทันทีที่ศรุตพบหน้ามัทรีก็เข้าใจว่า หญิงสาวกลับมาแบล็คเมล์เขาอีกรอบเพราะเห็นว่าเขาจ่ายเงินให้หล่อนได้ง่าย ๆ ในรอบแรก มัทรีเจ็บใจที่ถูกเขาเข้าใจผิดและพูดจาเสียดสีเย้ยหยัน จึงบอกว่าหล่อนต้องการจะใช้นามสกุลของเริงฤทธิ์ให้ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าเริงฤทธิ์เป็นเกย์ แต่ต้องการตอบโต้เขา และขอค่าแลกเปลี่ยนด้วยการเรียกร้องเงิน บ้าน และรถ ซึ่งศรุตก็ตกลง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดสินใจแก้ปัญหานี้อย่างไร
มัทรีย้ายไปอยู่คอนโดที่ศรุตจัดไว้ตามคำเรียกร้อง แต่เมื่อเริงฤทธิ์กลับมาจากอเมริกา มัทรีก็ออกไปกับเขาเพราะปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ ซึ่งทำให้ศรุตโกรธ และตัดสินใจที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับหญิงสาวในที่สุด

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3
มัทรีคิดว่าตัวเองหูแว่วไปเองเมื่อได้ยินเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น หล่อนเดินไปหรี่เครื่องเสียงที่เปิดเพลงจังหวะร้อนแรงที่หล่อนกำลังซ้อมเต้นอย่างขมักเขม้น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราวอยู่ทั่วใบหน้า ตลอดจนลำตัวทั้งหน้าและหลัง ทั้ง ๆ ที่หล่อนแต่งกายด้วยกางเกงขาสั้นจู๋ และเสื้อกล้ามเพื่อความคล่องตัว ร่างสูงโปร่งของหล่อนยิ่งดูระหงมากขึ้นกว่าเดิมด้วยน้ำหนักที่ถูกรีดออกอย่างมากตั้งแต่ไปทำงานเป็นแดนเซอร์ที่เลิฟลี่บันนี่คลับ
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง กังวานชัดเจนจนไม่ใช่เป็นเรื่องของหูแว่วเมื่อเครื่องเสียงดังกระหึ่มเงียบเสียงลง หล่อนยกผ้าขนหนูผืนเล็กซับใบหน้าและลำคอ นึกสงสัยว่าทำไมเริงฤทธิ์ถึงรีบกลับ เขาบอกว่าจะไปฟลอริดากับโทนี่อาทิตย์หนึ่ง นี่เพิ่งจะได้สองวันเอง คงทะเลาะกันตามเคย เพื่อนของหล่อนเอาแต่ใจตัวไม่ใช่เล่นเมื่ออยู่กับคนรักของเขา เรียกว่าเป็นผู้ชายแสนงอนก็ได้เหมือนกัน และนับว่าโทนี่ก็เป็นคนใจเย็นอย่างสุดยอดคนหนึ่งเหมือนกันอีกนั่นแหละ เพราะหล่อนเห็นโทนี่ง้อเริงฤทธิ์ทุกทีที่มีเรื่องขัดใจกัน
แล้วนี่ก็คงจะลืมเอากุญแจติดไปด้วยแน่ ๆ หญิงสาวคิดในใจขณะเดินไปที่ประตู เพราะวันที่ไปกับโทนี่ บังเอิญว่าหล่อนอยู่ที่ห้อง เขาก็เลยไม่ต้องล็อคประตูเอง คงจะลืมหยิบออกไป
ในเวลานั้นหล่อนไม่เระแวงเลยแม้แต่สักนิดเดียว ว่าผู้ที่มากดกริ่งจะไม่ใช่เพื่อนของหล่อนผู้เป็นเจ้าของห้อง ฉะนั้น หล่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเปิดประตูพรวดออกไปแล้วพบว่า ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่เริงฤทธิ์
ดวงตาคู่แรกที่ประสานกับหล่อนอย่างจัง เพราะคงจะเป็นผู้กดกริ่งที่ข้างประตู บอกแววขึ้งเครียดอย่างแจ่มแจ้งจนแม้แต่เด็กทารกก็อาจจะสัมผัสได้ถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ฉายแววชัดเจนอยู่ในสายตาคู่นั้น สีเปลือกตาที่ระบายอย่างสวยงามประณีต รับกับการตกแต่งคิ้ว และริมฝีปาก ตลอดจนสองข้างแก้ม ดูจะไม่ช่วยให้ใบหน้านั้นชวนมองได้เลยเมื่อมันปนเปอยู่กับความบูดบึ้งไร้รอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของ การแต่งกายที่ประณีตในชุดเสื้อผ้าที่ดูราคาแพงตั้งแต่หัวจรดเท้า กอร์ปกับวัยของสตรีผู้อยู่ตรงหน้าที่ไม่ใช่เด็กสาว บอกให้หล่อนรู้ได้โดยทันทีว่า สตรีไทยผู้นี้ไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากมารดาของเริงฤทธิ์นั่นเอง
ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งที่ปรากฏกายอยู่ข้างกัน มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเพื่อนของหล่อนจนหล่อนไม่ต้องเสียเวลา ก็พอจะเดาได้ว่า เป็นอารุต อาของเขาที่เพิ่งจะโทรมาหาเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั่นเอง กังวานเสียงอันเคร่งขรึมที่หล่อนได้ยินดูจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหน้าตาและท่าทางของผู้เป็นเจ้าของอย่างกลมกลืนยิ่งนัก คิ้วของเขาเข้มจัด ทำให้ดวงตาได้รูปสวยของเขาดูน่าเกรงขาม แทนที่จะดูอ่อนโยนเหมือนผู้เป็นหลาน และแม้จะไม่ปรากฏแววรังเกียจเดียดฉันท์เหมือนสตรีที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่ประกายเข้มจัดปราศจากรอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้บอกถึงความเป็นมิตร จนหล่อนไม่อาจทนประสานสายตาได้อีกต่อไป
และในขณะที่หล่อนมัวแต่ตกตะลึงจนไม่อาจจะปล่อยคำพูดใด ๆ ให้พ้นจากลำคอออกมาได้ ก็มีอันต้องตกใจเป็นคำรบสองเมื่อเสียงแหลม ๆ ของสตรีผู้มาเยือนทักทายขึ้นก่อนด้วยคำพูดที่ไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่กระผีกเดียวว่า
“เธอเป็นใคร ถึงได้มาอยู่ในห้องลูกชายฉัน”
“เข้าไปข้างในก่อนดีกว่าครับ พี่ดา” เสียงขรึม ๆ กล่าวขัดขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะแตะศอกของอีกฝ่ายเป็นเชิงเตือนให้เดินหน้า แทนที่จะยืนปักหลักเหมือนจะเปิดฉากสงครามกันตรงหน้าประตู
มัทรีถอยหลังอย่างเร็วเป็นการหลบ หาไม่หล่อนอาจจะโดนผู้มาเยือนโดยไม่คาดฝันชนกระเด็นได้หากหล่อนยังยืนทื่อมะลื่ออยู่ตรงนั้น
