Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: สายป่านที่กำลังจะขาดลอย

วันนี้สถานการณ์สงบดี

ปริญญเอนตัวบนโซฟา ปรับตัวเองให้อยู่ในท่าทางสบายๆ โซฟาหนังเทียมในห้องพักแพทย์เวรไม่ได้นุ่มอะไรมากมาย แต่ก็ดีกว่าขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วเผลอหลับไประหว่างอยู่เวรล่ะ ยิ่งสองวันนี้เขาอยู่เวรติดกันโดยไม่ได้พัก เพราะรุ่นพี่ที่รู้จักมีธุระด่วนต้องลา คนอื่นๆ ที่ควบเวรมาหลายวันแล้วต่างก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะมารับเวรสองวันติดกันอีก ปริญญเลยจำเป็นต้องอยู่เวรแทน ทั้งๆ ที่หลายวันมานี่เขาก็ได้พักเพียงวันละเล็กละน้อยเท่านั้น

เมื่อคืนก่อนมีคนเมาเหล้าแล้วยกพวกตีกันถูกหามมาโรงพยาบาล ฝ่ายหนึ่งอาการสาหัส มีบาดแผลจากการถูกแทงหลายแห่ง เขาต้องรีบทำการรักษาอยู่เกือบสามชั่วโมง จึงสามารถยื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ได้ ได้นอนเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาตรวจดูอาการของคนไข้ห้องรวมที่เกิดทรุดลงเสียเฉยๆ ดังนั้นแผนการที่กะเอาไว้ว่าจะนอนต่อจนใกล้ถึงเวลาลง OPD ค่อยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวจึงต้องตัดออกด้วยความจำเป็น

คืนนี้ขออย่ามาเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย เขาง่วงนอนเหลือเกินแล้ว...

เปลือกตาหลับลงก่อนปิดสนิทในชั่วระยะเวลาไม่ถึงห้านาที บ่งบอกว่าเขาเหนื่อยมากแค่ไหน หากต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังรัว

“คุณหมอ คุณหมอคะ คนไข้อุบัติเหตุค่ะ!”

หมอหนุ่มลุกขึ้นมาคว้าเสื้อกาวน์ที่แขวนอยู่ในห้องขึ้นมาสวมด้วยความรวดเร็ว คนปลุกเมื่อเห็นว่าเขาเปิดประตูออกมาแล้วก็เลยนำหน้าไปก่อน ทิ้งให้ชายหนุ่มเดินแกมวิ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว

โอยยย...เขาอยากนอน พระเจ้าช่างไม่เห็นใจ...

ประตูอัตโนมัติห้อง OPD เปิดกว้างทันทีที่หมอหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ปริญญก้าวยาวๆ ไปที่เตียงหนึ่ง พยาบาลสองคนที่กำลังพยายามเช็ดเลือดและตรวจวัดค่าต่างๆ ถอยห่างอย่างรู้งานเพื่อให้เขาเดินเข้าไปใกล้คนเจ็บ

ร่างอาบเลือดนั้นเป็นของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ผิวขาวอย่างคนไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งนัก ลำตัวซีกซ้ายที่มีแต่เลือดดูเหมือนจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก มีเศษแก้วฝังอยู่ในเนื้อ แสดงให้เห็นว่าเขาถูกแรงกระแทกจากทางเบื้องซ้ายค่อนข้างรุนแรง มือเรียวในถุงมือยางแตะลงไปที่ต้นแขนไล่ลงไปถึงขา ค่อยโล่งที่ไม่พบว่ามีกระดูกหัก หากเมื่อพยาบาลทำการตัดเสื้อคนเจ็บออกปริญญต้องเบิกตากว้าง ก่อนพูดเสียงดัง

“ไปตามพี่สุเมษมาเร็ว คนไข้ต้องผ่าตัดด่วน!”

