ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: พลาดจนได้

“กินข้าวเสร็จตาวีจะพาหนูอ๋อไปดูโรงงานเย็บผ้านะ ส่วนลุงกับสองหนุ่มนี่จะกลับเข้าออฟฟิศใหญ่ก่อนล่ะ”

ปฐพีหันไปบอกแล้วยิ้มน้อยๆ ให้หญิงสาวที่เขาเห็นว่าน่ารักน่ามองไม่น้อย และนั่นทำให้ปวีย์เกิดอาการสะดุ้งนิดๆ เพราะตกใจเสียงพ่อ แต่ไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ น้องชายทั้งสองแอบใช้ศอกสะกิดกันด้วยความขำในอาการตกภวังค์ของพี่ชายคนโต ส่วนหทัยชนกไม่ได้รู้เรื่องอะไรจึงได้แต่ยิ้มรับคำของปฐพีแค่นั้น

นอกเหนือจากได้เดินดูโรงงานเย็บผ้าที่ใหญ่โตและทันสมัยมีระบบระเบียบแบบแผนที่มั่นคงแล้ว บ่ายแก่ๆ ปวีย์ก็พาไปดูโชว์รูมที่สร้างไว้ในเขตนิคมอุตสาหกรรมด้วย เพราะเป็นแหล่งใช้ระบายสิ้นค้าเกรดบีหรือสินค้าค้างสต๊อก ราคาก็จะลดลงจากป้ายครึ่งต่อครึ่ง ผู้คนต่างมาจับจ่ายไม่ขาดเพราะเป็นวันเสาร์ ปวีย์บอกว่าถ้าเป็นวันธรรมดาคนจะน้อยหน่อย แล้ววิญญาณบางอย่างที่มักจะสิงห์อยู่ในร่างสตรีทุกคน ก็เรียกร้องให้หทัยชนกหันไปมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บ่อยครั้ง

“ผมจะเข้าไปคุยกับผู้จัดการโชว์รูมหน่อย คุณจะช้อปปิ้งก็ได้นะ เสร็จจากนี่เราก็จะกลับเลย ถึงบ้านไม่ค่ำหรอก ”

ปวีย์เหมือนจะอ่านใจเจ้าหล่อนออกจึงรีบเปิดทางให้ เจ้าของดวงหน้าสวยเก๋ให้สงสัยนักว่าทำไมเขาถึงเกิดจะใจดีขึ้นมา แต่ก็ไม่สนใจที่จะเสียเวลาคิดนาน เพราะอยากจับจ่ายเต็มที ปวีย์หายไปเกือบชั่วโมง กลับออกมาก็เห็นเจ้าหล่อนชะเง้อคอมองไปมองมา ตอนแรกคิดว่าคงจะมองหาเขาเพราะช้อปเสร็จแล้ว แต่ที่ไหนได้ เจ้าหล่อนกลับต้องการใช้ส่วนสัดของเขาวัดเสื้อผ้าที่จะซื้อไปฝากแฟนหนุ่มเท่านั้น ส่วนเขาก็แก้ลำคืนด้วยการใช้เรือนร่างเธอวัดเสื้อผ้าที่จะซื้อไปฝากแฟนสาว แม้จะไม่อยู่ในลิสที่จะต้องทำก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครหยามได้ง่ายๆ

“ผมคงจะสั่งผู้จัดการลดราคาให้คุณเป็นพิเศษไปกว่านี้ไม่ได้หรอกนะ ถึงแม้ว่าคุณจะเหมาทั้งโชว์รูมก็ตาม”

เขาแหย่ด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเธอตั้งหน้าตั้งตาเลือกสรรเสื้อผ้ามากมายอย่างจริงจังประหนึ่งกำลังทำงานสำคัญอยู่ ทั้งที่ในรถเข็นก็มีหลายตัวแล้ว หทัยชนกหันไปมองด้วยสายตาขุ่นเคืองนิดๆ เพราะไม่ชอบใจเวลาจะช้อปแล้วมีคนมาขัด แถมยังอดด่าในใจไม่ได้ ที่ไม่ยอมบอกว่ามีโชว์รูมเสื้อผ้าลดราคาอยู่ ทำให้มีเวลาจับจ่ายน้อยนิดเต็มที

