ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: สาวมั่นออกลาย

ตัวผ้าเป็นชีฟองทิ้งตัวลงไปกรอมข้อเท้าที่มีชายปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปยอดมะกอกเล็กๆ ไปจนรอบชายกระโปรง และด้วยความมีเวลาอันน้อยนิดของหญิงสาว ช่างจึงใช้วิธีรวบผมยาวสลวยขึ้นไปมัดเก็บไว้กลางศีรษะปล่อยให้ปลายผมตกเป็นพุ่มลงมาระต้นคอเพียงเท่านั้น

แต่แค่นี้ก็สร้างความอิจฉาริษยาก่อเกิดขึ้นในใจสาลินีได้เป็นอย่างดีทีเดียว รวมทั้งอรสาผู้แม่ที่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วยเช่นกัน หากความรู้สึกของทั้งสองถูกปกปิดเอาไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สาริยาที่มาในชุดราตรียาวเกาะอกเป็นผ้าชีฟองสีส้มจับจีบใต้อกช่วยส่งให้รูปร่างที่สูงไม่แพ้คนเป็นพี่ดูดีและเด่นสะดุดตาเช่นกัน มือบางรีบสอดเข้าไปเกาะเกี่ยวต้นแขนแฟนหนุ่มที่ดูเหมือนกำลังยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ เมื่อเขาหันไปมองเจ้าของงานที่เดินเข้ามาพร้อมกับคนในบ้าน

ผู้หญิงสวยเขาเคยเห็นและได้สัมผัสมามากต่อมาก ออกงานแต่ละครั้งคุณเธอทั้งหลายต่างต้องมีเวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมงในการแต่งหน้ากับทำผมให้ออกมาสวยเริดจนไม่มีที่ติ รวมทั้งคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วย แต่ผู้หญิงที่มีเวลาไม่ถึงชั่วโมงในการแปลงโฉมให้ออกมาดูดีได้อย่างหทัยชนกเขาไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก หรือถ้ามีก็คงไม่ออกมาน่ามองได้แบบนี้แน่ ถ้าในตัวคนคนนั้นไม่มีอะไรดีๆ เป็นทุนรอนดีๆ รอเอาไว้ให้ก่อนแล้ว

“พี่วีคะ คงไม่มีอะไรมากแล้วมั้งคะ เรากลับไปนั่งกันเถอะค่ะ”

สาริยาเห็นอาการตกตลึงของคนรักที่มีต่อพี่สาวต่างแม่ ก็เกิดอาการไม่ชอบใจอย่างที่สุด จึงรีบเอื้อนเอ่ย และมือบางก็จำต้องรีบเขย่าแขนเขาอยู่ตั้งสามสี่ครั้ง ถึงจะได้รับการตอบสนองจากเขาด้วยการหันมาหาพร้อมส่งสีหน้างงนิดๆ แต่สุดท้ายเขาก็ได้สติแล้วพาแฟนสาวก้าวเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับพ่อแม่และสาลินีที่กำลังให้ความสนใจกับอาหารชั้นดีจากโรงแรมชื่อดัง

“ฉันล่ะหมั่นไส้แม่เจ้าของงานจังเลย เดินเชิดยังกับนางพญา”

อรปรียาอดส่งน้ำคำค่อนขอดไปหาเจ้าหญิงกรีกที่นั่งอยู่ห่างไปหลายโต๊ะไม่ได้ ทำเอาผู้เป็นสามีกับลูกชายทั้งสามต้องหันไปมองกันแล้วยิ้มออกมาด้วยความขำในความไม่กินเส้นของพวกผู้หญิงที่ไม่รู้จักการเก็บอาการเอาเสียเลย ผิดกับเพศชายที่มักจะเงียบและไม่แสดงออกแม้จะไม่ชอบหรือไม่ถูกอกถูกใจสักแค่ไหน แต่ทั้งสี่หนุ่มก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะมีคนมาสะกิดบอกปฐพีกับปวีย์ให้เดินไปหาคุณสมควรที่โต๊ะแล้ว

