สัญญารัก...ข้ามฟ้า (สนพ ดอกหญ้า 2000)
เอริน..ว่าที่มัคคุเทศก์คนใหม่วัย 25 ปี ที่โชคชะตานำพาให้พบกับใครบางคนที่แดนไกลในครั้งอดีต และต้องจากกันไป
ชานนท์..นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 35 ปี เขากำลังกลับมาตามหาอดีตที่หายไปหลังจากปล่อยเธอไปเมื่อหนึ่งปีก่อน พร้อมกับมาทวงสัญญารักที่จะทำให้เธอต้องจนมุม...อีกครั้ง


Tags: สัญญารัก...ข้ามฟ้า , รักโรแมนติก , ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 3 : Lover in Firenze...1

หนึ่งปีก่อน....



.สนามบินอเมริโก เวสปุชชี่... สนามบินที่อยู่ใกล้เมืองฟลอเรนซ์มากที่สุด บรรยากาศยามเย็นย่ำภายในสนามบินมีผู้โดยสารประปราย ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศที่เดินทางมาเยี่ยมชมเมืองเก่า เมืองแห่งสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกแห่งหนึ่ง เอรินยืนเคว้งคว้างมองไปรอบๆสนามบินด้วยความตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด

“เป็นไง..แค่เหยียบสนามบินที่นี่เธอถึงกับตะลึงเลยเหรอ”

ชานนท์ที่รอรับกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อย เดินตรงมาหาเอรินที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูสนามบินพลางหันรีหันขวางมองไปทั่วอย่างขำขัน

“คุณรู้มั๊ย..คุณอเล็กซ์ ฉันตะลึงตั้งแต่เครื่องบินจะลงจอดแล้ว มองจากนอกหน้าต่าง โอ้โหแดงไปหมดทั้งเมืองเลย สวยมาก คุณว่ามั๊ยฟลอเรนซ์นี่สวยเหมือนเมืองโบราณ หรือเมืองในตำนานเลย สวยมากจนฉันบรรยายไม่ถูกเลยล่ะค่ะ”

เอรินลากเสียงยาวท้ายประโยคอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมโตระริกถูกใจยิ่งนัก ชานนท์ได้แต่มองท่าทีตื่นเต้นของสาวน้อยอย่างอารมณ์ดีตามไปด้วย

“ก็แหงอยู่แล้ว เธอไม่รู้รึไง เมืองนี้น่ะเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมของโลกเมืองหนึ่งเลยนะ ฟลอเรนซ์คือแหล่งกำเนิดศิลปะยุคเรอเนสซองค์ที่โดดเด่นมากที่สุดเมืองหนึ่งแห่งศตวรรษเลยล่ะ” ชานนท์ร่ายยาวจนเอรินได้แต่มองชายหนุ่มอย่างลืมตัวด้วยความเพลิดเพลิน

“นี่..น้ำลายหกแล้ว เช็ดซะมั่งเถอะ มองอยู่ได้” ชานนท์เอ่ยล้อเลียนหญิงสาวที่เหม่อมองริมฝีปากเขาอยู่นานสองนานอย่างนึกขัน

หนุ่มใหญ่ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจเมื่อครั้งจากลอนดอนมาเสียสนิท เพราะได้มากับสาวน้อยจอมจุ้นอย่างเอริน...หญิงสาวน่ารักช่างพูดที่คอยป่วนเขาตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาด้วยกันเลยทีเดียว

“อ๊ะ!! ขอโทษค่ะ พอดีฟังเพลินไปหน่อย ฉันไม่ได้น้ำลายหกซะหน่อย คุณอย่ามามั่ว” เอรินยู่ปากอย่างหมั่นไส้ ชานนท์ได้แต่หัวเราะเบาๆ

“ว่าแต่เราจะไปพักกันที่ไหนเหรอคะ” เอรินรีบกลบเกลื่อนด้วยการถามถึงที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ ซึ่งหล่อนติดสอยห้อยตามชายหนุ่มตรงหน้ามาโดยไม่รู้อะไรแม้แต่น้อย

“บรูเนลเลสคี”

ชานนท์ตอบ สองมือก็สะพายกระเป๋าของตนหนึ่งใบและลากกระเป๋าของเอรินเดินนำไปก่อน หญิงสาวได้แต่เดินแกมวิ่งตามขายาวๆของชายหนุ่มตรงหน้า

“อะไรคีคีนะคุณ..คุ๊ณ!!”

เอรินถึงกับเบรคกระทันหันทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยคดี ชานนท์ก็หยุดกึกหันมาทำหน้ารำคาญใส่ เอรินเบรคไม่อยู่เลยชนปุเข้ากับแผงอกแกร่งของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจัง

“โอ๊ย!! คุณจะหยุดเดินก็ไม่บอก เจ็บนะเนี่ย” เอรินคลำจมูกที่เริ่มจะแดงป้อยๆ อย่างนึกโกรธนิดๆ

“พูดมาก ตามมาเร็วๆ แล้วก็ไม่ต้องมาแต๊ะอั๋งฉันเลย เดี๋ยวทิ้งไว้เนี่ย” ชานนท์ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างหงุดหงิดเล็กๆ

“ไม่พูดก็ได้ ว่าแต่เราจะไปยังไงล่ะคุณ” เอรินก้าวยาวๆมาเดินเคียงข้างคนที่เดินฉิวไปไม่รอหล่อนแม้แต่น้อย ปากยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“เดินไปมั๊ง เดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า เฮ้อ!! คิดผิดรึเปล่านะยอมให้มาด้วยเนี่ย” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของชานนท์ทำให้เอรินหน้าเสียเล็กน้อย หญิงสาวได้แต่ทำหน้ามุ่ยเดินตามเงียบๆไปตลอดทาง

โรงแรมบรูเนลเลสคี เป็นโรงแรมระดับสี่ดาว ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าไม่ไกลจากถนนเดลคอร์โช แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังที่อุดมไปด้วยแบรนด์ชื่อก้องโลก เอรินได้แต่จับจ้องมองอย่างสนใจตลอดทางที่รถแท็กซี่แล่นผ่านจนมาถึงหน้าปากทางเข้าโรงแรมซึ่งเป็นซอยค่อนข้างแคบ หญิงสาวก้าวลงจากรถอย่างนึกทึ่งในสถาปัตยกรรมแสนงามรอบทิศและผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา โดยไม่ทันได้สนใจชานนท์ที่กำลังจ่ายค่าแท็กซี่และลำเลียงกระเป๋าเดินทางลงจากรถ

“เฮ๊ย!! เอริน!! ระวัง” ชานนท์คว้าแขนหญิงสาวที่เดินเพลินจนไม่ทันดูรถสกูตเตอร์คันเล็กที่กำลังแล่นลัดเลาะมาด้วยความเร็วสูงในเส้นทางที่ค่อนข้างแคบ

“อ๊ะ!! ขะ..ขอโทษค่ะ”

ทันทีที่หันมาสบตาชายหนุ่มที่คว้าตัวหล่อนเอาไว้จนปะทะเข้ากับอ้อมกอดเข้าอย่างจังแล้ว เอรินถึงกับหน้าแดงซ่านเป็นลูกตำลึงสุก พูดตะกุกตะกักทันทีที่รู้สึกตัว

“ระวังหน่อยสิ ที่นี่ถนนแคบ คนเดินเยอะแยะเต็มไปหมด รถมอเตอร์ไซค์ก็เยอะเธอรู้มั๊ย ถ้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรืออาจจะเป็นอันตรายได้นะ” ชานนท์ร่ายยาวอย่างโมโหภาระตัวโตตรงหน้านิดๆ เอรินได้แต่ก้มหน้าหลบตางุดอย่างรู้สึกผิด

