ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มมาดเข้มเจอกับสาวมาดเข้มอีก

“ตาวียังไม่กลับอีกเหรอจ้ะคุณ”

ปฐพี อัครเสวี ก้าวลงจากรถเบนซ์เมื่อคนขับรีบกุลีกุจอวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ แล้วถามภรรยาสุดที่รักที่มายืนรอรับพร้อมส่งยิ้มจากใบหน้าอวบอิ่มก็ไม่เหือดแห้ง

“อ้าว! มาถามอรได้ยังไงคะ คุณทำงานอยู่กับลูกแท้ๆ” เลยได้คำตอบตีรวนกลับไปแทน

“คุณปู่สมควรเรียกผมไปคุยธุระด้วยตั้งแต่ยังไม่เที่ยง เสร็จแล้วก็ไปหาลูกค้าที่อื่นต่อ เลยไม่ได้กลับเข้าออฟฟิศ

อีก อ้อ! นั่นไงมาพอดีทั้งสามศรีพี่น้องเลย งั้นผมขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ ฝากบอกลูกด้วยว่าอย่าเพิ่งไปไหนผมมีธุระจะคุยด้วย โดยเฉพาะตาวี”

ว่าแล้วปฐพีก็ส่งกระเป๋าใส่มือภรรยาแล้วรีบเดินขึ้นชั้นบนไป ส่วนลูกชายทั้งสามที่เดินตามหลังกันเข้าบ้านมาก็ต่างรีบแยกย้ายกันขึ้นห้องตัวเอง และรีบกลับลงมาในเวลาไม่นานนัก เมื่อผู้แม่ถอดคำสั่งของผู้พ่อมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องว่าห้ามใครไปไหนก่อนเด็ดขาด

“คุณพ่อมีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ”

ปวีย์เอ่ยก่อนใครเพื่อนทันทีที่นั่งพร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหารเย็น เพราะออกจะร้อนใจอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ดีว่าพ่อไปไหนและอยู่กับใครมาทั้งบ่าย เรื่องที่พ่ออยากจะคุยคงจะมีเขาหรือไม่ก็น้องคนใดคนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน แต่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากคนที่กำลังจะเข้าไปเกี่ยวดองกับครอบครัวนั้น

“อ้อ! จะว่าด่วนก็ด่วนนะ ไม่ด่วนก็ไม่ด่วน คือว่าคุณปู่อยากจะขอยืมตัวแกสักอาทิตย์ละวันหรือสองวันช่วยไปเป็นเทรนเนอร์ให้หนูอ๋อหน่อย เพราะท่านยังไม่เชื่อมือผู้บริหารคนใหม่สักเท่าไหร่ แกจะว่ายังไงล่ะ แต่พ่อตอบไปแล้วนะว่าไม่มีปัญหาอะไร แกไปได้อยู่แล้ว”

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะครับคุณพ่อ นี่พี่วียังไม่ได้รับปากสักหน่อยเลย”

ปไวย์รีบแหย่พ่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และหันไปยักคิ้วให้พี่ชายเป็นเชิงเยาะเย้ยนิดๆ ทำเอาอรปรียาหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อธุระด่วนของสามีคือเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบใจเอามากๆ

“นั่นสิคะคุณ ทำไมจู่ๆ ไปรับปากอย่างนั้นล่ะ ไหนว่าแม่นั่นเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่เหรอ แล้วเรื่องอะไรจะต้องมากวนลูกเราด้วย ตาวีไม่ต้องกลัวนะ ตอบพ่อไปเลยว่าไม่ตกลง”

ปวีย์ที่ออกอาการเซ็งนิดๆ จึงถอนหายใจหนักๆ ออกมา เพราะไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก ในเมื่อพ่อไปรับปากไว้ดิบดีแล้ว แต่ครั้นจะให้ยิ้มรับภาระกิจนี้อย่างเต็มใจเขาก็ให้กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เพราะเห็นฤทธิ์เดชแม่คุณที่กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาให้กับในบ้านของเขาดีว่าเป็นยังไง ปากกล้า ก๋ากั่นและแข็งกระด้างขนาดไหน

“ผมจะมีความสามารถมากพอจะที่เทรนให้เขาได้เหรอครับ คุณพ่อไม่กลัวว่าจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเหรอครับ เดี๋ยวเสียชื่อเสียงมาผมไม่รู้ด้วยนะ ปากแม่คุณยิ่งคมยังกับมีดโกนอยู่ เปล่งออกมาแต่ละคำเจ็บไปถึงทรวงเชียว”

