บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 22 ตัวประกัน



ผ่านลำธาร ทางเดินแคบๆ กลางซอกเขาและผืนป่าที่กว้างใหญ่ ลัดเลาะหน้าผาสูงจะเป็นพื้นที่ราบ เดินอีกกว่าครึ่งชั่วโมงก็เข้าเขตรังของพวกมัน ผู้หมวดหนุ่มต้องลากขาที่เจ็บตามคำสั่งของพวกมันอย่างทุลักทุเล โดยมีปาริมาคอยประคองอยู่ไม่ห่าง

หญิงสาวฉีกแขนเสื้อลายพรางผูกห้ามเลือดแผลที่ถูกยิงเอาไว้ รู้สึกผิดเหลือเกินที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมด ถ้าไม่ดื้อรั้นออกมาเก็บข้อมูลนอกพื้นที่ พี่ปอนด์ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้

“ขอพักก่อนได้ไหม” ผู้หมวดหนุ่มแสร้งทำเป็นเดินไม่ไหวขอหยุดพักก่อนสักครู่ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นมีเวรยามตามจุดต่างๆ สักสี่ห้าคนเห็นจะได้ ทุกคนติดอาวุธหนักครบมือ นี่คงเป็นฐานบัญชาการ ภายใต้ผืนป่าอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาแสงอาทิตย์ลอดผ่านได้เพียงเล็กน้อย

ปากถ้ำเล็กๆ ที่มองผิวเผินแทบจะไม่รู้เลยว่าที่นี่มีคนอาศัยอยู่ นับเป็นสภาพภูมิประเทศที่เหมาะจะเป็นศูนย์บัญชาการอย่างยิ่ง

“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว อดทนหน่อยเป็นทหารประสาอะไรอ่อนแอจริงๆ”

“นี่...ก็แกลองถูกยิงขาเจ็บแบบนี้ดูหน่อยไหมล่ะ” ปาริมาตวาดเจ้าคนที่พูดอย่างเหลืออด คนเป็นพี่ต้องรีบคว้าข้อมือเอาไว้ ส่ายหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่า ...ไม่เอาน่ะใจเย็นๆ...

“ปากดีนักนะนังนี่ เดี๋ยวปั๊ด!”

“อย่านะ!! ไปกันต่อเถอะผมไหว”




เผียะ!!

“เด็กๆ ทำเกินไปหน่อยต้องขอโทษด้วยครับ”

หัวหน้าใหญ่ที่เป็นเพียงชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปณิธาน ตบเจ้าหัวโจกที่ใช้ความรุนแรงจนหน้าหงาย มันเช็ดเลือดที่กลบปากและก้มหน้าหลบตาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ในระดับผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าองค์กรหรือหน่วยงานภาคไหนก็ตามย่อมมีบุคลากรนอกคอกปรากฏให้เห็นอยู่เสมอๆ

“พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรม”

ผู้อยู่ในฐานะเจ้าบ้านผายมือเชื้อเชิญ โต๊ะรับแขกทำขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่ เขายกเหยือกรินน้ำชาให้ผู้มาเยือนทั้งสองด้วยตัวเอง ‘ฮัสซัน’ คือชื่อของเขา ใบหน้าคมเข้มสะอาดสะอ้านนั้นมีแววเหนื่อยหน่าย ขณะเดียวกันก็ดูลึกซึ้งเกินจะคาดเดาได้ง่ายๆ เขาทอดสายตาไปยังผนังถ้ำที่ทึบตันและแข็งกระด้าง ที่นี่ไม่ได้น่าอยู่ ไม่เหมาะกับชายหนุ่มผู้ยังมีอนาคตไกล การศึกษาดี มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ลูกชายผู้มีอิทธิพลในชุมชน หากแต่ว่าความอยุติธรรมได้นำเขามาที่นี่ อย่างไม่อาจรู้ว่าจะยาวนานถึงเมื่อไร อาจตราบจนเพื่อนมนุษย์ตาดำๆ จะได้มีโอกาสสูดกลิ่นไอแห่งอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งนั่นอาจหมายถึงตราบจนชั่วชีวิตก็เป็นได้

เขาเล่าถึงเหตุผลที่สั่งคนไปนำตัวใครสักคนมาในครั้งนี้ ใครก็ได้ที่บังเอิญเป็นปาริมาและปณิธาน

เมื่อเจ็ดเดือนก่อนมีคนในหมู่บ้านถูกทางการจับตัวและตั้งข้อหาก่อการร้ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ กระทั่งตอนนี้ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว หรือดำเนินการเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นจริงเท็จแค่ไหนอย่างไร ชาวบ้านรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิ์ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล ครอบครัวที่เคยอบอุ่นและสงบสุขมีอันต้องจบสิ้นลง ผู้เป็นภรรยาสะเทือนใจจนต้องกลายเป็นคนเสียสติไป

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดเรื่องแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องมีใครสักคนคิดทำการอะไรสักอย่างเพื่อปกป้อง และเรียกร้อง ทวงคืนความยุติธรรม ความเสมอภาคและเท่าเทียมให้กับพี่น้องในชุมชน และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างอำนาจต่อรองนั่นเอง

“เราจะปล่อยพวกคุณไปหนึ่งคนเพื่อไปบอกข่าว ใครจะไปตกลงกันเอาเอง” เขาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผู้หมวดหนุ่มจ้องลึกในแววตาสงบนิ่งนั้นอย่างเข้าใจและเห็นใจ แม้จะต่างวิธีการแต่เป้าหมายสูงสุดที่ยอมลงทุนลงแรง ยอมเป็นจำเลยสังคมในหลายปีมานี้ ก็เพื่อสิ่งเดียวกัน นั่นคือการแสวงหาหนทางที่จะนำพาความสงบสุขมาสู่พื้นที่ภาคใต้

“คุณปล่อยพวกเราไปทั้งหมดก็ได้นะ ผมสัญญาด้วยเกียรติของทหารว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับพวกคุณให้ได้”

“ขอบคุณมากผู้หมวด แต่ ผมได้ยินแบบนี้จนชินแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่ต้องใช้คุณเป็นเครื่องมือต่อรอง เราจะไม่ลืมบุญคุณเลย” ไม่น่าแปลกใจนักที่คำตอบต้องเป็นแบบนี้ ผู้หมวดหนุ่มนั่งนิ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด ถ้าต้องไปคนเดียวใครจะเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ จะปล่อยให้ปาริมาไปคนเดียวในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ยังไง แล้วถ้าให้อยู่ที่นี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ

“ดูแลแขกให้ดีอย่าให้ขาดตกบกพร่อง แล้วอย่าให้รู้นะว่าทำอะไรเกินคำสั่งอีก อ้อ...ยังไม่ต้องให้คำตอบกับผมก็ได้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป รอพวกที่เหลือก่อนก็แล้วกัน”

“พวกที่เหลือ?”