“เอาเถอะ บ่นไปก็เท่านั้นเธอมันดื้อด้าน มานี่ ตามมา

” ชานนท์คว้ามือน้อยของหญิงสาวมากุมไว้แน่นก่อนจะลากให้หล่อนเดินตามกันไป เป็นภาพที่น่ารักและดูทุลักทุเลไม่น้อยในสายตาคนทั่วไปที่มองมา เพราะนอกจากมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มจะกอบกุมมือน้อยของหญิงสาวข้างกายแล้ว มืออีกข้างก็คอยลากกระเป๋าเดินทางไปด้วยอีกหนึ่งใบพร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายหลังด้วยอีกหนึ่งใบพากันเดินข้ามถนนมายังอีกฟากก่อนจะเดินเข้าตรอกไม่ไกลจากโรงแรม

ใช้เวลาไม่กี่นาทีทั้งสองก็เดินลัดเลาะผ่านผู้คนจนมาถึงหน้าโรงแรมบรูเนลเลสคี บนถนนเปียสซ่า ซานตา อลิซาเบธ เอรินมองโรงแรมตรงหน้าอย่างตกตะลึงในความงามสไตล์โกธิค หญิงสาวบีบมือชานนท์แน่น จนชายหนุ่มรู้สึกตัวหันมามองหน้าหญิงสาวข้างกายนิ่ง ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในตัวโรงแรม

************************************************


“อะไรนะ ผมจองไว้สองห้องทำไมได้แค่ห้องเดียว” เสียงเข้มของชานนท์ดังก้องไปทั่วบริเวณล็อบบี้ เอรินได้แต่มองแววตาดุดันของชานนท์ก่อนจะสะกิดเขาเบาๆ

“คุณคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ฉันฟังไม่ทัน” เอรินเอ่ยถามชานนท์ด้วยแววตาตื่นตระหนกที่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขา

“ทางโรงแรมบอกว่าเกิดความผิดพลาดน่ะสิ ห้องก็เต็มหมดแล้ว เราไปพักที่อื่นก็แล้วกันนะ” ชานนท์ถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย

"คุณจ่ายเงินไปแล้วนี่ มันแพงไม่ใช่เหรอคุณ"

"เราเอาห้องเดียวก็ได้ค่ะ คุณช่วยจัดการให้เราด้วยนะคะ” เอรินส่งภาษาแบบงูๆปลาๆ คุยกับพนักงานต้อนรับสาว ซึ่งหล่อนก็กุลีกุจอจัดการให้โดยดี

“นี่!! พักห้องเดียวกันไม่กลัวฉันจับปล้ำรึไง” ชานนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เอรินได้แต่จุ๊ปากบอกให้เขาเงียบเสียง ก่อนจะลากจูงมือชายหนุ่มขึ้นไปบนห้องหลังจากได้กุญแจ

“ฉันรู้ค่ะ คุณเป็นสุภาพบุรุษ คุณไม่ทำอะไรฉันหรอก”

เอรินยิ้มเอาใจทั้งที่แววตากลมใสหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อตัดปัญหาเพราะค่าห้องที่ชานนท์เสียไปเป็นจำนวนเงินถึงเกือบสองหมื่นบาท หล่อนจึงไม่อาจจะทำอะไรให้เป็นภาระแก่เขาไปได้มากกว่านี้

“ฉันไม่ใช่คนดี เธอก็เห็น”

ดวงตาคมเข้มจ้องมองเอรินที่เดินข้างกันอย่างนึกแปลกใจไม่น้อย ที่หล่อนยังคงอารมณ์ดีได้อยู่อีกทั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมสองต่อสองกับเขาในอีกสองคืนนับจากนี้

“เพราะฉันเห็นไง ฉันเลยไว้ใจคุณ” ดวงตากลมโตพร้อมรอยยิ้มสดใสถูกส่งมายังชานนท์ ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปเพราะความน่ารักของหญิงสาวตรงหน้าที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยเพราะความรักที่มีต่อมินตราบังตาอยู่


ห้องพักที่ชานนท์เลือกเป็นห้องพักชั้นบนสุดของโรงแรม ห้องสีครีมตัดขาวสว่างสดใสท่ามกลางแสงไฟนวลตาภายในห้อง เอรินได้แต่มองอย่างตะลึงในความงดงาม แต่เมื่อเหลือบมาเห็นเตียงกว้างสีขาวหลังใหญ่กลางห้อง หญิงสาวถึงกับอึ้ง