พยาบาลคนหนึ่งผละออกมาห่างจากร่างคนเจ็บ ก่อนกดโทรศัพท์มือถือโทรหาศัลยแพทย์ทันควัน ขณะที่ปริญญพลิกใบหน้าที่เอียงไปอีกข้างขึ้นมาตรงๆ เสยผมที่ปรกหน้าออก ใจหายวาบเมื่อความรู้สึกคุ้นเคยพุ่งเข้าจับหัวใจ

“ไม่จริง!”

เสียงพยาบาลสาวที่กรีดร้องขึ้นมาทำให้เขาหันไปมองด้วยความตกใจ มองเห็นรินดายืนนิ่ง ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะถลาเข้ามาใกล้เตียงอย่างลืมตัว

“คุณหมอ! คุณหมออย่าเป็นอะไรไปนะคะ!

สรรพนามคุ้นเคยทำให้ปริญญต้องเพ่งมองใบหน้าคนเจ็บผ่านคราบเลือดที่เริ่มจับแห้งบนใบหน้าคมสันนั้นอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกวูบเหมือนหล่นจากเหวเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดๆ

“พี่ภู!”



เสียงสั่นๆ จากโทรศัทพ์เรียกคนที่นอนหลับสบายให้ตื่นจากภวังค์

ร่างงามพลิกกายขึ้น ไม่สนใจผ้าห่มที่ร่นลงจนเผยให้เห็นทรวงอกเปลือยเปล่า มือบางควานหาโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียงมาดูเบอร์อย่างสงสัย...ภูธเรศโทรมา

คิ้วเรียวขมวดจนเกือบชิด นุชนาถเหลือบมองตัวเลขบอกเวลาด้านบน ความสงสัยและลางสังหรณ์พลุ่งขึ้นจับใจ

ตีสาม! ปกติภูธเรศไม่เคยโทรหาเธอเวลานี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้น?

หญิงสาวใช้เวลาตรึกตรองไม่นานก็ตัดสินใจที่จะรับโทรศัพท์ ให้อย่างไรเธอก็ยังไม่อยากปล่อยชายหนุ่มอีกคนไป อย่างน้อยก็รอให้เธอแน่ใจได้เสียก่อนว่าสันต์เป็นของเธอแน่นอนแล้ว เมื่อนั้นเธอถึงจะปล่อยภูธเรศให้เป็นอิสระ

คิดพลางผลักท่อนแขนหนาหนักที่พาดอยู่บนตัวเธอออกอย่างเบามือ พยายามเคลื่อนไหวให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นมายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง การอยู่ชั้นบนสุดของคอนโดหรูทำให้นุชนาถไม่พะวงที่ไม่ได้ปิดม่าน ไฟที่ปิดสนิทในห้องและการที่ไม่มีไฟจากภายนอกสว่างมาถึงตรงที่เธออยู่ทำให้หญิงสาวกล้าที่จะยืนเปลือยเปล่าเกือบแนบผนังกระจกใส ทอดสายตามองไปข้างล่างก่อนกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์สั้นๆ

“ฮัลโหล”

“คุณ...คุณนุชนาถหรือครับ” น้ำเสียงกุกกักคล้ายคนพูดไม่ได้อยู่นิ่ง แปลกแปร่งเหมือนไม่ใช่ภูธเรศ ทำให้นุชนาถขมวดคิ้ว หากอีกฝ่ายกลับพูดต่อรวดเร็ว “ผมสุเมษ รุ่นพี่ของภูนะครับ”

ความแปลกใจและสังหรณ์ประหลาดวาบเข้ามาในหัว “ค่ะ”

“คุณทำใจดีๆ ไว้นะครับ ภูประสบอุบัติเหตุรถชน ตอนนี้อยู่ไอซียูนะครับ”

“อะไรนะคะ!” นุชนาถเกือบหลุดปากพูดเสียงดัง ทว่ายังมีสติพอที่จะปิดปากตัวเองได้ทัน หญิงสาวทรุดลงนั่งกับเก้าอี้นวมอย่างอ่อนแรงแกมตะลึงงัน “ภูโดนรถชนอย่างนั้นหรือคะ เมื่อไหร่คะ?”

