ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: 20 มุกดารา . ยุพากร

20

ณ คอฟฟี่เฮาส์...หน้าฟาร์มเทพทัต
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วล่ะค่ะคุณพ่อ” เจียระไนโทร. เข้ามาบอกเทพทัตน้ำเสียงร้อนรน
“คุณภูค่ะ คุณภูประสบอุบัติเหตุ ระหว่างทางเข้าไร่ เห็นว่าตอนนี้ยังอยู่ในห้องไอ ซี ยู” สุทธินัยเป็นผู้ส่งข่าวมายังเธอ
ฐิตารีย์ที่เพิ่งเข้ามาในคอฟฟี่เฮาส์ถึงกับเข่าอ่อนกับสิ่งที่ได้ยิน


“เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง”
“เห็นว่ารถแฉลบตกผาข้างทางนะคะ คุณภูยังไม่ฟื้น ส่วนผู้หญิงที่นั่งไปด้วยเห็นว่าเธอเป็นลูกสาวท่านผู้ว่าปลอดภัยดี แล้วเธอก็เป็นคนโทร. ไปบอกท่านผู้ว่าฯ ให้ส่งคนมาช่วยค่ะ” เจียระไนเล่าตามที่สุทธินัยบอกมาทางโทรศัพท์
“เอาเข้าโรงพยาบาลอะไร เดี๋ยวพ่อจะไปดู ยัยตาอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า บอกด้วยว่าเดี๋ยวพ่อจะไปรับ”
“ค่ะ...”


เจียระไนเอ่ยชื่อโรงพยาบาลให้บิดาได้รับรู้ ไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่หารู้ไม่ว่าหลานสาวใจแทบสลายไปเดี๋ยวนั้น ทั้งที่อยากไปดูให้เห็นกับตาใจจะขาด แต่กลับทำไม่ได้อย่างใจคิด
“คุณปู่ให้ตารอที่นี่จ้ะ เดี๋ยวท่านจะมารับไปเยี่ยมคุณภูด้วยกัน เอาอะไรติดไม้ติดมือไปหน่อยดีกว่านะ” เจียระไนเห็นแล้วว่าหลานสาวถึงกับใบหน้าซีดเผือดเธอจึงจัดการเสียเอง


โรงพยาบาลใหญ่ประจำจังหวัดที่มาถึงเต็มไปด้วยผู้คนคุ้นหน้า ซึ่งแทบเรียกได้ว่ายกทั้งทีมที่มาเปิดงานเมื่อช่วงเช้าที่แสนดาว การ์เดนมาไว้ที่นี่ จะขาดก็เพียงกำนันและบุตรชาย เท่านั้นแต่ละคนสีหน้าไม่แตกต่างทุกข์ร้อนจนนั่งไม่ติดโดยเฉพาะธันวินกับณัฐภาคย์ สองสาวชิดชไมและอารียาที่ตั้งใจมาหาจข่าวก็กลับรู้สึกเศร้าใจจนไม่อาจปริปากใดๆ ออกมาได้


ทั้งไม่รู้ว่าบุตรชายที่รอดมาราวปาฎิหาร์เป็นเพราะพระที่แขวนหรือไม่ แต่ผู้ไปช่วยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากรณีนี้เห็นจะเป็นหนึ่งในร้อยเท่านั้นเพราะรถสามารถค้างเติ่งอยู่กับโคนไม้โดยไม่ไถลลงไปถึงก้นหุบเหวได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
“ลูกชายคุณเป็นยังไงบ้าง” ธนวัตถามแสงดาวอย่างร้อนใจ
“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ” บอกทั้งน้ำตา


“ทำใจดีๆ ไว้ก่อนดีกว่า แล้วหมอล่ะว่ายังไงบ้าง” เทพทัตเอ่ยถาม
“หมอให้รอดูอาการก่อนค่ะ”
“ไม่น่าจะต้องโชคร้ายเลยจริงๆ” นาทีนี้ธนวัตสงสารแสงดาวอย่างจับใจ ลืมความบาดหมางที่ผ่านมาจนสิ้น
“ภูเพิ่งบอกดิฉันแท้ๆ ว่าเขาจะวางมือจากงานอนุรักษ์นั่น ไม่น่าเลยที่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ผ่านอะไรมามากต่อมาก” เธอไม่วายพร่ำรำพัน


“แล้วลูกสาวท่านผู้ว่าฯ ล่ะ อาการเป็นยังไงบ้าง” เทพทัตซักด้วยความสงสัย
ผู้ที่เทพทัตเอ่ยถึง แทบจะปราศริ้วรอยใดๆ และทั้งที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุ แต่บัดนี้กระเช้าเยี่ยมภายในห้องพิเศษก็เต็มห้องแล้ว ทั้งหมอและพยาบาลยังเดินเข้าออกกันขวักไขว่เพราะคุณหนูผู้บอบบางในสายตาของใครๆ ร้องโอดโอยเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้มิได้หยุด
“ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้ ทีนี้เห็นหรือยังว่าอยู่กับมันแล้วเป็นยังไง มีแต่เรื่องทั้งนั้น” กฤษดาเพิ่งมีโอกาสพูดเมื่ออยู่กันตามลำพัง


