ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: อีกครั้งที่สาวมาดมั่นกับหนุ่มมาดเข้มปะทะกัน

หทัยชนกกับวีนายื่นจดหมายลาออกในวันเดียวกัน เพราะทั้งสองจะต้องเข้าไปผจญภัยกับคนในตระกูลบวรชัยกุลด้วยกัน ส่วนอิงอร อุ้ยและนิ่งจะต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งโอนเสร็จเมื่อวานนี้ บ้านเช่าหลังน้อยทั้งสองหลังจึงกำลังถูกคนในชุมชนมาช่วยกันขนย้ายข้าวของใส่รถไปบ้านใหม่อย่างชุลมุลวุ่นวาย แม้ผู้คนในซอยจะคุ้นเคยกันมานาน และทั้งสามคนไม่อยากจะย้ายไปยังไง

แต่หทัยชนกก็ต้องขอร้องให้ไป เพราะแม่มีสุขภาพไม่สู้ดี การอยู่แวดล้อมด้วยสภาพไม่ดีพลอยจะทำให้อาการเจ็บป่วยมาเล่นงานซ้ำได้โดยง่าย เมื่อเจอเหตุผลนี้เข้าทุกคนจึงจำใจต้องยอม หทัยชนกซื้อรถคันใหม่ราคาเหยียบล้าน เพื่อเอาไว้ไปใช้งาน ส่วนคันเก่าจะเก็บไว้ให้แม่ใช้ เพราะหมู่บ้านจัดสรรห่างไกลตลาด จึงต้องมีรถไว้อำนวยความสะดวก อุ้ยจะเป็นคนขับให้สองสาวไปทุกๆ ที่

เมื่อทุกอย่างลงตัวดีแล้ว หทัยชนกก็มีเวลาได้ศึกษาแหล่งที่อยู่ใหม่ นั่นคือคฤหาสน์ของวงศ์สกุลที่ตัวเองมีความจำหลงเหลืออยู่ในหัวเพียงเลือนลางเท่านั้น โดยเฉพาะด้านบวก ส่วนด้านลบนั้นจำได้แม่นยำว่าใครเคยทำอะไรให้ เคยด่าว่ายังไง เคยกลั่นแกล้งยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการกลับไปในครั้งนี้ นอกจากจะได้ไปหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่เรื่องคบชู้สู่ชายแล้ว

การจะได้เอาคืนคนที่เคยทำไม่ดีไว้ให้ก็เป็นเป้าหมายรองลงมา ส่วนเรื่องที่จะให้ไปช่วยงาน หญิงสาวไม่มั่นใจเอาเสียเลย เพราะลำพังตัวเองนั้นจะไปทำอะไรได้มากน้อยสักแค่ไหน แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยๆ ก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘บวรชัยกุล’ ด้วยหนึ่งคน แม้เจ้าของนามสกุลจะไม่เต็มใจให้ใช้ยังไง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ ว่าเธอคือลูกสาวคนแรกของนายสงครามนั่นเอง

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกิจการของครอบครัวที่พอจะหาได้ในเน็ท จึงถูกสืบค้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นทุนในการเริ่มต้นทำงานจะได้ไม่ปล่อยไก่ทั้งเล้านัก หรือถ้าจะมีก็ให้เป็นแค่ตัวสองตัวถึงจะไม่ถือว่าน่าเกลียด อิงอรจ้องมองลูกที่วุ่นอยู่กับหน้าจอแล็ปทอปมาตั้งแต่เช้าแล้ว จึงเดินเข้าไปหาพร้อมแก้วน้ำส้มคั้น หทัยชนกหันไปมองของในมือแม่แล้วมาจิบอย่างเอาใจ แม้จะไม่รู้สึกหิวก็ตามที แล้วก็แซวแม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เดี๋ยวนี้แม่เห็นอ๋อเป็นนางเอกไปแล้วเหรอจ๊ะ ตั้งแต่ย้ายมาบ้านใหม่ถึงขยันคั้นน้ำส้มให้จัง”

