ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: กลับมายืนที่เดิม

บีเอ็มดับบลิวของคุนสุจินต์ขับนำฮอนด้าป้ายแดงกับวีออสผ่านประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ในเนื้อที่สิบไร่ที่ซุกซ่อนอยู่ในกำแพงสีขาวสูงสามเมตร วีนากับพ่อแม่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับตึกสีครีมสวยงามโอบล้อมด้วยสนามหญ้าเขียวชะอุ่ม ไม้ดอกไม้ประดับปลูกไว้จนเต็มบริเวณให้ความรู้สึกสดชื่นเวลาได้พบเห็น พีระเองยังอดชื่นชมไม่ได้กับความร่ำรวยของตระกูลบวรชัยกุล

สุจินต์รีบลงจากรถแล้วพาเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่ดูแล้วสวยตระการตายิ่งกว่าภายนอกในสายตาของทุกคน แต่หทัยชนกไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรมากมายนัก หากจับจ้องอยู่กับชายหญิงสูงวัยและสาลินาที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว คุนสมควรตื่นเต้นกว่าใครเพราะจะได้พบหลานสาวที่จากกันไปยี่สิบปี จึงลงทุนลุกจากเตียงนอนลงมานั่งรออยู่ด้านล่าง โดยไม่สนใจกับคำห้ามปรามของเมียกับสะใภ้เลย แต่ก็มีพยาบาลประจำตัวนั่งดูแลอยู่ไม่ห่างตัว

“มาถึงกันแล้วเหรอะ ไหนเข้ามาใกล้ๆ ปู่หน่อยสิยายอ๋อ ให้ปู่ได้เห็นหน้าเราเต็มๆ ตาหน่อย”

อิงอรจูงมือลูกเดินไปแล้วคุกเข่าคลานเข้าไปหาคุนสมควรที่มีคุนอัญชลีนั่งอยู่ข้างๆ สองมือพนมขึ้นแล้วกราบไปแทบตักคุนสมควรอย่างนอบน้อม มือที่ยกขึ้นไปลูบศีรษะของหลานสาวนั้นสั่นเทาเต็มที ด้วยเรี่ยวแรงของเจ้าของมือนั้นลดน้อยถอยลงจากเมื่อก่อนมาก อิงอรก้มกราบคุนอัญชลีด้วยท่าทีเดียวกัน หทัยชนกก็ทำตามแม่ แต่เจ้าของตักกลับเมินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจไยดี คุนสมควรขัดใจอยู่มากแต่ก็เบื่อที่จะบอกเมียแล้ว

“เป็นยังไงบ้างเรา หนีหน้าไปซะนาน ไม่คิดจะพาลูกมากราบพ่อบ้างเลยนะ”

จึงหันไปหาสะใภ้ที่มีร่างกายซูบผอมไม่แพ้ตัวเองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเนิบ แต่แววตานั้นส่งประกายของความเมตตากรุณาไม่เคยเปลี่ยนแปลงในความคิดของอิงอร จึงค่อยรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง ที่อย่างน้อยๆ ลูกก็คงจะมีคนคอยปกป้องคุ้มครอง แม้เมื่อยี่สิบปีมาแล้วอิงอรจะหมดหวังหมดศัทราในตัวคุนสมควรลงไปแล้วก็ตาม เพราะขาดความยุติธรรม เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง จนตัวเองต้องหอบลูกหนีออกจากบ้านในทันทีนับตั้งแต่เกิดเรื่องฉาวที่ไม่ได้ก่อขึ้นเลยสักนิด

แต่เวลาล่วงเลยมานาน ความทิฐิ ความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความขุ่นเคืองที่มีในใจก็ลดน้อยลงมามากแล้ว อีกทั้งเหตุการณ์วันนั้นตัวเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่น่าหุนหันพลันแล่นหนีไป โดยไม่เข้าไปขอความเห็นอกเห็นใจจากคุนสมควรก่อนเลย ชีวิตจึงต้องพลัดพรากกับคนรัก จนไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันแม้แต่คำเดียว นี่คือเรื่องที่อิงอรเสียใจและเสียดายมาตลอดเวลายี่สิบปี