แม้สมองจะยังคงอลหม่านอย่างไม่สามารถคิดอะไรได้ในเวลานั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์อดรับรู้ไม่ได้ถึงสายตาอันคมปลาบที่ตวัดมองหล่อนในเครื่องแต่งกายอันล่อแหลมตั้งแต่หัวจรดเท้า และแน่ล่ะ แม้จะไม่ได้บอกแววรังเกียจเท่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ก็ห่างไกลจากความชื่นชมชนิดอยู่กันคนละฟากฝั่งเลยทีเดียว
นับตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มัทรีนึกอยากจะแปลงกายให้เป็นแมลงเล็ก ๆ อะไรสักตัวที่สามารถจะบินหลบเร้นกายไปจากห้องนี้ได้โดยไม่มีใครเห็น หรือจับได้ทัน
“นี่ลูกชายฉันไปไหน”
สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่ดายังคงตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงแหลม ที่บอกความไม่พอใจต่อไปโดยไม่คิดจะซ่อนเร้น ในขณะที่ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปปิดประตูห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เขาเดินไปปิดเครื่องเล่นซีดีที่หล่อนเพียงแต่หรี่เสียงลงเมื่อก่อนหน้านี้ ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงทันที แม้กระทั่งเข็มเล่มหนึ่งหากตกลงพื้นก็คงได้ยิน
ความเงียบนั้นทำให้มัทรีค่อยมีสติขึ้น หล่อนควรต้องพูดอะไรออกมาบ้าง แทนที่จะเงียบงันอยู่อย่างนี้ อันดับแรกหล่อนควรยกมือไหว้แขกผู้มาเยือนทั้งสอง อย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็นญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนผู้มีบุญคุณกับหล่อน แต่ให้ตายเถิด หล่อนไม่ได้แกล้งเลยแม้แต่นิดเดียว มือของหล่อนช่างหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยหินจนไม่อาจจะยกขึ้นมาได้
“นี่ ใจคอเธอจะเงียบ ไม่ตอบคำถามฉันเลยหรือไง” คุณชุดาภาเกิดความโมโหจนไม่อาจจะทนนิ่งต่อไปได้ เธอเดินไปกระแทกตัวนั่งบนโซฟา โดยไม่จำเป็นต้องมีใครเชื้อเชิญ ก็แน่ล่ะ จะต้องรอให้ให้ใครเชิญในเมื่อห้องนี้ มันเป็นห้องของเริงฤทธิ์ ลูกชายของเธอเอง มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเป็นห้องของตัวเองเหมือนกัน
“เริงไปฟลอริดาค่ะ” ในที่สุดหล่อนก็พูดออกมาได้ หลังจากพยายามสงบสติอามณ์อย่างสุดความสามารถ
“จะกลับเมื่อไร”
“ เขาบอกจะไปอาทิตย์หนึ่ง ก็อาจจะเป็นอังคารหน้าค่ะ”
“แล้วเธอเป็นใคร ถึงได้มาอยู่ห้องของลูกชายฉัน ใครเชื้อเชิญไม่ทราบ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ แก้มซีด ๆ เริ่มแดงเรื่อขึ้น ความละอายแผ่ซ่านขึ้นจนร้อนวูบวาบไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ความรู้สึกของหล่อนไม่ได้หยาบหนาถึงจะไม่รู้สึกถึงความในใจของฝ่ายที่ตั้งคำถามอย่างเชือดเฉือน สัญชาตญาณของความรู้สึกเหมือนหมาจนตรอกทำให้หล่อนขยับปากจะโต้กลับ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าหล่อนเป็นใคร และอีกฝ่ายเป็นใคร และสิ่งนี้หรือมิใช่ที่หล่อนหวั่นเกรงว่าจะต้องเกิดขึ้นนับตั้งแต่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากเมืองไทย
“หนูเป็นเพื่อนของเริงค่ะ” หล่อนตอบห้วน ๆ แม้จะพยายามข่มความรู้สึกทั้งโกรธทั้งสะเทือนใจไม่ให้แสดงออกมา แต่ก็ยากเย็นเต็มที บางที หล่อนคงต้องไปตายเอาดาบหน้า แม้หล่อนจะดูไม่มีศักดิ์ศรีใด ๆ ในสายตาของคนทั้งคู่ แต่หล่อนก็คงไม่สามารถจะตากหน้ายืนอยู่ในที่ที่เจ้าของเขาขับไสไล่ส่งเหมือนหล่อนไม่ใช่คนอย่างนี้
ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่หล่อนจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีที่จะยืนอยู่ในสังคมอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ
แววตาของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายอันล่อแหลมแห้งผาก ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ทว่าขอบตากลับแดงก่ำ คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อย่างที่สุด ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ รู้สึกเวทนาขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ทั้ง ๆ ที่นึกสงสาร หากเขาก็ออกจะเห็นด้วยกับคุณชุดาภาว่า เจ้าหล่อนไม่ได้มีความเหมาะสมแม้แต่น้อยที่จะเทียบเคียงกับเริงฤทธิ์ ดูเอาเถิด แทนที่จะไปเรียนหนังสืออย่างที่ควรจะทำ เจ้าหล่อนกลับเต้นเร้งเต้นกากับเสียงเพลงที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในห้องอย่างไม่รู้เหมือนกันว่ามันสนุกตรงไหนกับการเต้นบ้า ๆ บอ ๆ อยู่คนเดียว ถ้าว่าเต้นอยู่กับเพื่อน ๆ ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าเป็นความบันเทิงในหมู่วัยรุ่น แล้วที่มาเกาะเริงฤทธิ์อยู่นี่ก็เหมือนกัน คงเห็นว่าหลานของเขาจะช่วยให้หล่อนอยู่สบายไปวัน ๆ หนึ่งโดยไม่ต้องทำอะไร เด็กสมัยนี้ คิดอะไรเพื่ออนาคตของตัวเองไม่เป็นเลยหรืออย่างไร
แล้วข่าวก็ว่าพ่อของตัวเองติดคุก แล้วทำไมถึงยังปล่อยให้ตัวเองตกต่ำไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ กลางคืนไปทำงานตามคลับตามบาร์ กลางวันมาเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในห้อง