“เปล่า! แม่เห็นช่วงนี้ส้มถูกหรอก เลยเหมามาหลายถุง แล้วแม่จะเห็นเราเป็นนางเอกไปได้ยังไงกันจ๊ะ นางร้ายล่ะไม่ว่า ป่านนี้คุณปู่คุณย่าไม่ด่าเราเปิงไปแล้วเหรอ หาว่ารีดไถเงินท่านมาใช้ แม่ไม่สบายใจเลย แล้วตกลงจะไปค้างที่บ้านนั้นจริงๆ เหรอ ทำไมไม่มาค้างบ้านเราล่ะ ขับรถไกลขึ้นอีกหน่อยเองนะ แม่ไม่อยากให้ห่างหูห่างตาเลยบอกตรงๆ ว่าเป็นห่วง”

อิงอรเองก็รู้ความร้ายกาจของคนในบ้านนั้นไม่น้อยไปกว่าลูกสาว หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่กว่าจะรู้หรือคิดได้ว่าเบื้องหลังใบหน้าเปื้อนยิ้มกับท่าทีอ่อนหวานของสาลินีนั้นซุกซ่อมคมมีดเอาไว้ มันก็สายไปเสียแล้ว แถมก็ไม่มีหลักฐานหรือพยานจะเอาไปบอกใครได้ หรือต่อให้บอกได้ก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าคุณผู้หญิงของบ้านจะใจไม้ไส้ระกำทำเรื่องไม่ดีอย่างนั้นได้

“ไกลขึ้นอีกหน่อยที่ไหนกันละจ๊ะแม่ อยู่คนละมุมเมืองเลย อีกอย่างถ้าอ๋อไม่เข้าไปอยู่ในนั้น อ๋อจะกระชากหน้ากากนังผู้ดีจอมปลอมออกมาได้ยังไง แล้วไหนจะเรื่องหาพยานหรือหลักฐานมาลบล้างความผิดให้แม่อีก เรื่องผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้ว คนสวนที่ว่าก็ไม่รู้จะทำงานอยู่ในบ้านนั้นหรือเปล่า เราอยากได้ลูกเสือก็ต้องยอมเสี่ยงเข้าถ้ำเสือหน่อยสิจ๊ะแม่” หทัยชนกรู้ดีว่าแม่ห่วง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นหากจะหาทางลบล้างความผิดในอดีตให้แม่

“แต่แม่ไม่สนใจแล้วว่าใครจะคิดยังไงกับแม่ ถ้ามันต้องแลกด้วยการที่ลูกต้องเข้าไปใกล้คนใจร้ายอย่างสาลินี เราไม่มีวันจะรู้หรอกว่าในใจของแม่นั่นคิดทำอะไรร้ายๆ เอาไว้บ้าง อีกอย่างแม่ก็ไม่แน่ใจว่ามีคุณย่าร่วมมือด้วยหรือเปล่า คุณย่าเกลียดแม่ยังกับอะไรดี และแม่ก็เชื่อว่าท่านจะต้องเกลียดลูกด้วย คนในบ้านทั้งหมดก็เป็นคนของท่าน จะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไงล่ะอ๋อ”

ข้อนี้เธอรู้ดีและเห็นด้วยกับคำแม่แทบทั้งสิ้น แต่ก็ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ จึงแสดงท่าทีแข็งขันและมุ่งมั่นอย่างไม่เกรงกลัวใครเลย

“แม่ลืมไปแล้วเหรอจ๊ะว่ามีลูกสาวเก่งแค่ไหน พี่อี๋ก็ไปด้วยทั้งคน มีอะไรเราก็ช่วยกันได้ อ๋อสัญญาว่าทันทีที่ได้หลักฐานครบเมื่อไหร่ อ๋อจะย้ายกลับมาอยู่บ้านกับแม่เลยจ๊ะ อีกอย่างเสาร์อาทิตย์อ๋อก็มานอนกับแม่อยู่แล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องทำอะไร พักผ่อนให้มากๆ จะได้แข็งแรง”

“อ๋อๆ ไปกันหรือยัง”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงวีนาแทรกเข้ามาในห้อง จนสองแม่ลูกต้องรีบหยุดเรื่องนี้เอาไว้ และหทัยชนกถือเป็นเรื่องดีเพราะไม่อยากให้แม่คิดมาก ลิ้นชักโต๊ะจึงถูกดึงออกมาพร้อมซองหนังสีดำที่อิงอรเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งที่สอง หทัยชนกคว้าขึ้นมายัดใส่กระเป๋าสะพายที่กองอยู่บนโต๊ะก่อนจะยิ้มให้แม่

“งั้นอ๋อไปก่อนนะจ๊ะแม่ ตอนเย็นถ้าอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษก็โทรบอกนะจ๊ะ”