“ผมมาดูอาการภูมันตั้งแต่เกือบตีหนึ่งแล้วครับ” น้ำเสียงนั้นอ่อนระโหยอย่างปิดไม่มิด “อาการมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่...”

หมอหนุ่มหยุดพูดไปเสียอย่างนั้น เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้น ก่อนที่สุเมษจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้น

เป็นเสียงที่เรียบเฉย คล้ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่กำลังอยู่ในไอซียูเลยแม้แต่น้อย

“ขอบคุณค่ะ”

นุชนาถกดตัดสาย ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคลายออกพร้อมๆ กับระบายลมหายใจแผ่วเบา ใบหน้าหวานก้มลงมองแสงไฟพราวสว่างด้านล่างด้วยสีหน้าเฉยชา

เมื่อก่อนเธอก็อยู่ใต้แสงไฟแบบนั้น อยู่บนพื้นแบบนั้น เหน็ดเหนื่อยแบบคนพวกนั้น แต่ตอนนี้ตัวเธอเองเช่นกันที่กำลังก้มลงมองแสงไฟจากเบื้องบน ประหนึ่งว่าที่ตรงนี้เป็นสวรรค์ อยู่เหนือคนธรรมดา เหนือกว่าทุกทาง!

เบือนหน้ากลับมามองที่เตียง หญิงสาวเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเงาร่างตะคุ่มของสันต์ลุกขึ้นนั่งมองเธอเงียบๆ ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงเครียด

“เมื่อกี้เธอโทรคุยกับใคร”

“เอ่อ...คือเมื่อกี้มีสายมาจากโรงพยาบาล...”

“ไอ้ภูธเรศมันโทรมาล่ะสิ ใช่มั้ย!” สันต์ตวาดก้องน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดบิดเบี้ยว ดวงตาวาวจ้าจนนุชนาถสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “ถามว่าใช่มั้ย!”

ตุ๊กตากระเบื้องเจ้าหญิงร่างบอบบาง ใบหน้าหวานในชุดกระโปรงฟูฟ่องที่ตั้งไว้บนหัวเตียงถูกมือใหญ่เขวี้ยงมาตกเฉียดตัวเธอไปกระทบผนังแตกกระจาย นุชนาถตัวสั่นสะท้านเมื่อนึกว่านั่นคือของขวัญวันเกิดครั้งหนึ่งที่ภูธเรศเคยซื้อให้เธอ

‘มันสวยเหมือนนุชเลยนะ บอบบาง ล้ำค่า น่ารักเหมือนแฟนผมไม่มีผิด’

นุชนาถกล้ำกลืนน้ำตา ก่อนตอบเสียงค่อย “ไม่ใช่ค่ะ พอดีรุ่นพี่ของหมอภูโทรมา นุชไม่ได้เป็นคนโทรไปเลยนะคะ”

“มันโทรมาว่ายังไง!” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงพลางค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาจนประชิดตัวอีกฝ่าย เรือนร่างเปลือยเปล่าเปิดเผยสัดส่วนสมชายชาตรีหมดสิ้น “บอกมาสิ อมพะนำอยู่ได้!”

ขาดคำ หนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ก็ถูกกวาดลงไปหมดสิ้น

“ภู...ภูโดนรถชนค่ะ หมอเค้าโทรมาบอกว่าภูโดนรถชน” นุชนาถไม่กล้าชักช้า รีบเอ่ยขึ้นมาเพื่อเอาใจเขา “แต่นุชไม่สนใจหรอกค่ะ ใครจะเป็นจะตายก็ช่าง นุชมีสันต์อยู่คนเดียวก็พอ”

ชายหนุ่มจ้องเขม็งสบตาคนพูดอย่างค้นคว้า ทว่านุชนาถกลับซบลงกับอกกว้างอย่างออดอ้อน เรือนร่างนุ่มนิ่มใต้แสงสลัวรางปลุกความปรารถนาบางอย่างให้คุโชน สันต์ก้มตัวลงต่ำ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ราวฟ้ากับเหว