“วันนี้เป็นวันเกิดแม่ฉัน ของขวัญก็ต้องคัดสรรหน่อยสิและฉันก็จะซื้อของถูกไปฝากทุกคนที่บ้านด้วย แล้วก็ยังมีของคุณปู่ คุณพยาบาล คุณชื่นอีก อ้อ! ยังมีของป้าพวงแม่ครัวและสุดใจกับมากคนขับรถด้วยนะ ก็ต้องซื้อเยอะหน่อยสิ”

สิ้นคำเจ้าของประโยคก็หันไปหาเสื้อผ้าอีกโดยไม่สนใจกับสีหน้าที่พึงพอใจในตัวเจ้าหล่อนของเขาเลย มิน่าล่ะเมื่อเช้าถึงไม่ค่อยอยากจะมากับเขานัก มันทำให้เขารู้สึกผิดนิดๆ ที่ไปบังคับขู่เข็นเธอโดยไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง สายตาคมจับจ้องอยู่กับดวงหน้าขาวนวลที่สนใจกับเสื้อบนไม้แขวนมากกว่าสิ่งอื่นใด ทำให้เขาอดคิดถึงสาริยาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เพราะเคยมาที่นี่กับเขานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่คบกันแบบแฟน มีน้อยครั้งมากที่เขาจะเห็นเธอซื้อข้าวของไปฝากคนนับสิบอย่างนี้ นอกจากจะซื้อให้ตัวเอง หรืออย่างมากก็ให้แม่กับย่า แต่เขาก็ไม่คิดจะโทษเธอว่าไม่มีน้ำใจ เพราะคนรอบข้างของเธอนั้น ล้วนแล้วแต่มีเหลือกินเหลือใช้กันถ้วนหน้า คงไม่อยากได้ของเกรดบีแถมลดราคาพวกนี้มากมายนักหรอก

แต่กับคนรอบข้างของหทัยชนกเขากลับเห็นว่าทุกคนดูจะขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง สภาพบ้านเช่าก็เก่าซ่อมซ่อ สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็ไม่โอภาสถาพรเลยสักนิด เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้าดินเมื่อเทียบกับคฤหาสน์บวรชัยกุล ที่ทุกคนต่างได้กินอิ่มนอนหลับและไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายเลย นี่กระมังที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้ากลายเป็นคนกระด้างกระเดื่องต่อคนในบ้านนั้น

เพราะถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างลำบากมาเป็นสิบๆ ปี โดยปราศจากการเหลียวแลจากผู้เป็นพ่อหรือปู่กับย่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาเริ่มเข้าใจและไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเธอจึงเรียกร้องเงินมากมายเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการมาทำงานให้วงศ์สกุล แถมเขายังเห็นว่ามันน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะสปอร์ตที่สงกรานต์หรือไม่ก็สาริยาใช้อยู่นั้น รวมๆ กันแล้วยังเป็นเงินมากกว่าที่เธอขอหลายเท่านัก

“ฉันได้ของครบแล้วล่ะ ว่าแต่คุณคุยธุระเสร็จหรือยัง”

อันที่จริงเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ ไม่ได้เพียงพอสำหรับหทัยชนกเลยสักนิด แต่เมื่อคิดถึงว่าจะต้องกลับไปรายงานคนเป็นปู่ก่อนแล้วถึงจะได้กลับบ้านที่ทุกคนกำลังช่วยกันเตรียมมื้อเย็นพิเศษกว่าวันไหนๆ สำหรับแม่รอแล้วนั้น ก็มีเหตุผลมากเกินพอที่จะหยุดช้อปและรีบกลับ ปวีย์ยักไหล่เป็นคำตอบว่าไม่ต้องการอะไรอีก แล้วเขาก็เข็นรถตรงไปยังช่องจ่ายเงินเพื่อเข้าแถวต่อจากลูกค้าที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