“สองคนนั้นวิ่งหลงเข้าไปในเขตของพวกนั้นครับคุณฮัสซัน” หนึ่งในลูกน้องวิ่งเข้ามากระซิบรายงาน

“อะไรนะ แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้!”




“เดินไปตามลำน้ำนี้จะเจอทางเข้าหมู่บ้าน โชคดีนะ”

“ขอบคุณมากนะคะคุณลุง” ปราณและปิ่นปัทมายกมือไหว้ขอบคุณคุณลุงใจดีเจ้าของกระท่อมที่เมตตาให้ความช่วยเหลือ ช่วยทำแผล ให้อาหารและที่พัก จนสามารถรอดพ้นค่ำคืนอันโหดร้ายมาได้ แม้แผลจะยังไม่แห้ง แต่คงต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้าพวกนั้นตามมาพบเข้าเห็นทีจะหนีไม่รอดเป็นแน่

“เฮ้ย!! จะรีบไปไหน ไปกับพวกเราซะดีๆ”

ช้าไปเสียแล้ว พวกมันรุดเข้าฉุดตัวปิ่นปัทมาที่ยังบาดเจ็บ ปืนกระบอกหนึ่งจ่อที่กลางอกของปราณ ชายหนุ่มขบกรามแน่นอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะเสี่ยงเพราะชีวิตของปิ่นปัทมาอยู่ในอันตราย

“อย่าให้มันเกินไปนักเลยน่า คุณเขาไม่ใช่ศัตรูพวกแกน่าจะรู้”

“เราแค่ทำตามหน้าที่ เอาตัวไป” พวกมันคุมตัวทั้งสองไปอย่างไม่ฟังคำทัดทานของชายชรา ปราณรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่า ชายชราผู้นี้ต้องเป็นใครสักคนที่แอบมาช่วยเหลือตน จะด้วยเหตุผลใดนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่ที่สังเกตเห็นได้คือ พวกนั้นไม่คิดทำร้ายชายชราผู้นั้นเลย

ปราณต้องอุ้มปิ่นปัทมาขี่หลัง ผ่านหนทางที่ทุลักทุเล มุ่งสู่ที่ไหนสักแห่งที่พวกมันไม่ยอมปริปากบอกแม้แต่คนเดียว ซึ่งหญิงสาวได้แอบถ่ายวีดีโอเอาไว้ตลอดการเดินทาง กระทั่งในที่สุดก็มาถึงถ้ำที่ปณิธานและปาริมาถูกจับมารออยู่ก่อนแล้ว

“น้องปิ่น!! ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”

เวลาล่วงเลยไปท่ามกลางความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง แม้จะไม่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยต่างก็ได้รู้ว่าทุกคนยังปลอดภัย น้องปิ่นคุดคู้ซบหลับบนตักอุ่นของพี่สาวอย่างอ่อนล้า คนพี่ไล้เรือนผมนุ่มนั้นแผ่วเบา แค่เพียงคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาก็ใจหาย เพราะมันเกือบจะทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอย่างนี้เสียแล้ว เสียใจเหลือเกินที่เป็นต้นเหตุให้น้องสาวที่น่ารักต้องมีสภาพอย่างนี้ พี่ปอนด์เองก็ถูกยิงบาดเจ็บ และถึงแม้คนเป็นหัวหน้าจะขอโทษและบอกว่าจะไม่ทำร้ายใครอีกเด็ดขาด นั่นก็เชื่อได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจนัก

พรุ่งนี้จะต้องมีใครสักคนกลับไปส่งข่าว และทิ้งสามคนไว้ที่นี่เพื่อเป็นข้อต่อรอง

เต็นท์นอนขนาดเล็กสองหลังถูกเตรียมพร้อมเพื่อให้ทุกคนได้นอนหลับอย่างสบายที่สุดตามอัตภาพ ถือเป็นการปลอบใจจากฮัสซันที่ลูกน้องกระทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย ความสงบสุขจะไม่มีวันเกิดขึ้น ตราบใดที่คนเราทำอะไรตามอำเภอใจอย่างไม่รู้จักยั้งคิด

สองหนุ่มมองตามสองสาวที่ชวนกันเข้าเต็นท์ไปพักผ่อน ปาริมาพยุงน้องสาวที่ต้องฝืนกายลุกขึ้นอย่างยากเย็น เนื้อตัวร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ จังหวะที่หันมารูดซิปปิดประตูเต็นท์ เจ้าของหัวใจแอบรักพบว่า บางสิ่งบางอย่างในสายตาที่คุ้นเคยของพี่ปราณนั้นต่างไป เวลาที่สายตาคู่นั้นมองน้องปิ่น ความรู้สึกในหัวใจมันฉายชัดจนแทบไม่ต้องเอ่ยปากเป็นคำพูดว่าห่วงใยสักเพียงไหน แต่น่าแปลกที่ปาริมาไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่ประการใดเลย หากเป็นเมื่อก่อนนี้คงต้องมีอาการแปลบปลาบในหัวใจให้เห็นกันบ้างแล้ว

หญิงสาวผ่านสายตาไปยังไปยังดวงตาอบอุ่นอีกคู่หนึ่งที่กำลังมองมา สายตาคู่นี้ต่างหากที่ทำให้ปาริมารู้สึกหวั่นไหววูบวาบ ภาพสวยงามของค่ำคืนอันแสนอบอุ่นยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ ยังโครมครามไม่เป็นจังหวะอยู่ในหัวใจ ทุกครั้งที่แอบเผลอไปคิดถึง


“ขอบคุณนะคะพี่ปริม”

“...”คนเป็นพี่สาวยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากรอฟังว่าน้องสาวจะกล่าวเช่นไร ระหว่างแกะผ้าพันแผลให้น้องเพื่อเตรียมทำแผลเสียใหม่
“พี่ปริมคะ...ปิ่น...”
“หือ?” คนพี่หยุดมือ และเงยหน้าสบตารอฟังอย่างตั้งใจ แต่น้องสาวตัวเล็กก็ไม่ได้พูดอะไร หลบสายตาด้วยท่าทีอึกอัก

“ปิ่น...เอ่อ...คือ...”