“พ่อไม่รู้ก็อย่าพูดดีกว่า ครั้งนี้มันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่อุบัติเหตุครั้งนี้มันเป็นความผิดของนิต้าเอง” บอกระหว่างสลัดผ้าห่มลงมาเดินป๋อก่อนคว้าน้ำอัดลมในตู้เย็นมาเปิดดื่ม
บิดาได้แต่งุนงงกับพฤติกรรมของบุตรสาว “หมายความว่ายังไง ที่ว่าเป็นความผิดของเรา”
“ก็เพราะเขาบอกเลิกกับหนู หนูก็เลยเข้าไปแย่งพวงมาลัยรถมาจากเขา พ่อนึกหรือว่านิต้าจะปล่อยไปง่ายๆ ในเมื่อหนูไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหมาย” บอกด้วยดวงตาที่ลุกวาว


“เชอะ! กลับมายังไม่ทันข้ามวันก็มาบอกจะเลิกกับหนู ฝันไปเถอะที่จะลอยนวลไปเสวยสุขกับนางนั่น”
กฤษดาถึงกับต้องทรุดตัวนั่งยังโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่คิดเลยว่าบุตรสาวจะคิดสั้นได้ถึงเพียงนี้
“แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป เรื่องนี้แกหุบปากไว้เลยนะ ปะเหมาะเคราะห์ร้าย ทางนั้นแจ้งความดำเนินคดีขึ้นมา ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” กฤษดารู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก


“แล้วที่เราโอดโอยอยู่นี่ล่ะ” เหมือนเขาเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้
“นิต้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ไม่ได้เจ็บหรือปวดตรงไหนแม้แต่น้อย แต่พ่อจะให้หนูไม่เป็นไร โดยที่อีกคนได้คะแนนสงสารจากผู้คนไปหมดงั้นหรือคะ แกล้งป่วยมันก็ไม่ได้ง่ายนะคะพ่อ”
“คิดบ้างหรือเปล่าว่าการกระทำของเรามีผลอะไรกับใครบ้าง”


“วันนี้หากเป็นตัวเราเองที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับภูมิรพี พ่อจะทำยังไง แล้วถ้าหากต้องเสียแขนเสียขา แต่ไม่ตายเราจะทำใจได้หรือเปล่า ที่สำคัญนายภูนั่นป่านนี้ยังไม่ฟื้น” ในฐานะที่เขาเป็นพ่อ ถึงอย่างไรก็ยังเห็นใจหัวอกของคนเป็นแม่อย่างแสงดาว


“หากเขาต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา คนที่ต้องรับภาระก็คือแม่ของเขา พ่อแม่ต้องเห็นลูกตกอยู่ในสภาพนั้นไม่เท่ากับใจสลายหรอกหรือ แกไม่ได้ฆ่าเฉพาะภูมิรพีนั่น แต่แกได้ฆ่าแม่ของเขาให้ตายทั้งเป็นด้วย ทำอะไรใช้สมองคิดบ้างหรือเปล่า”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่บิดาพูดมาไม่ได้อยู่ในความสนใจของบุตรสาวแม้แต่น้อย เพราะยามนี้แรงแค้นท่วมท้นล้นอยู่จนเต็มอก


“พ่อพูดจบแล้วหรือยังคะ นิต้าง่วงนอนแล้วล่ะค่ะ” กล่าวก่อนตวัดผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วหลับตาลงราวไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้น
นี่หรือคือคนที่บอกว่ารักภูมิรพีราวจะกลืนกิน
กำแพงมีหู ประตูมีช่องคงจะใช้ได้ดีกับยามนี้ที่สุด เพราะผู้ที่อยู่หน้าประตูกลับเปลี่ยนใจที่จะก้าวเข้ามาแต่กลับออกไปอย่างเงียบเชียบที่สุด


บุตรสาวหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา กฤษดาได้แต่เหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ไม่นึกเลยว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ได้รับทั้งการศึกษาสูง อีกทั้งยังได้รับความรักจากเขาอย่างล้นเหลือจะคิดได้เพียงเท่านี้ เพียงเพราะผู้ชายคนเดียวถึงกับยอมละทิ้งทุกสิ่ง ยอมกระทั่งเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน บุตรสาวที่เคยเรียบร้อย น่ารัก ของเขาในอดีตเธอหายไปไหน หรือจะเป็นเพราะภรรยาของเขาที่ไปมีสามีใหม่ได้นำเด็กน้อยที่เคยน่ารักนั่นไปจากอ้อมอกของเขาด้วย โดยทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้หัวใจของบุตรสาว เขาถึงเพียงเลี้ยงดูเธอได้แต่ตัวเท่านั้น


ถึงก่อนมาโรงพยาบาลฐิตารีย์จะยืนยันกับอาสาวอย่างหนักแน่น ว่าไม่ไปด้วยแต่เมื่อเทพทัตมาถึงเธอก็ขึ้นรถมาด้วยแต่โดยดี แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเธอกลับขอรอในรถ ทั้งที่ใจอยากลงไปดูให้เห็นกับตาใจจะขาดนาทีนี้เธอจะปราศจากความรู้สึกโกรธเคืองเขาอีกต่อไป และเพิ่งรู้สึกว่าการรอคอยการกลับมาของผู้เข้าไปเยี่ยมไข้ช่างยาวนานราวชั่วกัปต์ชั่วกัลป์


