ใต้ปีกรักสีเพลิง {นวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ.อรุณ}
สร้อยผีเสื้อสีเพลิงจากคนแปลกหน้า
เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนใหม่
เธอไม่รู้ว่ารักเขาจริงๆ
หรือเป็นเพราะอำนาจของผีเสื้อตัวนี้กันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๓ (๑๐๐%)

คิรินทร์รู้สึกแปลกๆที่ต้องมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง พรนางฟ้ารับเขาผ่านระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไปในเขตสำนักงานส่วนหวงห้ามไปยืนมองเธอเร่งรีบเก็บของบนโต๊ะ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะ เจ้าถิ่นรับสาย โดยอีกมือยังคงรวบเอกสารวางเรียงให้เข้าระเบียบเป็นระวิง

หลังคำทักทาย เธออุทานด้วยความตื่นเต้น “อ้าว พี่พัทธ์เองเหรอคะ”

แค่เสี้ยววินาที แต่คิรินทร์กลับเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของ ‘ครูไหว’ อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาสีน้ำตาลเบื้องหลังกระจกแว่นเป็นประกายวาววับ ริมฝีปากแต้มยิ้ม ขณะดวงหน้าขาวกลับแดงก่ำรวดเร็ว ทั้งยังจับผมสีดำเรียบรื่นราวแพรไหมทัดหูแก้เก้อ

“แพนสบายดีแล้วจริงๆค่ะ ขอบคุณที่อุตส่าห์โทร.มาถามอีกครั้งนะคะ” เธอก้มลงยิ้มกับโต๊ะ แล้วก็พึมพำ “โอ๊ย! คนอะไร้น่ารัก นี่ใจคอเขาจะไม่ให้เราถอนตัวถอนใจได้เลยเหรอเนี่ย”

คิรินทร์แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แม่เจ้าประคุณช่างเป็นผู้หญิงที่น่าขันจริงๆ คิดในใจก็ได้ ทำไมต้องพูดดังๆอย่างนั้นก็ไม่รู้

“ปละ เปล่าค่ะ แพนคุยกับน้องที่มาถามงานน่ะค่ะ”

เธอพูดคุยอีกสองสามคำ และเมื่อวางสายก็หันมาทางเขาทันที “ได้ยินไหมคุณ ฉันพูดมันอีกแล้ว”

“ถามแปลก คุณพูด ผมก็ต้องได้ยินสิ”

“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า ที่ฉันคุยโทรศัพท์กับพี่พัทธ์เมื่อกี้น่ะ ฉันแค่คิดเองนะ แต่ปากกลับพูดมันออกมาหมดเลย” คนพูดหน้าซีด

คิรินทร์เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่พรนางฟ้ากุขึ้นมาแกล้งหลอกเขาแล้ว “คุณไม่ได้อำผมหรอกเรอะ”

“ใครเขาเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกันเล่า” ดวงหน้าดุเฮี้ยบทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ขอโทษค่ะ ปากฉันมันพูดไปเองอัตโนมัติเลย คือ...โอเค ฉันคิดในใจน่ะแหละ” ตอนท้ายเธอเสียงอ่อยสุดๆ

ถึงคราวที่คิรินทร์อึ้งบ้าง แต่เพื่อให้แน่ใจเขาจึงลอง “คุณว่าผมหล่อไหม”

“จะบ้าเหรอ นอกจากจะเป็นคำถามที่ไร้สาระแล้ว ยังไม่มีกาลเทศะที่สุดในโลกอีกด้วย อีตาบ้า!”

คนฟังหัวเราะก้อง จนเห็นเจ้าถิ่นตาเขียวนั่นละ จึงยกมือเป็นเชิงลุแก่โทษ พูดกระท่อนกระแท่น เพราะพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต “โทษทีครับ มันขำจนอดไม่อยู่จริงๆ”

“แต่เราไม่ขำสักนิด โอย...นี่มันเคราะห์กรรมอะไรของเราเนี่ย ไหนพ่อบอกว่าทำดีได้ดีไงล่ะ แล้วนี่ทำไมเราต้องถูกลงโทษแบบนี้ด้วย ไม่ยุติธรรมเลย”

“ไหนบอกผมทีว่าคุณรู้สึกยังไงกับเจ้านายของคุณ คุณสุภัทรชาน่ะ” เขาลองใหม่ และผลที่ได้ก็คือ

