ซาตานจำแลง

‘สหภาพ’ ชายหนุ่มผู้มี ‘ไฟแค้น’ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจมานานนับสิบปีเพื่อรอคอยโอกาสเหมาะสมกับการกลับมาเอาคืนจากคนที่ทำร้ายเขาและครอบครัวเมื่อวัยเด็ก แต่แล้ว ‘ไฟแค้น’ ก็กลับกลายเป็นดาบสองคมทิ่มแทงให้เขาต้องเจ็บช้ำ เมื่อต้องมาพบกับ





‘พิมมาดา’ ผู้เปรียบเสมือนสายน้ำ ที่อาจจะมาราดรดให้ ‘ไฟแค้น’ ในใจเขามอดดับลงไปได้ หรือไม่น้ำอันฉ่ำเย็นอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเดือดขึ้นมาแทนเมื่อถูกต้มครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาจะต้องเจ็บช้ำเพราะความ ‘ทรนง’ และ ‘ไฟแค้น’ ที่สุมอกหรือไม่ แล้วสายน้ำอย่างเธอจะช่วยเขาไว้ได้บ้างไหม ชีวิตในบั้นปลายของคนทั้งคู่จะพานพบความสุขหรือความสูญเสีย ‘ซาตานจำแลง’ มีคำตอบรอให้คุณค้นหาแล้ว
Tags: พระเอกโหดมากกกกกกกกก นางเอกน่าสงสารมากกกกกกกกก

ตอน: ได้เวลาค้นหาหนอนบ่อนไส้

เช้าวันรุ่งขึ้นพิมมาดาเห็นรายงานยอดขายของการจัดงานแล้ว ให้หมดอารมณ์ที่จะคิดอะไรดี ๆ ออกมาได้อีก และยิ่งเครียดหนักขึ้น เมื่อเห็นรายงานผลประกอบการที่ผ่านมาทั้งเดือน เพราะมันเกือบจะติดลบแล้วด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อว่าห้างคู่แข่งจะทำให้มีผลกระทบได้มากขนาดนี้ ในใจให้โกรธตัวเองไม่น้อยที่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ด้วยไม่คาดคิดว่าจะถูกตีรอบด้านจนไม่รู้จะระวังจุดไหน และดูเหมือนจะจงใจตีให้ห้างเธอต้องปิดตัวลงให้ได้ทีเดียว

หญิงสาวนั่งอยู่ในออฟฟิศเป็นนานกว่าจะเข้าประชุมฝ่ายที่จักรภพเรียกระดมสมองเป็นการด่วน อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นสุนทรีย์พาพนักงานอีกคนเข้าประชุมด้วย จึงหันไปหายงยุทธด้วยสีหน้ามีคำถาม แต่ก็ไม่อาจจะเอ่ยปากได้ จึงเขียนลงในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ เพื่อถามไถ่ความเป็นมา จึงได้ความว่า สุนทรีย์แต่งตั้งนายสุภาพให้เป็นผู้ช่วยคนใหม่แทนเริงฤทธิ์ที่ถูกไล่ออกไปนั่นเอง

“ผมเห็นว่านายสุภาพทำงานโอเค และทำกับเรามาได้ครึ่งปีแล้ว ก็เลยตกลงตามที่คุณอ๋อยเสนอมา คุณเนยสงสัยอะไรหรือเปล่าครับ” ยงยุทธกระซิบข้าง ๆ หูเธอ และการส่ายหน้าคือคำตอบว่าไม่ได้ติดใจอะไร พลอยทำให้ยงยุทธค่อยหายใจโล่งออกมาได้ ด้วยคิดว่าตัวเองจะถูกตำหนิว่าทำอะไรโดยพละการ

“ผมอยากได้คำแนะนำดี ๆ จากทุกฝ่าย ว่าเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ยังไง เข้าเดือนที่สามแล้วที่รายงานทางบัญชีออกมาแทบจะติดลบ ยอดขายตกลงฮวบฮาบอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมไม่มั่นใจว่าเดือนหน้านี้ เราจะยังประคองสภาพนี้ไปได้อีกมั้ย ถ้าทุกอย่างยังคงย่ำแย่อยู่แบบนี้อีก” ประธานบริษัทอดห่วงไม่ได้ เมื่อเห็นตัวเลขผลประกอบการจากฝ่ายบัญชีถึงกับนั่งไม่ติดต้องเรียกประชุมเครียดเลยทีเดียว สไบแพรเองก็มีสภาพไม่แพ้กับสามีนัก ด้วยห่วงสถานะภาพทางการเงินของตัวเอง เพราะมีรายได้เข้าบ้านจากห้างนี้แห่งเดียวเท่านั้น

