สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน
เรื่องย่อ สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน (บัวสุพรรณ)
มัทรีเป็นลูกสาวของ ส.ส.วันชัย ซึ่งถูกส่งไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา หล่อนใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยสมกับเป็นลูกของคนมีเงินโดยไม่สนใจเรียน หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพ่อตนเองเป็นนักค้ายาเสพติด จนวันหนึ่งระหว่างบินมาเยี่ยมมัทรีที่อเมริกาก็ถูกจับได้โทษฐานขนยาเสพติดมาด้วย และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือมัทรี ยกเว้นเริงฤทธิ์ ซึ่งเอื้อเฟื้อให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในอพาร์ทเมนท์ส่วนตัว แต่ข่าวก็รู้ถึงแม่ของเขาซึ่งเป็นสตรีหม้ายที่อยู่ในสังคมระดับสูง ทำให้แม่ของเขา และศรุตซึ่งเป็นอาของเขาต้องบินมาจัดการไล่มัทรีออกจากชีวิตของเริงฤทธิ์
ด้วยความสงสารและต้องการแก้ปัญหาศรุตจึงเสนอเงื่อนไขให้หญิงสาวด้วยการจ่ายค่าเรียนให้แต่มัทรีต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับเริงฤทธิ์เด็ดขาด
มัทรีย้ายไปเรียนต่ออีกเมืองหนึ่งเพื่อตัดปัญหาเรื่องเริงฤทธิ์ตามคำแนะนำของศรุต หล่อนเรียนจนจบและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่อเมริกา แต่กลับกลายเป็นว่า หล่อนกลับตัดสินใจใหม่ด้วยการบินกลับมาเมืองไทยด้วยเหตุผลเพียงเพราะ หล่อนอยากอยู่ใกล้กับศรุต ซึ่งบังเอิญว่าบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ได้ประกาศรับสมัครพอดี
ทันทีที่ศรุตพบหน้ามัทรีก็เข้าใจว่า หญิงสาวกลับมาแบล็คเมล์เขาอีกรอบเพราะเห็นว่าเขาจ่ายเงินให้หล่อนได้ง่าย ๆ ในรอบแรก มัทรีเจ็บใจที่ถูกเขาเข้าใจผิดและพูดจาเสียดสีเย้ยหยัน จึงบอกว่าหล่อนต้องการจะใช้นามสกุลของเริงฤทธิ์ให้ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าเริงฤทธิ์เป็นเกย์ แต่ต้องการตอบโต้เขา และขอค่าแลกเปลี่ยนด้วยการเรียกร้องเงิน บ้าน และรถ ซึ่งศรุตก็ตกลง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดสินใจแก้ปัญหานี้อย่างไร
มัทรีย้ายไปอยู่คอนโดที่ศรุตจัดไว้ตามคำเรียกร้อง แต่เมื่อเริงฤทธิ์กลับมาจากอเมริกา มัทรีก็ออกไปกับเขาเพราะปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ ซึ่งทำให้ศรุตโกรธ และตัดสินใจที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับหญิงสาวในที่สุด

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6
“วันนี้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินที่เซ็นทรัลมั้ย เบี่ออาหารแถวนี้จะแย่”
สุธาสินีชวนเสียงแจ๋ว เมื่อเวลาอีกสิบนาทีก่อนถึงเวลาพักเที่ยง และก็มีเสียงสนับสนุนตามมาอีกสองเสียง และหนึ่งในสองนั้นก็หันมาชวนมัทรี ที่นั่งทำงานอยู่ติด ๆ กัน
“ ไปมั้ย มัท”
“แล้วจะกลับมาทันเหรอ แค่ชั่วโมงเดียว”