สาริยาอยากจะไปด้วยใจจะขาด แต่ถูกผู้แม่ห้ามไว้ เพราะรู้ดีว่าผู้ชายจะคุยกันเรื่องธุรกิจมากกว่าเรื่องจุกจิก ยกเว้นคุณอัญชลีกับภรรยาของแขกสองสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะกัน การแสดงบนเวทีสองสามชุดจบลง คุณสมควรก็ถูกเชิญขึ้นบนเวที เพื่อกล่าวเล็กๆ น้อยๆ กับแขก จากนั้นก็เป็นเวลาเปิดตัวหลานสาวคนสวย เสียงปรบมือและเสียงถามไถ่ของคนในงาน เพราะงวยงงไปตามๆ กัน เกี่ยวกับที่มาของหทัยชนก แต่นั่นก็ล้วนเป็นไปด้วยความชื่นชมและยินดีเกือบทั้งหมด

วินาทีนี้เองที่ทำให้สาริยาเกิดอาการเสียดายขึ้นมาในใจลึกๆ ว่าคนที่ควรจะไปยืนอยู่บนเวทีนั้นน่าจะเป็นตัวเองมากกว่าใครอื่น แต่ความคิดนี้ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หดหายไปด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวเองไม่เหมาะที่จะทำงานพวกนั้น หรือถ้าพยายามก็คงจะทำได้ไม่นาน เพียงแค่คิดก็ปวดหัวขึ้นมาหนึบๆ แล้ว และยิ่งเห็นแม่พี่สาวต้องตื่นแต่ไก่ยังไม่โห่ไปทำงาน และกลับบ้านในเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินทุกวันก็ยิ่งสนับสนุนให้สาริยารู้ว่า ตัวเองนั้นคิดถูกแล้วที่ไม่อยากสานต่องานของครอบครัว

ส่วนสาลินีนั้นแทบจะปกปิดความอิจฉาริษยาที่มีต่อหนามยอกอกเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งเห็นผู้เป็นพ่อสามีปล่อยให้ปวีย์เข็นวิลแชร์เดินพาเจ้าหล่อนไปทักทายคนในงานด้วยใบหน้าปีติยินดียิ่งแล้ว ความเสียดายในหลายๆ อย่างก็โลดแล่นเข้ามาเล่นงานหัวใจที่ไม่ใคร่จะเป็นสุขอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการเสียดายที่สามีมาด่วนจากไปเร็วปานฟ้าผ่า หรือเรื่องที่ลูกชายเพียงคนเดียวที่มีและวาดหวังจะให้เป็นคนสืบทอดกิจการต่อกลับทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย ส่วนลูกสาวก็ไม่ยอมจะยื่นมาเข้ามายุ่งท่าเดียว

ก็นับว่าโชคยังพอจะเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อลูกสาวเป็นคนที่ปวีย์จะแต่งงาน แม้จะเป็นไปตามคำของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ตาม แต่ทั้งสองก็รักกันและเข้ากันได้ด้วยดี นี่จึงเป็นเพียงความภาคภูมิใจเดียวของสาลินีที่หลงเหลืออยู่ในเวลานี้ แต่อาการตกตะลึงในความสวยของหทัยชนกที่ปวีย์เผลอไปเมื่อครู่ ก็ไม่ได้เล็ดลอดสายตาสาลินีแต่อย่างใด สำนวนที่ว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนนั้น สาลินีไม่คิดว่าจะลืมได้