“ลดเงินเดือนคนงานลงหน่อยจะดีมั้ยคะท่านประธาน” สิ่งเดียวที่สไบแพรมองเห็นและสามารถทำได้ในทันทีคือวิธีนี้ แต่ทำเอาผู้เข้าร่วมประชุมร้อน ๆ หนาว ๆ ไปตาม ๆ กัน

“ผมว่าเราลองตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกก่อนดีกว่ามั้ยครับท่านประธาน เช่น ยกเลิกการจ้าง บริษัท รปภ. แล้วให้ลูกค้าดูแลรถเอง เพราะยังไง ๆ บริษัท รปภ. ก็ไม่ค่อยได้ทำผลงานอะไรเท่าไหร่เลยครับ” สุเทพผู้จัดการฝ่ายบัญชีเสนอซึ่งทุกคนก็พอจะเห็นด้วย รวมทั้งสไบแพรที่ยิ้มรับความคิดนี้จนแทบจะออกนอกหน้า ครั้นพอตั้งสติได้จึงทำตัวตามปกติ

“ก็เข้าท่าเหมือนกันนะ แล้วมีวิธีอื่นอีกมั้ย ฝ่ายการตลาดล่ะว่าไง” จักรภพสนับสนุนความคิด แล้วหันไปหาลูกสาวที่นั่งเงียบตั้งแต่เข้าประชุมแล้ว

“เอ่อ! เนยคิดว่าลองเปิดขายของให้เร็วกว่าห้างอื่นสักชั่วโมงจะดีมั้ยคะ เอาเฉพาะในส่วนของซุปเปอร์ก็ได้ หรือถ้าผู้เช่าพื้นที่รายไหนสนใจจะเปิดก็สามารถทำได้ แต่ถ้าใครไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เราน่าจะได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นร้านค้าหรือร้านอาหารต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกก็ได้นะคะ แล้วเนยอยากจะส่งพนักงานคอยบริการให้คำแนะนำกับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าต่าง ๆ ที่วางขายตามแผง แล้วก็คอยสอดแทรกการขายเข้าไปด้วยในระหว่างแนะนำลูกค้า จากเดิมลูกค้าอาจจะซื้อแค่ชิ้นเดียวหรืออย่างเดียวก็อาจจะได้เพิ่มเป็นสองหรือสามตามมาได้นะคะ” พิมมาดาเองก็มองไม่เห็นหนทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว

“ก็คิดว่าน่าจะทำได้นะ ผมฝากให้คุณสุเทพลองคำนวนออกมาให้ทีว่ามันจะคุ้มมากน้อยแค่ไหน” และอีกหลายต่อหลายหนทางซึ่งต่างฝ่ายต่างสรรหามาบอกกล่าวในที่ประชุม เที่ยงครึ่งคือเวลาผู้เข้าประชุมแบกหน้าเครียด ๆ ออกมาจากห้อง

“เนยช่วยตามรายงานจากฝ่ายบัญชีมาดูด้วยนะว่าที่เราเสนอแนวทางเมื่อกี้มันคุ้มหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างไม่มีปัญหาก็จัดการแทนพ่อได้เลย หรือจะให้แม่เราเซ็นอนุมัติก็ได้” จักรภพรีบสั่งงานลูกแล้วเตรียมตัวเผ่น เพราะมีนัดสำคัญจนให้ใครรู้ไม่ได้ แม้แต่ผู้เป็นเมีย แต่มีหรือที่จะไปได้ง่าย ๆ

“คุณจะไปไหนคะ แล้วไม่คิดจะนั่งทำงานให้มันเต็มวันหน่อยหรือไง แพรบอกคุณกี่ครั้งแล้วคะว่าอย่าเอาอนาคตของห้างไปฝากไว้ในมือแม่ลูกสาวอ่อนหัดของคุณน่ะ” ได้เหน็บทั้งลูกและพ่อในเวลาเดียวกัน