“อิงมัวแต่ยุ่งค่ะคุณพ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ ดูผอมลงกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะคะ”

“พ่อก็เจ็บออดๆ แอดๆ ตามประสาคนแก่นั่นล่ะ พาลูกลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก่อนเถอะ มากันเหนื่อยๆ กินน้ำกินท่าก่อน ว่าแต่พาใครมาบ้างล่ะ ทำไมเยอะแยะจัง”

“นั่นน่ะสิ หอบกันมายังกับจะออกรบ หวังว่าคงจะไม่สุมหัวอยู่บ้านฉันจนหมดนี่หรอกนะ เพราะแถวนี้มีแต่ผู้รากมากดีกันทั้งนั้น ไม่ใช่สลัมหรือชุมชนแออัดที่จะได้แล่นมาอยู่จนยั้วเยี้ยไปหมด”

คุนอัญชลีได้ทีรีบกระแนะกระแหนพร้อมสีหน้าและแววตามองกวาดไปหาทุกคนอย่างชิงชังไม่เคยเสื่อมคลาย หทัยชนกอยากจะต่อปากต่อคำด้วยไม่น้อย แต่ติดตรงที่วันนี้เป็นวันแรกจึงไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งก็เกรงใจผู้เป็นปู่ที่ดูท่าทางแล้วไม่ค่อยจะแข็งแรงเลย ถ้ามีใครพูดไม่ดีให้ได้ยินคงจะป่วยไปอีกสามวันเจ็ดวันแน่ หญิงสาวจึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ

“แล้วมีข้าวของอะไรมาด้วยหรือเปล่า จะได้บอกเด็กยกไปช่วยจัดให้ ความจริงไม่น่าจะต้องไปอยู่เรือนคุณทวดเลย ตึกนี้ก็กว้างขวาง ห้องว่างก็มีเยอะแยะ นอนด้วยกันที่นี่น่าจะดีกว่า”

คุนสมควรเห็นเมียแผลงฤทธิ์แล้วก็เลยรีบตัดบท หทัยชนกจึงรีบออกตัวบ้าง เพราะกลัวจะถูกมัดมือชกให้ต้องขึ้นมานอนบนตึกแทน

“ไม่เป็นไรคะคุณปู่ อ๋อไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ ค่ะ ถ้างั้นอ๋อขอเอาข้าวของไปเก็บก่อนนะคะ”

“งั้นแม่สาก็ให้เด็กไปช่วยดูหน่อยก็แล้วกันพ่อจะขึ้นไปพักก่อนล่ะ นั่งนานแล้วปวดหลัง มีอะไรขาดเหลือก็มาบอกปู่ตรงๆ ได้นะยายอ๋อ ปู่จะจัดการให้”

หทัยชนกยกมือไหว้คุณปู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะพาทุกคนออกจากตึกใหญ่แล้วตรงไปหาบ้านหลังเล็กที่อยู่ท้ายสวนซึ่งตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้จะจากไปนานแล้วก็ตาม ข้าวของที่สองสาวนำมาด้วยมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับของใช้ส่วนตัวเท่านั้น เพราะมีแผนจะกลับไปนอนบ้านตั้งแต่เย็นวันศุกร์ อยู่ยาวถึงเช้าวันจันทร์แล้วเข้าออฟฟิศเลย

จึงใช้เวลาจัดไม่นานนัก พีระกับอุ้ยเป็นฝ่ายเดินสำรวจตรวจตราประตูหน้าต่างรอบๆ บ้าน แล้วจัดการหาสายยูมาใส่ไว้อีกทีตามคำบอกของหทัยชนก ที่จะไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในระหว่างตัวเองออกไปทำงาน กุญแจก็จะมีคนละดอกกับวีนาเท่านั้น คุนสุจินต์ที่ตามมาดูแลความเรียบร้อยเห็นแล้วก็ลอบถอนหายใจน้อยๆ ออกมา เพราะไม่เข้าในว่าจะกลัวอะไรนักหนา