“คุณ...มะ..มันมีเตียงเดียว แล้วเราจะทำไงดีล่ะ” เอรินหันมามองชายหนุ่มข้างกายที่กำลังสำรวจรอบๆห้องอย่างพอใจ

“จะทำไง ก็นอนอย่างนี้แหละ อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอน่ะ หึหึ” ชานนท์หันขวับมาเจอแววตาตื่นตะหนกของหญิงสาว จึงได้แต่หัวเราะออกมาอย่างนึกขำ

“ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ เกิดคุณหน้ามืดฉันจะทำไง”

ดวงตากลมโตค้อนขวับชานนท์ที่หัวเราะเยาะตน ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าห้องมันจะน่ารักแถมโรแมนติกขนาดนี้ เกิดหล่อนเผลอใจขึ้นมาคงแย่แน่ๆ

“อย่าห่วงไปเลย ฉันไม่มีวันที่จะหน้ามืดกับเด็กน้อยอย่างเธอแน่นอน” ชานนท์เลิกต่อปากต่อคำกับเอรินทันทีเมื่อหันไปเจอยอดดูโอโมที่มองเห็นจากทางหน้าต่าง

ชายหนุ่มเดินออกไปยังระเบียงจ้องมองไปยังยอดดูโอโม ยอดโดมสีน้ำตาลแดงของมหาวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร มหาวิหารที่สูงโดดเด่นที่สุดในฟลอเรนซ์ และใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลกอย่างนึกถึงใครบางคน

เอรินเดินตามชายหนุ่มออกมาอย่างสงสัย อยู่ดีๆชายหนุ่มที่กำลังต่อปากต่อคำกับหล่อนราวกับคนละคนก็เปลี่ยนเป็นเงียบขรึมเหมือนครั้งที่พบกันครั้งแรกจนหล่อนตั้งตัวแทบไม่ทัน

“มีอะไรกับที่นี่เหรอคะ” เอรินทำหน้างง ทันทีที่มองตามสายตาของชานนท์ที่นิ่งงันไปอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มรู้สึกตัวเหลือบมองสาวน้อยข้างกายชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“เพราะมินอยากมา เค้าอยากเห็นดูโอโม ฉันอยากพาเค้ามา แต่..”

“แต่เค้าไม่มากับคุณ เฮ้อ!! คุณอเล็กซ์ คุณเลิกฝันถึงคนที่เค้ารักคนอื่นเถอะค่ะ ฉันสงสารคุณ” เอรินเอ่ยออกมาลอยๆ สายตาเศร้ามองไปยังยอดดูโอโมตามสายตาของเขา แต่ชานนท์ถึงกับหันขวับมามองด้วยแววตาวาวโรจน์ทันทีที่เอรินพูดจบ

“ไม่ต้องมาสงสาร เธอไม่มีสิทธิ์มาสงสารฉัน” ชานนท์จับไหล่เอรินแน่นอย่างโมโหขึ้นมาจนหล่อนนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บ

“โอ๊ย!! คุณ..ฉันเจ็บ ฮือ ฮือ” เอรินน้ำตาไหลออกมาอย่างน้อยใจชานนท์อยู่ครามครัน จนชายหนุ่มรู้สึกตัวรีบปล่อยมือหนาที่กำลังบีบแขนสาวน้อยอย่างลืมตัว

“คุณมันใจร้าย ไม่มีใครรักคุณก็สมควรแล้ว”

เอรินถอยกรูดทันทีที่ชานนท์ปล่อยมือออกจากไหล่ของตน ชานนท์ถึงกับอึ้งกับการกระทำลืมตัวของตน ชายหนุ่มคว้าสาวน้อยมากอดเอาไว้อย่างปลอบใจ