จึงแบ่งรับแบ่งสู้ เพื่อให้พ่อได้คิดเองว่าเขาไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่ผู้พ่อกลับไม่สนใจจะคิดเรื่องนี้ เพราะมีเหตุผลเพียงพอและถือเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว เขาจึงเงยหน้าจากจานข้าวมองลูกชายคนโตก่อนจะอุทานออกมา

“โธ่! จะไปยากอะไรกะอีแค่สอนผู้หญิงคนเดียวที่ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจด้านสิ่งทอเลย แกเก่งจนจะทำงานแทนพ่อได้ทุกอย่างอยู่แล้วยังจะมาถ่อมตัวอีก และงานของบีซีเคทุกซอกทุกมุมแกก็รู้จักหมด รู้ดีกว่าพ่อ กว่าสองน้องด้วย แล้วจะมีใครเหมาะสมไปมากกว่าแกอีก ที่สำคัญสุดๆ อีกไม่กี่วันแกก็จะต้องเข้าไปเป็นลูกเขยบ้านนั้นแล้ว การที่แกเข้าไปเทรนงานให้หลานท่าน ซึ่งเป็นว่าที่พี่เมียแกก็ถือเป็นการไปปูทางให้ตัวเองด้วย เห็นหรือเปล่าว่าพ่อมีเหตุผลมากมายที่ต้องตอบตกลงคุณปู่ท่านโดยไม่ต้องรอถามแก”

เมื่อเจอไม้นี้เข้า เขาก็อับจนหนทางที่จะโต้แย้ง เพราะพ่อมีเหตุผลจนเขาคิดหาทางหลบไม่ได้แล้ว แต่อรปรียายังไม่ยอมแพ้ เพราะไม่ประสงค์จะให้ลูกชายคนโตต้องไปใกล้ชิดกับแม่สาวฝีปากกล้า ก๋ากั๋น ไม่เกรงกลัวใคร ไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ แม้จะมั่นใจว่าลูกชายจะไม่หวั่นไหวแน่ แต่โบราณเขาว่าอย่าเอาน้ำมันไปไว้ใกล้ไฟเด็ดขาด

“บ้านนี้ไม่รู้เป็นยังไงกันนะคะ แต่ละคนทำอะไรแปลกๆ คิดอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อยเลย”

“แปลกยังไงล่ะคุณ” ปฐพีหันไปมองหน้าภรรยาขณะยกน้ำเย็นๆ ขึ้นจิบ

“ก็ไม่รู้ว่าคุณปู่คิดยังไงกันน่ะสิคะ ถึงได้ร่างพินัยกรรมออกมาแบบนี้ ทำให้วุ่นวายไปตามๆ กันเลย โดยเฉพาะพวกเราก็ต้องมาเสียโอกาสได้คุยเรื่องของตาวีกับหนูยาไปเลย อุตส่าห์รอให้ถึงวันเผาคุณสงครามมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังจะต้องมีเรื่องแม่อิงอรเมียเก็บเมียเก่าเข้ามาอีกคน ไหนจะเรื่องแม่ลูกสาวจอมซ่านั่นอีก”

เพราะทั้งสองตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะจัดให้มีพิธีหมั้นระหว่างทั้งปวีย์กับสาริยาขึ้นในช่วงนี้ หลังจากที่ผู้ใหญ่พูดกันแต่ปากเปล่ามาตั้งแต่ปวีย์เรียนจบจากเมืองนอกมาใหม่ๆ แล้ว แต่ก็ติดตรงที่เขาจะต้องลุยงานให้เก่งก่อน พอได้เวลาเหมาะก็ดันมีเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยของคุณสมควรอีก แล้วก็ต่อด้วยการเสียชีวิตของสงคราม เรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ยังไม่ได้ลงมือทำสักที

“เมียกงเมียเก็บที่ไหนกันล่ะคุณ ความจริงแล้วอิงอรเป็นคนที่สงครามรักและตั้งใจจะอยู่ด้วยตลอดชีวิตนะ ถ้าไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นก่อน”

ปฐพีก็รู้เรื่องของเพื่อนกับอิงอรดีไม่น้อย เพราะทั้งคู่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม เรื่อยไปจนถึงขั้นไปเรียนเมืองนอกพร้อมกัน จบพร้อมกันและกลับมาพร้อมกัน ผิดกันที่ปฐพีไวไฟกว่าเพราะดันไปทำอรปรียาแฟนสาวท้องขึ้นมาจนพ่อแม่ต้องจับให้แต่งงานกันตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้ว