“คุณปู่ คุณภูเป็นยังไงบ้างคะ” ละลั่มละลักถามเมื่อเทพทัตปรากฏตัว
เทพทัตได้แต่ส่ายหน้าอย่างเครียดเคร่ง “ยังไม่ฟื้น หมอว่าหากไม่ดีขึ้นจะส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ”
ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำใจดีๆ เถอะ คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้อยู่แล้ว เชื่อปู่สิ”


เธอจะเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อหลายครั้งที่เขาต้องประสบเรื่องร้ายๆ โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และครั้งนี้ก็ถือว่าร้ายแรงที่สุดแล้ว
“แล้วลุงจ่า กับช้างล่ะคะปู่” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกลับมาเพียงลำพัง
“ปู่ให้อยู่เฝ้าคุณภู นาทีนี้จะไว้ใจใครไม่ได้อย่างเด็ดขาด” สิ่งที่เทพทัตกลัวคืออาจมีมือดีตามมาเก็บชายหนุ่มก็เป็นได้
ฐิตารีย์เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าลุงจ่าและช้างมีเป้หลังติดมาด้วยคนละใบ


“ยามนี้อะไรที่เราพอจะช่วยเขาได้ ก็ควรจะช่วยจริงมั้ย ส่วนพ่อเราก็อยู่เป็นเพื่อนแม่คุณภู เย็นๆ ค่อยมารับกลับ หากตามีอะไรก็เรียกใช้คนอื่นๆ ก็แล้วกัน” กล่าวจบก็ขึ้นมานั่งยังที่คนขับ
“นี่คุณปู่ขับกลับมาเองงั้นหรือคะ” ถามอย่างนึกไม่ถึง
เทพทัตหัวเราะหึหึ “ทำไม เห็นปู่แก่จนทำอะไรไม่ได้แล้วงั้นหรือ ไปห่วงพ่อเรานั่นดีกว่า”


“เปล่าเสียหน่อยค่ะ แค่ตาเป็นห่วงเท่านั้น” บอกเสียงอ่อน
“ให้ตาขับเองเถอะนะคะ”
“ใจไม่อยู่กับตัวอย่างนี้ อย่าให้ปู่เสี่ยงด้วยเลยจะดีกว่า” บอกพลางสตาร์ดเครื่องยนต์
“ร้านที่แสงดาวการ์เด้นนั่นช่วงค่ำๆ จะให้เด็กมาทำความสะอาด แล้วก็ปิดไว้ก่อนก็แล้วกัน”


“ทำไมพักนี้มีแต่เรื่องคะคุณปู่” หลานสาวเปรยอย่างหมดเรี่ยวแรง
“อันที่จริง มันก็มีมานานแล้ว เพียงแต่เรามัวแต่ไปเที่ยวเล่น ไม่ได้สนใจฟาร์มนี่เลยนี่นา พอกลับมาก็เลยเหมือนเรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นจริงมั้ยล่ะ”
“แล้วลูกสาวผู้ว่าฯ นั่นล่ะคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถาม


“ไม่เป็นอะไรเลย สบายดีทุกอย่าง สบายมากเกินไปด้วยซ้ำ” เทพทัตเอ่ยเรื่อยๆ
“ตาอย่าเป็นคนที่ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่างนะลูก อย่างที่โบราณว่า ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก”
“คุณปู่หมายถึงอะไรหรือคะ” หลานสาวยังไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“ก็อย่างที่ปู่พูดนี่ล่ะ ตาอย่าเป็นคน”


แท้จริงเทพทัตได้ยินเรื่องราวที่เจ้าหล่อนสนทนากับบิดาในห้องพักผู้ป่วยจนหมดสิ้นแล้วนั่นเอง

โทรศัพท์ที่มีเข้ามาในค่ำคืนนี้ทำฐิตารีย์ถึงกับร่ำไห้ออกมาทันทีที่อีกฝ่ายวางสายลง ดูเหมือนความกดดันทั้งหมดที่เธอพยายามเก็บมันไว้ให้ลึกที่สุดแล้วก็ตาม
“ยองฮวาจะบินกลับคืนนี้แล้วนะตา” พชรยังอุตส่าห์โทร. มาเพื่อหวังผลให้เพื่อนรักเปลี่ยนใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบกริบ
“เราจะไปส่งเขาคืนนี้...” พชรย้ำอีกครั้ง


“เราคงไม่ฝากลาเขาอีกหรอกนะ ว่าแต่ตัวเถอะ จะกลับมาอีกหรือเปล่า” ฐิตารีย์ถามเนือยๆ
“คงต้องรองานทางนี้ก่อน เพราะมีบริษัทติดต่อมาแล้วว่าต้องการล่าม”
“อืม…งั้นก็คงอีกนานเลยสินะกว่าจะได้เจอกันอีก”
“ตาเป็นอะไรหรือเปล่า” พชรจับน้ำเสียงเพื่อนรักได้ว่าแตกต่างกับทุกครั้งอย่างสิ้นเชิง