“ถ้าใช่เรื่องที่พี่กำลังคิด พี่ก็ยินดีด้วยจ้ะ แล้วก็จะไม่ว่าอะไรเลย ไม่ต้องกลัวนะ... พี่รักน้องปิ่นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด” ลูบเรือนผมสลวยอย่างสุดแสนจะเอ็นดู หัวใจของพี่สาวรู้สึกเช่นเดียวกับสิ่งที่พูดอย่างแท้จริง ถ้าสิ่งที่น้องปิ่นอยากจะบอกนั้นคือเรื่องความสัมพันธ์ใหม่ๆ ระหว่างน้องปิ่นและพี่ปราณที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาหลายปีนี้ พี่ปริมก็ยินดีจะยุติทุกความรู้สึกที่เคยมีเพื่อเปิดทางให้กับน้องสาว ไม่ว่านี่จะเป็นเวลาที่หัวใจของพี่มีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทรกแซงอย่างนี้หรือไม่ก็ตาม

“แล้วพี่ปริมรู้ได้ยังไงคะว่าเรื่องอะไร”

“แหมๆๆ ก็ดูซิ สายตาน่ะเคยปิดอะไรมิดที่ไหนล่ะ”
“แหม...ก็...” ตาสวยวูบลงต่ำหลบสายตาที่ล้วงลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ รั้งแขนเรียวนั้นมากอดแก้เก้อ รู้ตัวดีว่าใบหน้าที่ร้อนผ่าวคงไม่แค่เพียงเพราะพิษไข้เท่านั้นเป็นแน่
“คงเหมือนพี่ปริมใช่ไหมคะ?”
“บ้า เอาอะไรมาพูด เด็กคนนี้เหลวไหลใหญ่แล้ว”

“อะไรกันน่ะสาวๆ มีความสุขอะไรกัน นี่เราถูกจับมานะ ไม่ได้มาเที่ยว” เสียงกระเซ้าจากนอกเต็นท์ทำเอาสองสาวต้องปิดปากเงียบสนิท เผลอตัวไปหน่อยไม่รู้คนข้างนอกจะได้ยินหรือเปล่าสินะ


“ขาแกเป็นยังไงบ้าง”

ปราณเอ่ยถามอาการเพื่อนรักด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไรหรอก แค่โดนถากๆ น่ะ สงสารก็แต่น้องๆ เมื่อวานยายปริม...” ภาพเหตุการณ์เมื่อวานนี้ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
“ถ้าฉันไปช่วยไม่ทันยายปริมคงแย่แน่”

“ฉันขอโทษที่ดูแลน้องให้นายไม่ได้ พวกนั้นไล่ล่าหาทางกลับไปช่วยไม่ได้จริงๆ”
“ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกเพื่อน นายทำเต็มที่แล้ว ขอบใจนายมากที่ดูแลน้องปิ่นให้ฉันได้”

“...” ไม่มีคำพูดใดจะดีไปกว่าแค่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ...ดูแลน้องปิ่นให้ฉัน... ประโยคสั้นๆ นี้ สะกิดเตือนให้นึกถึงคำสัญญาเมื่อหลายปีก่อน สัญญาที่ทำให้ความรู้สึกของใจต้องถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับภายใต้ความสัมพันธ์ในแบบอื่นตลอดมา

“น้องปิ่นเป็นเด็กน่ารัก แล้วนี่เมื่อไหร่นายจะ...ขอน้องปิ่นแต่งงาน” ปลายประโยคนั้นเชือดเฉือนความรู้สึกของตัวเอง ซ่อนตาเศร้ามองผ่านไปยังท้องฟ้ามืดมิด เวลาแห่งความสุขใจอย่างเมื่อคืนถูกเมฆฝนดำทะมึนกลบกลืนไปหมดสิ้น

“ฉันยังไม่พร้อมน่ะ” คนถูกถามเลี่ยงตอบไปอย่างนั้น ความรู้สึกเมื่อคืนที่ผ่านมาวนเวียนอยู่ไม่จาง รอให้ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ นี้ไปเสียก่อน ผู้หมวดหนุ่มบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาจะได้ใช้แหวนแต่งงานที่ผู้เป็นแม่ให้ไว้เสียที

“นอนเถอะ พรุ่งนี้แกจะต้องเดินทางแต่เช้า” เมื่อกองไฟหรี่แสงลงชายหนุ่มทั้งสองก็เข้านอนกันบ้าง คงต้องเป็นหน้าที่ของปราณที่จะเป็นคนไปบอกข่าว ปณิธานเป็นนายทหารคิดว่าฮัสซันคงต้องการให้อยู่ที่นี่เพื่อน้ำหนักในการต่อรอง

กระทั่งเมื่อทุกคนหลับสนิท กองไฟหน้าเต็นท์เหลือเพียงกองเถ้าอุ่นๆ

“พี่คะ... พี่สาว...”