“ไม่มีอะไรแล้วนี่ ผมมีนัดสำคัญกับคุณประสงค์จะไปคุยเรื่องเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน คุณอยู่ว่าง ๆ ก็ทำไปสิงานแค่นี้ทำไมต้องให้ถึงมือผมด้วย ไหนบอกว่าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่เหรอ” จบคำเขาก็เดินออกจากห้องทำงานตัวเองทันทีทิ้งให้สองแม่ลูกมองตามด้วยสายตาละห้อย

“พ่อหล่อนนี่นับวันยิ่งจะขี้เกียจขึ้น ๆ นะแม่เนย คอยดูเถอะถ้าทำตัวแบบนี้อีกไม่นานจะได้ถือกะลาไปขอทานกิน” สไบแพรอดหัวเสียไม่ได้ แต่พิมมาดาไม่เอ่ยอะไรนอกจากเงียบเท่านั้น

“เอ้า! มายืนบื้ออะไรอีกล่ะ จะไปไหนก็ไปสิยะ พอว่าพ่อเข้าหน่อยทำเป็นเศร้าทำยังกับเขารักแกตายล่ะ”

“คุณแม่จะทานอะไรหรือเปล่าคะ เนยจะให้คนจัดมาให้” เลี่ยงคุยเรื่องอื่นเพราะไม่อยากถูกว่าไปกว่านี้

“ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงฉันหรอกย่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ หล่อนจะไปไหนก็ไป แล้วอย่าได้เที่ยวแรดไปไกล ๆ ล่ะ กลับมาทำงานทำการด้วย อย่าทำตัวเหมือนพ่อหล่อนนะยะ หรือถ้าอยากแบกกะลาไปขอทานกินด้วยกันก็เชิญแรดไปตามสบาย”

กระเป๋าถือที่วางกับโต๊ะติดมือคนแม่เดินออกนอกห้องหน้าเฉย แต่คนเป็นลูกกลับน้ำตาแทบร่วงออกมาตรงนั้น ดีที่รีบหักห้ามเอาไว้ จึงรีบออกจากห้องและตรงไปร้านอาหารของเพื่อนรัก



“แล้วพอจะมีเค้าว่าใครคือหนอนบ่อนไส้หรือยังล่ะเนย ต้องรีบ ๆ หน่อยแล้วนะ ขืนปล่อยไว้เป็นแบบนี้แย่แน่ ๆ” ขวัญข้าวอดกังวลแทนเพื่อนไม่ได้ เมื่อทั้งสองนั่งตักอาหารเข้าปากอยู่หลังร้าน เพราะวันนี้ลูกค้าเยอะจึงไม่มีโต๊ะว่าง

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดไม่ออกว่าจะเป็นใคร แต่ละคนก็ทำงานมาตั้งแต่เรายังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เลยไม่กล้าสงสัยใคร และเราก็ไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครด้วย ทุกคนก็เป็นลูกจ้างทั้งนั้น ต้องระวังคำพูดไว้ดี ๆ เกิดถามไปแล้วกระทบกระเทือนใจอีกจะยุ่ง” เพราะมืดแปดด้านจริง ๆ ที่จะสืบเสาะหา แต่ครั้นจะไม่ให้เชื่อตามคำพ่อก็ยากจะเมินเฉย ในเมื่อทุกอย่างมันฟ้องออกมาขนาดนี้

“อืม! นั่นสิน้อ แล้วจะทำยังไงต่อล่ะเนยถึงจะเรียกยอดขายให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ ถ้าเนยกู้สถานะการณ์กลับมาไม่ได้ มีหวังยายแม่เลี้ยงใจยักษ์เหน็บแนมไม่เลิกแน่ ๆ เลยแกเอ้ย ว่าไงเนย ๆ ๆ ดูอะไรอยู่น่ะ” เมื่อเห็นเพื่อนมัวแต่มองออกไปนอกร้านขวัญข้าวจึงต้องเรียกซ้ำ ๆ จนเจ้าของหน้านวลสะดุ้ง

“มัวดูอะไรอยู่น่ะ เราถามไม่ยอมตอบ แล้วดูใครกัน” ถามแล้วก็มองออกไปด้านนอกตามสายตาเพื่อน