“เมื่อสายๆ คุณภูเกิดอุบัติเหตุ รถตกเหวข้างทาง จนตอนนี้เขายังไม่ยอมฟื้น”
ไม่อยากจะเชื่อว่าคำบอกเล่าของเพื่อนสาวจะยังคงดังก้องให้ได้ยิน รวมทั้งเหตุการณ์ไฟป่าที่ลุกลามมาจนถึงหลังฟาร์มนั่นก็ด้วย เพียงช่วงเวลาไม่กี่วันที่เขาจากมามีเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ที่สำคัญเขาไม่ได้ช่วยเหลือสิ่งใดแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องบอกยองฮวาเรื่องคุณภูหรอกนะ ให้เขากลับไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรดีที่สุดแล้ว”


ถึงเขาไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของเพื่อน ทางออกอื่นจึงไม่มีให้ต้องเลือก
ถึงแม้แสงดาวจะบนบานสาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ปฏิหาริย์ก็ยังไม่มีทีท่าจะสำแดงอิธิฤทธิ์อยู่ดี การรอคอยอย่างใจจดจ่อจึงเสมือนว่าวันเวลาช่างเชื่องช้าราวหยุดนิ่งอยู่กับที่


สามวันถัดมา...การรอคอยก็ถึงเวลาสิ้นสุด เมื่อภูมิรพีฟื้นคืนสติท่ามกลางความยินดีอย่างถ้วนหน้า แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือผู้ที่กลับมาปราศจากความทรงจำในอดีตอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญภูมิรพียังไม่มีการตอบสนองในการพูดจากับผู้ใดเหมือนว่าเขาจะอยู่แต่ในโลกส่วนตัวเท่านั้น อาจเป็นเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนจากการที่ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ แม้นั่นจะเป็นตัวช่วยไม่ให้รถตกลงยังเหวลึก แต่กลับนำมาซึ่งเรื่องคาดไม่ถึงอย่างเวลานี้


“คุณทำใจเถอะนะ อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่กับเรา ให้แข็งแรงกว่านี้แล้วค่อยพาเข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯ น่าจะมีหมอเก่งๆ ทำให้เขากลับมาเป็นคนเก่าได้ ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”
แสงดาวมองธนวัตรอย่างตื้นตันใจ เมื่อถึงเวลานี้เขายังมีแก่ใจเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ


ในเวลาเดียวกัน ณ โรงพยาบาล…
“พ่อให้ใครไปเอากระเป๋ากลับมาจากไร่ภูมิรพีให้นิต้าด้วยนะคะ” สริตาบอกบิดาเมื่อเธอพร้อมจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับจวน
“แล้วนี่เราจะไม่ไปเยี่ยมคุณภูเขาหน่อยหรือ”
“ก็พ่อบอกเองไม่ใช่หรือคะว่าเขาจำใครไม่ได้ แถมยังไม่พูดจาอีกต่ากหาก อย่างนี้แล้วนิต้าจะไปเยี่ยมเขาให้ได้อะไรขึ้นมากันล่ะคะ”


ถึงกฤษดาจะยินดีที่ในที่สุดบุตรสาวก็เลิกรากับบุรุษผู้นั้นได้ ทว่าการพูดออกมาอย่างเห็นแก่ตัวของเธอทำให้เขาไม่พอใจจริงๆ
“อย่าลืมสิว่าเราเป็นคนทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้” กฤษดากระซิบกระซาบ
“อย่าทำเป็นคนใจจืดใจดำนักเลย ในเมื่อลูกตั้งใจจะไปจากที่นี่อยู่แล้วก็สมควรจากกันไปด้วยดีไม่ใช่หรือ”


“หึ...นิต้าไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เอ๋อไปแล้วแบบนั้น เดี๋ยวเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา น่ากลัวจะตาย อีกอย่างยังไงซะนิต้าก็ให้อภัยเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ดีหรอกหรือคะ ก็ในเมื่อนี่คือความต้องการของพ่อตั้งแต่แรกไม่ใช่หรอกหรือคะ”
ถึงบุตรสาวจะพูดเรื่องจริง แต่กฤษฏาก็ไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้
“นิต้าจะถือซะว่าเขาได้ตายจากนิต้าไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้นิต้าจะกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า พ่อให้ใครจองตั๋วเครื่องบินให้ด้วยนะคะ”


ชายหนุ่มที่นั่งมองพระอาทิตย์ลับเลี่ยมเขาไม่รู้กระทั่งหญิงสาวที่เข้ามาถึงตัว ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่ดวงตาปราศจากเรื่องราวใดๆ เสมือนว่าเขาตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่น่าเชื่อด้วยว่าชายผู้นี้จะผ่านเรื่องเฉียดตายนั่นมาได้โดยปราศจากริ้วรอยใดๆ ทั้งสิ้น แต่นาทีนี้เธอกลับคิดว่าหากเขาแขนขาหักเพื่อแลกกับภูมิรพีคนเก่าที่สามารถจำความหลังและสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ นั่นจะดีกว่าหลายร้อยเท่านัก