ปาริมาต้องสะดุ้งเมื่อแว่วเสียงใครสักคนมาร้องเรียกอยู่ข้างๆ เต็นท์
“อ้าว หนูนั่นเอง”




แสงสลัวของไฟฉายกระบอกเดียว ส่องทางให้คนทั้งห้าที่หลบออกมาจากสถานที่แห่งนั้น มุ่งสู่ชายป่าอันจะพาให้ทุกคนหลุดพ้นออกมาจากพื้นที่อันตราย โดยมีเด็กหญิงบุตรสาวของหญิงชาวบ้านผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นเป็นผู้นำทาง สายฝนได้กระหน่ำลงมาอีกครั้งทำให้เดินทางลำบากเป็นเท่าทวี สายน้ำไหลจากที่สูงเซาะทางเดินพังทลายเป็นระยะ นักข่าวสาวใช้เสื้อคลุมบังฝนถ่ายภาพเหตุการณ์เก็บไว้เป็นระยะ

ปณิธานอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ปราณอุ้มปิ่นปัทมาที่บาดเจ็บอยู่ขึ้นหลังสามารถเดินลิ่วๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำราวกับว่าคุ้นเคยกับการเดินป่าเป็นอย่างดี เส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยวและแทบจะมืดมิดนำพาทุกคนผ่านแนวป่าอันยาวไกล ลัดเลาะซอกเขาและลำธารยาวนานอย่างทุลักทุเล

“เฮ้ย! ไอ้ปราณ เดินระวังด้วยเผื่อมีกับดัก”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้”

ทางเดินเล็กๆ ดูแคบลงทุกที จากป่าโปร่งที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นสูงตระหง่าน เด็กน้อยพาลัดเลาะสู่ผืนป่าเตี้ยๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เบาบาง ผ่านปากอุโมงค์ไม้ไผ่ข้างหน้า ข้ามแม่น้ำไปก็จะเข้าสู่เขตหมู่บ้านกันแล้ว อีกนิดเดียวจริงๆ




“ผมนึกว่าคุณจะเข้าใจพวกเราซะอีก”

น้ำเสียงเย็นชาและห้วนจัดที่ร้องทักทันทีเมื่อทุกคนผ่านปากอุโมงค์ออกมาได้ทำเอาสองสาวต้องสะดุ้งสุดตัว กล้องวีดีโอของปิ่นปัทมาหลุดมือร่วงลงกับพื้น ความเครียดคืบคลานเข้ามาปกคลุมบรรยากาศที่ปริ่มๆ ด้วยความหวังอีกครั้ง ฮัสซันยืนจังก้าอยู่บนโขดหินที่วางเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ ฝนห่าใหญ่พาน้ำป่าทะลักล้นตลิ่ง แสงจากไฟฉายหลายกระบอกส่องให้เห็นเกลียวคลื่นของกระแสน้ำหลาก ลูกน้องอีกอย่างน้อยสิบคนออกมาจากที่ซ่อนพร้อมอาวุธครบมือ สายฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อสักพักซาลงแล้ว

“ปล่อยพี่เขาไปเถอะ พี่เขาไม่ใช่ศัตรู พี่เขาเป็นคนดี” เด็กหญิงผู้นำทางร้องขอต่อฮัสซันอย่างหวังว่าชายผู้เคยเป็นพี่ชายใจดีของหมู่บ้านจะอนุโลม ยอมอ่อนข้อปล่อยตัวคนดีๆ ไปสักครั้ง

“เอ็งไม่ต้องยุ่ง ไสหัวไป!!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นฉับพลัน เด็กหญิงรู้ดีว่า “ไปก่อน” คือหนทางที่ดีที่สุด เธอหันมาสบตาพี่สาวที่น่ารัก ก่อนจะรีบข้ามสะพานและวิ่งหนีไปทางหมู่บ้าน

“ผมสัญญา เมื่อกลับออกไปผมจะหาทางคืนความยุติธรรมให้” ผู้หมวดหนุ่มพยายามหาทางออกโดยการเจรจา ไม่ว่าจะอย่างไร “สันติวิธี” น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้มีใครต้องเสียเลือดเนื้อ ลำพังหากคิดจะต่อกรหวังเข่นฆ่าให้อาสัญ ไม่ใช่เรื่องยากเลย

ฮัสซันกระโดดลงจากโขดหินสูง สายตาคมกริบจับจ้องสงบนิ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มหยันที่มุมปาก
“ผมหมดความเชื่อถือในตัวคุณแล้ว”

“แล้วนายจะเอายังไงหา!.. ฉันหมดความอดทนแล้วนะโว้ย” ปาริมาตะโกนใส่หน้าเย็นชานั้นอย่างสุดจะทน จุดประสงค์ที่ดั้นด้นมาถึงที่นี่ ที่ต้องตกอยู่ในสภาพซึ่งไม่ต่างจากเชลยศึกเผาบ้านปล้นเมืองจนต้องถูกไล่ล่า กักขังหน่วงเหนี่ยวไร้อิสรภาพแบบนี้ ก็เพราะต้องการหาทางออกให้กับชีวิตอันมืดมนของคนเหล่านี้ แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนกลับมากลับไม่คุ้มค่ากันเอาเสียเลย มันเสียแรงเปล่าที่สุด

เผียะ!!

ร่างบอบบางเซถลาด้วยแรงฝ่ามือของลูกสมุนผู้ไม่เห็นค่าแห่งความเสียสละนี้อีกครั้ง ปิ่นปัทมาที่ยังเจ็บอยู่รีบเข้าไปประคอง หญิงสาวผู้พี่ก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทา ความโมโหโกรธาพลุ่งพล่านในหัวใจ เจ้าคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี นี่คุ้มกับที่ลงทุนลงแรงเพื่อพวกแกอย่างนั้นหรือ

“ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย!!”

สิ้นเสียงคำรามนั้น เจ้าคนที่ตบปาริมาก็ถูกฝ่าเท้าอันหนักหน่วงของใครบางคนถีบกระเด็นไปหลายเมตร มันคงยังงุนงงระหว่างที่กลิ้งหลายตลบและกระแทกโขดหินอย่างจัง ใครกันนะช่างกล้าทำกับผู้มีกำลัง อาวุธและพวกพ้องถึงเพียงนี้

เจ้าคนที่ถือปืนจ่ออยู่ใกล้ๆ ถูกรวบปืนและกระชากจนแขนหักร้องโอดโอยลืมความทะนงอย่างชายชาตรีไปหมดสิ้น

เปลวไฟแปลบปลาบที่ปลายปืน กระสุนกว่าสิบนัดพุ่งเป้าสองหนุ่มที่กระโดดหลบหลีกได้อย่างเฉียดฉิวไปคนละทาง สองสาวพี่น้องกอดกันกลมหมอบนิ่งอยู่กับพื้น

“ไอ้ปราณ!!” ปณิธาน ยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนรักที่แทบจะไม่เคยแม้แต่ออกกำลังกาย จะสามารถจัดการกับศัตรูได้ฉับไวเพียงนี้ และยิ่งแปลกใจมากขึ้นอีกเมื่อปราณพุ่งออกจากโขดหินฉกมีดจากเอวของเหล่าร้าย ปักฉึกเข้าที่ต้นขาพวกพ้องของมันอีกคนก่อนจะกระชากปืน อาวุธร้ายแรงคู่ใจของมันมาครอบครองอย่างง่ายดาย ร่างปราดเปรียวนั้นกระโดดเข้าที่กำบังอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ห่ากระสุนพุ่งเป้าจนเศษหินที่กำบังแตกกระจาย

“อย่าฆ่าคนนะ!!”