“อ้อ! ลูกค้าประจำ เห็นเดินเข้าร้านเราทีไร สาว ๆ กรี้ดกันเป็นแถว พวกมันบอกว่าหล่อ แต่เราว่านายนี่ขี้เก็กชะมัด เนยรู้จักเหรอ เห็นมองตาเป็นมัน อย่าบอกนะว่าแอบปิ๊งนายนี่อยู่” เพราะสายตาพิมมาดาจับจ้องไปหาสหภาพซึ่งกำลังยืนรออาหารที่สั่งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยความเร็ว

“เปล่าหรอก นายคนนี้ชื่อสุภาพ เป็นพนักงานฝ่ายจัดซื้อ มาทำงานที่นี่ได้น่าครึ่งปีแล้วมั้ง เห็นคุณอ๋อยโปรโมทให้ขึ้นเป็นผู้ช่วยแทนคนเก่าที่ถูกไล่ออกไปนั่นล่ะ เราก็เพิ่งจะรู้เมื่อเช้านี่เอง พอดียุ่ง ๆ เลยไม่ได้อ่านเมล์แต่งตั้งที่ฝ่ายบุคคลส่งมาให้” หญิงสาวตอบตามจริง

“อ้าว! เหรอ แล้วได้เงินเดือนเยอะป่าว นายนี่มาซื้ออาหารที่ร้านบ่อยนะ มานั่งกินก็บ่อยด้วย เดือน ๆ หนึ่งน่าจะหมดไปหลายพ่นบาท บางทีก็เห็นเดินไปกับเลขาฯ ของเนยด้วย สงสัยจะมีซัมติ้งรองกันแหง ๆ” ขวัญข้าวบอกตามที่รู้มา แต่คนฟังอดเก็บไปคิดไม่ได้ แล้วความสงสัยบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว

“มาบ่อยมากมั้ย แล้วส่วนใหญ่จะซื้ออะไรบ้าง แพงมั้ย” จึงรีบยิงคำถามไปหาเพื่อน

“ก็บ่อยนะ แต่ไม่ค่อยได้นั่งกินหรอก จะซื้อกลับบ้านมากกว่า ทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น เที่ยงไม่เท่าไหร่แต่มื้อเย็นจะหนักหน่อย บางทีก็หมดพันหรือสองพันเราก็จำไม่ได้ ว่าแต่ถามทำไม หรือเนยสงสัยนายคนนี้”

“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่สงสัยว่านายคนนี้ทำงานเงินเดือนไม่มาก แต่ทำไมมีเงินมาซื้อของแพงกินได้บ่อย ๆ ช่างเถอะ เราอาจจะคิดมากไปเอง ฐานะทางบ้านเขาอาจจะดีก็ได้นะ” เมื่อไม่มีหลักฐานจึงตัดความคิดนี้ออกไป

“แต่จะว่าไปแล้วนายนี่ก็น่าสงสัยอยู่นะ เพิ่งมาทำงานได้ครึ่งปี แถมยังได้ใกล้ชิดเลขาฯ เนยด้วย แล้วเป็นไปได้มั้ยล่ะที่สองคนนี้จะรวมหัวกันเอาความลับของเนยไปขายให้คู่แข่ง เอ่อ! ขอโทษนะที่เราอาจจะคิดอะไรร้ายแรงไปกว่าเหตุ แต่ของอย่างนี้น่าจะมองไว้หลาย ๆ ด้านนะเนย” ขวัญข้าวตั้งข้อสังเกต พิมมาดาจึงไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกกับเพื่อนอีกต่อไป

“ขวัญคิดอย่างนั้นเหรอ เราจะใส่ร้ายเขามากเกินไปมั้ย” แม้จะเห็นด้วยกับเพื่อนอยู่มาก แต่อีกใจก็ขัดแย้งกันอยู่

“เนยก็ไม่ต้องเชื่อที่เราพูดหมดก็ได้ แต่คอยดูห่าง ๆ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลค่อยมาคุยกันอีกทีดีไหม”

“อืม! เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นเราไปทำงานก่อนนะ” เพราะจะพักเที่ยงนานไม่ได้ ด้วยกลัวผู้เป็นแม่เลี้ยงจะหาช่องเหน็บแนมจึงรีบพาตัวเองขึ้นไปออฟฟิศทันที แต่ก็ไม่วายหันไปมองยังโต๊ะทำงานผู้ช่วยคนใหม่ของสุนทรีย์ และโต๊ะลลิตาเป็นเป้าสายตาถัดมา พลันก็เหลือบไปเห็นกล่องที่จำได้ว่าเป็นของร้านอาหารเพื่อนนั่นเอง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าลลิตาได้มาจากใคร