“ท้องฟ้าวันนี้สวยมากจริงๆ นะคะ” ฐิตารีย์พยายามชวนคุยระหว่างนั่งลงข้างๆ เขา
“คุณรู้มั้ยคะ มีเรื่องราวมากมายที่ก่อนหน้านี้ตาอยากพูดกับคุณ แต่เมื่อมาถึงวันนี้มันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว”
ถึงอีกฝ่ายจะปราศจากความรู้สึกใดๆ แต่สำหรับเธอยังรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่เคียงข้างเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดแต่หญิงสาวกลับกุมมือหนาใหญ่ไว้ด้วยมือเรียวเล็กของเธอ อีกฝ่ายได้แต่มองการกระทำนั้นโดยไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น


แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ปริปากใดๆ และไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอเอ่ยแต่ฐิตารีย์ยังรู้สึกดีมากๆ หากวันนี้เขาเป็นคนเก่าเธอคงไม่กล้าพอที่จะเอ่ยความในใจเช่นนี้ออกมาแน่ๆ ที่สำคัญเรื่องที่เธอติดค้างอยู่ภายในใจตลอดมานั่นต่างหาก…ที่ชายหนุ่มขึ้นไปบนเขาวันนั้น ทุกอย่างได้เคลียร์จากใจของเธอแล้ว


“อย่างที่เขาว่ากันคงไม่ผิดนักใช่มั้ยคะ เพื่อนกินหาง่ายเพื่อนตายหายาก” เธอรู้สึกอย่างที่พูดออกมาจริงๆ
“ตารู้แล้วล่ะค่ะว่าใครที่คิดไม่ซื่อกับคุณ โชคดีนะคะที่คุณไม่ต้องรับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างน้อยคุณจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับความจริงที่ปรากฏ” พูดระหว่างลูบหลังมือชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา


“วันนี้ตาไปถามคุณภาคย์มาแล้วค่ะ ว่าใครบ้างที่รู้ว่าคุณขึ้นไปที่กระท่อมแสงจันทร์นั่น หากคุณจะว่าตายุ่ง เพราะไม่ใช่เรื่องของตา แต่ตาก็อยากจะบอกกับคุณว่าทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของคุณ ก็เป็นเรื่องของตาด้วยเช่นเดียวกัน” เธอยังเอ่ยเรื่อยๆ เป็นอีกครั้งที่นึกถึงเรื่องเมื่อช่วงเช้า…


รถกระบะเชฟโลเลตที่มีชยุตเป็นคนขับมาจอดหน้าอุทธยานฯ แต่เช้าตรู่ทำให้ณัฐภาคย์ต้องออกมาต้อนรับ เพราะหญิงสาวจากไร่เทพทัตที่นั่งมาด้วยโทร. นัดเขาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
“ถึงเราจะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกัน แต่คุณบอกดิฉันได้มั้ยคะ ว่าวันนั้นคุณภูเอาข้าวของเด็กอ่อนนั่นขึ้นไปให้ใคร ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนสนิท คุณน่าจะทราบไม่ใช่หรือคะ” ฐิตารีย์ลงทุนมาถามจนถึงหน่วยพิทักษ์ป่า


“คุณอยากรู้ไปทำไม ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยนี่ครับ”
“แล้วคุณไม่ทราบหรอกหรือคะ ว่าคืนนั้นดิฉันและคุณภูถูกไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
ณัฐภาคย์ถึงกับอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน
“มีใครอีกกี่คนกันคะ ที่รู้ว่าคุณภูขึ้นไปบนเขาในวันนั้น”


“คุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่” เหมือนเขายังไม่ไว้วางใจอีกฝ่ายที่จะพูดออกมา
“จะยังไงดิฉันไม่ทราบ แต่ที่ทราบ…บางทีเกลืออาจเป็นหนอน และหากคนที่น่าไว้ใจที่สุดหักหลังเพื่อนด้วยกันเอง นี่จะยิ่งน่าอดสูเสียยิ่งกว่า” ทั้งที่ไม่รู้ว่าคำพูดของเธอครั้งนี้จะเป็นการสร้างศัตรูหรือไม่แต่เธอก็ได้พูดมันออกไปแล้ว


ความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะทำให้ณัฐภาคย์อึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะกล้าถึงเพียงนี้
“คุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องนี้” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาจนได้


“แล้วใครกันล่ะคะที่น่าจะมีเอี่ยว คุณตอบได้หรือยังล่ะคะ ว่าคุณภูเอาข้าวของนั่นขึ้นไปให้ใคร”
เป็นอีกครั้งที่ณัฐภาคย์แสดงความลำบากใจออกมาทางสีหน้า
“ไม่มีใครหรอกครับ เป็นแค่…เตรียมการไว้ก่อนเท่านั้น” เขาจำยอมต้องเปิดปาก


“เตรียมไว้ให้ใครกันคะ” เธอยังคงลุกไล่ไม่ลดละ
เสียงทอดถอนใจอย่างหนักอกจากคู่สนทนาดังมาให้ได้ยิน ถึงณัฐภาคย์จะไม่อยากตอบแต่เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้เขาคงต้องพูดมันออกมา
“ธันวินน่ะครับ มันไปทำลูกสาวกำนันท้อง แล้วก็ตั้งใจจะพาเธอหนี ก็เลยมาขอร้องให้ภูช่วย”
ฐิตารีย์ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน “คุณว่าลูกกำนัน คนไหนกันคะ”