“ผมรู้ว่าคุณรักผม คุณรักผมคนเดียวใช่มั้ยนุช”

“ค่ะ นุชรักสันต์คนเดียว”

หญิงสาวกระซิบพลางเอียงใบหน้าเข้าจุมพิตเรียวปากบางเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอก่อนที่อีกฝ่ายจะกดจูบเร่าร้อนแนบแน่น ก่อนจะผลักร่างอ้อนแอ้นลงบนพื้นพรมนุ่มโดยมีร่างหนาทาบทับอยู่ด้านบน

สองหนุ่มสาวเกี่ยวกระหวัดร้อนแรง ใบหน้าหวานที่แหงนเงยขึ้นเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ซุกไซร้ซอกคอตนเองได้สะดวกแดงก่ำ เผยสีหน้าเย้ายวนออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง

เศษกระเบื้องจากตุ๊กตาบางส่วนตกอยู่ปลายนิ้ว นุชนาถเพียงเหลือบมอง...ก่อนปัดให้มันเข้าไปซุกอยู่ในมุมมืดอีกครั้งหนึ่ง



“แฟนพี่ภูยังไม่มาเหรอฮะ?”

ปริญญเอ่ยถามเบาๆ ก่อนจะทรุดลงนั่งข้างรุ่นพี่ที่หลับตานิ่งๆ

“ไม่ ยังไม่มา” สุเมษตอบเสียงเบาพอกัน ดวงตาดำสนิทเปิดขึ้น ฉายแววอ่อนล้าชัดเจน “พี่อยากกลับไปนอน ง่วงก็ง่วง เป็นห่วงมันก็เป็นห่วง”

‘มัน’ ของหมอสุเมษนอนนิ่ง ร่างสูงที่เคยสง่าถูกทำความสะอาด เอาเลือดที่เปรอะออกหมดจด ทั้งตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยาง ใบหน้าขาวเผือดเพิ่งปลดหน้ากากออกซิเจนออกเมื่อครู่ก่อน เมื่อเห็นชัดแล้วว่าภูธเรศสามารถหายใจได้สะดวกด้วยตนเอง

หมอหนุ่มรุ่นน้องยิ้มบาง “ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวผมเฝ้าพี่ภูให้ พี่ไปพักเถอะ พี่ภูก็ปลอดภัยแล้วด้วย แล้วค่อยมาผลัดเวรกับผมก็ได้ พี่ภัทรก็อยู่ด้วย” ชายหนุ่มหมายถึงหมอวิกฤตหรือแพทย์เวชวิกฤต ผู้ที่จะดูแลคนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียูอย่างใกล้ชิด

“เช้าเราลง OPD ไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”

ปริญญตอบเนิบๆ ตามนิสัย สุเมษจึงถอนหายใจอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืน น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายพูดกับตัวเอง “พี่คงต้องโทรหาน้องพริมแล้วล่ะ”

พึมพำเสร็จสุเมษก็ควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนกดไล่หาหมายเลขแล้วโทรไปหาปลายสายอย่างรวดเร็ว



ดวงตาสีน้ำตาลจางเปิดลืมขึ้นอย่างอ่อนล้า มือบางควานหาโทรศัพท์มือถือมากดรับโดยไม่ทันได้ดูหมายเลขคนโทรมาเลยสักนิด

“ฮัลโหล”

“น้องพริมครับ พี่สุเมษ หมอศัลย์นะครับ”

สุเมษแนะนำตัว รู้ดีว่าคนเพิ่งตื่นจะมีปฏิกิริยาและการรับรู้ช้ากว่าปกติ

“จำได้ค่ะ” อะไรบางอย่าง...คล้ายๆ หายใจติดขัด เจ็บปลาบปนตระหนกทำให้พริมากรอกเสียงตามลงไปรวดเร็วโดยแสร้งทำเสียงปกติ “มีอะไรคะพี่ โทรมาแต่เช้าเชียว”