สายตาคมกริบหันมาส่งสัญญาณกับเพื่อนรัก ‘...ฉันจะอ้อมไปจัดการพวกมันจากด้านหลัง...’

ในสถานการณ์เช่นนี้ การหยุดอยู่กับที่เท่ากับเป็นเป้านิ่งให้พวกมันเชือดอย่างง่ายดาย ย่อมไม่ใช่วิธีคิดของปราณคนใหม่ในเวลานี้อย่างแน่นอน สัญชาติญาณแห่งนักรบที่หลับใหลมาช้านานได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความคุ้นเคยต่อความรู้สึกในยามคับขันหรือแม้แต่ชั้นเชิงการต่อสู้ที่มีอยู่ในตัวทอง บัดนี้พลุ่งพล่านอัดแน่นอยู่ในกายและหัวใจนักรบดวงใหม่แห่งปราณ

เหล่าสมุนผู้เคยอหังการด้วยย่ามใจในอานุภาพของอาวุธในมือเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคพวกเมื่อสักครู่นี้ยืนยันได้อย่างดีแล้วว่าเจ้าหนุ่มที่ดูเหมือนบอบบางและอ่อนแอนั้นฝีมือร้ายกาจกว่าที่คิด

พญาราชสีห์ตัวเดิมกระโจนตะปบเหยื่ออีกครั้งจากทางด้านหลัง เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเสียหลักล้มคลุกโคลนไม่เป็นท่าร่ำร้องโอดครวญกุมแขนที่ถูกกระชากจนไหล่หลุด ปืนลูกซองสั้นถูกเหวี่ยงข้ามโขดหินกำบังไปให้กับเพื่อนรัก ก่อนเจ้าตัวจะพุ่งหลบห่ากระสุนกลืนไปกับความมืดดังเดิม

“ไอ้ปราณ แกอย่าฆ่าคนนะ”


“พอได้แล้ว!”

“ว้าย!” ร่างเล็กๆ ของปิ่นปัทมาถูกกระชากจากอ้อมกอดของปาริมา เซถลาตามแรงฉุด มือใหญ่แข็งแรงนั้นบีบข้อมือบอบบางจนหญิงสาวที่ยังบาดเจ็บสุดจะทานทนแข็งขืน ฮัสซันจ่อปลายปืนสั้นดำเมี่ยมที่ลำคอระหงนั้น อารมณ์โมโหเกรี้ยวกราดกลบเลือนชายผู้สุขุมเยือกเย็นคนเดิมหมดสิ้น

“ออกมา!”

ความอยุติธรรมที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแล ไม่มีใครใส่ใจจะแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ไม่มีความจริงใจใดๆ จากฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ แม้แต่สัญญาเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ไว้ต่อกันก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ แค่เพียงใครสักคนกลับไปส่งข่าวและมีการเจรจา ทุกคนก็จะได้กลับออกไปอย่างปลอดภัย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีจะใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลเสียแล้ว

“ใจเย็นๆ คุณฮัสซัน คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมสัญญาว่าจะหาทางคืนความยุติธรรมให้กับพวกคุณแน่นอน” ผู้หมวดหนุ่มพยายามอธิบายจากหลังโขดหินที่กำบัง

“ผมจะนับหนึ่งถึงสาม..” น้ำเสียงเด็ดขาดนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา เขาค่อยๆ ง้างนกปืนขึ้นอย่างช้าๆ

“ปล่อยน้องฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้คนบ้า แกมันบ้าไปแล้ว ฉันเสียใจจริงๆ เลยที่ตัดสินใจมาที่นี่”

ปาริมาที่ถูกสลัดจนเสียหลักอยู่ใกล้ๆ กระโจนเข้าทั้งตบตีและหยิกข่วน จนต้องถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมาอีกครั้ง แต่มาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวกันอีกแล้ว หากจะมีใครต้องเป็นอะไรไปในวันนี้ ก็ขอให้เป็นปาริมา พี่สาวต้นคิดที่พาน้องสาวและทุกคนต้องมาลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันขนาดนี้

“เอาสิ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ฉันจะไม่ยอมให้แกทำอะไรคนที่ฉันรักได้เด็ดขาด” ไวเท่าความคิดหญิงสาวผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแม้ร่างกายจะบอบบางตรงเข้าฉกมีดที่เอวลูกสมุนของฮัสซันซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะพุ่งตรงหมายประชิด

“คุณซันระวัง!” มันร้องเตือน ยกปืนเล็งที่แผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังพุ่งตรงไปที่นาย

“ยายปริม!” ผู้หมวดหนุ่มพุ่งออกจากที่กำบังอย่างรวดเร็ว กระสุนนัดแรกแห่งความจำเป็นและจำใจ ตัดเส้นเอ็นข้อมือเจ้าคนนั้นก่อนที่มันจะทันได้ลั่นไก เขาพุ่งเข้าประทะเพื่อพาร่างของปาริมาให้พ้นจากวิถีกระสุนที่ฮัสซันกำลังยกขึ้นเล็ง


“ไอ้ปอนด์!” เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา หัวใจกร้าวแกร่งอีกดวงหนึ่งมีอันต้องหล่นวูบ แม้ปณิธานจะเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่เมื่อต้องมีปาริมาเป็นภาระผู้หมวดหนุ่มจึงต้องกลายเป็นเป้าเสียเอง พญาราชสีห์หนุ่มพร้อมปืนสั้นในมือกระโดดลอยตัวเข้าขวาง ยกปืนขึ้นเล็งเป้าแต่ก็ไม่อาจลั่นไก เพราะปิ่นปัทมายังอยู่ในระยะอันตราย และเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮัสซันพร้อมแล้วสำหรับการ...ลั่นไก