ส่วนสงครามก็ไวไฟกว่าเพราะดันชิงตายไปก่อนถึงเวลาอันสมควรนั่นเอง เรื่องความรักต่างชนชั้นของเพื่อน แถมถูกพ่อแม่กีดกันนั้นเขารับรู้มาโดยตลอด และคอยให้คำปรึกษาไม่ว่างเว้น จะห่างกันก็ตอนที่สงครามพาอิงอรเข้าไปอยู่ในบ้าน และยอมแต่งงานกับสาลินีเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนเท่านั้นเอง เพราะต่างคนก็ต่างยุ่งกับกิจการของครอบครัว

เผลอหน่อยเดียวก็มีข่าวว่าอิงอรทำเรื่องไม่ดีในบ้านซะแล้ว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นมายังไง จริงเท็จมากน้อยแค่ไหน ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะอิงอรชิงหอบลูกสาวหนีออกจากบ้านไปก่อน ส่วนคนสวนที่ว่ามีสัมพันกันนั้นก็หนีออกจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย จึงไม่มีใครทันได้ไตร่ถามถึงความจริงให้กระจ่างเลย

อิงอรจึงกลายเป็นจำเลยที่ถูกคนในบ้าน บวรชัยกุล ทุกคนร่วมกันพิพากษาว่าทำผิดจริงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่เว้นแม้แต่สงครามเพื่อนของเขาที่เมื่อก่อนนั้นรักอิงอรมากจนหมดใจ ชนิดตายแทนก็ยังได้ และเมื่อรักมากก็ย่อมผิดหวังมาก และเกลียดมากด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่เขาไม่เคยเห็นเอ่ยอะไรเกี่ยวกับอิงอรออกมาเลย นั่นคือคุณสมควร

“คุณคิดเหรอคะว่าคุณสงครามจะทำแบบนั้นได้ ในเมื่อคุณย่าเกลียดแม่นั่นยังกับอะไรดี สกุลรุนชาติก็ไม่มี ไม่รู้ไปคว้ามาได้ยังไง เพราะนอกจากจะหน้าตาสวยบาดใจชายแล้ว อรก็ไม่เห็นว่าแม่นั่นจะเหมาะสมกับคุณสงครามสักนิด สู้คุณสาก็ไม่ได้ งามพร้อมทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติ ถ้าคุณสงครามยอมเชื่อคุณย่าตั้งแต่แรกเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ

นี่อะไรตายไปแล้วก็ยังทิ้งปัญหาไว้ให้ลูกเมียต้องทุกข์ใจอยู่อีก คุณน่ะไม่รู้หรอก เห็นคุณสาเงียบๆ แบบนั้นนะคะ ในใจก็ใช่ว่าจะมีสุข มีอย่างที่ไหนพอผัวตายพ่อสามีก็ดันร่างพินัยกรรมจะยกสมบัติให้คนอื่น อยู่รับใช้มาตั้งยี่สิบสามสิบปีไม่คิดจะยกอะไรให้สักชิ้นเดียว ไม่ให้อรว่าแปลกแล้วจะให้ว่ายังไงล่ะคะ”

ปฐพีเก็บคำภรรยามาครุ่นคิด หลังจากที่เคยวิเคราะห์การกระทำของคุณสมควรมาแล้ว เมื่อครั้งแรกที่ได้รับรู้เรื่องพินัยกรรมเจ้าปัญหา แม้เขาจะเดาไม่ออกจนถึงขั้นทะลุปุโปร่งถึงเหตุผล แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าคุณสมควรประสงค์ที่จะหาทายาทให้มาสืบทอดกิจการต่อ ด้วยหลานชายหญิงที่มีทั้งสองคนไม่ค่อยจะมีแวว จะฝากความหวังให้สานต่องานคงเป็นไปไม่ได้

หรือถ้าได้ก็คงจะยากเต็มที และคงจะอีกนาน จนตัวเองอาจจะไม่มีบุญวาสนาอยู่ทันได้เห็นภาพนั้นเป็นแน่ เพราะสงกรานต์ยังทำตัวเป็นวุ้นอยู่เลย อีกทั้งก็คงอยากจะตามหาอิงอรกับลูกเพื่อจะได้รับรู้สารทุกข์สุกดิบบ้าง แม้ปมสำคัญในอดีตจะยังไม่กระจ่าง แต่อย่างน้อยๆ ลูกสาวของอิงอรก็เป็นหลานแท้ๆ ของท่านที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้นั่นเอง

“คุณก็มองในแง่ร้ายเกินไป ที่ท่านทำแบบนั้นก็คงจะแค่ขู่คุณย่าล่ะมั้ง ใครจะบ้ายกสมบัติให้มูลนิธิได้ล่ะ อีกหน่อยพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้ว ท่านก็ทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกเองนั่นล่ะ”

“อุ๊ย! อีกหน่อยของคุณนี่มันเมื่อไหร่กันล่ะคะ”