เขาไม่เข้าใจเด็กพวกนี้เลย ให้ตายเถอะ เริงฤทธิ์คิดอย่างไรถึงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับหล่อนเข้า ชายหนุ่มคิดแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ รู้สึกหนักใจขึ้นมาบ้าง แรก ๆเขาก็รู้สึกว่าคุณชุดาภาน่าจะตีโพยตีพายไปเองด้วยวิสัยของคนชอบตีโพยตีพายทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่พอมาเจอเข้ากับตาตัวเองจริง ๆ เขาก็อดจะเห็นด้วยกับฝ่ายนั้นไม่ได้เสียแล้ว
ว่าแต่เขาจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร เขาไม่สามารถจะออกคำสั่งให้เริงฤทธิ์เลิกคบหาสมาคมกับหล่อนได้ ถึงจะพอเกลี้ยกล่อมได้บ้าง แต่เขาจะมานั่งเฝ้าเริงฤทธิ์ได้อย่างไรว่าจะยอมทำตามคำขอร้องได้เหมือนเมื่อยังเป็นเด็ก ๆ หรือจะเอาเริงฤทธิ์กลับเมืองไทย ก็ไม่ได้อยู่ดี จะแยกหลานให้ไปอยู่อีกเมืองก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้
ในระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญอยู่เงียบ ๆ นั้น ก็อดสะดุ้งไม่ได้เมื่อได้ยินคุณชุดาภาส่งเสียงแหลมขึ้นมาอีก คงจะโมโหเต็มที และคนอย่างเธอก็ไม่เคยเก็บงำความรู้สึกอะไรกับใครเขาได้ รู้สึกอย่างไรก็แสดงไปแบบนั้นอยู่เป็นประจำ
“ฉันไม่ให้เธออยู่ที่นี่นะ ห้องนี้เป็นห้องของฉันที่เช่าให้ลูกชายอยู่ส่วนตัว ไม่ได้ให้ใครเข้ามาอยู่ด้วย เธอจะย้ายออกไปดี ๆ หรือเธอจะให้ฉันเรียกคนมาช่วยย้ายเธอออกไป “
แก้มของหญิงสาวแดงก่ำเหมือนกับโดนฟาดด้วยฝ่ามือแรง ๆ ดวงตาเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันทีทันควัน
ครั้งแรกเขานึกว่าหล่อนจะก้าวเข้ามาหาคุณชุดาภา เพราะเห็นหล่อนกำหมัดของตัวเองจนเห็นเส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นมา เขาจึงขยับจะก้าวเข้ามาตรงที่คุณชุดาภานั่งอยู่ อย่างน้อยก็จะช่วยปะทะไว้ กำลังคนอายุมาก กับคนที่ยังเด็กกว่า ดูจะเปรียบเทียบกันไม่ได้ แม้ต่างฝ่ายต่างกำลังโมโหเท่า ๆ กันก็เถอะ
แต่เท้าที่กำลังขยับจะก้าวก็ต้องชะงัก เมื่อร่างบาง ๆ นั้นไม่ได้ก้าวเข้ามาหาคุณชุดาภาอย่างที่เขานึกกลัว แต่กลับหมุนกายอย่างรวดเร็วไปที่ประตูก่อนจะกระชากเปิดออก ประตูไม่ได้ปิดกลับมา เขาจึงเห็นว่าหล่อนก้าวเท้ายาว ๆ เกือบจะเป็นวิ่งลงบันไดไป เห็นเพียงปลายผมสะบัดไหวอยู่เพียงแค่อึดใจก่อนจะลับกายหายไป
ศรุตก้าวเท้าตามออกไป แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อถูกคุณชุดาภาเรียกไว้
“ผมจะไปดูเสียหน่อย ว่าแกไปถึงไหน” เขาหันมาบอกเรียบ ๆ สีหน้ายังคงเคร่งขรึม เขาไม่อยากจะตำหนิคุณชุดาภา เพราะรู้ว่าเธอทำไปด้วยความรักและความหวงลูกชาย เพียงแต่เขาเห็นว่าวิธีการที่เธอเลือกดูออกจะรุนแรงเกินไป เขาไม่อยากให้เกิดเหตุอันไม่คาดฝันขึ้น โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
“จะไปไหนได้ เดี๋ยวก็ต้องกลับมา แสดงไปอย่างนั้นเอง เสื้อผ้าเสื้อผ่อนก็ไม่ได้เอาติดตัวไป แล้วดูซิ แต่งตัวดูได้ที่ไหน อย่างกับผู้หญิงนั่งตามคลับตามบาร์ราคาถูก ๆ ตาเริงทำไมถึงตาต่ำอย่างนี้นะ ลูกหนอลูก”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะไปลองคุยกับแกดู บางทีแกอาจจะยอมไปดี ๆ ก่อนเริงฤทธิ์จะกลับมาก็ได้”
“คงจะยอมไปดี ๆ หรอก” คุณชุดาภาทำเสียงประชด “เงินนั่นแหละฟาดหัวไป ลองถามซี จะเรียกเอาเท่าไร พี่ว่าคงเรียกคุณรุตจนจุใจแล้วกัน ไม่เชื่อก็คอยดู”
“ก็คงต้องยอม ถ้าจะดึงเอาเริงกลับมา เดี๋ยวผมจะไปลองคุยดูก่อน ท่าทางอาจจะไม่ได้พูดยากมาก”
“ถ้าอย่างไงก็ให้ไปตั้งแต่วันนี้เลย พี่ไม่อยากเห็นหน้า”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบว่าอะไร เขาเดินออกไปแล้วปิดประตูห้องกลับเข้าไปให้เรียบร้อย คิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด สายตามองไปข้างหน้าขณะมองหาอย่างคาดคะเนว่าเจ้าหล่อนควรจะวิ่งไปทางไหน เหมือนว่าจะไม่ได้ใส่รองเท้าออกไป เพราะหล่อนออกไปเร็วมาก ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดชะงัก คงจะไปไหนไม่ได้ไกล อย่างที่คุณชุดาภาพูด อาจจะแค่ไปหาที่สงบสติอารมณ์ที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ แถวนี้ เพราะขืนฟังคุณชุดาภาพูดต่อไป หล่อนคงคิดว่า ตัวเองอาจจะอดกลั้นไม่ไหว เข้าไปทำร้ายร่างกายของอีกฝ่ายก็เป็นได้ ยังดีที่รู้จักอดกลั้น ไม่ลืมตัวเข้าไปทำร้ายร่างกายคนอื่นเข้าก่อนอย่างที่เด็กสาว ๆ สมัยนี้มักจะทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่แพ้เด็กผู้ชายเลยทีเดียว
นับว่าหล่อนยังคงมีความดีอยู่บ้างเหมือนกัน ไม่เลวร้ายเสียจนเขาไม่อยากจะคุยด้วย
อากาศภายนอกอาคารเย็นวูบ แม้เขาจะใส่แจ็คเก็ตสวมไว้ ต้นฤดูใบไม้ผลิ สิบกว่าองศา ไม่หนาวเท่าไรสำหรับคนเมืองหนาว แต่คนเมืองร้อนที่ไม่ค่อยชิน ก็รู้สึกเย็นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แม่สาวน้อยต้นเรื่องวิ่งไปสงบสติอารมณ์ถึงไหนก็ไม่รู้ แล้วแต่งตัวโป๊ขนาดนั้น จะทนอากาศเย็น ๆ ได้สักขนาดไหน
ศรุตนึกในใจพลางมองหาไปรอบ ๆ อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำถึงขนาดจะขับไสไล่ส่งให้ไปเสียเร็ว ๆ อย่างที่คุณชุดาภาต้องการ เรื่องบางเรื่องก็อาจต้องใช้เวลา เพียงแต่...หล่อนจะเชื่อฟังเขาหรือเปล่าเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็พบเจ้าตัวต้นเรื่องนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่บนเก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ที่ไม่ไกลจากอพาร์ทเมนท์แห่งนั้นนัก จริงอย่างที่คุณชุดาภาพูดไม่ผิด หล่อนไปได้ไม่ไกลจริง ๆ นั่นแหละ