และยิ่งความรักระหว่างลูกสาวกับปวีย์ไม่ได้เกิดขึ้นจากพรหมลิขิตให้มารักกันเฉกเช่นหนุ่มสาวคู่อื่นๆ ด้วยแล้ว โอกาสที่จะทำให้ทั้งสองคลาดแคล้วต่อกันย่อมมีทางเกิดขึ้นได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ปวีย์ได้อยู่ใกล้ๆ กับหทัยชนกที่สาลินีเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับเขาทุกอย่างด้วยแล้ว วัวหนุ่มอย่างเขาก็ย่อมมีหนทางที่จะหายไปได้ หากสาลินีไม่รีบหาทางล้อมคอกเอาไว้ก่อน

“คุณอาสงครามนี่เก่งนะครับคุณแม่ ปั้นลูกสาวออกมาแต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้นเลย”

ปวัตรหันไปกระซิบกระซาบกับแม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แถมสายตาก็มองตามร่างในชุดเจ้าหญิงกรีกที่เดินตามคนเป็นปู่ด้วยท่าทีสง่างามอย่างไม่วางตา และแน่นอนว่าพี่ชายสุดหล่อของเขาที่กำลังประคองรถวิลแชร์ด้วยความระมัดระวังก็ดูจะมีความสมน้ำสมเนื้อกับเธอมากกว่าสาวแสนสวยในชุดสีส้มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นไหนๆ

ไม่ว่าจะด้านอายุที่ห่างกันแค่ห้าปี ความเป็นผู้ใหญ่ที่ทั้งสองต่างก็มีคล้ายกัน ที่สำคัญทั้งคู่เป็นนักธุรกิจ แม้หทัยชนกจะเป็นเพียงมือใหม่หัดขับ แต่ปวัตรเชื่อแน่ว่าอีกไม่นานเธอจะต้องก้าวไปไกลจนใครๆ คาดไม่ถึงแน่ ผิดกับสาริยาผู้ซึ่งมีอายุห่างพี่ชายเขาถึงสิบสองปี ทั้งคู่จึงเป็นเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่โคจรมาพบกัน ส่วนเรื่องธุรกิจสาวน้อยตรงหน้าของเขาไม่ประสงค์จะยุ่งด้วยเลยสักนิด

เขาจึงสรุปด้วยตัวเองคร่าวๆ ว่าทั้งสองคนไม่เหมาะสมที่จะใช้ชีวิตร่วมกันโดยสิ้นเชิง แต่จะทำยังไงได้ก็ในเมื่อผู้ใหญ่มีความประสงค์จะให้ออกมาเป็นรูปนี้ พี่ชายของเขาจึงกลายเป็นตัวเลือกแถมพี่ก็ไม่ขัดขืนเสียด้วย ทั้งที่มีคำถามเกิดขึ้นในใจเขาตลอดมาว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่หันมามองคนอย่างเขาและจับให้เขาคู่กับสาริยาบ้างล่ะ เพราะมันดูจะสมน้ำสมเนื้อกว่ากันเยอะเลย เขาได้แต่เฝ้าภาวนาให้สิ่งที่เขาคิดเกิดเป็นจริงขึ้นมาด้วยเถิด เขาคงจะเป็นสุขไม่น้อย

“ไม่รู้สิ! แม่ไม่เห็นว่าจะมีใครสวยเกินหนูยาอีกแล้ว อย่างแม่นั่นเขาไม่เรียกว่าสวยหรอก หรือถ้าสวยก็เป็นแค่เปลือกนอก จะมาสู้คนงามพร้อมทั้งกายทั้งใจอย่างหนูยาว่าที่สะใภ้ใหญ่ของแม่ได้ยังไงกัน”

แต่ดูเหมือนคำภาวนาของเขาทำท่าจะหมดหวังลงโดยสิ้นเชิงแล้ว โดยเฉพาะกับรอยยิ้มอย่างเอียงอายของสาวสวยตรงหน้า สลับกับการหันไปมองพี่ชายเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มด้วยแล้ว มันช่วยตอกย้ำได้ดีทีเดียวว่า หัวใจของเธอนั้นคงไม่หลงเหลือพื้นที่ไว้ให้ใครจับจองแล้ว เพราะมันเต็มไปด้วย ‘ปวียร์ อัครเสวี’ ไม่ใช่ ‘ปวัตร อัครเสวี’ เลยจนนิดเดียว