“โอ๊ย ทันเหลือเฟือ หนูมัท” สุธาสินี พี่ใหญ่ของแผนก และเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มกลาย ๆ ที่หล่อนเข้ามาเกาะอยู่ด้วยตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงาน สุธาสินีเป็นคนแรกที่เข้ามาทักทายหล่อนอย่างอบอุ่น ทำให้หล่อนมีความสุขกับการทำงานที่นี่ตั้งแต่วันแรก “ ไปกินกันออกบ่อยไป แต่สองสามเดือนมานี่งานยุ่งจนหมดแรงที่จะออกไปไหน แต่วันนี้อยากกินปลากระพงทอดกรอบ เบื่อข้าวแกง กับก๋วยเตี๋ยวแถวนี้จะแย่แล้ว”
หญิงสาวไม่ปฏิเสธ ดังนั้นพอพักเที่ยง กลุ่มหล่อนก็รีบจ้ำไปขึ้นรถไฟฟ้า แค่สองสถานีไม่ได้ใช้เวลามากนักอย่างที่สุธาสินีว่า มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะสั่งอาหารกินอย่างไม่ต้องรีบร้อนนัก
แต่ก็เกิดเรื่องเข้าจนได้
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้วสักพัก มัทรีเคยนั่งย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่าง...ไม่รู้ว่าจะเสียใจ หรือว่าดีใจกันแน่ ที่ในที่สุดหล่อนก็ได้พบกับคนที่หล่อนอุตส่าห์ตะเกียกตะกายกลับมาเมืองไทยเพื่ออยากจะอยู่ใกล้ ๆ กับเขา ด้วยสาเหตุอะไรหล่อนก็ไม่แน่ใจนักกับความรู้สึกของตัวเอง ระหว่างหลงรักเขาเหมือนคนที่หลงรักดารา หรือว่าเป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจของตัวเองกันแน่
แต่ที่รู้ๆ นั้น หล่อนแทบช็อคเมื่อพบเขาอย่างไม่ทันได้เตรียมทำใจมาก่อนล่วงหน้า
สุธาสินีนั่นเองที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้นั่งแท็กซี่กลับ แทนที่จะกลับด้วยรถไฟฟ้าเหมือนขาไป
“ประหยัดตั้งครึ่ง” เจ้าตัวให้ความเห็น “เรามากันสี่คน ค่ารถไฟฟ้าคนละยี่สิบ แถมยังต้องเดินเหนื่อยขึ้นลงสถานีอีก แต่ถ้าเรียกแท็กซี่ อย่างมากก็สี่สิบบาท แค่ไม่กี่กิโล แป๊บเดียวก็ถึง เร็วก็เร็ว ถูกก็ถูก แถมยังไม่ต้องเหนื่อยปีนบันไดขึ้นไปบนสถานีอีก หารกันแค่คนละสิบบาทเอง”
ว่าไงว่าตามกัน พวกหล่อนมักจะยกให้สุธาสินีเป็นหัวหน้ากลุ่มกลายๆ อยู่แล้ว
แต่เจ้ากรรม ที่การจราจรไม่เป็นไปตามคาด ออกมาจากหน้าห้างได้เพียงไม่เท่าไร รถก็ติดเป็นแพอย่างไม่มีสาเหตุ กว่าจะค่อย ๆ คลานมาส่งถึงหน้าบริษัทได้ ก็เลยเวลางานเข้าไปเกือบยี่สิบนาที พวกหล่อนรีบจ้ำ จนเกือบจะเป็นวิ่งเข้าไปที่ตึก มีมัทรีรั้งท้าย ดังนั้น หล่อนจึงเป็นคนสุดท้ายที่วิ่งเข้าลิฟต์ ที่สุธาสินีไวอย่างเหลือเชื่อพุ่งเข้าไปกดไว้ได้ทันเมื่อเห็นประตูเลื่อนทำท่าจะปิดให้เปิดรับพวกหล่อน
มัทรีเอื้อมมือจะไปกดหมายเลขชั้นสิบแปด ที่หล่อนทำงานอยู่ แต่มือที่เอื้อมไปก็มีอันต้องแข็งค้างราวกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินเสียงเพื่อน ๆ เอ่ยพูดพร้อม ๆ กันว่า สวัสดีค่ะ และพอหล่อนเหลือบมองดูว่าใครที่เป็นบุคคลที่เพื่อนร่วมงานหล่อนยกมือทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน และหล่อนก็เตรียมอยู่เหมือนกันที่จะยกมือไหว้ แม้บุคคลนั้นหล่อนจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม
. แต่กลับกลายเป็นว่า หล่อนรู้จัก และรู้จักเป็นอย่างดีเสียด้วย จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่หล่อนจะแข็งค้างอยู่ในท่านั้นเป็นเวลาหลายอึดใจ จนกระทั่งได้ยินแว่ว ๆ จากใครซักคนกระซิบให้หล่อนกดหมายเลขชั้นในลิฟต์