“ตาทำอะไรอยู่จ๊ะ ยุ่งมั้ย” ใจอยากจะเรียกเลขาฯ เข้าไปคุยให้ได้เบาะแสอะไรบ้าง

“ไม่ยุ่งค่ะ ตาเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จเมื่อกี้นี่เองค่ะ คุณเนยจะให้ตาทำอะไรหรือเปล่าคะ”

“อืม! ไม่มีหรอกจ๊ะ ทำงานไปเถอะ”

คิดอีกทีว่าอย่าเพิ่งดีกว่า จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเปล่า ๆ จึงเดินเข้าห้องทำงานไป กระนั้นพิมมาดาก็ยังไม่วางใจ จึงพยายามจับตาดูทั้งเลขาฯ และผู้ช่วยคนใหม่ว่ามีพฤติกรรมผิดปกติอะไรบ้าง แต่วันทั้งวัน สองคนก็ไม่ได้เดินมาเฉียดกันด้วยซ้ำ ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเมื่อมัวคิดอะไรเพลิน แล้วจู่ ๆ มีเสียงมือถือดังขึ้น แม้จะเป็นเบอร์ไม่คุ้น แต่ด้วยความที่กลัวว่าจะเป็นลูกค้าหรือคนไม่รู้จักอาจจะอยากติดต่อเรื่องงานมาจึงกดรับทันที

“รีบย้ายคนออกจากห้างด่วน อีกสองชั่วโมงห้างนี้จะระเบิด” เสียงจากคนปลายสายสั่งอย่างผู้มีอำนาจ แต่คนฟังยังงงและไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน

“คุณว่าอะไร ห้างไหนจะระเบิด และยังไง แล้วคุณเป็นใคร”

“อย่ามาถามให้มากความนี่คือการเตือน อีกสองชั่วโมงห้างจะระเบิดถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ”

“อะไรนะ นี่คุณ ๆ อย่าเพิ่งวางสายสิ” เมื่ออีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว พิมมาดารีบกดกลับไปหาเบอร์ที่โทรเข้ามาทันที แต่ไม่ว่าจะกดสักกี่ครั้งก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย นั่งตั้งสติและทบทวนคำพูดของเสียงปริศนาอยู่ครู่ใหญ่ มือถือก็ดังขึ้นอีกจึงรีบกดรับ

“แม่เนย! เมื่อกี้มีคนโทรมาที่มือถือฉัน มันบอกว่าให้รีบย้ายคนออก มันวางระเบิดห้างเราไว้แล้ว ให้ย้ายภายในสองชั่วโมงด้วย” เพราะสไบแพรก็เกิดอาการไม่แพ้เธอ จึงไม่กล้าพูดคุยกับใครนอกจากคนในครอบครัว

“เนยก็เพิ่งได้รับเหมือนกันค่ะคุณแม่”

“อะไรนะ หล่อนว่า...รอก่อนนะพ่อแกโทร” ดวงหน้ารูปไข่เริ่มมีอาการตึงเครียดเมื่อรับรู้จากแม่เลี้ยง ไม่ทันจะได้ตัดสินใจยังไงมือถือก็ดังขึ้นอีก

“แม่เนยมาหาฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้ พ่อแกเพิ่งโทรมาบอกว่ามีคนโทรไปบอกเรื่องระเบิดเหมือนกัน” รีบผุดลุกขึ้นทันทีพร้อมเดินออกจากห้องด้วยท่าทีเคร่งเครียด จนเลขาฯ หน้าห้องอดสงสัยไม่ได้



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ส.ค. 2556, 07:39:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ส.ค. 2556, 07:39:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1243





<< ศัตรูอยู่แค่ปลายจมูก   ภัยร้ายจากศัตรูที่อยู่ข้างกาย >>
จิรารัตน์ 6 ส.ค. 2556, 11:09:51 น.
เด๋วมาอ่านนะจ๊ะ ตอนนี่มาส่งกำลังใจให้ก่อน


กันเกราธัญญรัตน์วรนัน 29 ส.ค. 2556, 07:25:55 น.
ขอบคุณจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account