อิงอรได้แต่มองตามหลังลูกสาวที่รีบวิ่งออกจากห้องลงไปหารถแล้วขับออกไปโดยเร็ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาน้อยๆ ที่คำเตือนของตัวเองไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนความคิดของลูก

“ไม่ต้องห่วงไอ้อ๋อมันมากจนเกิดเหตุนักหรอกอิง มันโตแล้วคงเอาตัวรอดได้ หรือแกอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างคนมีตราบาปติดตัวไปจนตายล่ะ ลูกมันอยากจะลบล้างความผิดให้ก็ดีแล้วนี่ฉันว่าน่ะ”

นิ่งผู้เป็นพี่สะใภ้เห็นอาการของอิงอรที่มองตามรถลูกแล้วถอนหายใจเฮือกๆ ออกมาก็อยากจะปลอบขวัญ แม้นิ่งจะห่วงหลานอยู่บ้างแต่ก็เห็นด้วยที่หลานจะไปทำหน้าที่ลูกที่ดีให้แม่ด้วย

“ก็ฉันห่วงลูกนี่นาพี่นิ่ง” อิงอรอดเถียงกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่ได้

“ฉันรู้ แต่ก็เปลี่ยนใจไอ้อ๋อมันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ แล้วจะมานั่งกลุ้มทำไมกัน เราไปเดินตลาดนัดที่ถนนฟากกะโน้นกันดีกว่าเห็นแม่ค้าตั้งแผงกันเป็นตับจะได้หายกลุ้ม เดี๋ยวไปตามพี่อุ้ยให้เอารถออกก่อน”



สนามยิงปืนคือแหล่งที่หทัยชนกหักพวงมาลัยรถเข้าไป พันตำรวจตรีพีระ แสงสิงห์ ชายหนุ่มรูปร่างสูง ผมสั้นเกรียนผู้จะทำหน้าที่เป็นครูฝึกให้สองสาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว แม้ไม่แน่ใจนักว่าทั้งคู่จะมีโอกาสได้ใช้ปืนสักกี่มากน้อย แต่ก็ถือเป็นการดีหากจะเรียนรู้เอาไว้เผื่อฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือตัวเองทันท่วงที เพราะเท่าที่ฟังเรื่องคร่าวๆ จากปากวีนาแฟนสาวของเขา ก็นับว่าทั้งคู่อยู่ในภาวะเสี่ยงและไว้ใจใครไม่ได้เช่นกัน

“จำไว้นะว่าปืนไม่เข้าใครออกใคร ถ้าเป็นไปได้อย่าเอาลูกใส่ไว้ในรังเพลิง และห้ามเอาไว้ด้วยกันให้แยกเก็บคนละที่ พลาดพลั้งมาแล้วจะเสียใจ” ครูหนุ่มกล่าวเตือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมขณะสอนวิธีบรรจุกระสุน

“อ้าว! พี่ระ ให้เก็บแยกกันอย่างนี้เกิดฉุกเฉินจะต้องยิงใครขึ้นมาจะทันการณ์เหรอ กว่าจะไปหาปืนแล้วยังต้องวิ่งไปหาลูกเอามาใส่อีก มีหวังตายก่อนจะได้ยิงกันพอดี” วีนาจึงรีบแย้งขึ้น เพราะไม่เข้าใจในคำสอนของแฟนหนุ่ม

“อ้าว! ก็อย่าเอาไว้ให้มันห่างกันนักสิ หรือถ้ามั่นใจว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงจริงๆ ก็เอากระสุนใส่ไว้ ที่พี่เตือนก็เพราะกลัวว่าจะทำปืนลั่นใส่กันน่ะสิ หรือจับไม่ดีหลุดมือหลุดไม้ไปก็ได้ตายก่อนจะได้ยิงกันพอดีอีก อย่ามาเถียงมากนะ นี่ครูนะครู สอนๆ อะไรก็จำๆ ไว้สิ อะไรกันนี่เรา”