“เฮ่ย กดซี”
เมื่อนั้นหล่อนจึงได้สติ แต่ก็ช้าไป เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกดให้เสียแล้ว หลังจากถามสั้น ๆ ว่า ชั้นอะไร
มัทรีเห็นเขาผู้นั้นเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือแว่บหนึ่ง แค่นั้นหล่อนก็รู้แล้วว่า มีความหมายว่าอย่างไร และแน่ใจว่าเพื่อน ๆ ของหล่อนก็คงจะกำลังหายใจไม่ทั่วท้องกันอยู่เช่นกัน แต่จะมีซักคนไหมนะที่จะรู้ว่าคนที่อาการหนักกว่าใครเพื่อน ก็คือหล่อนนั่นเอง ที่ไม่ได้กลัวเรื่องเข้างานสายแต่เพียงอย่างเดียว แต่กลัวสวัสดิภาพการทำงานของตัวเองด้วย มิหนำซ้ำ ยังเกิดอาการตื่นเต้นจนแทบจะระงับอัปกิริยาของตัวเองให้เป็นปกติไม่ได้
ลิฟต์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น แต่ก็ยังนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลในความรู้สึกของมัทรี หล่อนรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องหล่อนอยู่นิ่ง ๆ หล่อนไม่กล้าสบตาเขาหลังจากประจันหน้ากันอย่างบังเอิญในแวบแรก จึงไม่อาจเดาได้ว่า เขาจำหล่อนได้หรือไม่
แน่ล่ะว่า เวลาสามปีไม่ได้นานพอที่ใครจะลืมใครได้อย่างง่ายๆ เพียงแต่หล่อนรู้สึกว่าตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากที่เจอเขาเมื่อสามปีก่อน หล่อนตัดผมยาวสลวยของหล่อนเมื่อกลับมาเมืองไทยได้เพียงอาทิตย์เดียว เพราะทนความรำคาญอันเนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดแทบไม่ไหว ช่างทำผมเชียร์ให้หล่อนดัดปลายผมน้อย ๆ เพื่อว่าเวลาสไลด์แล้ว ผมจะได้ขอดอยู่ตรงข้างปลายแก้ม ช่างทำผมอธิบายนั่นอธิบายนี่ เอาแบบมาให้หล่อนดูจนหล่อนขี้เกียจค้าน และก็นึกอยากจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูบ้างเหมือนกัน หล่อนไม่เคยตัดผมสั้นเลยนับแต่จำความได้ ยิ่งตอนหลังที่หล่อนอัตคัดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ด้วยแล้ว หล่อนก็เลิกเข้าร้านทำผมอย่างเด็ดขาด เพราะราคาแพงจับจิต หล่อนจึงได้แต่เล็มปลายเองอย่างง่าย ๆเพื่อไม่ให้มันยาวเกินไปเท่านั้น
หล่อนจำได้ว่าหน้าของตัวเองเปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการไดร์ผมเป็นขั้นตอนสุดท้าย ช่างชมแล้วชมอีก ว่าหล่อนสวยเหมือนกับตุ๊กตา ซึ่งหล่อนก็ได้แต่ยิ้มรับ หากภายในใจก็อดรู้สึกเสียดายเงินไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ได้สูงลิบลิ่วเท่าที่อเมริกา แต่ก็น่าเสียดายในยามที่หล่อนยังไม่ค่อยอยากใช้เงินเท่าไร
หากในเวลานี้หล่อนกลับนึกขอบคุณช่างซอยผมคนนั้นอยู่ในใจ ที่อาจจะเนรมิตหล่อนให้แปลกตาไปเสียจนเขาอาจจะจำหล่อนไม่ได้ก็ได้ เพราะนอกจากจะเปลี่ยนทรงผมแล้ว หล่อนยังรู้สึกตัวเองอ้วนขึ้นไม่ได้ผอมจนแทบจะเป็นโครงกระดูกเดินได้เหมือนตอนนั้น ที่หล่อนต้องเต้นแร้งเต้นกาจากอาชีพแดนเซอร์เกือบทุกคืน แถมยังกินไม่เป็นเวล่ำเวลาอีก บางทีก็อดไปเลยก็มี เพราะไม่มีเวลา