สายตาพนักงานหลายคู่แอบจับจ้องอยู่กับเจ้านายหนุ่มและสาวสวยที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าเลย แถมบางคนยังแอบกระซิบกระซาบถามกันด้วยความสงสัย มีหรือปวีย์จะไม่รู้ว่ากำลังเป็นเป้าให้คนมองอยู่ แต่เขาก็ทำตัวเป็นปกติขณะหยิบข้าวของในรถไปวางบนเคาน์เตอร์ หทัยชนกช่วยแยกระหว่างของเขากับของตัวเองออกคนละกอง

“คิดรวมกันไปเลย แต่แยกคนละถุงครับ”

แต่เขากลับสั่งพนักงานหน้าตาเฉยและยิ้มน้อยๆ ให้ หทัยชนกไม่ได้เยื้อแย่งที่จะจ่ายเงินเอง แต่ยืนกอดอกมองมือขาวของเขาที่กำลังเซ็นชื่อลงบนสลิปบัตรเครดิตในวงเงินเกือบสามหมื่นบาทด้วยท่าทีนิ่งเฉย แล้วทั้งคู่ก็ยังคงถูกมองกระทั่งเข้าไปในสปอร์ตหรูแล้วแล่นออกไปจากหน้าโชว์รูม

“แหม! จะจ่ายให้ก็ไม่ยอมบอก ฉันจะได้เหมาโชว์รูมมาซะเลย แต่ก็ขอบคุณนะ”

สิ้นคำเจ้าของดวงหน้าสวยเก๋หันไปมองคนข้างๆ ประจวบเหมาะกับที่เขาหันมาพอดี แต่ก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียว เพราะเขาต้องรีบหันกลับไปมองถนนเมื่อเริ่มเพิ่มความเร็วของรถ กระนั้นเขาก็ยังพอมีอารมณ์ขันแหย่กลับชนิดที่คนฟังต้องสะอึกทีเดียว

“ไม่เป็นไร ถือเป็นการไถ่โทษที่ผม...”

คราวนี้ดวงหน้าสวยเก๋หันขวับกลับไปทางเดิมแทบไม่ทัน ในใจก็อยากจะสรรหาถ้อยคำแรงๆ มาหักล้างให้เขาเจ็บแสบอยู่ไม่น้อย แต่คิดอีกทีก็บอกตัวเองว่าอย่าดีกว่า ถุงเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจซื้อให้เป็นของขวัญแม่จึงถูกคว้าขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วมือบางก็ดึงป้ายราคาออกพร้อมกับแยกใส่ถุงเล็กอีกใบไว้ต่างหาก ปวีย์เหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อยที่บังอาจไปแหย่เธอเข้า เขาจึงหันไปมองแล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“คุณจะให้ผมแวะซื้อกล่องกับกระดาษห่อของขวัญก่อนมั้ย เมื่อกี้ผมก็ลืมสั่งพนักงานเพราะมัวแต่รีบ”

“ไม่เป็นไร แม่ฉันไม่ได้สนใจกับเปลือกนอก เพราะสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ให้ไปแม่ก็จะแกะออกทิ้งลงถังขยะ แล้วมันก็จะถูกเผาเป็นการเพิ่มความร้อนให้โลกไปเปล่าๆ ทุกวันนี้มนุษย์ก็ทำร้ายโลกมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกมีเงินที่ขยันซื้อข้าวของไปกองไว้บ้านจนเกินความจำเป็น ไม่นานก็ทิ้งขว้างแล้วก็สรรหาของใหม่มาอีก โดยไม่ได้คิดถึงคนที่ไม่มีจะใส่สักนิดเดียว”