ครูหนุ่มยกมือขึ้นเขกกระบาลแฟนสาวเบาๆ ก่อนจะสอนต่อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ขั้นแรกจนกระทั่งให้เข้าไปยืนถือปืนจริงเล็งไปหาเป้าแล้วลั่นไกเป็นครั้งแรกในชีวิต วีนาตกใจจนสะดุ้ง แต่หทัยชนกเพียงแค่เกร็งนิดในช่วงแรกเท่านั้น เพราะมีความมุ่งมั่นที่จะไปเอาคืนคนที่ทำให้แม่ต้องมีตราบาปติดตัว และทำให้ตัวเองต้องห่างพ่อห่างปู่และห่างบ้านซึ่งมีความสะดวกสบายพร้อมสรรพมาตั้งแต่เล็กๆ

“เฮ้อ! เสียดายกระสุนจริงๆ เลย แต่ไม่เป็นไรฝึกบ่อยๆ คงจะใกล้เป้าเข้าสักวันล่ะนะ เอ้า! ใส่กระสุนได้”

พีระส่ายหน้าน้อยๆ ให้ทั้งสองสาวเมื่อเห็นรูกระสุนอยู่ห่างเป้าคนละโยด หทัยชนกเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ แต่วีนาส่งค้อนวงใหญ่ให้แฟนด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำตามคำสั่งอยู่ดี ชุดที่สองกระสุนค่อยเข้าใกล้เป้าขึ้นหน่อย กำลังใจที่จะฝึกต่อจึงเกิดขึ้นกับสองสาว ออกจากสนามยิงปืนแล้วทั้งสามคนไปนั่งกินมื้อเที่ยงในห้างสรรพสินค้า

กินข้าวยังไม่ทันเสร็จดีด้วยซ้ำ พีระก็ต้องรีบผละไปก่อน เพราะมีเหตุปล้นร้านทองในย่านที่ไม่ห่างจากจุดที่เขาอยู่นัก วีนาออกอาการเซ็งนิดๆ ที่ตั้งใจว่าจะได้อยู่ใกล้แฟนสักหน่อย แต่ก็ต้องมีงานด่วนเข้ามาจนได้ หทัยชนกจึงปลอบใจเล็กน้อย แล้วถือโอกาสพาเดินซื้อเสื้อผ้าใหม่เตรียมสำหรับไปทำงานในตำแหน่งใหญ่ของวงศ์สกุลหลายสิบชุด รวมทั้งของวีนาด้วย จากนั้นก็เข้าร้านเสริมความงาม ขัดสีฉวีวรรณกันเป็นนาน

ผมที่เคยยาวสลวยดกดำเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลบลอนด์สว่าง และเพิ่มความเป็นสาวเปรี้ยวด้วยการทำประกายสีแบบโกลเด้นฮันนี่ จากที่เคยตรงก็เปลี่ยนเป็นหยักลอนใหญ่มองแล้วแปลกตา แต่สวยเข้ากับหน้าคมไม่น้อย วีนาเองก็สลัดผมยาวปะหลังทิ้ง แล้วได้ผมซอยสั้นสีน้ำตาลอ่อนๆ เข้ามาแทนที่ ทำให้ดูเปรี้ยวและทะมัดทะแมงขึ้น

“อ๋อไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่อี๋”

หทัยชนกบอกเมื่อพี่ยังนั่งให้ช่างไดร์ผมอยู่ เพราะนั่งรอนานแล้วแต่ไม่เสร็จสักที ออกจากร้านได้ก็เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งด่วน เพราะอยู่ไกลจากร้านไม่น้อย แถมผู้คนในห้างก็เยอะกว่าปกติ เพราะเป็นวันหยุด ร่างสูงเพรียวกับรองเท้าส้นสูงจึงต้องคอยเดินหลบเพื่อให้ชนใครเข้า

“โอ๊ย!!!”

แต่จนแล้วจนรอดก็ยังชนเข้าอย่างจังอยู่ดี เมื่อเดินมาถึงทางเลี้ยงเข้าห้องน้ำ เพราะเจ้าตัวมัวแต่ก้มลงไปคว้านหาทิชชูในกระเป๋า สองแขนจึงไม่ว่างมากพอที่จะค้ำร่างตัวเองไว้ เป็นเหตุให้บั้นท้ายจ้ำเบ้ากับพื้นแข็งๆ จนของเหลวที่กำลังจะวิ่งไปเอาออกเกือบทะลักออกมาก่อน ถุงสารพัดในมือคู่กรณีตกมาใส่อีกสองสามถุง ที่ตกลงหาพื้นก็ไม่ต่ำกว่าสามถุง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

ชายหนุ่มไม่ได้ห่วงถุงของไปมากกว่าหญิงสาวที่วิ่งเข้ามาชนเลย จึงรีบก้มลงไปหมายจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แต่ทันทีที่เจ้าของบั้นท้ายจ้ำเบ้าอยู่เงยขึ้นมามองเจ้าของเสียง และจำได้ว่าเป็นใครเท่านั้น ก็อุทานออกมาทันที

“คุณ!!!”