“ถ้าคุณอ๋ออยากให้เพิ่มเติมของใช้อะไรก็บอกเลยนะครับ ลุงจะไปเรียนคุณท่านให้เอง”

แต่คุนสุจินต์ก็เลือกที่ยกเอาเรื่องอื่นมาคุยแทนความสงสัยนั้น หทัยชนกมองกวาดดูรอบๆ บ้านแล้วก็ไม่พบว่าอะไรขาด ยกเว้นข้าวของเครื่องครัวเท่านั้น เพราะมีแผนจะทำกับข้าวกินเอง หรือไม่ก็จะซื้อจากด้านนอกมา ที่สำคัญหญิงสาวจะไม่มีวันให้เด็กรับใช้จากตึกใหญ่ยกสำรับมาให้แน่นอน เพราะเห็นบทเรียนราคาแพงจากแม่ในอดีตแล้ว และยังนึกเสียใจแทนแม่มาจนถึงทุกวันนี้

ถ้าไม่เพราะข้าวต้มชามนั้นที่สาลินีให้ดวงยกมาให้ แม่ก็คงจะไม่หลับเป็นตายแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงคบชู้สู่ชายกับคนสวนเป็นแน่ แม้จะไม่มีพยานหรือหลักฐานว่าเป็นฝีมือของสาลินี แต่สองแม่ลูกก็มองไม่เห็นปัจจัยภายนอกด้านอื่นเลย ที่จะทำให้หลับเป็นตายได้ขนาดนั้น ทั้งที่โดยนิสัยแล้วอิงอรจะไม่นอนกลางวันเลย แม้เวลาเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ยกเว้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อนั่นล่ะถึงจะยอมหลับตาลงได้

“ก็มีแต่เครื่องครัวนั่นล่ะค่ะคุณลุง ฝากจัดการทีนะคะ เอาทุกอย่างให้ครบเพราะอ๋อจะทำกินเองค่ะ”

“อ้าว! จะเสียเวลาทำกันทำไมล่ะครับ ให้ครัวบนตึกยกมาก็ได้” คุนสุจินต์ยั้งความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงเอ่ยถาม หทัยชนกหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้

“ไม่ล่ะค่ะ อ๋อไม่อยากนอนหลับโดยไม่รู้ตัว แล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนกอดคนสวนอยู่เหมือนแม่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จากนั้นคุณปู่กับคุณย่าก็คงจะไล่ตะเพิดอ๋อกลับบ้านแทบไม่ทันกันพอดี ฝากคุณลุงช่วยตรงนี้ด้วยนะคะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว อ๋อกับแม่อยากจะไปไหว้อัฐิคุณพ่อหน่อยค่ะ คุณลุงพาพวกเราไปได้ใช่มั้ยคะ”

คุนสุจินต์ทำตามคำขอของหทัยชนกด้วยความเต็มใจ ก่อนจะนัดเจอกันที่ห้องคุนสมควรในวันรุ่งขึ้น แล้วแยกจากทุกคนหลังมื้อเที่ยงในร้านอาหารเสร็จสิ้นลง พีระก็แยกไปทำงานเช่นกัน อิงอรจึงพาทุกคนไปจับจ่ายข้าวของเครื่องใช้เข้ามาไว้ในบ้านหลังน้อยจนครบครัน แรกทีเดียวอิงอรตั้งใจจะกลับบ้าน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ห่วงลูกจนต้องนอนเป็นเพื่อนกันทั้งห้าคนตามเคย



สายๆ ของวันถัดมาถึงได้กลับไป หทัยชนกก็ขึ้นบนตึกพร้อมสุจินต์เพื่อไปหาคุนสมควรตามที่นัดไว้ แต่ไม่ใช่ที่ห้องรับแขก เพราะคุนสมควรไม่แข็งแรงพอที่จะออกมาเดินบ่อยๆ หทัยชนกจึงได้ขึ้นไปหาที่ห้องและเห็นห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ประหนึ่งโรงพยาบาลย่อยๆ เลยทีเดียว สาลินีที่แต่งตัวเตรียมจะไปทำงานก็เข้ามารอฟังการประชุมของครอบครัวด้วย คุนอัญชลีแทบจะไม่หันไปมองหน้าหลานสาวด้วยซ้ำ เมื่อเดินเข้ามาในห้องสามีเป็นคนสุดท้าย