หทัยชนกมักจะทิ้งซีวิคไว้ที่ออฟฟิศนับตั้งแต่ได้เมอร์ซิเดชเบนซ์มา แล้วก็ใช้คันนี้เป็นหลักในการขับไปมาระหว่างบ้านกับที่ทำงาน ยกเว้นเย็นวันเสาร์ที่จะให้วีนาขับกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองนั้นมักจะต้องออกไปดูโรงงานต่างๆ กับปวีย์แล้วก็ตรงเข้าบ้านเพื่อรายงานประจำวันกับผู้เป็นปู่ จากนั้นถึงจะให้พีระซึ่งที่ทำงานอยู่ไม่ไกลกันนัก ขับรถมารับเพื่อกลับบ้านไปหาแม่ตลอด เฉกเช่นวันนี้หลังจากที่ลงมารอแล้วยังไม่เห็นพีระมารับ จึงเดินเข้าบ้านเพราะเหนียวตัวอยากอาบน้ำเต็มที

ขณะควานหาเสื้อผ้าในตู้ก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ อยู่นอกห้อง จึงรีบสลัดผ้าขนหนูที่หุ้มกายไว้แล้วใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อกล้ามโดยด่วนแล้วเปิดประตูออกไปดูทันที แต่ไม่พบอะไรเป็นที่ผิดสังเกตจึงแกล้งทำเป็นเดินเข้าห้องดังเดิมแต่ปิดไม่สนิท เพื่อให้มองเห็นภายนอกเผื่อมีใครเข้ามาในบ้านจริงๆ ไม่ผิดหวังที่ทำแบบนั้น

“หยุดนะ! เธอเข้ามาในบ้านฉันทำไม มาทำอะไร ใครเป็นคนสั่งบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”

ดวงตกใจจนสะดุ้งสุดตัวแล้วก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต และแน่นอนว่าหทัยชนก็รีบสาวเท้าตามด้วยอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกัน ช่วงขาที่ยาวกว่า รูปร่างผอมเพรียวกว่า และเด็กกว่าทำให้ตามดวงได้ทันในช่วงที่วิ่งไปตามทางเล็กๆ แล้วยื่นมือไปจิกผมยาวที่ม้วนเก็บไว้ด้วยที่หนีบตัวใหญ่

“โอ๊ย! ปล่อยนะฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย บอกให้ปล่อยไง อีบ้ามาจับฉันไว้ทำไม ปล่อย!”

ดวงร้องลั่นด้วยความเจ็บเมื่อถูกหทัยชนกกำกลุ่มผมจนเต็มมือแล้วดึงกลับคืนไปด้านหลังจนเจ้าของผมถึงกับเซล้มลงไปไม่เป็นท่า แต่ปากของดวงก็ยังอวดดีด้วยการเปล่งคำด่าทอที่ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงเธอในฐานะหลานของเจ้าของบ้านเฉกเช่นคนรับใช้อื่น และนั่นทำให้อารมณ์โกรธของหทัยชนกที่มีอยู่แล้วเพิ่มดีกรีขึ้นอีกหลายเท่า

“กล้าด่าฉันเหรอ เธอไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเธอเข้าไปทำอะไรในบ้านฉัน ไม่งั้นโดนดีแน่”

“คิดเหรอว่าฉันจะกลัวลูกชู้อย่างแก แกก็ไม่ต่างจากแม่แกเหรอ ลูกชู้เอ้ย!”