แล้วยังการแต่งเนื้อแต่งตัวนี่ก็อีก หล่อนห่างไกลจากหญิงสาวท่าทางเซอร์ ๆ คนเดิม นับแต่เข้ามาทำงานที่นี่ หล่อนยังอดรู้สึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ว่าตัวเองดูภูมิฐานขึ้นจนผิดหูผิดตา
มัทรีพยายามคิดเข้าข้างตัวเองตลอดเวลา ท่ามกลางจิตใจที่ระส่ำระสายจนบอกไม่ถูก ความกลัวจะโดนไล่ออกจากงานดูเหมือนจะมากกว่าความรู้สึกดีใจที่โลดแล่นขึ้นมาในความรู้สึกแรกที่เห็นหน้าอดีตเจ้าของทุนของหล่อนเสียอีกในเวลานั้น
ในที่สุด ลิฟต์ก็วิ่งมาถึงชั้นที่หล่อนทำงานอยู่ ทุกคนต่างยกมือไหว้เขาอีกครั้งก่อนออกมา ยกเว้นหล่อนอีกนั่นแหละ ที่ไม่ได้ไหว้เขาเลยทั้งสองรอบ
“เป็นไง คอขาดเลยเห็นมั้ย พี่สินี ถ้านั่งรถไฟฟ้ากลับก็ไม่เจอหรอก” อโนมาพูดขึ้นเป็นคนแรกหลังจากลิฟต์ปิดลง
“นั่นซี แจ็คพ็อตสุด ๆ เจอใครไม่เจอดันมาเจอบอสใหญ่เข้าให้” สุธาสินีบ่นพึม “ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอ อยากเห็นหน้าจะแย่ ก็ไม่ค่อยจะได้เห็น เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง จะเห็นหน้ากันทีก็ตอนมีประชุมใหญ่ หรือไม่ก็งานสัมมนา แต่พอทำผิดหนแรกก็เอาเชียว ปะทะกันจัง ๆ อย่างกับจะรอจับผิดพวกเราแน่ะ อยากจะมองหน้าหล่อ ๆ ของบอสใหญ่ให้ชัด ๆ เสียหน่อยก็ไม่เลยไม่กล้า”
“แหม ยังมีแก่ใจจะพูดเล่นอีก พี่สินี” วิภาวดีล้อ “เห็นมั้ยเขามองที่นาฬิกาข้อมือ ตอนเอื้อมมือไปกดลิฟต์แทนใยมัท เออ นี่ แล้วเห็นบอสจ้องใยมัทเรามั้ย มองอยู่คนเดียวเลย ไม่เหลือบแลมาที่พวกเราแม้แต่นิดเดียว มันน่าน้อยใจจริง ๆ”
“เห็น” สุธาสินีทำเสียงหนักแน่นอย่างเห็นด้วย หันมามองมัทรีแล้วยิ้มอย่างล้อเลียน “สงสัยราชรถจะมาเกยเสียแล้วล่ะมั้ง นี่ถ้าบอสสละโสดกับเราเข้าจริง ๆ ก็อย่าลืมพี่สินีคนนี้นะ ใยมัท ต้องถือว่าพี่มีบุญคุณกับมัทนะ จะบอกให้รู้ไว้ ที่แนะนำให้ขึ้นแท็กซี่กลับ ถ้าขึ้นรถไฟฟ้ากลับล่ะก็ มัทคงไม่ได้มีโอกาสเปิดตัวกับบอสอย่างวันนี้หรอก จริงมั้ย เพราะถ้าเรากลับมาทันเวลาก็ย่อมจะไม่เจอบอสแน่ ๆ”
“โธ่พี่สินี” มัทรีร้องอุทาน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่หล่อนก็ยังไม่วายเสียวสันหลัง ไม่ได้กลัวราชรถจะมาเกยหล่อนอย่างที่โดนล้อเล่นหรอก แต่กลัวรถตักจะมาโกยหล่อนออกไปจากบริษัทนี้ต่างหากเล่า “เกยมัทให้ออกไปจากที่นี่น่ะซี” หล่อนเผลอหลุดปากอย่างลืมตัว แต่ก็หยุดปากตัวเองแต่เพียงแค่นั้น หล่อนคงไม่กล้าเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเป็นแน่ โชคดีที่ไม่มีใครสงสัยคำพูดของหล่อน คิดเพียงแต่ว่าหล่อนกลัวเกินกว่าเหตุเรื่องเข้าทำงานสาย
“เฮ่ย แค่เข้าสายหน่อยเดียว เขาไม่ใจร้ายขนาดไล่ออกหรอกน่า อย่างดีก็แค่เตือน ที่มองนาฬิกานั่นไง เตือนคุณแล้วนะ ทีหลังอย่าสายอีก” สุธาสินีว่า