เปรี้ยง!!!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะฮัสซัน” พร้อมกับเสียงปืนและน้ำเสียงเด็ดขาดนั้น ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมลูกบ้านคนสนิทจำนวนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น แม้บรรยากาศที่มืดมิดจะไม่ทำให้เห็นหน้าผู้มาใหม่ชัดเจนนักแต่น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อนั้นบอกให้รู้ว่าปวดร้าวหัวใจเพียงไหน

“พ่อ”

“อิหม่าม...” ผู้หมวดหนุ่มจำน้ำเสียงแหบพร่านั้นได้ดี นั่นคือโต๊ะอิหม่ามสหายต่างวัยผู้ซึ่งให้การต้อนรับ และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ เจตนารมณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

“นี่ลูกทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า”

“ผิดหรือที่ผมอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องของผม”

“พ่อภูมิใจในตัวลูก” ผู้ชรามีน้ำเสียงเบาลง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาฮัสซันมักใฝ่หาความยุติธรรมเสมอ เขารักความยุติธรรม รักพวกพ้องเสียยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ข้อนี้ผู้เป็นบิดารู้ซึ้งแก่ใจ

“แต่เราจะเรียกร้องความยุติธรรมโดยใช้ความอยุติธรรมไม่ได้หรอกนะลูก” สายตามากประสบการณ์มองไปรอบๆ สบตาพวกลูกสมุน เพื่อนๆ ผู้ร่วมอุดมการณ์ของลูกชาย ผู้ใฝ่หาความยุติธรรมจนลืมนึกถึงสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น

“ลูกเห็นไหม ว่าบ้านเราตกเป็นข่าวในทางลบอยู่ทุกวี่ทุกวัน ลูกอยากทำให้บ้านเราสงบสุข หรือจะทำลายภาพลักษณ์ที่แทบจะไม่เหลือดีอยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก” โต๊ะอิหม่ามหันมอง ‘เหยื่อ’ ผู้บอบบางและอ่อนแอ ปาริมาเดินเข้าไปพยุงน้องสาวที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“แล้วดูซิ นี่หรือความยุติธรรมของลูก ทุกคนเขาพยายามสร้างความสงบร่มเย็นให้บ้านเรา แต่ดูสิ่งที่ลูกทำกับเขาสิ ลูกจะได้รับความเห็นอกเห็นใจหรือที่ทำแบบนี้”

“แล้วทีพวกนั้น...”

“คนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ เขาจะคิดเขาจะทำยังไงเราไม่สามารถไปบอกเขาได้ว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด แต่เราบอกตัวเองได้ เราเริ่มต้นที่ตัวเรา เราใฝ่หาความสงบสุข เราก็ต้องละเว้นที่จะใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ อย่างน้อยเราจะได้บอกลูกหลานของเราได้เต็มปากว่า เราคือแบบอย่างที่ถูกต้อง”

“พี่เขาเป็นคนดีนะพี่ฮัสซัน” เด็กหญิงผู้นำทุกคนมาที่นี่พาแม่มาช่วยยืนยันอีกคน หญิงเสียสติผู้เคยทำร้ายเดินไปยิ้มให้ปาริมา น้อมตัวสัมผัสมือทักทายและยืนกำบังเอาไว้ ความปรารถนาดีทำให้คนแปลกหน้าเข้าไปอยู่ในหัวใจกันและกันในฐานะ ‘เพื่อน’

“ผมสัญญาว่าจะไม่ทิ้งพวกคุณ” ปณิธานให้คำมั่นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้สร้างความโกรธแค้นให้นายทหารหนุ่มเลยแม้แต่น้อย รั้วของชาติย่อมไม่ลืมภารกิจหลัก สิ่งที่นำเขามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

“เราจะอุทิศเวลาและทุกความสามารถของพวกเรา เพื่อความสงบสุขของที่นี่”


แต่แล้วทุกคนก็ต้องใจหายอีกครั้ง เมื่อปราณซึ่งยืนอยู่เงียบๆ ทรุดตัวลงไปกองกับพื้น ปราณถูกยิง...

เมื่อตะกี้เป็นเสียงจากปืนสองกระบอก

“ไอ้ปราณ!! เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ผู้หมวดหนุ่มรีบเข้าไปประคองเพื่อนรักพลางสำรวจร่องรอยบาดแผล เลือดสีแดงสดไหลรินจนชุ่มเสื้อทางด้านหลัง กระสุนถูกยิงจากด้านหน้าทะลุกระดูกสะบักด้านขวา

“พี่ปราณ!!”

“พี่ปราณ...ตื่นขึ้นมาพูดกับปิ่นสิ อย่าทำแบบนี้” สองสาวพี่น้องอุทานด้วยความตกใจ ปิ่นปัทมาทรุดกายที่บอบช้ำลงข้างๆ ชายผู้นอนนิ่งไปแล้ว มือน้อยที่ยังเปื้อนเลือดของตัวเองประคองใบหน้าซีดเซียวที่คุ้นเคยนั้น
“พี่ปราณ...”
“ไอ้ปราณ ทำใจดีๆ ไว้เพื่อน”

“พี่ปราณอย่าทิ้งปิ่นไปนะ เราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย พี่จะทิ้งปิ่นไปแบบนี้ไม่ได้นะปิ่นไม่ยอม ตื่นขึ้นมาพูดกับปิ่นสิ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ตื่นขึ้นมา...” เขย่าร่างเปื้อนเลือดร่ำร้องฟูมฟายก็ไม่มีวี่แววว่าพี่ปราณที่เคยปกป้องปิ่นด้วยชีวิตจะฟื้นขึ้นมา

“อย่าทำแบบนี้กับปิ่นปิ่นขอร้อง...อย่าทิ้งปิ่นแบบนี้ ปิ่นยังไม่ได้บอกรักพี่เลยนะ ตื่นขึ้นมา ปิ่นรักพี่ได้ยินมั้ย...” แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอไปคิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีพี่ปราณคอยอยู่ข้างๆ อีกแล้ว หัวใจดวงน้อยดวงนี้ก็รวดร้าวดังจะแตกสลาย คนเป็นพี่สาวโอบประคองน้องสาวคนเล็กอย่างปลอบประโลมทั้งที่หัวใจก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน

“เห็นไหมฮัสซัน นี่หรือสิ่งที่ลูกต้องการ”

“ผมขอโทษครับพ่อ”

“แล้วจะมัวยืนเซ่ออยู่ทำไม ไปตามหมอมา!!”