“ขอโทษนะ..เอริน ฉันขอโทษ” คำปลอบโยนเบาๆจากชายหนุ่มทำเอาเอรินถึงกับน้ำตาซึมออกมาอีกครั้งแต่ยังมีเสียงสะอึกสะอื้นตามมาเป็นระยะอย่างน้อยใจ

“ฉันก็แค่อยากปลอบใจคุณ อยู่กับคุณตอนที่คุณเสียใจ ฉันผิดมากใช่มั๊ยคะ ฉันมากับคุณโดยไม่รู้อะไรเลย เพราะฉันแค่อยากอยู่กับคุณแม้จะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ฉันผิดอีกแล้วใช่มั๊ย”

เอรินขืนตัวออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มตรงหน้า แววตาตัดพ้อและริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อที่กำลังค่อนขอดเขาอยู่ตรงหน้าทำให้ชานนท์อดใจไม่ไหวแนบหน้าเข้าไปใกล้ชิดพร้อมคำขอโทษบางเบาที่คลอเคลียอยู่ไม่ไกลจากใบหน้านวลใส

“เธอไม่ผิด ไม่ผิดหรอก..เอริน ขอบคุณนะที่อยู่กับฉัน” ชายหนุ่มประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากบางนุ่มทันที เอรินถึงกับเบิกตาค้างอย่างตกตะลึงไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของชานนท์

“คะ..คุณ!! จูบฉัน”

เอรินถึงกับไปไม่ถูกทันทีที่ชานนท์ถอนจูบบางเบาไม่ได้ล่วงล้ำแต่อย่างใด หญิงสาวถึงกับหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ทันทีที่เห็นสายตาฉ่ำเยิ้มของชายหนุ่มที่จ้องเขม็งมายังหล่อน


“หวานดีนะ..จูบของเรา”

**********************************************


เอรินกับชานนท์นั่งอยู่กันคนละมุมภายในห้องสีครีมขาวด้วยท่าทีขัดเขินกว่าเคย ชานนท์นั่งเหยียดยาวพิงพนักหัวเตียงดูโทรทัศน์ไปอย่างใจจดจ่อและเหลือบมองหญิงสาวเป็นระยะๆ

ส่วนเอรินนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างบานใหญ่กำลังขะมักเขม้นกับการเก็บภาพดูโอโมที่เห็นไม่ไกลจากทางหน้าต่างและเหลือบมองชานนท์ตอนเผลอเป็นระยะเช่นเดียวกัน

เวลาผ่านไปนานจนชานนท์รู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มจึงหาเรื่องก่อกวนหญิงสาวอีกครั้ง

“จะถ่ายให้หมดแบตเลยรึไง” ชานนท์เอ่ยทำลายความเงียบ เอรินเหลือบมองชายหนุ่มเล็กน้อยแต่ก็ยังทำทีเป็นไม่สนใจเขา

“ก็สวยนี่..อยากไปเที่ยวจัง”

เอรินยังคงจับจ้องไปยังดูโอโมอย่างไม่วางตา ชานนท์ลุกมายืนข้างๆเก้าอี้ที่หล่อนนั่งอยู่แล้วเอื้อมมองดูโอโมจากด้านหลังเอริน จนหญิงสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าของชานนท์ลอยอยู่ใกล้ๆ

“โอ๊ย!! คุณ จะใกล้อะไรนักหนาเนี่ย ฉันยิ่งระแวงๆอยู่นะ” เอรินรีบผลุนผลันลุกขึ้นทันทีแต่เท้าเจ้ากรรมดันสะดุดขาเก้าอี้เสียจนหน้าคะมำจนชานนท์ต้องคว้าตัวไว้ก่อนที่หล่อนจะล้มลงไป

“แล้วจะลุกพรวดพราดทำไมเนี่ย เกือบหน้าทิ่มไปแล้วมั๊ยล่ะ” ชานนท์ถึงกับโวยวายทันทีที่เอรินตั้งสติได้แล้วรีบผละออกจากเขา หล่อนได้แต่หน้าแหยอย่างเสียฟอร์มจึงรีบกลบเกลื่อน