วิภาวดีหัวเราะ จูงมือมัทรีเดินไปที่ห้องทำงาน “กลัวอะไร บิ๊กบอสเราไม่ใจร้ายหรอกน่า ดุ ๆ แต่ท่าทางอย่างนั้นเอง แต่ไม่เคยได้ยินใครนินทาว่าโหดเลยสักคน มีแต่คนเครซี่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะสาว ๆ นี่ถ้าบอสสละโสดเมื่อไรล่ะก็อกหักเป๊าะกันเป็นแถว โดยฉพาะพี่สินี” คนพูดชายตามาที่สุธาสินีอย่างยั่วเย้า ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“แหงแหละ ใครจะไม่อกหัก หลงรักมาตั้งนาน ถึงไม่อยากย้ายไปทำงานที่อื่นอยู่นี่ไง” ต่างฝ่ายต่างยั่วเย้ากันอย่างสนุก ๆ ไม่ได้จริงจังนัก และพอเข้าห้องทำงานก็ต่างรีบเข้าประจำที่ทำงานของตังเองอย่างรวดเร็ว เพราะคนอื่น ๆ ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองอยู่
ในขณะที่คนอื่นเริ่มต้นทำงานได้ทันที มัทรีกลับต้องเสียเวลารวบรวมขวัญที่กระเจิดกระเจิงของหล่อนให้กลับสู่สภาวะปกติอยู่พักใหญ่ กว่าจะเริ่มต้นลงมือทำงานได้ แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ยังระแวงแทบทุกครั้งที่มีสายในเรียกเข้ามาในห้องทำงาน เพราะกลัวจะเป็นการเรียกมาจากฝ่ายบุคคล
จากวันนั้นเป็นต้นมา หล่อนก็เดินเข้าที่บริษัทอย่างใจคอไม่ค่อยดีนัก กลัวจะโดนเรียกพบ แต่ดูเหมือนหล่อนจะระแวงไปเองเสียล่ะมากกว่า เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์ยังคงปกติจนหล่อนค่อยคลายความวิตกกังวลลงได้
ขอบคุณสวรรค์.... มัทรีนึกอยู่ในใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ขี้เกียจนับ.... เขาจำหล่อนไม่ได้จริงๆ........
แต่ในความเป็นจริงที่หล่อนยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยก็คือ คนที่คิดว่าจำหล่อนไม่ได้นั้น แท้ที่จริงแล้ว หล่อนเข้าใจผิดอย่างแรง หล่อนคงแทบนั่งไม่ติด หรือไม่ก็นอนไม่หลับ ถ้าบังเอิญมีตาทิพย์ได้เห็นในวันนั้นว่า ทันทีที่ศรุตกลับเข้าห้องทำงานส่วนตัว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเรียกไฟล์รายชื่อพนักงานบริษัททั้งหมดขึ้นมาดู !!!!!
และหล่อนคงขวัญผวา ถ้าได้เห็นต่อไปอีกว่า หน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้ว ยิ่งเคร่งหนักไปกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏในสายตาของเขาหลังจากคีย์หาชื่อ มัทรี ลงไป
คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน เมื่อพยายามนึกหาเหตุผลที่ทำให้เจ้าหล่อนผู้นั้นกลับมาเมืองไทย หล่อนกลับมาอีกทำไม แถมกลับไม่กลับธรรมดา วิ่งแล่นมาทำงานอยู่ใต้จมูกเขานี่เอง เขาอดนึกระแวงขึ้นมาไม่ได้ว่า อีกฝ่ายน่าจะมีแผนอะไรอยู่ในใจถึงได้เข้ามาทำงานอยู่ที่นี่
เขามองดูรายละเอียดที่แผนกบุคคลบันทึกข้อมูลส่วนตัวของหล่อนอย่างใช้ความคิด ขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิดเจ้าตัวผู้เป็นต้นเหตุให้เขาต้องมาเสียเวลาใช้ความคิดอย่างไม่ควรจะเป็น เขาขว้างงูไม่พ้นคอเสียแล้วสำหรับงานนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างยืดยาว ขณะบันทึกเบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ตรงหน้าเข้าเครื่องส่วนตัวของเขา
เห็นท่าว่าเขาจะต้องเหนื่อยอีกแล้ว เริงฤทธิ์กำลังจะกลับมาทำงานที่นี่ ปลายเดือนนี้
เขาไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหล่อน ถ้าหากว่าเรียกมาถาม แล้วได้รับคำตอบว่า หล่อนไม่รู้ว่าเริงฤทธิ์กำลังจะกลับมาทำงานที่นี่ ที่ไม่มีข่าวว่าหล่อนกลับมาติดต่อกับเริงฤทธิ์อีก น่าจะเป็นเพราะหล่อนไม่ได้เป็นคนโง่ ผลประโยชน์ที่หล่อนจะได้รับจะต้องมลายหายวับไปในทันที หากหล่อนไม่รักษาสัญญา แต่ไม่มีใครรู้ว่า ลับหลังหล่อนจะติดต่อกับเริงฤทธิ์หรือไม่
ซึ่งเขาคิดว่า หล่อนน่าจะมีการติดต่อกับเริงฤทธิ์อยู่ ไม่อย่างนั้น หล่อนคงไม่เข้ามาทำงานรออยู่ที่นี่ ดีไม่ดี อาจเป็นเริงฤทธิ์นั่นเองที่ฝากหล่อนเข้ามาทำงานโดยไม่บอกเขา ซึ่งฝ่ายบุคคลก็คงไม่กล้าปฏิเสธหากเริงฤทธิ์เป็นคนโทรมาสั่งเอาไว้ พนักงานที่นี่ โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกใหญ่ ๆ ทุกคนรู้จักเริงฤทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น
นี่เขาจะจัดการอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี ชายหนุ่มนึกในใจ หล่อนร้ายกาจเกินความคาดหมาย เขาไม่แน่ใจว่า หล่อนรักเริงฤทธิ์จริงๆ หรือรักเงินของหลานชายเขากันแน่
แต่ให้เดา เขาอยากจะคิดว่ามันเป็นประการหลังมากกว่า เด็กสาว ๆ ที่เคยใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อมาก่อน เมื่อมาประสบมรสุมชีวิตที่ทำให้ชีวิตตกต่ำลง ก็น่าที่จะพยายามทุกวิถีทางที่จะกลับเข้ามามีชีวิตเหมือนเดิม ที่น่าแปลกใจก็คือ ตลอดเวลาสามปีที่หล่อนยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น หล่อนยังคงหาที่เกาะเกี่ยวใหม่ไม่ได้เลยหรืออย่างไร ทำไมหล่อนยังคงวนเวียนกลับมาที่เริงฤทธิ์อีก
หรือว่า หล่อนใคร่ครวญดูแล้ว ยังหาใครเทียบเท่าเริงฤทธิ์ไม่ได้ อาจจะมีบ้าง ที่เป็นคนหน้าใหม่ ๆโฉบเข้ามาหาหล่อนบ้าง ขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น แต่ดูรูปการณ์แล้ว หล่อนคงไม่ได้ปักใจจริงจัง ดูเหมือนยังจดจ่ออยู่กับเริงฤทธิ์คนเดียว หล่อนคงคิดดีแล้วว่า อนาคตของหล่อนจะต้องสวยหรูอย่างแน่นอนถ้าหากเกาะเริงฤทธิ์ได้สำเร็จ
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง หล่อนท่าจะลืมความร้ายกาจของคุณชุดาภาไปเสียแล้วละมัง หรือไม่อีกที อาจเป็นไปได้ว่า เที่ยวนี้หล่อนอาจจะเตรียมตัวมารับมืออย่างดีแล้วก็ได้ นึก ๆ แล้วเขาก็อยากให้คุณชุดาภาจัดการไปเสียเองให้รู้แล้วรู้รอด แต่นิสัยของคุณชุดาภา ที่เขารู้จักมานานเท่าอายุของเริงฤทธิ์ ทำให้เขารู้ว่า เรื่องนี้ไม่มีทางพ้นหน้าที่เขาไปได้ ทันทีที่รู้ถึงหูเมื่อไร คุณชุดาภาจะต้องวิ่งแล่นเข้ามาหาเขาเมื่อนั้น และคงจะคร่ำครวญตีโพยตีพายตามสไตล์เดิม ๆ เพื่อให้เขายื่นมือเข้าไปจัดการอีกอย่างไม่ต้องสงสัย



บัวสุพรรณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2556, 15:10:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2556, 15:10:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1472





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
nateetip 25 ก.ค. 2556, 19:45:06 น.
..^.^.. รอลุ้นเวลาคุยกัน..


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account