ปวีย์เองก็เพิ่งจะเห็นว่าเป็นใครเช่นกัน และมันก็ทำให้เขาอดคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่เดินมาชนเขาในโรงจอดรถเมื่อนานมาแล้วไม่ได้ อยากจะคิดว่าเป็นคนเดียวกัน แต่สาวในคืนนั้นเป็นนางแบบ เพราะเขาจำชุดที่ใส่ได้ แม้จะไม่ใช่ชุดฟีนาเล่ก็ตาม ส่วนสาวปากกล้าคนนี้อยู่คนละวงการกัน ไม่น่าจะใช่

“อ้าว! นึกว่าใครคุณนั่นเอง ให้ผมช่วยนะ”

“ไม่ต้อง ฉันลุกเองได้”

หทัยชนกรีบปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง และรีบลุกขึ้นโดยเร็ว แถมยังจ้องหน้าปวีย์เขม็ง เพราะหมั่นไส้ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาเจอนายคนนี้ซ้ำสองอีกแล้ว และเป็นการเจอแบบไม่สวยงามซะด้วย คงจะเป็นลางร้ายบอกให้รู้เป็นแน่ว่านายคนนี้คงจะเป็นหนึ่งในจำนวนสามหรือสี่ของศัตรูตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณเดินยังไงไม่ทราบ คนกำลังรีบไม่เห็นหรือไง”

“อ้าวคุณ! ผมเดินมาของผมดีๆ คุณต่างหากที่มาชนผม แถมไม่ขอโทษอีก มิหนำซ้ำยังจะมาว่าอีก อะไรกัน”

ปวีย์ออกอาการเซ็งนิดๆ ขณะก้มลงเก็บข้าวของที่สาวเจ้าไม่คิดจะช่วยเลย ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด หทัยชนกเองก็ยิ่งหัวเสียหนักเข้าไปอีก

“ถ้าเดินดีๆ คุณก็ต้องเห็นฉันแล้วหลบฉันทันแล้วสิ คุณเองก็มัวแต่หิ้วของให้แฟนจนไม่ดูทางเหมือนกัน จะมาโทษว่าฉันผิดคนเดียวได้ยังไง อ้อ! ฉันก็ลืมไปว่าพวกคุณเป็นประเภทไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ หัวสูง เห็นคนอื่นต่ำกว่าจนมองไม่เห็นหัว มิน่าล่ะถึงมาเป็นแฟนกับลูกสาวแม่นั่นได้ ที่แท้ก็สมกันยังเหมือนผีเน่ากับโรงผุนี่เอง”

ว่าแล้วร่างสูงเพรียวก็สบัดหน้าเดินเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งให้ปวีย์ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ที่อยู่ดีๆ ตัวเองก็ถูกแม่คุณวิ่งมาชน แถมมากระแหนะกระแหนด้วยเรื่องที่เขาไม่เข้าใจอีก และไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีกว่าเขาไปเผลอทำอะไรให้แม่คุณโกรธนักหนา ถึงออกอาการใส่เขาขั้นโคม่าขนาดนี้

“พี่วี! รอนานหรือเปล่าคะ ขอโทษทีค่ะ”

สาริยาที่คลาดกันกับพี่ต่างแม่ในห้องน้ำรีบร้องทักแฟนด้วยรอยยิ้มและสีหน้าของคนรู้สึกผิด ที่ปล่อยให้รอนาน ปวีย์ที่ยังยืนงงไม่หายรีบส่งยิ้มให้สาวหน้าใสเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องขุ่นเคืองใจเมื่อครู่

“ไม่นานครับ”

“งั้นเรากลับกันเลยนะคะเดี๋ยวคุณย่ากับคุณแม่จะรอกินข้าว”

มือบางสอดเข้าไปคล้องแขนแฟนหนุ่มที่หิ้วถุงพะรุงพะรังแล้วเดินยิ้มออกไปอย่างภาคภูมิใจ เมื่อผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน เพราะทั้งสองนั้นต่างหล่อสวย สมกันกว่าคู่ไหนๆ ในรอบปีก็ว่าได้