“อย่ามาพูดชื่อนี้ให้ฟังตอนนี้ได้ไหม เราไม่มีอารมณ์ล้อเล่นหรอกนะ” ดวงตาสีน้ำตาลใสหลังแว่นสายตาตลกๆเบิกกว้างแสดงความตระหนก

คิรินทร์หัวเราะอีกคำรบ “เฮ้ย! จริงด้วย คุณพูดทุกอย่างที่คิดหมดเลย แต่เอ...เมื่อกี้คุณพูดเสียงเบ๊าเบานะ” เขายื่นหน้าข้ามโต๊ะมากระซิบ “ทำไม กลัวในออฟฟิศมีเครื่องดักฟังอัดไปฟ้องเจ้านายหรือ”

“นี่คุณจะแกล้งฉันอีกนานไหม”

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” เขายกสองมือขึ้นแสดงอาการยอมแพ้ “แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไปล่ะ”

“ถ้าฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องโทร.หาคุณหรอก”

ดวงตาหลังแว่นกลมอันใหญ่ตวัดมองเขาอย่างหวังพึ่งพาเต็มที่ “นี่เราจะทำยังไงดี ถ้าเรายังเอาแต่พูดสิ่งที่คิดอยู่อย่างนี้ ตายแน่ ทุกคนรู้หมดว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่”

หญิงสาวทดท้อ วางแขนกับโต๊ะซบหน้า แล้ววัตถุที่กระทบอยู่ตรงกลางอกก็ทำให้ได้สติ “คุณว่าคำสาปบ้าๆเกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้หรือเปล่า บางที...ถ้าฉันถอดสร้อยออก คำสาปอาจหมดไปก็ได้นะ ใช่ไหม” ปากถามพลางก็ก้มลงมองสร้อยที่ห้อยอยู่นอกเสื้ออย่างใคร่ครวญ

พรนางฟ้าจับจี้ผีเสื้อด้วยอาการแหยงๆ แต่ครั้งนี้แทนที่จะถูกกระแสรุนแรงจู่โจม หญิงสาวกลับสัมผัสถึงความเย็นฉ่ำที่แตะอยู่ในอุ้งมือ เธอเผลอกำจี้แน่นเข้าทีละนิดโดยไม่รู้ตัว ก่อนความรู้สึกแสนประหลาดอันอธิบายไม่ได้จะสะกดใจให้ปล่อยมือช้าๆ

เมื่อเงยขึ้นสบตาสีดำลึกล้ำของชายหนุ่มอีกครั้ง พรนางฟ้าก็สะดุ้งวาบราวคลายจากมนต์สะกด เธอจับสายสร้อยโดยไม่แตะต้องโดนจี้รูปผีเสื้อ แล้วรีบดึงผ่านศีรษะออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฉันว่ามันต้องมีคำสาปแน่ๆเลย เมื่อกี้จู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนไม่อยากถอดสร้อย” พรนางฟ้าละล่ำละลักเอ่ย พลางวางมันลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าชายหนุ่ม

“ตอนนี้คุณกำลังคิดอะไร ไหนบอกมาซิ” คิรินทร์นั่งตัวตรง ยื่นมือมาเขี่ยสร้อยบนโต๊ะอย่างตรวจตรา

“เพี้ยง! หวังว่าคำสาปบ้าๆนั่นจะหายไป ขอให้ได้ผลทีเถอะ” เสียงนั้นอ่อยสุดๆ และเพียงทั้งคู่ได้ยินทั้งประโยคเต็มหู พรนางฟ้าก็ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้หมดแรง

“เมื่อกี้คุณคิด หรือคุณพูด” ชายหนุ่มเกี่ยวสร้อยขึ้นมาตรงระดับสายตาเพื่อพิจารณา

“คิด แล้วก็พูดมันออกมาพร้อมๆกัน” พรนางฟ้าทำหน้าดุจจะร้องไห้

แล้วคิรินทร์ก็ทำในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง เมื่อเขาสวมสร้อยเส้นนั้นผ่านศีรษะ มือแตะที่จี้แผ่วเบา “คุณลองถามอะไรผมดูสักอย่างซิ”

“คุณคิดว่าฉันเป็นบ้าใช่ไหม”