น้ำเสียงของเธอนั้นจงใจจะประชดประชันเขาและพวกไฮโซโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้เขาต้องปิดปากเงียบและเสียดายความหวังดีที่มีให้จนต้องถูกด่าฟรีอย่างช่วยไม่ได้ แล้วบรรยากาศในรถก็เงียบกริบ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่หทัยชนกไม่ชอบเอามากๆ และอยากให้รถแล่นถึงบ้านเร็วๆ จะได้ไปหาแม่เร็วๆ ด้วย แต่ไม่นานมือถือปวีย์ก็ดังขึ้น เขาจึงต้องชะลอความเร็วลงเพื่อมองหาร้านโรตีสายไหมเจ้าประจำที่เคยซื้อไปฝากสาลินี

“ฮะโหล! ผมลืมบอกว่าให้จองโรงแรมที่พัทยาให้ที วันเสาร์นี้นะครับ...”

ระหว่างรอให้แม่ค้าจัดใส่ถุงอยู่นั้น ปวีย์ก็เพิ่งคิดขึ้นได้ว่าลืมสั่งงานเลขาสองสามอย่าง จึงโทรไปหา หทัยชนกไม่ได้ตั้งใจฟังแต่เสียงก็แล่นมาเข้าหู จนรู้ว่าเขาจะไปไหนทำอะไรเมื่อไหร่และกับใคร แต่ทุกอย่างก็ผ่านเลยไป สปอร์ตหรูมุ่งตรงเข้าเมืองกรุงทันที หลังจากเสียเวลาเกือบยี่สิบนาทีกับการซื้อของไปเอาใจว่าที่แม่ยายของเขา



สาลินีเลี้ยวเบนซ์ไปจอดไว้ในโรงรถ กระจกไฟฟ้าทั้งสี่ด้านเลื่อนต่ำลงแล้วรีบเปิดกระโปรงท้ายดึงผ้ามาคลุมรถไว้ด้วยความรีบร้อน มือถือในกระเป๋าถูกกดไปถามถึงพิกัดที่แน่นอนจากปวีย์ด้วยความอยากรู้ และเมื่อได้คำตอบแล้วสาลินีก็ต้องรีบตรงขึ้นห้องนอนโดยเร็วจนไม่มีเวลาให้ความสนใจกับงานครัวเฉกเช่นทุกวันที่เคยทำมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่คุณผู้หญิงของบ้านเลย

หน้าต่างคือจุดหมายที่สาลินีเดินตรงไปหาเพื่อเฝ้าดูการกลับมาของว่าที่เขยกับหนามชีวิตด้วยท่าทีกระวนกระวาย สิบนาทีผ่านไปก็เห็นสปอร์ตแล่นเข้าไปจอดในโรงรถแล้วจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่กายก็ไม่ได้เคลื่อนหนีไปไหน นอกจากจับจ้องอยู่ตรงที่เดิมเกือบจะหกโมงเมื่อสาลินียกนาฬิกาขึ้นดู ฟ้าด้านนอกยังไม่ปิด เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ปกติมักจะเห็นหทัยชนกใช้ในการพูดคุยกับพ่อสามี นั่นดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับสาลินีเท่าใดนักขณะสายตาจับจ้องลงไปข้างล่าง

หทัยชนกหอบข้าวของก้าวออกจากรถด้วยท่าทีรีบร้อนจนถุงเสื้อผ้าตกลงพื้น เพื่อหมายจะเอาไปเก็บไว้ในเบนท์ที่ วีนาขับมาจอดอยู่ในโรงรถอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่บ่ายแล้ว เพราะวันนี้น้องสาวให้เลิกงานเร็วจะได้ไปช่วยแม่ทำอาหาร แล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทน ปวีย์ต้องรีบอ้อมมาช่วยเก็บ

“ผมว่าคุณเอาของทิ้งไว้ในรถผมก่อนก็ได้ ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นคุณปู่แล้วด้วย”