“หมอภู...” หมอหนุ่มชะงักน้อยๆ ก่อนกล่าวต่อ “น้องพริม ภูอยู่โรงพยาบาล”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากความเงียบงัน พริมาแทบปล่อยโทรศัพท์ให้หลุดร่วง มือเรียวสั่นระริกยกขึ้นทาบหน้าอกก่อนกดแน่น ดั่งจะให้ความเจ็บปวดภายนอกบรรเทาความตื่นตระหนกแทบบ้าข้างใน

“น้องพริม ได้ยินมั้ย ภูอยู่โรงพยาบาลนะตอนนี้”

“ดะ...ได้ยินค่ะ” เสียงแผ่วเบานั้นสั่นจนสุเมษจับสังเกตได้ ก่อนที่มันจะดังขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ “ภูธเรศเป็นอะไรคะพี่ ทำไมเขาไปอยู่ที่นั่นได้คะ พี่เมษ...เกิดอะไรขึ้นคะ?”

หมอหนุ่มถอนใจยาวอย่างต้องการถ่ายทอดความหนักใจออกมาให้หมดสิ้น “ภูประสบอุบัติเหตุ รถชนน่ะ...ตอนนี้อยู่ไอซียู เราจะมาดูมันหน่อยได้มั้ย”

นิ่งไปนาน ก่อนที่พริมาจะพูดช้าๆ...คล้ายกำลังข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ “พี่เมษโทรหาคุณนุชนาถหรือยังคะ เธออยู่ที่นั่นสินะคะ”

“ไม่หรอก” ชายหนุ่มยังคงนิ่ง ไม่มีวี่แววอารมณ์ใดเมื่อเอ่ยต่อ “พี่โทรหาคุณนุชนาถแล้วตั้งแต่ตีสาม เธอไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้บอกว่าจะมาเยี่ยม ไม่ได้บอกอะไรเลย...”

คำบอกนั้นทำให้พริมาคิดหนัก ใจทั้งดวงกำลังร่ำร้องที่จะไปโรงพยาบาล ไปให้เห็นกับตา...ว่าภูธเรศปลอดภัย ไม่ว่าเขาจะเจออะไรมา ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว...เขาต้องปลอดภัยแล้วแน่ๆ

แต่ถ้าเธอไป แล้วทำให้ภูธเรศต้องมีปัญหากับคนรัก เธอก็ไม่ควรไป แม้ในใจจะร้อนรนเจือนตายก็ตาม

“พริม...มาเถอะ” คล้ายกับว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดเธอ ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนเบา “พริมเป็นเพื่อนภู มาเยี่ยมมันเถอะนะ ตอนนี้ภูไม่มีใครเลย”

นั่นสินะ...เธอยังเป็นเพื่อน อย่างน้อยเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนเขาอยู่

ในใจเธอกำลังต่อรองกับสมองของตนเอง

ขอเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว อีกครั้งเดียวเท่านั้น...แค่ได้เห็นว่าเขาปลอดภัยเท่านั้น...

“เดี๋ยวพริมไปค่ะพี่ ห้องไอซียูใช่มั้ยคะ” พริมาไม่สนใจอาการหน้ามืดของตัวเอง หญิงสาวลุกขึ้นรวดเร็วพลางเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งบางชนนั้นชนนี่เป็นระยะด้วยความเร่งร้อน แต่เธอก็ไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของตนเองแม้แต่น้อย

“ใช่ครับ” เสียงปลายสายบ่งบอกชัดเจนว่าโล่งอก “ดีจังที่พริมมา สงสารมันนะ ไม่มีใครเลย พี่ไม่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นเมื่อไหร่ ถ้ามันตื่นมาไม่เห็นใครคงใจเสียน่าดู”

...หรือตื่นมาแล้วอาจจะเสียใจก็ได้นะคะที่เจอพริม...