“หิวแล้วคุณ ไปหาอะไรกินกันเถอะ นะ..นะ” หญิงสาวแก้เก้อด้วยการเดินนำชายหนุ่มออกมายืนรออยู่หน้าห้อง ก่อนไปยังไม่วายที่หล่อนจะโดนบ่นเช่นเคย

“เธอนี่ทำอะไรรีบเร่งจนเคยตัวรึไง กินข้างล่างก็ได้ อาหารอร่อยพอใช้ได้” ชานนท์คว้ากระเป๋ากล้องใบย่อมขึ้นมาสะพายพร้อมทั้งหยิบกระเป๋าเงินมาถือไว้ก่อนจะออกจากห้อง

“คุณ..แล้วเราไปเดินเที่ยวกันด้วยนะ ฉันอยากเห็นดูโอโมใจจะขาดแล้ว” เอรินไม่วายกระแซะชายหนุ่มที่กำลังปิดประตูห้องอย่างเซ้าซี้เพราะความตื่นเต้น จนชานนท์หันมามองหล่อนอย่างเซ็งๆ แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง

“เมื่อกี้ว่าจะไปไหนนะ” น้ำเสียงฉงนของชายหนุ่มทำให้เอรินยู่ปากอย่างหมั่นไส้

“ไปดูโอโม..ได้ยินชัดรึเปล่า”เอรินทวนคำตอบเมื่อครู่เสียงยานคางก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคคำถาม

“งั้นกลับเข้าห้องไป...เปลี่ยนกางเกงเดี๋ยวนี้” คำสั่งเด็ดขาดของชานนท์ทำให้เอรินก้มมองดูกางเกงของตนอย่างสงสัย ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม ชายหนุ่มก็สวนทันควัน

“ใครเค้าใส่ขาสั้นขนาดนี้เข้าวิหารกัน ไม่เคยรึไงเวลาไปวัดพระแก้วเค้ายังไม่ให้ใส่ขาสั้นรองเท้าแตะน่ะ หรือว่าร้อยวันพันปีไม่เคยเข้าวัด”

ชานนท์ร่ายยาวเป็นชุดๆอย่างขัดใจสาวน้อยตรงหน้า เอรินถึงกับหน้าเหวอรีบวิ่งปรู๊ดไปเปลี่ยนแทบไม่ทัน หลังจากหายตัวเข้าไปในห้องสักพักเอรินก็เดินยิ้มเผล่มาอย่างเตรียมใจโดนบ่นอยู่ครามครั้น

“ก็ฉันไม่รู้นี่ ขอโทษนะ เสร็จแล้วๆ ไปกันเถอะคุณ” หญิงสาวออกมาในชุดทะมัดทะแมงเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ห้าส่วนสีฟ้าค่อนข้างฟิต พร้อมหมวกปีกไว้สวมกันแดดใบโต

ชานนท์ได้แต่มองอย่างขัดใจเพราะมันช่างขัดกันกับตัวเขาที่ใส่ชุดสุภาพค่อนข้างเต็มยศเสียจริง เพราะที่อิตาลี หรือแม้แต่ฟลอเรนซ์ เวลาจะทานอาหารมื้อใหญ่สักมื้อโดยเฉพาะมื้อเย็น ต่างอวดประชันโฉมกันแค่ไหนไม่เว้นแม้เด็กและคนชรา ชานนท์ได้แต่มองแล้วส่ายหน้ากับชุดสบายจนเกินไปของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะเดินเคียงกันไปอย่างเซ็งๆ


“คุณ ไม่เอาร้านนี้นะ”

เอรินคว้าข้อมือชายหนุ่มไว้แน่นก่อนจะลากจูงให้เดินออกมาจากร้านทั้งที่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปพ้นประตูเสียด้วยซ้ำ ชานนท์ได้แต่มองอย่างขัดใจที่ถูกสาวน้อยขัดใจอีกจนได้