แล้วเขาก็เสนอความคิดนี้ให้ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าแม่คุณคงไม่เอาด้วยหรอก แต่ผิดคาดเพราะเจ้าหล่อนทำตามอย่างว่าง่าย แล้วสะพายกระเป๋าเดินแกมวิ่งเข้าบ้านตรงไปหาห้องคนเป็นปู่จนเขาแทบจะตามไม่ทัน มือถือในกระเป๋าถูกปิดเอาไว้ในทุกครั้งที่ต้องเข้ารายงานผล ทุกอย่างเป็นไปตามปกติแต่ที่ไม่ค่อยจะปกติก็คือวันนี้ดูเหมือนคุณปู่จะมีคำถามหลายต่อหลายข้อในความคิดของคนเป็นหลานหลังจากที่รู้ว่าไปดูงานที่เอเอสวีมา แถมสาลินีก็เข้ามาขัดจังหวะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้กับคุณสมควรอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เกือบทุ่มครึ่งถึงได้ออกมาจากห้องปู่ หทัยชนกรีบวิ่งลงบันไดโดยไม่ได้หันหลังไปมองปวีย์ที่เดินด้วยท่าทีไม่รีบร้อนตามมาเลย และก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองทิ้งถุงหลายใบไว้ในรถเขา เมื่อเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหากุญแจรถ หทัยชนกก็เพิ่งจะคิดได้ว่าเก็บอีกดอกไว้ในบ้าน จึงต้องเสียเวลาวิ่งไปตามทางเล็กๆ ขณะมือก็ควานหากุญแจบ้านในกระเป๋าไปด้วย แต่ก็ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเห็น ความรีบร้อนทำให้ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคืนนี้ไฟที่เคยเปิดไว้ตามทางถูกปิดทุกดวง

และเธอก็ไม่ทันฉุกคิดว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับตัวเอง กระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครสะกดรอยตามหลังมาเมื่อวิ่งไปถึงกลางทาง เงาดำเพียงเลือนลางเท่านั้นที่เธอรู้มันวิ่งเข้าประชิดตัวด้วยความรวดเร็ว อาการขัดขืดดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดเกิดขึ้นสุดแรงเท่าที่จะฮึดสู้ได้ในเวลานั้น แต่มันก็ไม่เพียงพอเมื่อจมูกสูดดมเอาอากาศอันน้อยนิดที่มีผ้าผืนเล็กๆมาปิดไว้ แล้วทุกอย่างรอบกายเธอก็ดับวูบ

“วีจ๊ะ จะรีบกลับเหรอ แล้วของที่น้าฝากซื้อได้หรือเปล่าจ๊ะ” สาลินีแทบจะวิ่งมาจากด้านบนแล้วร้องเรียกเขาไว้ได้ก่อนจะเดินออกประตูบ้านไป

“ได้ครับคุณน้า อยู่ในรถเดี๋ยวผมไปเอามาให้นะครับ”

เขาหันไปบอกและยิ้มให้แฟนสาวที่เดินตามหลังผู้แม่ลงมาจากด้านบน สาลินียืนรออยู่หน้าบันได แต่ไม่ใช่เพราะความอยากได้ของฝาก หากต้องการเพียงจะรอดูให้แน่ใจว่าเขาจะกลับบ้านทันที เพื่อกันไม่ให้เขาเห็นชายในชุดดำวกกลับมาซ่อนตัวอยู่ในเบนซ์ที่มีผ้าคลุมเอาไว้เท่านั้น ปวีย์เห็นถุงเสื้อผ้าก็รู้ทันทีว่าหทัยชนกคงจะลืมเพราะรีบกลับบ้าน แต่เห็นรถยังจอดอยู่จึงคิดว่าเธอคงจะเข้าบ้านเป็นแน่ เขาจึงรีบเอาถุงโรตีวิ่งกลับไปหาสาลินีที่เดินลงบันไดมา แล้วเขาก็รีบวิ่งกลับมาที่รถหอบถุงออกมาแล้วหันหน้าไปมองทางเล็กๆ ที่จะไปยังบ้านอีกหลัง