“แล้วเราถนัดทำอะไรบ้างล่ะ ปู่จะได้สั่งคนจัดโต๊ะไว้ให้ หรืออยากทำตำแหน่งไหนเป็นพิเศษก็บอกปู่มาได้”

ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามหลังจากที่ให้สุจินต์อ่านร่างพินัยกรรมให้ทุกคนในห้องฟังอีกครั้ง และความเงียบของทุกคนก็เป็นเสมือนการยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งแล้วในความคิดคุนสมควร แม้จะรู้ดีว่าขัดใจเมีย ขัดใจสะใภ้อยู่มาก แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะเห็นว่าหนทางแก้ไขปัญหานี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรจะทำมากที่สุด

หทัยชนกหันไปมองหน้าสุจินต์ และทุกคนในห้องเป็นการหยั่งเชิง ก่อนจะหันไปหาปู่เป็นคนสุดท้าย ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่กำลังจะบอกออกไปจะได้รับความเห็นชอบหรือไม่ แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามนี้ หญิงสาวก็พร้อมจะเดินหนีไปในทันที เพราะหาประโยชน์ไม่ได้ หากจะต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้ หรือทำงานบริษัทแล้วถูกครอบงำจากคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างสาลินี

“ถ้าอ๋อบอกไปแล้ว คุณปู่จะยอมให้อ๋อทำตำแหน่งนั้นเหรอคะ”

ทุกคนต่างเงียบไปชั่วครู่ เมื่อประโยคนี้ถูกเปล่งออกมา โดยเฉพาะคุนอัญชลีกับสาลินีที่รู้จักฤทธิ์เดชในยกแรกมาแล้ว ต่างก็หวาดหวั่นไปตามๆ กันว่าตำแหน่งอันเป็นที่หมายปองนั้นจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน คุนสมควรหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเอ่ย

“ก็บอกปู่มาก่อนสิว่าอยากทำตำแหน่งอะไร ปู่จะดูอีกทีว่าเราทำได้หรือไม่ได้” หทัยชนกแอบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะบอกออกไปด้วยน้ำเสียงชัดเจน

“อ๋ออยากทำตำแหน่งรักษาการประธานบริษัทค่ะคุณปู่”

บรรยากาศในห้องเงียบกริบประหนึ่งไม่มีใครอยู่ในนั้นก็ว่าได้ ทุกคนหันไปจ้องมองหทัยชนกเป็นตาเดียวกัน คุนอัญชลีส่งสายตาที่แสดงถึงความเกลียดชังไปหาหลานสาวคนแรกอย่างไม่ปิดบังใดๆ แม้แต่สาลินีก็เผลอแสดงความขุ่นเคืองใจผ่านสายตาออกมาไม่แพ้แม่สามีเลย เพราะเป็นตำแหน่งที่ตัวเองนั่งอยู่นับตั้งแต่สงครามตายจากไป คุนสมควรจึงบังเอิญเหลือบไปเห็นเข้า สาลินีถึงได้รู้ตัวว่าเผลอหลุดไป จึงพยายามปรับทุกอย่างให้เป็นปกติ

“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอยะ น้ำหน้าอย่างหล่อนจะทำอะไรกับใครเขาเป็น อย่าอวดดีกับฉันนะ หรือเห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญซะเต็มประดา ถึงคิดมาเรียกร้องนั่นนี่”

คุนอัญชลีเห็นทุกคนเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เลยตัดความรำคาญด้วยการขึ้นเสียงด่าหลานสาว โดยไม่คิดจะเกรงใจสามีแต่อย่างใด หทัยชนกยิ้มให้อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะจีบปากจีบคอค้านออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นปกติมากที่สุด