“ลูกสาวคนที่ยังอยู่มหาวิทยาลัย เห็นว่าชื่อพุธิตาหรือมินท์นี่แหละครับ”
คำบอกเล่านั้นของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวถึงกับเข่าอ่อนสงสารภูมิรพีขึ้นมาจับใจ
“หึ...แล้วคุณก็เชื่ออย่างนั้นหรือคะ”
“คุณหมายถึงอะไร?”
“ดิฉันหมายถึง หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น หากว่ามีเพียงคุณ คุณปลัด รู้ว่าคุณภูขึ้นไปที่กระท่อมนั่น คุณยังจะเชื่อเรื่องที่เพื่อนคุณพูดอีกอย่างนั้นหรือคะ”


ด้วยเหตุนี้เธอจึงกลับมายังฟาร์มเพื่อสอบถามพยานปากเอก และภาพของเด็กสาวที่ถึงกับน้ำตาพรั่งพรู เมื่อถูกเอ่ยถามตรงๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับปลัดก็ทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้
“...พี่ปลัดพูดได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ เขากับมินท์ไม่เคยมีอะไรเกินเลยจริงๆ นะคะพี่ตา แล้วอย่างนี้มินท์จะเป็นอย่างที่เขาว่าได้ยังไงกันล่ะคะ” บอกด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก


สองอาหลานได้แต่มองตากันปริบๆ
“เขาไม่น่าทำกับมินท์ได้ลงคอเลยจริงๆ ทั้งที่ผ่านมามินท์ไว้ใจเขามาโดยตลอด…” พุธิตาได้แต่คร่ำครวญ

ภาพเบื้องหน้าที่แสงสีทองทาบลงบนผืนฟ้าก่อนจะอำลาจากไปนั้นสำหรับฐิตารีย์แล้วรู้สึกจริงๆ ว่าช่างงดงามกว่าวันใดๆ ที่ผ่านมา
“ปลัดหลอกทั้งคุณและคุณภาคย์ว่าเขาทำลูกสาวกำนันท้อง แล้วให้คุณขึ้นไปที่บ้านหลังนั้น ที่ตารู้ก็เพราะน้องมินท์ลูกสาวกำนันตอนนี้หนีพ่อของตัวเองมาขออาศัยอยู่ที่ฟาร์มได้อาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ เด็กบอกว่าเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเพื่อนของคุณทั้งสิ้น นอกจากพูดคุยโทรศัพท์ ส่งข้อความติดต่อกัน ทุกครั้งที่พบกันกำนันก็อยู่ด้วยตลอด”


ความเงียบที่เข้ามาแทรกทำให้ได้ยินสายน้ำพุร้อนที่ไหลรินอยู่เบาๆ
“ส่วนที่เธอต้องหนีมา ก็เพราะเพราะตัวพ่อคิดจะส่งลูกสาวเป็นของกำนัลให้นายตัวเอง น่าอดสูจริงๆ ใช่มั้ยคะ ที่กระทั่งลูกกำนันมันก็ยังไม่ละเว้น เด็กยังบอกด้วยว่าพอเธอโทร. ไปให้เพื่อนคุณช่วย เขาก็กลับปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่อยากจะเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงด้วยเรื่องนี้”


ฐิตารีย์ได้แต่ทอดถอนใจกับเรื่องที่ตัวเองได้ถ่ายทอด
“ตารออยู่เพียงว่าเมื่อไหร่กรรมจะสนองกำนันนี่เสียที หรือว่าความหวังนี้จะไม่มีวันเป็นไปได้ก็ไม่รู้นะคะ ดูอย่างคุณ ที่ทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่ก็กลับต้องมาเป็นแบบนี้” เธอหยุดเอ่ยไปชั่วอึดใจ


“เชื่อมั้ยคะ เมื่อก่อนตาไม่เคยสนใจเรื่องของฟาร์ม หรือแม้กระทั่งเรื่องของอำเภอแสนดาวของเรา แต่เพราะคุณจุดประกายให้ตาได้คิดว่าชีวิตของคนเรามีอะไรให้ทำอีกมาก จึงทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองใช้ชีวิตไปอย่างเสียเวลาที่สุด จากนี้คงไม่แปลกหรอกนะคะที่แสงดาวจะมีนักอนุรักษ์หญิงเพิ่มขึ้นอีกคน” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มตั้งใจแล้วจริงๆ ว่าจะทำให้ได้ตามที่ได้พูดกับเขา
“เช่นเดียวกับที่ฟาร์มตาก็จะสานฝันของพ่อ ของปู่ การอยู่เพื่อคนอื่นคงจะมีความหมายกว่าการอยู่เพียงเพื่อตัวของเราเองคุณคิดอย่างนั้นใช่มั้ยคะภูมิรพี”


คำถามที่ปราศจากคำตอบใดๆ ทำให้ฐิตารีย์ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อาจจะเก็บกลั้น และอาจเป็นเพราะดวงตะวันที่กำลังลับเหลี่ยมเขานั่นด้วยก็ได้ที่ทำให้เธอสะเทือนใจขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เขาผู้นี้ที่มีทั้งเลือดเนื้อและหัวใจหากแต่กลับไม่อาจรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น แต่เธอก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าเธอจะเคียงข้างเขาแม้ในยามนี้ที่คนที่เคยบอกว่ารักเขาอย่างที่สุดยังเก็บกระเป๋าจากไปอย่างปราศจากเยื้อใยที่เคยมี