ชายหนุ่มอดหัวเราะกับคำถามนั้นไม่ได้ เขาหยุดใคร่ครวญชั่วครู่ก่อนส่ายหน้า “ผมว่าบ้าเป็นคำจำกัดความที่รุนแรงไปนิด แต่...ถูกละ ผมคิดว่าคุณมีปัญหานิดหน่อย อาจเพราะความเครียด ความผิดหวัง หรือไม่ก็ความกดดันลึกๆในใจ ก็เลยแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมแปลกๆที่คุณคิดว่าควบคุมไม่ได้”

“คุณกำลังวิเคราะห์ฉัน เหมือนที่จิตแพทย์ทำเลย” พรนางฟ้าหน้าจ๋อยหนัก

“ผมแค่กำลังทำการทดลองต่างหาก ถ้าสร้อยเป็นต้นเหตุ มันก็ควรจะแสดงผลกับผมด้วย แต่นี่...ไม่เลย” คิรินทร์ถอดสร้อยมาวางคืนที่ “ผมว่าสร้อยไม่ใช่ตัวการนะ คุณคงต้องหาวิธีแก้ปัญหาใหม่แล้วละ” เห็นเธอหน้าเผือดกลัดกลุ้ม เขาจึงพยายามปลอบ “คุณพรนางฟ้า เรื่องอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คุณกลัวก็ได้นะ คุณพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด งั้นก็ลองปล่อยใจให้ว่างดูไหม พอไม่คิด ก็จะได้ไม่ต้องพูดไง”

“พูดง่ายแต่ทำไม่ได้หรอก นี่ไม่ใช่อารมณ์มาฝึกปฏิบัติธรรมนะ นายนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย” แหวไปแล้วพรนางฟ้าก็มีสีหน้าเสียใจ “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ ฉันแค่คิดเฉยๆ”

“คุณพูดถูก ผมไม่เข้าใจ และผมก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับผมด้วย เพราะฉะนั้น...เสียใจด้วยนะ ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก”

“เกี่ยวสิ! ถ้าเมื่อวานคุณดูแลฉันดีๆ ฉันก็คงไม่ถูกหมอดูที่ไหนก็ไม่รู้ร่ายคำสาปใส่อย่างนี้หรอก”

“โบ้ยมั่วเลยนะ ถามจริง เมื่อกี้นี้คิดหรือว่าตั้งใจพูด”

“คิดค่ะ จริงๆนะ” หญิงสาวยืนยันเสียงอ่อย

คิรินทร์มีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย “พูดถึงหมอดูแล้วนึกได้ คุณเป็นคนบอกเองว่าอยากพูดทุกสิ่งที่คิด ใช่ ผมจำได้ละ เขายังถามย้ำเลยว่าคุณอยากได้แบบนั้นจริงๆเหรอ แล้วคุณก็ตอบว่าอยากได้มากๆ”

“บ้า! ถ้าฉันพูดจริง ก็หมายความฉันอยากได้ความกล้าที่จะพูด ไม่ได้หมายความว่าให้กล้าบ้าบิ่นพูดจาไม่คิดอย่างนี้”

“อ้าว! ก็คุณอธิษฐานขอแบบนี้ เขาก็ให้พรคุณแล้ว นี่แปลว่าพรเป็นจริงแล้วไง”

“ฉันไม่ได้ขอแบบนี้ แต่ขอแบบอื่น”

คิรินทร์โบกมือ “ถ้าตีความตามภาษากฎหมาย คุณแพ้เด็ดๆเลย ก็คุณไม่ขอให้ละเอียดเองนี่นา หมอดูให้มาแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอกนะ”

“นี่ตกลงคุณจะไม่เข้าข้างฉันบ้างเลยเหรอ” พรนางฟ้าหน้าจ๋อย น้ำตารื้น

คิรินทร์เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเป่าปี่จึงรีบบอก “โอเคๆ หมอดูนั่นผิดก็ได้ ที่ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียดผิดที่ผิดทางกันไปหมด แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไปล่ะ”

“ถ้า...ฉันอยากไปตามหาหมอดูคนนั้น คุณช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” คนพูดเสียงอ่อย

ขณะที่คนฟังเบ้หน้ารู้ทัน “ทีอย่างนี้ละ ทั้งปากทั้งใจพร้อมใจกันคิดเหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ”