“เอ่อ! วีจะไปไหนจ๊ะ”

สาลินีรีบทักท้วงด้วยอาการตื่นเต้นทันที แต่ดูเหมือนเขาจะเดินไปไกลหลายก้าวแล้วเพราะความรีบ เมื่อเห็นท่าไม่ดีสาลินีจึงรีบถือถุงเดินขึ้นบันไดไปส่งให้ลูกสาวที่ยังคงยืนชะเง้อคอมองไปหารถของแฟนหนุ่มด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาไม่กลับบ้านสักที หรือจะอยู่รอคุยกันก่อน แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะพรุ่งนี้ก็นัดกันไปดูหนังอยู่แล้ว สาริยาจึงเอ่ยถามแม่

“แล้วทำไมพี่วียังไม่กลับบ้านอีกล่ะคะแม่”

“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ เอาของไปเก็บในครัวให้แม่ทีนะ แม่เพิ่งคิดได้ว่าเปิดที่เป่าผมทิ้งไว้บนห้อง เสร็จแล้วยาก็รีบขึ้นไปอ่านหนังสือเถอะไม่ต้องรอพี่วีหรอก”

สาริยารับของจากมือแม่ด้วยอาการงงเล็กน้อย จะอ้าปากถามอีกก็เห็นแต่หลังแม่เดินขึ้นบันไดบ้านไปแล้ว หน้าต่างคือจุดหมายเดิมของสาลินีที่กำลังเพ่งมองหาปวีย์ที่หายไปทางบ้านหลังน้อย แต่ทุกอย่างอยู่ในเงาสลัวจนมองไม่เห็นอะไร ความรีบทำให้ปวีย์เดินไปเตะของบางอย่างที่ตกอยู่ตามทางจนเกือบเซล้ม

เขาล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดไฟส่องดูด้วยความสงสัย จนได้รู้ว่านั่นคือกระเป๋าสะพายและรองเท้าเพียงข้างเดียวที่จำได้ว่าเป็นของหทัยชนก คำถามแล่นขึ้นมาในใจว่าแล้วอีกข้างหายไปไหน แล้วทำไมเจ้าหล่อนถึงได้รีบร้อนจนทิ้งกระเป๋ากับรองเท้าไว้กลางทางขนาดนี้

และเขาก็เริ่มมีคำถามว่าทำไมวันนี้ไฟถึงปิดสนิทมืดไปทั่วบริเวณ ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปไกลเกินกว่านั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนวิ่งมาทางที่เขายืนอยู่ จึงส่องไฟไปดูพบว่าเป็นวีนากับแฟนหนุ่มของหทัยชนกนั่นเอง ทั้งคู่มีสีหน้าตื่นตระหนกชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน วีนาร้องถามเขาด้วยท่าทีร้อนรน

“ยายอ๋อล่ะคะคุณวี!”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ เห็นว่าจะรีบกลับบ้านไปงานวันเกิดคุณอาอิงอร แต่รถก็ยังจอดอยู่ ผมก็รีบกลับเหมือนกันเลยจะเอาของในรถมาให้ก่อน เดินมาครู่เดี๋ยวผมก็เห็นกระเป๋ากับรองเท้าข้างเดียวตกอยู่กลางทางนี่ล่ะครับ”

เขาตอบตามที่เห็นทุกอย่างด้วยท่าทีไม่ตกอกตกใจอะไรนัก แต่พีระกลับมีอาการตรงกันข้าม ปืนที่เอวถูกเขาล้วงขึ้นมาทันทีก่อนจะรีบออกวิ่งตรงไปยังบ้าน วีนารีบตามไปติดๆ ปวีย์เองกับตามไปด้วยเพราะเห็นเหตุการณ์ไม่น่าจะอยู่ในภาวะปกติแล้ว ไฟด้านนอกรอบบ้านปิดสนิทผิดจากทุกวันในบ้านก็มีสภาพเดียวกัน ยกเว้นดวงที่อยู่ห้องนอนหทัยชนกที่มีแสงลอดผ่านผ้าม่านออกมา

“อี๋! เปิดประตูเร็วๆ เข้าสิ เดี๋ยวก็ไม่ทันการหรอก!”