“ร้านไหนๆก็ไม่เอา แล้วจะกินอะไร” น้ำเสียงหงุดหงิดและใบหน้าเกรี้ยวกราดของชานนท์ทำให้เอรินหันรีหันขวางมองไปรอบๆอย่างตัดสินใจ

“อย่าบ่นมากเลย หาอะไรกินง่ายๆเถอะ ที่นี่อะไรๆก็แพง ฉันจะช่วยคุณประหยัดอยู่นะ ไม่เข้าใจกันซะเลย”

เอรินเหลือบค้อนตาคว่ำใส่ชานนท์ก่อนจะเดินนำไปทางซอยแคบด้านซ้ายฝั่งที่ทะลุไปยังลานกลางแจ้งที่ผู้คนขวักไขว่ ทันทีที่ก้าวพ้นซอยแคบ เอรินถึงกับตกตะลึงกับความงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของมหาวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร ซึ่งเป็นที่ตั้งของดูโอโม โดมขนาดใหญ่ที่สุดในฟลอเรนซ์ และหอระฆังที่ตั้งเคียงกันกับยอดโดม หญิงสาวถึงกับเคลิ้มไปกันความใหญ่โตโอ่อ่าที่ได้เห็นกับตาตนเองตรงหน้า

“คุณ..เร็วๆสิ ฉันอยากจะเห็นฟลอเรนซ์ในมุมกว้างใจจะขาดอยู่แล้วนะ” ดวงตาลุกลนแฝงไว้ด้วยความซุกซนของสาวน้อยตรงหน้า ชานนท์ได้แต่มองอย่างนึกสนุกไปกับหล่อน

“หาอะไรกินก่อน แล้วค่อยขึ้นไป เดี๋ยวได้ตายกลางทาง รู้มั๊ยต้องขึ้นบันไดกี่ขั้นกว่าจะถึง” ชานนท์จูงมือสาวน้อยกึ่งลากกึ่งจูงให้เลี้ยวซ้ายไปอีกทางซึ่งมีร้านอาหารจำพวกคาเฟเทอเรียอยู่เป็นระยะตลอดแนว

“ก็แค่สี่ร้อยกว่าขั้นเอง ไม่ตายหรอก โธ่ฉันศึกษามาดีแล้ว อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลย อืม..ว่าแต่ทำไมเค้าไม่ทำลิฟท์นะคุณ จะได้ขึ้นสะดวกๆไม่ต้องเป็นลมกลางทางไปซะก่อน” คำถามของเอริน ชานนท์หันกลับมามองแวบหนึ่งอย่างเซ็งๆ กับความช่างคิดที่สร้างสรรค์ของสาวน้อย

“ตลกแล้ว...เหลือเชื่อจริงๆ เด็กเอ๊ย”

ชานนท์กระตุกมือหญิงสาวให้รีบเดินเคียงกันไป โดยเอรินหันกลับมามองดูโอโมอย่างเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้ขึ้นไปยลในทันทีอย่างใจคิด
ชานนท์และเอรินนั่งทานอาหารอิตาเลียนง่ายๆอยู่ที่โต๊ะด้านนอกของร้านซอร์จิโอบาร์ ซึ่งเป็นคาเฟ่ห้องแถวเล็กๆหน้าลานกลางเมือง ด้านหน้าร้านเต็มไปด้วยแผงลอยขายของจุกจิกนานาชนิด ชานนท์นั่งจิบกรัปป้าแก้วเล็กหลังจากทานพาสตาอบชีสหมดไปหนึ่งจาน ชายหนุ่มนั่งมองเอรินเคี้ยวแซนด์วิชตุ้ยๆอย่างชอบใจ

“ฮ๊า.. อร่อยจังเลย ทำไมถึงอร่อยอย่างนี้เนี่ย หรือว่าฉันหิวก็ไม่รู้นะคุณ”

เอรินลูบท้องเบาๆอย่างสบายอารมณ์หลังจากกัดกินตราเมซซินี่ แซนด์วิชขนาดกลางจนหมดชิ้น แล้วตามด้วยเจลาโต้ ไอศกรีมชื่อดังที่สุดของอิตาลีถ้วยขนาดกลางอีกหนึ่งถ้วยจนหมด