เกือบสองชั่วโมงแล้วที่คนตัวสูงพาพรนางฟ้าเดินท่อมๆไปตามถนนไม่ไกลจากร้านอาหารที่เธอมาเมาเมื่อคืน ความหวังที่จะเจอหมอดูปริศนาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แต่ผู้หญิงข้างกายยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“คุณคิดว่าหมอดูคนนั้นน่าจะอยู่แถวๆนี้เหรอคะ”

“บอกแล้วไงว่าผมก็ไม่รู้ ตอนเจอเขา เขาก็อยู่ในห้องคาราโอเกะแล้ว พนักงานก็บอกแล้วไงว่าคุณออกมาลากเขาเข้าไปในห้องนั่นเอง เขาอาจเป็นแขกของร้านอาหารก็ได้นะ”

“โอย...เดินมาเป็นกิโลแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอสักที ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อยชะมัด ขาจะหลุดอยู่แล้วนะ” พรนางฟ้าหยุดเดิน ยึดเสาไฟฟ้าใกล้มือเป็นหลัก จังหวะลมหายใจกระชั้นบอกให้รู้ว่าเหนื่อยจริง มิใช่แค่บ่นไร้ความหมาย

“ถามจริงนะ เอาแบบเลวร้ายสุดเลย ถ้าคุณหาหมอดูคนนั้นไม่เจอ คุณจะทำยังไง”

“อย่ามาแช่งกันนะ ยังไงก็ต้องหาให้เจอ”

“คุณก็รู้ว่าโอกาสที่จะไม่เจอมันมีมากกว่า เลิกหลอกตัวเองซะที”

พรนางฟ้าหน้าสลด ท่าทางซังกะตายดุจคนผิดหวังในชีวิตอย่างหนัก คนมองเห็นแล้วจึงทนไม่ได้ “เลิกทำหน้าแบบนี้เสียที เห็นแล้วจิตตกพิกล”

ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของเขาจะทรงประสิทธิภาพขนาดนี้ เพราะสีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที

“ฉันทำให้คุณจิตตกเหรอ ขอโทษด้วยค่ะ” ดวงหน้านั้นก้มต่ำ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิด

“เฮ้ย!” คิรินทร์ชักอ่อนใจ ไม่แน่ใจว่าเขากับผู้หญิงคนนี้ ใครเพี้ยนกว่ากัน “ผมไม่ได้จะให้คุณรู้สึกผิด ผมอยากให้คุณเลิกทำท่าอมทุกข์ต่างหาก นี่มันใกล้หมดวันแล้ว มองโลกในแง่ดีหน่อยสิ อีกเดี๋ยวก็เช้า”

หญิงสาวถอนใจ พอเห็นร้านค้าข้างทางซึ่งปิดทำการแล้วมีบันไดเตี้ยยื่นออกมา จึงปรี่ไปทรุดลงนั่งด้วยอาการสิ้นแรง “อีกเดี๋ยวก็เช้านั่นแหละที่น่ากลัว นี่เราจะทำยังไงดี” เสียงงึมงำแทบไม่พ้นริมฝีปาก

“คุณว่ายังไงนะ ผมฟังไม่ถนัด” คิรินทร์นั่งลงข้างๆกัน พลางเอียงหูมาใกล้ๆ แล้วเขาก็ชะงัก “นี่ไง! ระหว่างที่ยังหาทางแก้ไขแบบถาวรไม่ได้ อย่างน้อยวิธีนี้ก็พอแก้ขัดไปได้บ้างหรอก”

ดวงตาที่ตวัดมองเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ยังไงคะ

“คุณลองเม้มปากดูสิ เอาให้แน่นๆเลยนะ” เขารอจนผู้หญิงที่ทำหน้าตาพิศวงปฏิบัติตามที่บอกแล้วจึงถามต่อ “แล้วบอกผมทีว่าผมหล่อไหม”

“อืมอื้ม” พรนางฟ้าฉุนจนคนมองเห็นว่าแว่นเธอกระดิกชัดเจน

คิรินทร์หัวเราะร่วน “นี่ไง! เม้มปากซะ คำพูดของคุณก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ว่าแต่เมื่อกี้คุณพูดอะไรเหรอ”

“ฉันพูดว่าตาบ้า!”