“คุณอาจจะไม่เชื่อว่าครั้งแรกที่เราได้เจอกัน ตาไม่ถูกชะตากับคุณแม้แต่น้อย ที่สำคัญนกแก้วตัวนั้น…เจ้าเขียวหวานที่คุณไปตามถึงฟาร์มนั่น มันก็เป็นของคุณจริงๆ ค่ะ” เธอยังคงพูดความในใจอย่างต่อเนื่อง
“ตานิสัยไม่ดีเลยใช่มั้ยคะ ที่ทำตัวอย่างนั้น ไม่ยอมคืนให้คุณ เอาของรักของคนอื่นมาเป็นของตัว หากย้อนเวลากลับไปได้ ตาก็อยากจะคืนให้คุณนะคะ”


เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้ามาครอบงำ ความมืดที่กล้ำกลายเข้ามาทำให้ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าบุรุษที่เคียงข้างหันมามองเธอพร้อมกับแววตาที่เหมือนมีบางอย่างอยู่ภายในใจ
“หน้าฝนกำลังจะมาถึงแล้ว เราก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องไฟป่าอีกแล้วใช่มั้ยคะ ตาอยากบอกคุณว่าวันนั้นที่คุณมาช่วยดับไฟ ทำให้ตารู้สึกประทับใจในตัวคุณมากจริงๆ ค่ะ”


ความเงียบเข้ามาแทนที่อีกครั้ง
“และกับวันนั้น ที่เราต้องหนีพวกผู้ร้ายด้วยกัน…เป็นสิ่งที่ตาจะจดจำไว้จนชั่วชีวิต”
“หนูตาอยู่นี่เอง ไปทานข้าวกันเถอะจ้ะ”
เสียงของแสงดาวที่แทรกเข้ามาทำให้ฐิตารีย์คลายมือออกจากการเกาะกุมอย่างรวดเร็ว


“ภูหิวหรือยังลูก วันนี้แม่มีของโปรดภูตั้งหลายอย่างนะจ๊ะ” แสงดาวจูงบุตรชายราวเขายังเป็นเพียงเด็กตัวน้อยๆ นาทีนี้เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าระหว่างให้เขาโลดแล่นอยู่ท่ามกลางเหล่าคนที่จ้องปองร้ายกับการที่ตกอยู่ในสภาพนี้อย่างไหนจะดีกว่ากัน เพราะแม้เธอจะสามารถมีบุตรชายอยู่เคียงข้าง ทว่ากลับเสมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน


ธนวัตที่วันนี้ก็มาอยู่เป็นกำลังใจให้กับแสงดาวด้วย ทั้งสี่ที่ร่วมโต๊ะอาหารจึงแตกต่างกับทุกวันอย่างสิ้นเชิง นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่เคยรู้สึกอุ่นใจได้เท่าเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของเธอยามนี้ที่ไม่ต่างกับอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในคืนเดือนแรม ทว่ายังมีแสงสว่างที่ส่องมาถึง แม้ว่าจะเป็นเพียงแสงดาวแต่เมื่อเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเองก็สามารถส่องทางสว่างให้หัวใจอันมืดมิดของเธอในยามนี้ได้เช่นกัน


แม้เวลาจะผ่านมาถึงครึ่งค่อนวัน แต่ณัฐภาคย์ยังไม่สามารถสลัดสิ่งที่เธอทิ้งท้ายไว้ออกไปจากใจได้ เขาไม่ใช่เพิ่งรู้จักเพื่อนผู้นี้ แต่คบหามาตั้งแต่สมัยมัธยม ถึงช่วงมหาวิทยาลัยจะห่างกันไปแต่เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งยังบ้านเกิด ความสนิทสนมก็ยังคงเป็นเช่นเดิมหากแต่ความสัมพันธ์อันแสนบริสุทธิ์เมื่อวันวานไม่อาจฉุดรั้งให้กลับมาได้อีก เสมือนสัจธรรมของชีวิตที่เมื่อทุกอย่างเดินหน้าก็ย่อมไม่อาจหวนคืนได้อีกต่อไป


เขาเพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองจริงๆ ว่าที่บ้านธันวินบิดามารดาก็เป็นเพียงข้าราชการครู แต่เขากลับขับรถรถคันหรูอีกทั้งบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จก็น่าจะต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย แต่ยังไม่เท่าที่เจ้าตัวติดตามกำนันไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ถึงเพื่อนจะพูดว่าไปดูงานและกำนันเป็นสปอนเซอร์แต่มาวันนี้เขาอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า
‘เงิน’ สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้จริงๆ หรือ


“หากหนูตาว่างก็มาเป็นคุยกับภูบ่อยๆ นะจ๊ะ เอาเป็นว่าอาจองหนูมาทานข้าวเย็นที่บ้านอาทุกวันเลยดีกว่า ได้มั้ยคะคุณ” เธอหันไปถามธนวัตร
อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย “คุณเองก็ไปทานข้าวเย็นที่บ้านผมด้วยเป็นไง ผลัดกันไง เมื่อก่อนภูเขาก็คุยกันดีกับพ่อผม บางทีอาจทำให้เขาฟื้นความทรงจำเร็วขึ้นก็ได้นะ”