ทันใดนั้น พื้นดินริมตลิ่งที่พรรคพวกของฮัสซันยืนอยู่ก็พังทลายลงไป สายน้ำเชี่ยวกรากพัดพาลูกน้องจมหายไปหลายคน บ้างก็ถูกโคลนถล่มทับต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตให้รอด ต้นไม้ใบหนาที่รากยังหยั่งลึกซึ่งโค่นลงทำให้ฮัสซันยังพอมีที่ยึดเกี่ยว แต่ก็หมิ่นเหม่จวนจะร่วง ท่อนล่างที่ทวนกระแสน้ำทำให้การปีนป่ายเกาะเกี่ยวกิ่งใหญ่ที่แข็งแรงเป็นไปได้ยาก

“ฮัสซัน!!”

โต๊ะอิหม่ามผู้เป็นบิดาพยายามจะลงไปช่วยแต่ก็จนปัญญา ไม้ไผ่ลำเล็กถูกยื่นลงไปเพื่อให้เกาะยึดแต่ก็ต้องร่วงลอยตามน้ำไป

“ช่วยลูกชายผมด้วยครับหมวด”

ผู้หมวดหนุ่มต้องละมือจากเพื่อนรักชั่วคราว มองหากิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่พอจะรับน้ำหนักไหว ยื่นลงไปในน้ำที่ซึ่งฮัสซันจวนจะจมอยู่รอมร่อ

“เกาะกิ่งไม้ไว้คุณฮัสซัน” ไม่ว่าชายผู้นี้จะเคยทำอะไรมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้ก็คือช่วยให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อแก้ไขในหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยพลาดพลั้ง อยู่เพื่อใช้จิตวิญญาณแห่งความรักชาติรักพวกพ้องสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินนี้

นาทีนี้ฮัสซันได้เข้าใจลึกซึ้ง และซาบซึ้งถึงความปรารถนาดีที่เขาปฏิเสธมาตลอดเวลา แม้จะถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายเยี่ยงข้าศึกศัตรูผู้รุกราน แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ลังเลที่จะช่วยชีวิตเขา

“เกาะไว้แน่นๆ นะผมจะดึงคุณขึ้นมา”

“หมวด ระวัง!!” โคลนริมตลิ่งลื่นเกินไปทำให้ปอนด์ลื่นลงไปอีกคน โชคดีที่เกาะส่วนลำต้นของต้นไม้เอาไว้ได้ ชายหนุ่มปีน ขึ้นคร่อม ลำต้น ถอดเข็มขัดผูกเป็นห่วงด้านหนึ่งและพันรอบข้อมือตัวเองเอาไว้เหนียวแน่น

“เอาแขนสอดเข้ามาแล้วเกาะไว้”

จังหวะเดียวกันนั้นตลิ่งที่ปิ่นปัทมากับปราณซึ่งนอนอยู่ก็ถล่มลง ร่างไร้สติไถลลงไปตามร่องโคลน

ปิ่นปัทมารวบรวมกำลังทั้งหมดซึ่งเหลือเพียงน้อยนิดพยุงคนเจ็บกว่าเอาไว้ ร่างกายท่อนล่างนั้นจมน้ำอยู่ทั้งคู่ แม้ยังพอยืนได้แต่กระแสน้ำก็แรงเหลือเกิน
“พี่ปราณ...พี่ปราณต้องตื่นแล้วนะ ปิ่นจะไม่...ไหวแล้ว”
“น้องปิ่น!!” คนเป็นพี่สาวหาที่ยึดเกี่ยวก่อนโน้มตัวไปช่วยดึงน้องสาวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว


สองชีวิตที่ยังตะเกียกตะกายอยู่เหนือน้ำต้องชะงัก ปณิธานหันมองเพื่อนและน้องสาวที่กำลังจะแย่ด้วยความห่วงใยเหลือประมาณ แต่จะปล่อยมือจากฮัสซันให้เขาจมน้ำไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มนึกโมโหตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ โต๊ะอิหม่ามและคนอื่นๆ ช่วยกันหาไม้ยาวๆ ยื่นลงน้ำเพื่อให้ได้ยึดเกาะ

“หมวดปล่อยผมเถอะ ผมจะไปช่วยเอง” ฮัสซันอาสา จากตำแหน่งที่ห่างกันราวสิบเมตรคิดว่าถ้าปล่อยตัวตามน้ำและพยายามเข้าฝั่งอาจจะช่วยดันสองคนนั้นให้เข้าใกล้ฝั่งมากกว่านี้ได้
“แต่น้ำมันแรงมากนะครับ”
“ผมจะลองดู”
“แต่มันอันตรายนะ เราหาทางอื่นกันดีกว่า”

“มันจะช้าเกินไป ไม่ต้องห่วงครับ ขอให้ผมได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อพวกคุณบ้าง คุณวิ่งไปคอยดึงสองคนนั้นขึ้นฝั่ง ผมจะนับหนึ่งถึงสาม หนึ่ง...สอง...สาม...”

สิ้นเสียง ทั้งสองก็ปล่อยมือจากกัน ฮัสซันใช้เรี่ยวแรงที่เหลือตะเกียกตะกายเข้าไปดันปิ่นปัทมาและปราณให้เข้าใกล้ฝั่งมากที่สุดขณะที่ปณิธานวิ่งไปริมตลิ่งผูกตัวเองเข้ากับปลายไม้ของโต๊ะอิหม่ามลงไปฉุดเพื่อนรักและน้องสาวขึ้นมาจากสายน้ำที่เชี่ยวกราก ทุกคนช่วยกันดึงจนในที่สุดก็พาทั้งสองขึ้นมาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย ปราณยังคงนอนหมดสติอยู่บนพื้นดินฉ่ำแฉะโดยมีปิ่นปัทมานอนหายใจหอบอยู่ใกล้ๆ

“แย่แล้ว คุณฮัสซัน!!”




“ตื่นสิ... ตื่นเร็วเข้า...”