ชายหนุ่มไอแค่กสำลักน้ำลายตัวเอง “อะไรนะ! ใจร้าย คนเขาอุตส่าห์หาทางออกให้นะคุณ”

แทนที่จะขำ พรนางฟ้ากลับก้มหน้าสลด “ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย” ถ้อยรำพึงแผ่วเบา ขณะน้ำตามาคลอที่ดวงตา

ทว่ายังไม่ทันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ ผู้ชายข้างๆก็กระโดดผลุงไปยืนค้ำอยู่ด้านหน้า นิ้วเรียวยาวชี้หน้าเธอพร้อมกับขู่ “ถ้าคุณร้องไห้ ผมจะกลับ”

พรนางฟ้ากัดริมฝีปากสุดแรง บังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ แล้วรีบส่ายหน้า “ไม่ร้องแล้วค่ะ”

คิรินทร์ยิ้มนิดๆ “ดี! งั้นเราก็กลับกันเถอะ”

“แต่พรุ่งนี้ฉัน...”

“พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง อย่าเพิ่งเครียดไปเลย”

“แล้วฉันจะทำยังไง ในเมื่อตอนนี้ฉันคิดอะไรมันก็ดังออกมาตลอด เกิดฉันนินทาเจ้านายหรือเพื่อน ทุกคนก็ต้องได้ยินหมดสิ”

“มองในแง่ดี นี่อาจเป็นโอกาสที่คุณจะได้พูดในสิ่งที่คิด แล้วก็หัดระมัดระวังความคิดของตัวเองไงล่ะ”

“มองในแง่ร้าย คนอย่างเกรซคงไม่ปล่อยฉันไว้ เพราะฉันต้องแอบคิดในใจว่าเขาทำงานไม่สำเร็จแน่ๆ ดีไม่ดีก็อาจถูกรุมตบวันละหลายหน โทษฐานที่ริอ่านไปวิพากษ์วิจารณ์ใครต่อใครที่ผ่านหน้า แล้วก็อาจตายศพไม่สวยตั้งแต่อายุยังน้อยๆแบบนี้!”

คิรินทร์หัวเราะร่วนอีกคำรบ

“ถ้านายนี่หัวเราะอีกแม้แต่ครั้งเดียว เราจับหัวโขกกับกำแพงข้างๆนั่นแน่ๆ”

“ผมต้องกลัวไหมเนี่ย”

“คุณควรกลัวนะคะ เพราะตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” คนขู่เสียงอ่อย

ชายหนุ่มชะงัก นิ่งมองคนทำท่าอมทุกข์ตรงหน้าชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยช้าๆไม่มีร่องรอยล้อเล่นหลงเหลืออยู่เลย “คุณพรนางฟ้า คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณมีวันนี้เวลานี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ผ่านไปหนึ่งนาที ทุกอย่างในตอนนี้ก็จะกลายเป็นอดีตแล้ว ถ้าคุณมัวแต่ทุกข์กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง นั่นก็เท่ากับคุณทำโอกาสที่จะรื่นรมย์กับ ‘ปัจจุบัน’ หายไป ยิ่งทำบ่อยมากแค่ไหน คุณก็จะอยู่แต่ในอนาคต หรือไม่ก็ในอดีต แต่ไม่เคยเป็นปัจจุบันเลย งงไหม”

หญิงสาวแหงนขึ้นสบตาเขาเงียบๆ

คิรินทร์ยิ้มกว้าง “คุณกำลังอึ้งที่ผมพูดดีจับใจมากใช่ไหม”

“อี๋...หลงตัวเองชะมัด” เพียงได้ยินเสียงตัวเองชัดๆ พรนางฟ้าก็รีบส่ายหน้า “ใครว่าล่ะ ฉันกำลังงงอยู่ต่างหาก”

“โกหกไม่เนียนแล้วยังจะโกหกอีก ไม่ไหวเลยนะคุณ”

พรนางฟ้าเริ่มยิ้มออกบ้าง เมื่อได้ยินความจริงอันปฏิเสธไม่ได้นั้น “โอเค...ยอมรับก็ได้ว่าคุณพูดดี ฉันอาจเป็นคนอย่างที่คุณว่าจริงๆ อยู่แต่อดีตและอนาคต แต่ไม่ยอมอยู่กับปัจจุบันเลย” เธอถอนใจ “ไป! ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ให้ฉันเลี้ยงคุณเป็นเรื่องเป็นราวซะ คุณจะได้ไม่ต้องมาหัวปั่นกับคนอย่างฉันให้เหนื่อยใจอีก”

หญิงสาวลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นทรายออกจากกระโปรง ทำท่าจะเดินนำไปเรียกแท็กซี่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงไล่หลังตามมา

“ถามหน่อยเถอะ ไอ้คนอย่างคุณ กับคนอย่างผมเนี่ย มันแตกต่างกันยังไงกันเหรอ”

พรนางฟ้าหันกลับมาทางชายหนุ่ม เลิกคิ้วนิดหนึ่งแทนคำถาม

“ก็เมื่อวาน คุณเสียใจแทบตายที่ถูก ‘คนอย่างผม’ ว่า พอมาวันนี้ก็บอกว่าผมจะได้ไม่ต้องมาเจอ ‘คนอย่างคุณ’ ให้เหนื่อยใจอีก ชีวิตคุณเนี่ยวันๆเอาแต่นั่งแยกแยะชาวบ้านเป็นกลุ่มๆหรือ ถึงได้มีคนอย่างคุณเกรซ คนอย่างผม คนอย่างคุณเต็มไปหมดน่ะ”

“เอ่อ...คือ...”

จากสีหน้าอ้ำอึ้ง รวมถึงถ้อยคำตะกุกตะกักบอกให้รู้ว่า ผู้หญิงตรงหน้าคาดไม่ถึงกับคำถามของเขา กระทั่งคำพูดอันส่งตรงมาจากความคิด ก็ยังไม่มีให้ได้ยินสักคำ

คิรินทร์ไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้ ชายหนุ่มแต้มยิ้มอ่อนโยนตามความรู้สึกในใจ ก่อนวางมือลงบนศีรษะ ‘คุณครูจอมเฮี้ยบ’ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสีดำขลับ แล้วโยกเบาๆกึ่งปลอบโยน “ถ้าคุณเลิกแยกแยะมนุษย์เป็นจำพวก แล้วตัดสินใจเดินหน้าชนกับอะไรก็ตามที่คอยอยู่ โดยไม่สนใจว่าคู่กรณีเป็นคนอย่างไหน อยู่หมวดไหนในชีวิต บางทีคุณอาจพบว่าตัวเองมีความสุขกว่านี้ก็ได้นะ”

พรนางฟ้าสะดุ้งโหยง ถอยหลังกรูด บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงผวากับความสนิทสนมนั้นมากกว่าจะเป็นเพราะถ้อยคำของเขาปักลงตรงกลางใจแน่นอน

คิรินทร์ยิ้มแหย เกาศีรษะเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก “ขอโทษ ถ้าทำให้คุณตกใจ ผมลืมตัวไปหน่อยน่ะ”

“ลืมตัวอะไรไม่ทราบ” คนถามสะบัดเสียง หน้ามุ่ย “อย่ามาทำน้ำเน่าอ้างว่าเห็นฉันเป็นน้องสาวล่ะ!”

“ผมไม่มีน้องสาว แต่ที่ทำแบบนั้น เพราะกำลังนึกว่าลูกกะตาคุณเหมือนคุณนายแพรทองต่างหากล่ะ”

“ใครคือคุณนายแพรทอง” อีกฝ่ายย้อนถามทันควัน

ชายหนุ่มป้ายยิ้มกว้างบนใบหน้า ตอบสบายอกสบายใจ “คุณนายแพรทอง เก๊าะโกลเด้นรีทรีฟเวอร์อายุห้าขวบของผมไง! เวลาโดนเอ็ดมันชอบทำตาอย่างคุณเปี๊ยบเลย”

“อ๊าย-ย-ย! นี่คุณหาว่าฉันเป็นหมาเรอะ”

จิตรกรหนุ่มโน้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาวที่หน้าบู้อยู่แล้วแก้คำผิด “คุณพูดของคุณเองทั้งนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ” เอ่ยจบคนหน้าเป็นก็หมุนกายเดินลอยชายไปยืนริมบาทวิธี โบกมือเรียกแท็กซี่ซึ่งปราดเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่ง แล้วหันมากระดกลิ้นทำเสียงขลุกขลักในคอ “เอ้า! ตกลงจะไปด้วยกันหรือเปล่าคุณ ถ้าจะไปก็ขึ้นมาเร็วเข้า!”