“มีความสุขกันจังเลยนะ ทำไมไม่เอาเวลามาเดินจู๋จี๋กันไปหัดทำงานให้ครอบครัวบ้าง ฉันจะได้ไม่ต้องลำบากมาสู้รบปรบมือกับแม่ของหล่อนไง แต่ช่างเถอะเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน รับรองเราได้เจอกันแน่ อยู่สบายมานานแล้วนี่ คราวนี้ฉันจะส่งความลำบากให้หล่อนกับแม่บ้างก็แล้วกัน ดูซิ! ว่าหล่อนสองคนจะทนได้เท่าฉันกับแม่หรือเปล่า”

หทัยชนกเอ่ยตามหลังคนทั้งสองด้วยสายตาเกลียดชังไม่น้อย ก่อนจะเดินกลับไปหาพี่ที่ร้านเสริมสวย ซึ่งเสร็จพอดี ร้านขายอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงที่พีระแนะนำไว้เป็นเป้าหมายต่อไปของสองสาว สเปรย์พริกไทย ที่ช็อตไฟฟ้าถูกซื้อหามาอย่างละสอง

“เฮ้อ! ทำยังกับจะไปออกรบแน่ะเราน่ะอ๋อ ทั้งปืนทั้งที่ช็อตและสเปรย์อีก ตกลงคฤหาสน์ของเจ้าคุณปู่อ๋อนี่เป็นติมอร์ตะวันตกไปแล้วหรือไงนะ” วีนาอดบ่นไม่ได้ขณะเดินหิ้วข้าวของพะรุงพะรุงตรงไปหารถ หทัยชนกหันไปยิ้มให้ด้วยความขำ ทั้งที่มือก็มีของจนเต็มไม่แพ้กัน

“น่าพี่อี๋ เดี๋ยวเกิดมีอะไรร้ายๆ ขึ้น ขี้คร้านจะรีบมาขอบคุณอ๋อแทบไม่ทัน ที่รอบคอบเอาไว้ก่อน อีกอย่างแม่จะได้สบายใจไงถ้าเห็นอุปกรณ์ป้องกันตัวของพวกเราแล้วน่ะ นี่มีเวลาน้อยนะ! ไม่งั้นอ๋อจะพาไปลงเรียนครอสป้องกันตัวไว้ด้วยเลย แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปอยู่โน่นแล้วค่อยหาที่เรียนเจ๋งๆ ก็ได้”

ฮอนด้าซีวิคสีขาวป้ายแดงเคลื่อนออกจากลานจอดช้าๆ มุ่งตรงไปบ้าน แต่สุดท้ายก็อดใจจอดแวะซื้อข้าวของจากตลาดนัดที่เป็นทางผ่านไม่ได้ อีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเข้าบ้านได้ ทุกคนต่างตกตะลึงในลุคใหม่ของสองสาว อุปกรณ์ป้องกันตัวที่ซื้อมาถูกเอาขึ้นมาอวด อิงอรค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อยที่ลูกมีตัวช่วยหลายอย่าง แต่จะยังไงหัวอกแม่ก็ห่วงลูกอยู่ดี

“โธ่! แม่จ๋า ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองว่าอ๋อกับพี่อี๋เอาตัวรอดได้แน่ๆ แม่อย่าทำหน้าแบบนี้สิจ๊ะ อ๋อห่วง! เดี๋ยวไปทำงานได้ไม่ดีคุณปู่ก็คงจะเกลียดขี้หน้ากันพอดีสิจ๊ะ” หญิงสาวพยายามปลอบใจแม่ ทุกคนก็เห็นด้วยตามนั้น โดยเฉพาะนิ่งที่ปากและการกระทำไม่เคยตรงกับชื่อเลยสักนิด

“นั่นสิอิง มัวแต่ห่วงเดี๋ยวลูกก็ห่วงบ้าง เลยไม่ต้องทำอะไรกันทีนี้ คิดมากทำไม อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดสิกลัวอะไรนักหนา ฉันยังไม่เห็นห่วงยายอี๋มากมายขนาดนี้เลยนะยะ”



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:26:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:26:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 919





<< ความสัมพันของสาวมั่นกับหนุ่มมาดเข้มติดลบไปแล้ว   กลับมายืนที่เดิม >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:56:14 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account