เขามองเห็นแต่ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมยาวรุ่ยร่ายไม่เห็นใบหน้าชัดนัก เพราะหล่อนซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้าง สภาพดูเดียวดายเสียจนเขารู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาในใจอย่างไม่ทันรู้ตัว ความรู้สึกเวทนาขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้เขาไม่อาจยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้ เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าหล่อน
มัทรีสะดุ้งเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบของรองเท้ากระทบพื้นหญ้าใกล้ ๆ ตัว นัยน์ตาทั้งสองข้างชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตา ในขณะที่สองข้างแก้มยังคงมีรอยคราบน้ำตาเกาะเป็นทางยาว หล่อนป้ายน้ำตาออกรวก ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมายืดยาวก่อนจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วยื่นให้ แต่เมื่อเห็นหล่อนมองมันเฉย ๆ โดยไม่คิดจะรับมาใส่ เขาก็เลยอดพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กไม่ได้ว่า
“ใส่เสีย”
หญิงสาวเมินหน้าไปในทางที่ไม่ใช่เขายืนอยู่ หน้าตายังบอกความดื้อดึงที่จะไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็เลยเอาเสื้อพาดไหล่ตัวเองไว้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“เอาล่ะ เรามาคุยกันดี ๆ อาจจะคุยกันนานสักนิด ตอนนี้ยังไม่หนาวก็ไม่เป็นไร หนาวเมื่อไรก็บอกแล้วกัน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึม ๆ ต่อไป โดยไม่สนใจกับใบหน้าขึ้งเครียดของหล่อนว่า “คุณสามารถเล่าให้ผมฟังได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาไปพูดต่อที่ไหน คิดเสียว่าผมเป็นอาของคุณอีกคนหนึ่งก็ได้ คุณมีเรื่องคับอกคับใจอะไรที่อยากจะระบาย หรืออยากขอความช่วยเหลือ หรืออยากจะอะไรก็แล้วแต่ ขอให้พูดออกมา แล้วผมจะช่วยคุณคิดเอง จะแก้ปัญหาให้ได้หรือไม่ได้อย่างไงคุณมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง”
มัทรีเหลือบมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นไม่ได้ดูแก่พอที่จะทำให้หล่อนรู้สึกว่าเขาจะเป็นอาของหล่อนได้ แม้เขาจะเป็นอาของเริงฤทธิ์ก็ตาม และยิ่งไปกว่านั้น เขามากับผู้หญิงคนที่มองเห็นหล่อนเป็นไส้เดือนกิ้งกือที่น่ารังเกียจ แล้วเขาจะมาพูดให้หล่อนไว้ใจเขาได้อย่างไรว่าเขาจะมาช่วยแก้ปัญหาให้หล่อน เขาเห็นหล่อนปัญญาอ่อนนักหรือไง ถึงจะยอมเชื่อเขาได้ง่าย ๆ เพียงแค่เขาพูดดีด้วยแค่นั้น
หล่อนสบตากับเขานิ่งอยู่อึดใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจัดของเขามีประกายคมกล้า จนหล่อนไม่อาจทนประสานสายตากับเขาได้นานนัก ใจของหล่อนหวั่นไหวขึ้นมาวิบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว มัทรีรีบเมินหลบไปทันควัน หล่อนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร รู้เพียงแต่ว่า มันแปลก และหล่อนก็ไม่เคยรู้สึกแปลก ๆอย่างนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยในชีวิต
“คุณพูดได้ไม่ใช่หรือ เมื่อกี๊ผมว่าผมได้ยินที่คุณพูดนะ” เขาเอ่ยขึ้นมาอีก แต่น้ำเสียงไม่ได้บอกว่าเขาพูดเล่นหยอกล้อกับหล่อน
“ฉันพูดได้ ไม่ได้เป็นใบ้” หญิงสาวพูดออกมาเป็นประโยคแรก
“ผมก็คิดอย่างนั้น” และเมื่อเห็นหล่อนเริ่มกอดเข่าเข้าแนบกับตัวมากขึ้น จึงเอาเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองห่มทับให้หล่อนอย่างถือวิสาสะ และแววตาก็มีรอยยิ้มนิด ๆ อย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นหญิงสาวรีบใส่เสื้อของเขาอย่างรวดเร็วไม่ทำท่าหยิ่งเหมือนเมื่อครู่ “เมื่อไม่เป็นใบ้ ก็น่าจะเริ่มต้นคุยกันดี ๆ ได้เสียที”
มัทรีกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ในใจว้าวุ่นจนบอกไม่ถูก หมาจนตรอกคงจะรู้สึกเหมือนที่หล่อนกำลังรู้สึกอยู่ในเวลานี้ มันคงอยากจะแว้งกัดใครต่อใครโดยไม่เลือกหน้า เหมือนกับที่หล่อนกำลังอยากทำ กับใครก็ได้ที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของหล่อน หล่อนอยากจะอาละวาดให้แหลกลาญกันไปให้หมด ในเมื่อหล่อนไม่มีทั้งศักดิ์ศรี ไม่มีที่แม้แต่จะให้ยืนอยู่ได้อย่างปกติชนในสังคม ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้ แล้วหล่อนจะต้องกลัวอะไรอีก ดูเถอะ ใครต่อใครก็พากันรังเกียจหล่อนราวกับหล่อนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ หล่อนผิดอะไรนักหรือที่เป็นลูกของคนที่ทำผิดจนติกคุก ก็ในเมื่อพ่อทำผิด พ่อก็ได้รับโทษแล้ว หรือว่ามันยังไม่พอ จะต้องให้หล่อนเดินเข้าไปขออยู่ในคุกกับพ่อเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดหรืออย่างไง
“คุณจะคุยอะไรกับฉันหรือคะ” หล่อนถามเสียงห้วน ๆ ถึงแม้จะรู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจที่ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่หล่อนก็ไม่ได้มีความวางใจกับท่าทางของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ของหล่อนเอาเสียเลย โดยเฉพาะเขามากับผู้หญิงคนนั้นที่ไล่หล่อนอย่างไม่ไว้หน้า