ดวงไม่สนใจและไม่เกรงกลัวใดๆ เพราะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พอลุกขึ้นได้ก็หมายจะวิ่งไปทางครัว แต่ก็ถูกมือหทัยชนกคว้าผมแล้วจิกเอาไว้อีก แถมด้วยฝ่ามือบางฟาดลงไปหาแก้มอวบอูมของดวงจนสุดแรงเกิด

“ลูกชู้เหรอ ปากดีนักนะแก วันนี้ถ้าฉันไม่เอาเลือดแกออกจากปากอย่ามาเรียกฉันว่าเจ้าแม่อ๋อ”

และตบฉาดสองสามก็ตามมาติดๆ ดวงพยายามจะตอบโต้แต่ก็พ่ายแพ้ต่อเรี่ยวแรง จนต้องร้องลั่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ทำเอาคนในบ้านแตกตื่นไปตามๆ กัน พวง สุดใจ กับมากวิ่งมาถึงก่อน แล้วก็รีบเข้าไปแยกหทัยชนกออกห่างจากดวงจนสำเร็จ ดวงเห็นทีจะได้เอาคืนก็สลัดแขนออกจากมือสุดใจแล้วตรงรี่ไปหาหทัยชนกเพื่อหมายจะตบคืน แต่ก็เจอลูกถีบสุดแรงเกิดเข้าไปที่ท้องจนผงะล้มไปด้านหลัง

“โอ๊ย! แกกล้าถีบฉันเหรอ อย่าอยู่เลยแม่จะสั่งสอนให้เข็ดหลาบ ปากดีนักนะ”

แต่ดวงก็ไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บและจุกสักแค่ไหนก็ฮึดลุกขึ้นหมายจะเข้าไปเอาคืนให้สาสม ส่วนหทัยชนกก็ไม่คิดจะเกรงกลัวต่อร่างของดวงที่ใหญ่กว่ามาก เท้าบางข้างเดิมก็ยกรอที่จะถีบลูกที่สองด้วยความโกรธไม่แพ้กัน แถมยังส่งสีหน้าและคำพูดท้าทายดวงเพื่อเป็นการยั่วอารมณ์ให้ครุ่กรุ่นขึ้นอีกหลายเท่า

“ก็เข้ามาสิถ้าแกคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ คิดว่าฉันจะกลัวขี้ข้าอย่างแกเหรอ”

“หยุดนะๆ นี่มันอะไรกัน ฉันบอกให้หยุด”

เสียงคุณอัญชลีร้องลั่นบ้าน สลับกับอาการหอบนิดๆ หลังจากที่รีบเดินแกมวิ่งมาจากห้องนั่งเล่นนับตั้งแต่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังเข้าหู สาลินีคอยประคองข้างเอาไว้ไม่ให้ล้ม ส่วนอีกข้างก็มีปวีย์คอยช่วย สาริยาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แฟนหนุ่มมองไปหาพี่ต่างแม่ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เพราะตัวเองกำลังจะออกไปข้างนอกกับปวีย์แต่ก็ต้องวิ่งมาดูต้นเหตุของเรื่องก่อน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน บ้านฉันถึงได้กลายเป็นตลาดสดได้ขนาดนี้”

สายตาอันดุดันของคุณอัญชลีมองกวาดไปหาหลานนอกทำเนียบกับคนใช้ผู้รู้งานสลับกันไปมา ดวงได้ทีรีบบีบน้ำตาแล้วคลานเข้าไปกอดเข่าคุณอัญชลีพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาดังๆ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ แล้วก็ร่ายความเท็จเพื่อทำให้ตัวเองพ้นผิด หทัยชนกหันไปมองด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุดจนอยากจะเข้าไปถีบซ้ำหากก็ทำดังที่ใจคิดไม่ได้ แถมก็เพิ่งจะได้คิดว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีพรรคพวกที่ไหน จึงพยายามตั้งสติไว้รับมือกับผู้เป็นย่าที่แน่นอนว่าจะต้องเข้าข้างคนของตัวเองแน่



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:53:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:53:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1059





<< งานล้นหัวสาวมั่น   หมารอบกัด >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 15:01:08 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account