พรนางฟ้าหันรีหันขวาง แล้วก็กระแทกเท้าเดินมาขึ้นรถด้วยท่าทางไม่เต็มใจสักนิด

“ไปไหนครับ” คนขับแท็กซี่ถามเมื่อเคลื่อนรถไปตามถนนช้าๆ

คิรินทร์บอกจุดหมายปลายทาง แล้วหันมาทางคนข้างๆที่ขมวดคิ้วนิดๆหน้ายุ่งด้วยความสงสัย เขาแต้มยิ้มก่อนอธิบายสบายๆ “ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านก่อน”

“อ้าว แล้วเรื่องเลี้ยง...”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไหนๆคุณก็ไม่คิดเบี้ยวผมอยู่แล้ว งั้นก็เอาไว้ก่อนเถอะ ผมว่าตอนนี้คุณควรกลับไปเตรียมตัวรับมือกับวันพรุ่งนี้ดีกว่า เพราะมันเป็นวันที่คุณจะรู้ตัวทุกขณะหัวใจว่ากำลังคิดและพูดอะไรอยู่!”






>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

แจ้งข่าวการเปลี่ยนชื่อคับพ้ม

เพลิงผีเสื้อสีจาง จะตีพิมพ์ในชื่อ "ใต้ปีกรักสีเพลิง" ค่ะ

สำหรับเพื่อนนักอ่านทุกคนที่คอมเมนต์กับนิยายเรื่องนี้

เดี๋ยวสิริณมีของที่ระลึกเก๋ๆ ส่งตรงให้ถึงบ้านด้วยนะค้า :D



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2556, 01:47:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2556, 01:58:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1467





<< ตอนที่ ๒ (๑๐๐%)   ตอนที่ ๔ (๑๐๐%) >>
สิริณ 13 ส.ค. 2556, 02:14:52 น.
@อสิตา : ปกติมักมาอัพเรื่องตอนกลางดึกจ้า
เพราะคนเขียนเป็นค้างคาว 55555

@ ภาวิน : เค้าไม่ยักเคยอ่านโดราเอมอนตอนที่ตัวว่าแฮะ
จำได้แม่นแต่ตอน ขนมปังช่วยจำอ่ะ 55555
สมัยเรียนอยากได้ขนมปังนั่นจัง
แปะหนังสือแล้วกิน ก็จะจำข้อความได้
คงได้เกียรตินิยมกันไปแล้ว :P

@ Sukhumvit66 : ถ้าแค่สู้คนแบบนี้จะสนุกได้ไงคะ
ต้องอ่านกันต่อค่ะ เพราะว่าคนเรา...
พอได้คืบแล้วมักจะเอาศอกเสมอ

อุ๊ย! แบบนี้คงไม่เรียกว่าสปอยล์เนอะ อิอิ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันเสมอมาค่ะ <3

@ ปลายสี : ก้มหน้าลงซ่อนยิ้มปลาบปลื้ม
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้พรนางฟ้าค่ะ
คาดว่ากว่าจะจบเรื่อง
นางคงต้องการกำลังใจอีกเยอะ
เพราะนี่มันเพิ่งจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อิอิ



ขอบคุณเพื่อนๆอีก ๑๓ คนที่ช่วยกันถูกใจตอนนี้ด้วยนะคะ
ฝากชื่อไว้ในคอมเม้นต์คนละหน่อยได้ไหมคะ
ส่งยิ้มไว้ก็ได้
สิริณอยากส่งของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆไปขอบคุณค่ะ


Sukhumvit66 13 ส.ค. 2556, 11:31:40 น.
สู้ ๆ ค่ะ ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ.........


จิรารัตน์ 13 ส.ค. 2556, 15:19:31 น.
อึ้งกับคำถามจนคิดไม่ทันกันเลย 55555 แต่ก็นะพรนางฟ้าเป็นพวกแยกประเภทบุคคลตั้งแต่ตอนแรกจริงๆ ด้วย


lovemuay 13 ส.ค. 2556, 19:42:07 น.
นิยายสนุกมากเลยค่ะ ตามมาหลานเรื่องแระ
แต่ปกติเป็นนักอ่านเงา ไม่ค่อยได้เม้นต์ค่ะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account