ศรุตยืดขาออกให้รู้สึกสบายขึ้น เท้าศอกไปที่พนักม้านั่ง เอียงกายไปด้านที่หล่อนนั่งอยู่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ม้านั่งตัวไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็กว้างพอที่จะแบ่งนั่งได้สองคนอย่างไม่อึดอัด เพราะหล่อนผอมบางแทบจะปลิวลมได้อยู่แล้วในเวลานี้
“ทุกเรื่องที่คุณอยากจะคุย”
“แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองอยากจะคุยกับคุณ”
ฤทธิ์มากไม่เลว ศรุตนึกในใจ พลางไล่สายตาพิจารณาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมของหล่อนยาวรุ่ยร่ายก็จริง แต่ก็เป็นสีน้ำตาลสวยขึ้นเงาระยับที่คงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หล่อนคงจะรักสวยรักงามตามประสาผู้หญิงทั่ว ๆ ไป คิ้วสวยได้รูป สีเดียวกับผม และดวงตา ขนตายาวงอนน้อย ๆ ดูรับกันได้ดีกับจมูกเล็ก ๆ แต่โด่งแบบมีสัน ไม่แบนราบจนไม่น่าดู ริมฝีปากบาง ๆ ของหล่อนแม้จะซีดเซียวปราศจากสีสันแต่ก็ได้รูปสวยเช่นเดียวกัน โดยรวม ๆ แล้วก็เป็นผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ไม่ถึงกับสวยจัดจนสะดุดตา แต่ก็จัดว่าน่ามองเมื่อนั่งดูใกล้ ๆ อย่างนี้ แม้ในเวลาที่ผิวแก้มใส ๆ ของเจ้าตัวจะเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำตาก็ตามที
แล้วจู่ ๆ ผิวแก้มซีดเซียว ที่เห็นเมื่ออึดใจก่อนหน้าก็มีสีสันขึ้นต่อหน้าต่อตา แสดงว่าคงจะรับรู้การจ้องมองของเขาอยู่ เขาเห็นหล่อนขยับกายอย่างอึดอัด ที่ไม่น่าจะเกิดเพราะพื้นที่นั่งนั้นคับแคบยังมีช่องว่างเหลือพอที่จะไม่ต้องเบียดกัน แต่น่าจะเป็นความรู้สึกข้างในมากกว่าที่อึดอัด
“พวกคุณก็ต้องรู้อะไร ๆ ทุกอย่างมาทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น อยู่ ๆ จะมาไล่เอาไล่เอาอย่างนี้เหรอ” ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงสั่นน้อย ๆ
“อาจจะรู้ไม่หมด ก็เลยเข้าใจผิดไปก็ได้ ถึงอยากให้คุณเล่ามา”
“ท่าทางน่าจะรู้หมดแล้ว ถึงได้ออกปากไล่ตั้งแต่เห็นหน้าเป็นครั้งแรก” หล่อนบอกต่อมาน้ำเสียงที่ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม
“เอาเป็นว่า ขอรู้เรื่องทั้งหมดอีกครั้งดีกว่า จะได้ช่วยกันคิด”
“จะต้องคิดอะไร ฉันไม่เห็นว่าพวกคุณจะต้องมาช่วยคิดอะไร ในเมื่อก็ได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการแล้วไม่ใช่หรือ ฉันคงไม่หน้าด้านอยู่ห้องของเริงต่อไปหรอก ถ้าถูกไล่จนขนาดนี้แล้ว”
“แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหน”
“ว่าจะไปอยู่คุกกับพ่อ” หล่อนตอบหน้าเฉย ๆ เมื่อได้ระบายความอัดอั้นออกไปได้บ้าง หล่อนก็ค่อยกลับมาเป็นมัทรีคนเดิมที่ไม่เคยกลัวใคร และความจริง หล่อนไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงเขา ในเมื่อเขาไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับหล่อนแม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเป็นนังแจ็คที่มีสิทธิ์จะไล่หล่อนไม่ให้ทำงานซี หล่อนค่อยหงอให้เขา
“แล้วเขาจะอณุญาติหรือ คุณไม่ได้ทำอะไรผิด” เขาย้อนมาอย่างขัน ๆ แทนที่จะโกรธเมื่อได้ยินหล่อนตอบออกมาอย่างนั้น
“ไม่ยากนี่คะ ไปรับจ้างเขาขนยาซักรอบก็โดนสบาย ๆ แล้ว ไม่ต้องหาข้าวหาน้ำกินเอง ที่อยู่อาศัยก็มีไม่ต้องเสียค่าเช่า งานก็มีให้ทำฉันว่าอยู่ในคุกกลับสบายดีเสียอีก”
ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ “อือม์ ไม่เลว ความคิดสร้างสรรค์ดีนี่”
“จะเอาอะไรกับคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างฉันล่ะคะ ในเมื่อไม่เหลืออะไรแล้ว ก็ต้องหาทางช่วยเหลือตัวเองที่ลงทุนน้อยที่สุด” มัทรีประชด ความรู้สึกอัดอั้นทั้งหลายแหล่ที่ต้องเกรงอกเกรงใจกับคนรอบข้างเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้มีอันพังทลายลงในวันนี้เอง
“แล้วนี่คุณไม่เรียนแล้วหรือ”
หน้าของหล่อนสลดลงเมื่อคำถามนั้นจี้ลงไปที่จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้หล่อนต้องดิ้นรนแทบเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ในเวลานี้ ถ้าเพียงหล่อนจะสำนึกในคำสั่งสอนที่ว่า ชีวิตไม่ควรจะตั้งอยู่ในความประมาท มาก่อนหน้านี้ หล่อนคงไม่ลำบากแสนสาหัสเท่านี้หรอก ป่านนี้หล่อนอาจจะจบปริญญาตรีไปแล้ว แทนที่จะใช้เวลาลอยละล่องไปวัน ๆ มาสี่ห้าปี แต่ยังเก็บหน่วยกิตได้ไม่ถึงครึ่งค่อน ในขณะที่คนอื่นที่มาเรียนพร้อม ๆ กันกลับเมืองไทยกันหมดแล้ว บางคนก็กำลังเรียนปริญญาโทเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องอะไรหรอก เริงฤทธิ์นี่ไงปีนี้เขาก็จะจบ เตรียมที่จะต่อโทในเทอมหน้าแล้ว
หมดหวังเสียแล้วที่หล่อนจะได้ปริญญาไปเป็นใบเบิกทางที่จะหางานทำดี ๆ เหมือนชาวบ้านเขา เวลาที่พ่อมีเงินส่งให้เรียน หล่อนกลับผลาญเงินเหล่านั้นไปอย่างไร้คุณค่า ไม่เคยตั้งใจเรียนเลยสักครั้งที่เข้าไปในห้องเรียน เพราะไม่คิดว่าวิชาเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตของตนเอง ต่อให้หล่อนไม่ได้ปริญญากลับไปซักใบ หล่อนก็คงไม่อดตาย ใครบ้างที่จะรู้อนาคต ก็ถ้าเพียงแต่หล่อนจะรู้เท่านั้น.....