อรปรียาอุทานออกมาด้วยอาการประชดนิดๆ จนปฐพีหัวเราะหึๆ ออกมา ขณะตักอาหารเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ลูกชายทั้งสามก็พลอยขำไปด้วย

“ก็คงจะหลังจากที่ลูกสาวคุณอิงพร้อมที่จะเป็นผู้นำบริษัทล่ะมั้ง หรือไม่ก็ลูกชายของคุณสาลินีทำตัวเป็นโล้เป็นพายขึ้นมา แต่ผมว่าอย่างแรกน่าจะมีหวังมากกว่านะ ไม่รู้แกเลี้ยงลูกอีท่าไหนถึงได้ออกมาอีหรอบนี้ ถ้าเป็นลูกเราผมคงจะอกแตกตายกันพอดี”

คนพูดยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อลูกชายทั้งสามคนที่ไม่เคยทำตัวเป็นปัญหาให้พ่อแม่ต้องปวดหัวเลย หรือถ้ามีก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดไม่เอาเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน

“โห! นานทีปีหนจะได้ยินคุณพ่อชมพวกเราน้อพี่วี”

ปไวย์อดแหย่พ่อไม่ได้ ทำเอาสองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่ผู้แม่ไม่ขำด้วยเพราะใจยังจดจ่อในเรื่องอยากจะดึงลูกชายออกห่างสาวฝีปากกล้าให้ได้ จึงเบะปากใส่สามีนิดๆ เมื่อเอ่ยปากชื่นชมผู้หญิงที่ตัวเองไม่ชอบใจเอามากๆ ก่อนจะปรามาสเอาไว้อย่างไม่ต้องคิดนาน

“อย่างแม่นั่นน่ะเหรอคะจะพอมีหวัง ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะนะ งานบริหารหรืองานผู้นำไม่ใช่ใครจะมาทำก็ได้ ถ้าไม่มีการศึกษาที่แน่นมากพอ กับประสบการณ์อันยาวนาน และพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จ้างให้ก็ไม่มีวันทำได้ หรือทำได้ก็คงจะแบบถูๆ ไถๆ ล้มลุกคุกคลานล่ะสิไม่ว่า”

ปฐพีหันไปมองภรรยาด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ที่ออกจะดูถูกคนตั้งแต่ยังไม่ได้ให้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง และแม้เขาเองจะเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยออกมาตราบเท่าที่เขายังไม่ได้สัมผัสกับคนที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างใกล้ชิด

“ว่าได้เหรอคุณ เห็นว่าจบโทไม่ใช่เหรอ แล้วก็ทำงานฝ่ายบริหารมาตั้งหลายปี อีกอย่างพรสวรรค์ก็อยู่ในสายเลือดของเด็กคนนั้นมาตั้งแต่เกิดแล้วนี่ ทั้งเลือดนักสู้และนักบริหารอันชาญฉลาดของคุณปู่ ไหนจะเลือดความมีน้ำอดน้ำทนของสงครามอีก มันคงจะมีตกทอดไปหาลูกบ้างล่ะ และถ้าได้ความพยายามจากเจ้าตัวแถมด้วยมีเทรนเนอร์ดีๆ อย่างเจ้าวีเข้า ผมว่าอีกไม่นานหรอก บวรชัยกุลต้องมีนักสู้รุ่นหลานผงาดขึ้นมาให้คนในวงการได้เห็นฝีมืออย่างแน่นอน”

“สรุปว่ายังไงๆ ตาวีก็ต้องไปช่วยแม่นั้นว่างั้น”

อรปรียาเห็นหนทางที่ตัวเองจะแพ้อยู่รำไร จึงประชดสามีอย่างเหนื่อยใจ แล้วหันไปหาลูกชายอย่างเห็นอกเห็นใจในภาระกิจครั้งนี้

“จะไม่ให้ลูกไปก็ได้นะคุณ แต่ผมว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าเราคิดจะเกี่ยวดองกับคุณปู่อยู่ อย่าห่วงไปหน่อยเลยน่าคุณ ตาวีน่ะโตแล้วนะ รู้จักผิดชอบชั่วดีหมดแล้ว คุณต้องหัดไว้ใจและวางใจลูกบ้างสิ เอาเป็นว่าตาวีตกลงตามที่พ่อบอกก็แล้วกันนะ จะได้จบๆ เรื่องนี้สักที กินข้าวไม่ค่อยอร่อยเลยเวลามีเรื่องเครียดๆ มาถกเถียงกันนี่”



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:30:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:30:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 929





<< เลื่อยขาเก้าอี้แม่เมียน้อยพ่อ   แม่คุณร้ายเหลือรับทาน >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:57:06 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account