น้ำเสียงอบอุ่นที่แว่วอยู่ข้างหู สะกิดให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ความมืดมิดแห่งบรรยากาศเริ่มคลี่คลาย เขายันกายลุกขึ้น มองไปรอบๆ ไม่มีสิ่งอื่นใดในพื้นที่นอกจากไอหมอกสีขาวหนาทึบที่ปกคลุมพื้นดินโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาสูงถึงข้อเท้า ไม่มีผู้คน ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่นใด หรือว่า...

“เราตายแล้ว?” เมื่อก้มลงสำรวจร่างกายว่ายังอยู่สมบูรณ์ดีหรือไม่ หัวใจก็หล่นวูบอีกครั้งเมื่อพบว่า ร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยชุดขาวสะอาดสะท้อนแสงดูสว่างเรื่อเรืองนั้นเป็นเพียงรูปกายที่โปร่งใส สามารถมองทะลุแขนและฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย

“เราตายแล้ว!!” สิ่งต่างๆ ที่ค้างคาอยู่ในชีวิตถาโถมประโคมกระหน่ำเข้ามาในความรู้สึก ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มร้างไร้ซึ่งหมู่ดาวเงียบเหงาและอ้างว้างเคว้งคว้างเช่นเดียวกับชายผู้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้

“เป็นแบบนี้ได้ยังไง” นึกเหตุการณ์ที่พอจะจำได้ลางๆ ทุกคนหนีออกมาจากบนเขา พอมาถึงริมแม่น้ำ....

แต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปไกลกว่านั้นก็ปรากฏลำแสงสีทองเจิดจ้าขึ้นตรงหน้า ประกายของมันทำให้ต้องยกมือขึ้นบังหน้าหรี่ตามอง


“โยมปราณ” เสียงของหลวงพ่อนั่นเอง
“รีบกลับเถอะ มีคนเขารอโยมอยู่นะ”
“แต่...ผมจะกลับได้ยังไงครับหลวงพ่อ ในเมื่อ...”
“เดินเข้าไปในแสงนั่น...”




“คุณฮัสซัน!”

กำลังเฮือกสุดท้ายถูกใช้ชดเชยในสิ่งที่ได้ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ฮัสซันลอยห่างออกไปตามกระแสน้ำเห็นเพียงศีรษะที่โผล่พ้นระลอกคลื่นขึ้นมาหายใจเป็นจังหวะ ปณิธานวิ่งไปดักรอข้างหน้าและกระโดดตามลงไปฉุดร่างปวกเปียกนั้นให้โผล่พ้นน้ำ ไม้ไผ่ลำยาวที่ผูกติดกับตัวถูกโต๊ะอิหม่ามคว้าและออกแรงดึงสุดกำลัง ปาริมาเองก็ช่วยดึงไว้อีกแรง แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและน้ำหนักของคนสองคนคงมากเกินไป เกินกว่าคนผู้อ่อนแอเพียงน้อยนิดจะฉุดดึงเอาไว้ได้

“มันหนักเกินไปคุณปล่อยผมเถอะหมวด”

“ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่ทิ้งคุณ”

ขณะที่กำลังออกแรงฉุดและลุ้นกันอย่างใจหายใจคว่ำนั้น ความหนักอึ้งก็ของลำไม้ไผ่ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ลำแขนแข็งแรงของใครอีกคนเรียกความหวังอันแสนริบหรี่ให้กลับคืนมาในชั่วพริบตา

“พี่ปราณ...พี่ปราณฟื้นแล้ว!!”

แล้วทั้งสองก็ถูกช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำได้อย่างปลอดภัย หญิงสาวผู้ร่ำร้องเรียกหาความหวังอันแสนริบหรี่โผเข้าหาชายหนุ่มเจ้าของหัวใจ โอบกอดเอาไว้แนบแน่นชดเชยความรวดร้าวอ้างว้างที่ถาโถมจนแทบหัวใจแตกสลาย คนเป็นพี่ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจในความหมายของการแสดงออกนั้น

“ปิ่นกลัว...ปิ่นกลัวว่าจะไม่มีพี่อยู่ข้างๆ ปิ่นอีกแล้ว”

“ใครบอกล่ะ พี่จะไม่ยอมจากน้องปิ่นไปไหนอีกเลยต่างหาก”

“ปริมเป็นห่วงพี่ปอนด์แทบแย่แน่ะ” ยายหมีดำคุกเข่าลงข้างๆ พี่ปอนด์ที่นั่งหายใจเหนื่อยหอบอยู่กับพื้น รอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มกระจ่างชัดเต็มใบหน้า จากนี้ไปพี่ปอนด์จะไม่ได้เป็นแค่รั้วผุๆ อีกต่อไปแล้ว แต่พี่ปอนด์คือรั้วของชาติที่ทำให้ปริมได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง

“แล้ว...ไม่คิดจะกอดรับขวัญกันบ้างเหรอ?”

“บ้า...เขาอายนะ” อิดเอื้อนเอียงอายแต่ก็ยอมสวมกอดผู้หมวดขี้เล่นเอาไว้ให้อุ่นใจ เด็กหญิงและหญิงเสียสติผู้เป็นมารดาปรบมือแสดงความยินดีอยู่ใกล้ๆ บรรยากาศอันเลวร้ายผ่านไปได้ด้วยดีในที่สุด


ฮัสซันกล่าวขอบคุณและขอโทษในทุกสิ่งที่ได้ทำลงไป ถึงนาทีนี้เขาไม่มีข้อกังขาใดๆ กับการมาของคนทั้งหมด ขอบคุณเหลือเกินในเจตนาดีที่จะทำให้พื้นที่ที่ร้างลาจากความสงบสุขมานานแสนนานกลับมาน่าอยู่อีกครั้ง ขอบคุณที่ให้โอกาสได้มีชีวิตอยู่ ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าเราไม่อาจเรียกร้องหาความยุติธรรมได้จากความรุนแรง แต่ความดีต่างหากที่จะเอาชนะทุกสิ่งได้ เช่นเดียวกับความดีของคนเหล่านี้ที่เอาชนะหัวใจกร้าวกร้านของตนได้อย่างสิ้นเชิง ขอบคุณจริงๆ...



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2554, 17:52:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2554, 17:52:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2009





<< ตอนที่ 21 ห่วงใยเหลือเกิน   ตอนที่ 23 หัวใจอุ่นไอรัก (ตอนจบ) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account