“กินซะพุงกาง แสดงว่าอร่อยจริง เอามั๊ยกรัปป้า”

ชานนท์จะรินเหล้าแก้วเล็กๆ ให้เอริน หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธด้วยไม่คุ้นเคยธรรมเนียมของอิตาลีที่หลังจากทานอาหารแล้วต้องตบท้ายด้วยเหล้านัก

“ฉันขอน้ำนางเอกก็แล้วกันค่ะ” เอรินยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าหวานจับใจ หล่อนรู้สึกขำไม่น้อยหลังจากที่เห็นสีหน้างงๆของเขาที่ไม่เข้าใจความหมายของมัน

“อะไร น้ำนางเอก” สีหน้าฉงนของชายหนุ่มทำให้เอรินถึงกับหัวเราะชอบใจ

“เอ้า..ก็น้ำส้มไงคะ ก็ฉันเป็นนางเอกก็ต้องคู่ควรกับน้ำส้มน่ะสิ คุณลุง..นี่ไม่เข้าใจอะไรเล้ย” หญิงสาวพูดแขวะเสร็จก็ลุกไปดูแผงลอยภาพศิลป์ที่ตั้งอยู่หน้าร้านโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาของชานนท์อีก

"เฮ๊อะ..ยัยนี่นี่"

ชายหนุ่มได้แต่มองตามกิริยาร่าเริงราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจของหล่อนอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาเสียเฉยๆพร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ หลังจากจ่ายเงินเสร็จ ชานนท์ก็เดินตรงมาหาเอรินที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูสินค้าในแผงลอยอย่างถูกใจ แล้วยื่นน้ำส้มแก้วใหญ่แนบแก้มหล่อน พร้อมด้วยคำพูดจิกกัดนิดๆพอเป็นกระสัย

“ฉันไม่ใช่ลุงเธอนะ แล้วก็อ้ะ..น้ำนางเอกได้แล้ว”

“โอ๊ย!!..คุณจะฆ่ากันเหรอ เย็นเฉียบเลยนะ หน้าสวยๆของฉันสะดุ้งหมด คุณๆ นี่.. ดูสิกำไลหนังถักนี่น่ารักจังเลย ฉันชอบ” เอรินคว้ามือใหญ่ของชายหนุ่มลากให้มายืนดูกำไลใกล้ๆกันโดยไม่ทันคิดอะไร

ชานนท์ได้แต่มองมือของตนที่ถูกหญิงสาวกุมไว้แน่นอย่างอึ้งๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว ชานนท์ได้แต่ยืนอึ้งอย่างนิ่งงันจนเอรินสงสัยจึงหันมามอง แล้วหล่อนก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ชวนให้ใจไหวหวั่นนั้นอย่างจัง

“คะ..คุณมองอะไร” เอรินพูดตะกุกตะกักทันทีที่เห็นสายตานั้นที่มองมาอย่างไม่รู้ตัว


“เธอเหมือนดอกกุหลาบสีชมพู ที่บริสุทธิ์ จริงใจ ใสซื่อและอ่อนเยาว์” ชานนท์พร่ำออกมาเบาๆอย่างเคลิ้มจนเอรินถึงกับอึ้งไปกับคำจำกัดความที่ชานนท์เอ่ยถึงตัวหล่อน


“กุหลาบสีชมพูเลยเหรอ คิคิ หวานไปมั๊ย” เอรินหัวเราะเบาๆแล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้ในคำเปรียบเปรยของเขา


“หวานสิ..เหมือนจูบของเราไง...จูบของเราหวานเหมือนกุหลาบสีชมพู”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ ^^

ขอบคุณคุณปลายสี สำหรับคอมเมนท์ในตอนที่แล้วด้วยนะคะ




lovereason
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2556, 17:59:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ส.ค. 2556, 17:59:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1565





<< ตอนที่ 2 ในความทรงจำ   ตอนที่ 4 : Lover in Firenze...2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account