น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วเมื่อครู่เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง หล่อนปล่อยให้มันค่อย ๆ รินไหลออกมาอย่างไม่คิดจะอดกลั้นไว้ ...บ่อยไปที่คนเรากว่าจะสำนึกในความโชคดีของตัวเอง ก็ต่อเมื่อความโชคดีมันลอยหนีหายไปเสียแล้ว..อย่างหล่อนนี่ไง
“ร้องไห้ทำไม”
หล่อนเหลือบตามองหน้าคนถาม สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม แต่เหมือนหล่อนจะเห็นความปราณีลึก ๆ แฝงอยู่ หรือว่าหล่อนจะตาฝาดไปเองก็ไม่รู้ แต่ถึงจะไม่แน่ใจสายตาของตัวเอง หล่อนก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอ่อนหวานอย่างประหลาดล้ำที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาที่กลางหัวใจเป็นครั้งแรก เป็นความรู้สึกใหม่เอี่ยมที่หล่อนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันคืออะไรหล่อนก็ไม่แน่ใจนัก แต่มันมีอิทธิพลมากถึงขนาดที่ทำให้หล่อนอยากจะโผเข้าหาไออุ่นจากแผ่นอกกว้าง ๆ ของเจ้าของสายตาคู่นั้นขึ้นมาทันทีทันใด
มัทรีเมินหน้ากลับทันควันก่อนจะเผลอทำตามความต้องการของตัวเอง หล่อนนี่ถ้าจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว ความทุกข์มันทำให้คนเสียสติไปได้ง่าย ๆถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“ตอบได้ไหม ว่ายังเรียนอยู่หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ คิดว่าคงจะไม่เรียนแล้ว”
“คงจะไม่เรียน “ เขาเลิกคิ้ว “แปลว่าตอนนี้ยังเรียนอยู่ใช่ไหม”
“เรียนก็เหมือนไม่ได้เรียน” หล่อนบอกเขาไปตรง ๆ “เพราะแทบไม่มีเวลาเข้าห้องเรียน ต้องซ้อมเต้นช่วงบ่ายเกือบทุกวัน โดดเรียนจนแทบไม่รู้อะไรแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอบ”
“ซ้อมเต้นอะไร”
“ก็ซ้อมเต้นไปโชว์ตอนกลางคืนไงคะ คุณไม่ได้รับรายงานหรอกหรือคะ” หล่อนอดถามอย่างประชดประชันไม่ได้อยู่ดี แต่เขากลับทำเสียงดุ ๆ ว่ากลับมาว่า
“ก็บอกให้เล่ามา ใครจะไปรู้เรื่องของคุณได้หมดเล่า”
“นึกว่าจ้างนักสืบ”
“ไม่จำเป็น เรื่องของคุณไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร”
มัทรีถอนหายใจ หล่อนป้ายน้ำตาที่ค้างอยู่ตามสองข้างแก้มอย่างลวก ๆ เอาเถอะ หล่อนจะเล่าเสียให้หมดเปลือกก็ได้ ถ้าอยากรู้นักล่ะก็
“พ่อฉันถูกจับเพราะขนยาเสพติดมาขายที่นี่” หล่อนเริ่มต้นเล่า “ฉันไม่รู้ว่าพ่อขนมานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าพ่อมีเงินมาให้ฉันเรียนที่นี่ตั้งแต่จบมัธยมที่เมืองไทย ฉันนึกว่าพ่อเป็นส.ส. ก็เลยมีเงิน จะโกงไม่โกงฉันก็ไม่เคยสนใจ สนใจแค่มีเงินพอให้ฉันใช้แค่นั้น จนเมื่อหกเดือนที่แล้วพ่อก็ถูกจับ ฉันแทบช็อค เพราะไม่เคยรู้เลยว่าพ่อขนยาเสพติดเวลาที่มาหาฉัน นึกแต่ว่าพ่อคิดถึง ก็เลยบินมาหาฉันบ่อยๆ มาทีก็ให้เงินไว้มากมาย อยากได้อะไรขอให้บอก อยากซื้อรถก็ซื้อให้ อยากไปยุโรปก็ให้ไป ชีวิตฉันเหมือนนางฟ้าเวลานั้น เพื่อนฝูงเต็มไปหมด ถึงเวลาเรียน ก็ไม่ค่อยได้เข้าห้องเรียน หนังสือไม่เคยอ่าน เที่ยวกินอย่างสบายใจ เพราะคิดโง่ ๆ ว่าจะเรียนให้ปวดหัวไปทำไม เงินที่พ่อมีให้ ใช้ไปจนตายก็ไม่หมด ที่มาเรียนก็เพราะใคร ๆ เขาก็มา ก็สนุกดีจริง ๆ ด้วยซีคะ ชีวิตที่นี่ แต่ต้องมีเงินนะคะ ถ้าไม่มีล่ะก็ นรกชัด ๆ”
หญิงสาวเล่าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หันมามองอีกฝ่ายหนึ่ง สายตาของหล่อนทอดมองไปข้างหน้า เหมือนจะรำลึกถึงภาพในอดีตที่ผ่านมาของตนเองในเวลาเดียวกัน “ถึงเวลาสอบก็ไปอย่างนั้นเอง ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง ตกก็ลงใหม่ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ วนไปวนมา คิดดูซีคะ สี่ปีได้หน่วยกิตไม่ถึงครึ่ง ฉันแย่ขนาดไหน คุณก็คิดดู แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้สึกหรอก คิดแต่ว่า เบื่อค่อยกลับ เผอิญว่ายังไม่เคยนึกเบื่อเลย แล้วก็โชคดีที่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับพวกยาอี ยาไอซ์ เพราะมันดูสกปรกอย่างไงก็ไม่รู้ ฉันเห็นเพื่อนฝรั่งบางคนสูบกันก็ไม่เคยนึกอยากลอง ไม่อย่างนั้นอาจจะเละยิ่งกว่านี้ แต่..คิด ๆ ไป ก็อาจจะโชคร้ายก็ได้ที่ไม่เข้าไปยุ่ง” หญิงสาวพูดแล้วก็หยุดไป แล้วพออีกฝ่ายถามมาว่าทำไม
หล่อนก็ตอบหน้าตาเฉยว่า “อ้าว ถ้าฉันเข้าไปยุ่งตั้งแต่แรก ฉันอาจจะมีทางหนีทีไล่ดีกว่านี้น่ะซีคะ พ่ออาจจะไม่โดนจับก็ได้ หรือว่าถ้าโดนจับ ฉันก็อาจจะทำต่อได้เลย จะได้ไม่ลำบากทำอะไรไม่เป็นอย่างนี้ เพราะพ่อติววิธีการทำมาให้เรียบร้อยแล้ว”
เขาปรามหล่อนด้วยสายตาอันเคร่งขรึมแกมดุ ๆ อยู่ในที ก่อนจะว่าซ้ำ “อย่าพูดเป็นเรื่องเล่น”
“ใครว่าเล่นล่ะคะ นี่แหละเรื่องจริง ที่ฉันบอกคุณว่าเสียดายน่ะ ฉันเสียดายจริง ๆ”
“ก็ยังไม่สายนี่ ไปถามพ่อคุณซี ว่ายังพอมีทางไหม เผื่อเส้นทางเก่า ๆ ยังไม่โดนตัดไปจะได้ฝากฝังให้ทำ” เขาประชดเอาบ้างอย่างเหลืออด
“จริงด้วย เดี๋ยวฉันต้องไปถามคราวหน้าที่ไปเยี่ยม” หล่อนย้อนเขากลับ แล้วก็เห็นด้วยหางตาว่าเขาเขม้นมองมาอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่หล่อนไม่ได้นึกกลัว กลับพูดต่อไปว่า “ต้องขอบคุณมากนะคะ ที่ให้ความเห็น แต่คุณอย่าไปเป็นสายให้ตำรวจก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะโดนจับเสียตั้งแต่รอบแรก หมดอาชีพกันพอดี”