พีระร้องสั่งแฟนสาวที่มือไม้สั่นจนควานหากุญแจในกระเป๋าสะพายไม่เจอ ปวีย์ช่วยได้ด้วยการจับเททุกอย่างลงพื้นแล้วใช้ไฟที่มือถือส่องจนเจอแล้วเขาก็เป็นคนรีบเอามาเปิดเอง พีระกระโจนเข้าบ้านก่อนใครเพื่อน แต่ไปทันได้เห็นชายร่างสูงใหญ่ในชุดดำใส่โม่งสีเดียวกันคลุมหน้าไว้วิ่งออกมาจากห้องนอนน้องสาวแล้วหนีไปทางประตูหลังบ้าน เขาอยากจะตามไปใจจะขาดแต่ความห่วงน้องมีมากกว่าจึงวิ่งเข้าไปในห้อง ปวีย์กับวีนาก็ตามไปติดๆ

“ยายอ๋อ!!!”

พีระร้องเรียกแล้วรีบเอื้อมมือไปจับชีพจรตรงลำคอเป็นอันดับแรก วีนายืนหน้าซีดมองน้องที่นอนแน่นิ่งเสื้อเชิตหลุดออกจากตัวจนเห็นบราลูกไม้แล้วมีกระดุมตกอยู่ใกล้ๆ ชายกระโปรงก็ล่นขึ้นไปถึงต้นขาขาวอวบ ตะขอถูกปลดออกซิปก็ถูกรูดลงมาเกือบจะสุดจนเห็นหน้าท้องแบนราบกับขอบกางเกงในเข้าชุดกับบรา ปวีย์ได้สติก่อนวีนาจึงรีบเข้าไปคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างที่ไม่ไหวติงเอาไว้

“พี่ระ! ยายอ๋อเป็นอะไร! ทำไมนอนนิ่งอย่างนี้!”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เป็นอะไรมาก อี๋กับคุณวีช่วยกันพาไปโรงพบาบาลทีนะ ผมจะตามไอ้โม่งไป”

พีระสั่งแล้ววิ่งออกจากห้องไปทางเดียวกับที่เห็นคนร้ายวิ่งไป ปวีย์ไม่รอช้ารีบอุ้มร่างที่อ่อนระทวยขึ้นแล้วออกจากบ้าน วีนาลุกตามทันทีแต่สายตาเหลือบไปเห็นกล้องเล็กๆ ตกอยู่ข้างเตียง ด้วยความสงสัยจึงรีบหยิบขึ้นมาดู แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะสำรวจอะไรอีก เพราะปวีย์ออกไปไกลแล้ว จึงถือติดมือแล้ววิ่งออกบ้านตามหลังเขาไป รถของเขานั่งได้แค่สอง จึงให้วีนาเปิดประตูเบนซ์แทน โชคดีที่กุญแจอีกดอกยังอยู่ในกระเป๋าสะพายวีนาตั้งแต่บ่าย

“มีอะไรคะพี่วี!”

สาริยาที่ไม่ยอมขึ้นบ้านตามคำของผู้แม่ แต่เดินลงมาจากตึกเมื่อยังเห็นรถแฟนหนุ่มจอดอยู่ที่เดิม จึงได้เห็นพี่ต่างแม่อยู่ในอ้อมแขนของเขา



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 08:17:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 08:17:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1197





<< จุมพิตพิชิตสาวมั่น   ยังดีมีโชคช่วย >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 15:05:45 น.
เกือบไปแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account