“ตำแหน่งเดียวเอง ไม่มากไปหรอกค่ะคุณย่า ว่าไงคะคุณปู่ อ๋ออยากทำตำแหน่งนี้ล่ะค่ะ ถ้าคุณปู่ไม่ตกลงอ๋อคิดว่าคงจะทำตามพินัยกรรมคุณปู่ไม่ได้หรอกค่ะ” คุนสมควรจ้องมองหน้าหลานสาวสลับกับหน้าสะใภ้ผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถาม

“ทำไมเราถึงอยากทำตำแหน่งนี้ล่ะ ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ปู่ก็คงจะทำตามที่เจ้าขอไม่ได้หรอกนะ ไหนลองบอกปู่มาซิ” หทัยชนกยิ้มบางๆ ออกมาก่อนจะบอกในสิ่งที่ตัวเองเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้

“อ๋อจบปริญญาตรีกับโทด้านการบริหารจากมหาวิทยาลัยที่คนไม่เจ๋งจริงก็เข้าเรียนไม่ได้ และกำลังจะต่อปริญญาเอกในอีกไม่ช้า ประสบการณ์ด้านบริหารก็มีถึงเจ็ดปี ภาษาอังกฤษก็ใช้ได้เพราะทำงานกับชาวต่างชาติตลอด อายุอ๋อก็ยังน้อย พละกำลังในการเรียนรู้งานก็มีมาก ครอบครัวที่จะมาคอยถ่วงหรือแย่งเวลางานไปก็ยังไม่มี และอ๋อก็เป็นลูกสาวคุณพ่อ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของคุณพ่อ ของคุณปู่และคุณย่า ย่อมรักและหวังดีหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตเข้ามาไว้ให้วงศ์สกุลเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกอย่างถ้าคุณปู่จะให้อ๋อมาเรียนรู้งานในบริษัท แล้วต้องให้อยู่ใต้อำนาจใคร อ๋อจะแสดงศักยภาพการทำงานออกมาเต็มที่ได้ยังไงคะ

อ๋อจะไม่บอกว่าอ๋อเก่งกาจยังไง แต่อ๋อขอเวลาในการพิสูจน์ตัวเองสามปีตามที่คุณปู่ระบุไว้ในพินัยกรรม หรือถ้าในระหว่างนี้อ๋อทำอะไรผิด หรือทำไม่ถูกใจคุณปู่ อ๋อก็ยินดีพิจารณาตัวเองค่ะ อ๋อมีเหตุผลเท่านี้ล่ะค่ะ ถ้าคุณปู่จะให้โอกาส อ๋อก็จะทุ่มให้สุดตัว แต่ถ้าคุณปู่ปฏิเสธอ๋อก็คงจะต้องขอปฏิเสธที่จะทำตำแหน่งอื่นด้วย และอ๋อจะคืนเงินสิบล้านกลับคืนมาให้คุณปู่แล้วย้ายออกจากที่นี่วันนี้ ส่วนอีกสิบล้านอ๋อถือว่าเป็นค่าเสียเวลานอนคิดตรึกตรองอย่างหนัก เลยขออนุญาตไม่คืนให้”

คุนสมควรจ้องมองใบหน้าหลานสาวอย่างครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะหันไปหาทนายคู่ใจ และสาลินีคือเป้าสายตาสุดท้าย คนถูกมองจึงพยายามจะนั่งนิ่งด้วยความสงบ ส่วนในใจนั้นกลับว้าวุ่นจนแทบจะบ้า เมื่อความหวาดกลัวว่าพ่อสามีจะยอมตกปากรับคำตามคำขอของเด็กเมื่อวานซืน และเป็นหนามยอกอกสาลินีมาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านนี้ในฐานะสะใภ้ที่ถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:27:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:27:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 885





<< อีกครั้งที่สาวมาดมั่นกับหนุ่มมาดเข้มปะทะกัน   เลื่อยขาเก้าอี้แม่เมียน้อยพ่อ >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:56:28 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account