“ก็ไหนบอกว่าจะเข้าไปอยู่ในคุกกับพ่อคุณไงล่ะ”
หน้าหล่อนแดงเรื่อขึ้นเมื่อโดนย้อน
“แล้วไง”
“แล้วไงอะไรคะ”
“ก็พ่อคุณโดนจับแล้วอย่างไงต่อ ทำไมคุณถึงไม่กลับไปเมืองไทย แล้วแม่คุณล่ะ”
“ฉันไม่เคยมีแม่ตั้งแต่จำความได้ เรามีกันสองคนพ่อลูก ไม่มีญาติ มีแต่ลูกน้องพ่อ ลิ่วล้อของพ่อที่ล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วพอพ่อโดนจับ ทุกคนก็พากันหายไปจากชีวิตพ่อเหมือนกับถูกลบทิ้ง ไม่มีใครมาช่วยเหลืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันเคยถามว่า ทำไมพ่อไม่สู้คดี พ่อตอบว่าไงรู้มั้ยคะ พ่อบอกว่า ไม่รู้จะสู้ไปทำไม สู้ก็แพ้อยู่ดี ที่สำคัญก็คือไม่มีเงินจะจ้างทนาย พ่อกะว่าขายรอบนี้ก็จะเอาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้ฉัน เพราะเงินที่มีอยู่หาเสียงไปหมดแล้ว แถมยังสอบตก บ้านก็ติดจำนองแบงค์ กะว่าขนมาเที่ยวนี้ก็จะได้ก้อนใหญ่ แล้วก็อาจจะอยู่กับฉันที่นี่เลย เพราะไม่ได้เป็นส.ส.แล้วพ่ออาย อายที่สอบตก ไม่มีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนแต่ก่อน ก็พอดีโดนจับ ฉันอยากจะช่วย แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไง คนไทยที่นี่ไม่มีใครอยากคุยกับฉันเลย ปรึกษาอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้ามาเกี่ยวข้อง คงจะกลัวติดร่างแหไปด้วยมั้ง หรืออย่างไงก็ไม่รู้ แต่ไม่มีใครต้อนรับฉันเลย ไม่มีใครซักคน อ้อ ไม่ใช่ซีคะ มีเริงคนเดียวที่ยอมคบกับฉัน”
มัทรีหวลนึกถึงเริงฤทธิ์ หล่อนคงไม่มีทางที่จะลืมบุญคุณของเพื่อนคนนี้ไปจนตลอดชีวิต ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง หล่อนกับเขาไม่ได้คุยสนิทสนมกันมากนัก เพียงแต่ยิ้มทักทายกันไปมา ดูเหมือนเริงฤทธิ์จะมีโลกส่วนตัวที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเข้าไปวุ่นวายกับเขา หล่อนรู้เหมือนกันว่า เขาเป็นเกย์ แต่หล่อนไม่ได้สนใจ มันไม่ใช่เรื่องอะไรของหล่อนสักนิด
จนกระทั่งถึงวันที่หล่อนล้มลงอย่างไม่เป็นท่า สภาพหงส์ปีกหักที่ใครต่อใครพากันเมินหน้าหนี เริงฤทธิ์กลับเข้ามาหาหล่อน แม้เขาไม่อาจช่วยพ่อหล่อนได้ในเรื่องคดี แต่หล่อนคงลำบากเลือดตาแทบกระเด็นถ้าไม่มีเริงฤทธิ์คอยช่วยเหลือในด้านความเป็นอยู่อย่างที่ผ่านมา
“เริงแนะนำให้ฉันขายรถ เพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าเรียน แล้วชวนฉันมาอยู่กับเขา เพื่อประหยัดรายจ่าย ฉันอาศัยกินอยู่กับเขาทั้งหมด โดยไม่ได้ออกเงินเลย ฉันหางานทำตามร้านอาหาร แต่ไม่ค่อยมีใครอยากรับฉันเท่าไร แล้วอีกอย่างค่าจ้างก็ถูกจนแทบไม่พอใช้ จนมาได้งานที่เลิฟลี่บันนี่นี่แหละ ถึงค่อยอยู่ได้”
มัทรีไม่ได้บอกเขาให้ละเอียดยิบลงไปว่า โทนี่ ซึ่งเป็นคนรักของเริงเองนั่นแหละ ที่เป็นคนฝากงานนี้ให้ ครอบครัวเขายังรับหล่อนไม่ได้ แล้วจะรับเรื่องโทนี่ได้อย่างไร หล่อนนึกไม่ออกว่า ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยขึ้นมา เพื่อนของหล่อนจะทำอย่างไงกับชีวิตของตัวเอง
“แต่ที่นี่ก็เหนื่อยมาก” หญิงสาวเล่าต่อไป ในเมื่อเขาอยากรู้หล่อนก็จะเล่าให้หมดเปลือกไปเสียเลย เว้นบางเรื่องที่กระทบถึงเริงฤทธิ์ หล่อนก็ไม่พูดถึง “ต้องซ้อมเต้นท่าใหม่ ๆ กันอยู่เรื่อย จนฉันแทบไม่มีเวลาไปเรียนเลย โลกมันเล่นตลกกับฉันจริง ๆนะคะ อีตอนที่มีเวลาเหลือเฟือ ก็ไม่คิดอยากจะเข้าห้องเรียน แต่พอตอนนี้มีความจำเป็นที่จะต้องรีบ ๆ เรียนให้จบ ๆ จะได้หางานทำให้มันดีๆ กับเขาบ้าง กลับไม่มีเวลาจะไป เห็นมั้ยคะว่า คนเราเวลาที่ชีวิตมันตกต่ำ มันก็ตกต่ำเสียจน....” หล่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ “มันช่างเป็นซันเซ็ตออฟมายไลฟ์เสียจริง ๆ “
หล่อนจบเรื่องของตัวเองไว้แค่นั้น เพราะจากนั้นมันเป็นเรื่องที่เขารับรู้อยู่แล้ว และเขาเองกับสตรีผู้นั้น ก็ได้มาช่วยซ้ำเติมให้ชีวิตของหล่อนเป็นตะวันตกดินเร็วยิ่งขึ้น
นับจากนี้ไป ชีวิตหล่อนจะเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ จะไปซุกหัวนอนที่ไหนก็ยังคิดไม่ออก ห้องของเริงหล่อนคงไม่กล้ากลับเข้าไปอีก ถึงหน้าหล่อนจะหนาขึ้นมามากแล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่หนาพอที่จะดึงดันอยู่ต่อไปถ้าเจ้าของเขาไม่ให้อยู่
“ชัดเจนมั้ยคะที่เล่ามาทั้งหมด” หล่อนหันไปถามเมื่อเห็นเขาเงียบไป เห็นเขายังคงจับตามองมาที่หล่อนนิ่งๆ ใบหน้านั้นยังคงเคร่งขรึมเหมือนเมื่อแรกพบ
ศรุตพยักหน้า แต่ยังไม่พูดอะไร เพราะกำลังชั่งใจในสิ่งที่กำลังคิดจะช่วยเหลือหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กายเขา เขานึกถึงคำพูดของคุณชุดาภาที่ห้เขาเอาเงินฟาดหัวไป ลองถามซี จะเอาเท่าไร คงเรียกคุณรุตจนจุใจก็แล้วกัน
ถ้าเขาให้หล่อนเรียกเอง หล่อนน่าจะเรียกสักเท่าไร
แล้วเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่า หล่อนจะทำตามสัญญาถ้าหล่อนได้รับเงินก้อนไปแล้ว หล่อนอาจจะกลับเข้ามาอยู่กับเริงฤทธิ์อีกก็ได้ ใครจะไปนั่งเฝ้าไว้ เพราะอย่างไรเสีย ทั้งเขา ทั้งคุณชุดาภาก็ไม่สามารถจะมาอยู่กับเริงฤทธิ์ได้ถึงที่นี่
และที่สำคัญ หลานเขาจะคิดอย่างไรที่รู้ว่า แม่และอาของเขาร่วมมือกันกีดกันคนที่เขารัก