ผู้ที่ธนวัตกำลังเอ่ยถึงเหมือนลังอยู่บนรถกอล์ฟ โดยมีชยุตทำหน้าที่เป็นพลขับ นี่ไม่ใช่การนั่งรถกินลมธรรมดา หากแต่เป็นการตรวจตราโดยรอบฟาร์มเพื่อไม่ให้ผู้ใดใช้อาคมเพื่อกล้ำกลายเข้ามาในอาณาเขตของเทพได้


กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งกระแจะที่ทำจากดินสอพองผสมน้ำปรุงจากมวลหมู่ดอกไม้ที่คมแก้วใช้ทาผิวกายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้มาเยือนยังเรือนยี่สุ่นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้บ้าง หากแต่เสียงบทเพลงกล่อมลูกอันเย็นยเยือกที่เทพทัตได้สัมผัสทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ ...วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีตาลโตนดอยู่เจ็ดต้น พ่อขุนทองก็ไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา เมียคดข้าวใส่ห่อ ถ่อเรือไปตามหา เขาก็เล่าลือมา ว่าพ่อขุนทองตายแล้ว...


สายลมเย็นที่พัดให้ใบไม้กรูเกรียวทำให้เครื่องแขวนจากดินเผาส่งเสียงเข้ามาแทรกบทเพลงจากคมแก้วจึงขาดหายไปโดยปริยาย ผู้ที่ขึ้นเรือนมาจึงยังทันได้เห็นน้ำตาของเธอที่ไหลริน
“เรื่องก็ผ่านพ้นมายาวนานขนาดนี้ เจ้าควรตัดอดีตนั่นให้ขาดเสียทีนะคมแก้ว”
เสียงจากเทพทัตที่เอื้อนเอ่ยทำให้ร่างบางรีบปาดน้ำตาด้วยมือเรียวอย่างรวดเร็ว


“ท่านเจ้าคุณอาจไม่เชื่อ แต่สำหรับดิฉัน มันยังเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้นี่เอง” ดวงตาของผู้เอ่ยกลับกลายเป็นสีอำพัน ที่แม้กระทั่งเทพทัตก็ไม่อาจถอนสายตาจากไปได้ จู่ๆ ภาพที่ปรากฏอยู่รายรอบตัวเขาก็เสมือนว่าตัวเองได้หลุดเข้าไปยังอีกมิติ…ที่สัมผัสได้แม้กระทั่งกลิ่นที่คละคลุ้งไปด้วยคาวของเลือด


เพราะเป็นวันเดียวกับที่ข้าศึกบุกประชิดกรุง...วันนั้นจึงไม่มีกระทั่งหมอที่จะมาช่วยเธอคลอดลูก แม้จะมีก็เพียงนายจันผู้ที่ท่านเจ้าคุณไว้ใจฝากฝัง และบ่าวที่ซื่อสัตย์ อย่างลำเจียก ทว่าสองแม่ลูกก็สุดจะยื้อชีวิตเอาไว้ได้ จะเป็นเพราะคำสาบานที่ได้ให้ไว้กับท่านเจ้าคุณของเธอหรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ที่ทำให้เธอไม่อาจหลุดพ้นจากเรือนยี่สุ่นตลอดจนกรุสมบัติ ผิดกับบุตรชายแรกคลอดที่จากไปอย่างสงบ

ทั้งนายจันผู้มีอาคมแกร่งกล้าแต่ที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้คือที่มาของบุรุษผู้นี้ แต่จะเพราะต้องคำสาปหรือเพราะเทพดลบันดาลก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ที่ทำให้เขาฟันแทงไม่เข้า นายจันในวันนั้นกลับกลายเป็นชยุตในวันนี้ ที่อยู่มาอย่างยาวนานผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคหลายสมัย จัดเป็นอมตะมนุษย์ที่ใครๆ ต่างกล่าวขานว่ามีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น!!




สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกๆ ท่าน
มาพบกับป่าหนาวฯ กันเช่นเคยนะคะ หวังว่าจะชอบตอนที่ 20 นี้นะคะ
ผู้เขียนรบกวนฝากผลงานออกใหม่ล่าสุดด้วยค่ะ กับ 'หวานเสน่หา' (ลมรักเทวารัณย์) ซึ่งออกกับสำนักพิมพ์เขียนฝัน สำนักพิมพ์ในเครือไลต์ ออฟ เลิฟ บุ๊คส์ค่ะ ซึ่งจะวางแผงในวันพฤหัสฯ ที่ 5 กันยา นี้แล้วนะคะ และยังสามารถสั่งจองในเว็บของสำนักพิมพ์ด้วยค่ะ สามารถดาวน์โหลตทดลองอ่าน สามตอนแรกที่เว็บของสำนักพิมพ์เลยนะคะ
http://www.lightoflovebooks.com/

พบกันในตอนต่อไปนะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ
ด้วยรักจากใจค่ะ

ยุพากร



ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ย. 2556, 13:37:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ย. 2556, 14:53:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1327





<< 19   กรยุพา . มุกดารา 21 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account