“ถ้าคุณคิดจะเรียนต่อ ผมจะให้เงินคุณเรียนเอง เอาอย่างนั้นมั้ย”
“อะไรนะคะ” หล่อนอุทานเสียงดังขึ้นอย่างลืมตัว สีหน้าบอกความคาดไม่ถึงในสิ่งที่เขาเสนอให้
“คุณได้ยินไม่ผิดหรอก” ศรุตผงกศีรษะเป็นเชิงรับรอง
“แลกกับอะไรคะ” หล่อนมองเขาอย่างระแวงระคนสงสัย
เขามองตาหล่อนนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า
“แลกกับ.......การออกไปจากชีวิตของเริงฤทธิ์”
คำพูดเรียบ ๆ แต่ทว่าหนักแน่นทุกถ้อยคำในประโยคนั้นทำให้มัทรีหน้าเผือดสีลงทันที ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนใครเอาเข็มหลายร้อยหลายพันเล่มแทงเข้าที่กลางใจ ทำให้หล่อนพูดอะไรไม่ออก คล้ายกับมีก้อนอะไรแข็ง ๆ แล่นเข้ามาจุกอยู่ตรงลำคออย่างกะทันหัน
“ทำไม” ในที่สุดหล่อนก็พึมพำด้วยน้ำเเสียงแหบแห้ง “ฉันน่ารังเกียจถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขานึกไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไรให้หล่อนเข้าใจโดยไม่รู้สึกสะเทือนใจในสิ่งที่เขาตัดสินใจหยิบยื่นข้อเสนอให้เพื่อแลกกับสิ่งที่เขาต้องการ เพราะไม่ว่าจะให้เหตุผลอะไร ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของหล่อนทั้งนั้น
“คุณบอกว่าอาจต้องใช้เวลาเรียนอีกสามปีกว่าจะเก็บหน่วยกิตครบ” เขาเลือกที่จะยื่นข้อเสนอให้กับหญิงสาว แทนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย “ผมจะจ่ายค่าเรียนให้คุณเป็นเวลาสามปี ทุกซีเมสเตอร์ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีให้ เพื่อที่คุณจะได้มีเงินไปจ่ายให้กับทางมหาวิทยาลัย ส่วนค่าที่พักและอาหาร ผมจะจ่ายให้ทุกเดือนจนกว่าคุณจะเรียนจบภายในเวลาสามปี มีข้อแม้เพียงอย่างเดียว คุณต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเริงฤทธิ์อีก ถ้าคุณไม่ทำตามสัญญา ก็จะไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีของคุณแม้แต่เซ็นต์เดียว”
เขานิ่งไปอึดใจเพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหล่อนยังคงนิ่งเงียบ จึงเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเหมือนเดิมว่า “ผมคิดว่าเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายขึ้น คุณน่าจะย้ายไปเรียนที่เมืองอื่น ขอทรานเฟอร์วิชาที่เรียนแล้วเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเรียนซ้ำอีก”
“ทำไม” ในที่สุดมัทรีก็พีมพำออกมาอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม ดวงตาของหล่อนหรี่ลงคล้ายจะบรรเทาความเจ็บช้ำที่ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ “ทำไมคะ ฉันเลวร้ายมากขนาดนั้นเชียวหรือคะ เลวร้ายขนาดที่คุณต้องเอาเงินฟาดหัวเพื่อไล่ออกไปจากชีวิตของเริงเชียวหรือคะ”
“ผมกำลังช่วยคุณแก้ปัญหาต่างหาก อย่าไปพูดถึงเรื่องอื่น” เขาแย้งกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณต้องตัดสินใจตอนนี้ ผมไม่มีเวลารอที่จะให้คุณไปนั่งคิดนอนคิดอีก ถ้าคุณตอบตกลงผมจะโอนเงินให้คุณพรุ่งนี้ทันที เวลาหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่เริงจะกลับ คุณสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้จบ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องมหาวิทยาลัย พรุ่งนี้ผมจะช่วยดูให้ว่ามีที่ไหนจะรับคุณได้บ้าง เมืองอเล็กซานเดรียก็น่าสนใจ มีมหาวิทยาลัยให้เลือกหลายที่ แล้วก็ไม่ไกลจากที่นี่มาก ขับรถประมาณสองชั่วโมงก็ถึง ไม่ลำบากที่คุณจะมาหาพ่อของคุณที่นี่”
“คุณไม่กลัวฉันจะหักหลังคุณหรือคะ”
เขาขมวดคิ้ว “ หักหลังอย่างไง”
“อเล็กซานเดรียอยู่แค่นี้ ก็ถ้าฉันจะมาหาเริง....”
“ทันทีที่รู้ เงินจะหยุดเข้าบัญชีคุณทันที เลือกเอาเอง ว่าต้องการแบบไหน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเข้มงวด “แล้วถ้าคุณไม่รีบตั้งใจเรียนให้จบภายในสามปี เงินก็จะหยุดเหมือนกัน ผมให้เวลาคุณแค่นั้น เอาล่ะ ตัดสินใจมาว่าจะเอาหรือไม่เอา ผมไม่มีเวลาให้คุณโยกโย้มากไปกว่านี้”
“แล้วถ้าฉันไม่ยอมรับล่ะคะ”
“คุณคิดว่าเริงจะช่วยอะไรคุณได้มากไปกว่าให้ที่กินที่พักอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มย้อนถาม
มัทรีหลุบตาลงมองปรายนิ้วมือที่สั่นน้อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่เย็นจัด หรือเป็นเพราะแรงกดดันจากภายในใจ หล่อนมีทางเลือกอะไรเหลืออยู่อีกหรือ คำตอบก็คือ ไม่มีเลย ไม่มี ในเมื่อศักดิ์ศรีก็ไม่มีอยู่แล้ว ที่ในสังคมก็ไม่มีจะให้อยู่ เงินก็ไม่มี บ้านจะซุกหัวนอนก็ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ...ในเมื่อไม่มี แล้วหล่อนจะหยิ่งไปเพื่ออะไรอีก
“ ตกลงค่ะ ฉันจะไปจากชีวิตของเริง” หล่อนพึมพำออกมาในที่สุด



บัวสุพรรณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2556, 14:04:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2556, 14:04:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 808





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
nateetip 23 ก.ค. 2556, 06:50:17 น.
ตามอ่านอยู่นะคะ ชอบค่ะ
และ ขอบคุณมากนะคะที่เสียสละเวลามาลงนิยายให้ได้อ่าน
ขอบคุณค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account