ก็ได้แต่คิดเท่านั้น หากขาทั้งสองข้างกลับพาเจ้าตัวเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว พริมาขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าของตัวเองไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงแล้วหญิงสาวก็เดินแกมวิ่งไปละล้าละลักอยู่ตรงระเบียงทางเดินสว่างจ้า

ให้ตายสิ...รู้ว่าอยู่ที่ไอซียู แล้วไอซียูอยู่ตรงไหนล่ะนั่น!

พริมาหยิบโทรศัพท์มากำลังจะกดโทรออก เมื่อเห็นร่างบอบบางของพยาบาลคนหนึ่งเดินลิ่วๆ ผ่านหน้าเธอไปอย่างไม่สนใจร่างที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะเลยแม้แต่น้อย หากพริมาก็ไวพอที่จะร้องเรียกอีกฝ่ายได้ทัน

“ขอโทษค่ะ”

ร่างพยาบาลสาวชะงัก ก่อนหันมามองเธอด้วยแววตาฉงน “คะ?”

“ห้องไอซียูไปทางไหนคะ?”

“ไอซียูเหรอคะ ก็ไปทาง...” จู่ๆ เสียงหวานก็ชะงักงัน ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นจับจ้องมากขึ้น...คล้ายๆ กำลังสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเอ่ยประโยคที่ไม่ได้ต่อเนื่องกับประโยคช่วงต้นเลย “เอ่อ คุณเป็นอะไรกับคุณหมอภูธเรศคะ?”

พริมาสูดลมหายใจลึกเมื่อตอบ “เพื่อนหมอค่ะ ห้องไอซียูไปทางไหนคะ?”

รีบๆ ตอบเธอมาได้ไหม เธอแค่อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาไม่เป็นอะไรเท่านั้น ไม่ได้อยากจะมาเล่นยี่สิบคำถามกับใครในตอนนี้

หากคำตอบของพยาบาลสาวทำให้พริมาถึงกับอึ้ง

“คงบอกไม่ได้ค่ะ ความจริงคุณไม่ต้องมาก็ได้ เพราะถึงยังไงก็เข้าไปในห้องไม่ได้อยู่แล้ว กลับไปก่อนก็ได้ค่ะ รอให้คุณหมอย้าย ‘พี่ภู’ มาห้องพักค่อยมาเยี่ยมตอนนั้นก็ได้ค่ะ”

“ฉันไม่ได้อยากเข้าไปดูอาการเขาในห้องนะคะ” พริมาไม่ได้ใส่ใจกับสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกภูธเรศ ใบหน้าซีดเผือดสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน รู้สึกเหมือนแต่ละวินาทีที่ล่วงผ่านกำลังบีบคั้นอากาศในปอดของเธอให้หมดไปช้าๆ “ฉันแค่อยากรู้ว่าอาการเขาเป็นยังไง แค่ได้รู้ว่าเขาบาดเจ็บมากไหมเท่านั้น...”

“ไม่ได้ค่ะ ขอโทษด้วย ดิฉันเกรงว่าจะเป็นการรบกวนพี่ภูซะเปล่าๆ นะคะ” รินดาตัดบท ก่อนจะเดินหนี ทว่าร่างโปร่งบางของอีกฝ่ายกลับก้าวยาวๆ มาดักหน้าเธอเอาไว้ มือเรียวที่ยื่นมาแตะแขนเธออย่างวิงวอนเย็นเฉียบ ชื้นและสั่นน้อยๆ พอๆ กับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในตอนนี้

“ขอร้องล่ะค่ะ บอกทางฉันเถอะค่ะ ฉันรับรองว่าถ้าได้รู้อาการของภูแล้วจะไปทันที ไม่อยู่รบกวนเขาจริงๆ”

พยาบาลสาวถอยห่างมือเย็นๆ นั้น ก่อนตวาดเสียงไม่เบานัก “เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่ได้ไง พูดไม่รู้เรื่องหรือ?”

รินดาเผยสีหน้าเหยียดๆ ไม่รู้ว่ายัยเด็กกะโปโลที่จู่ๆ ก็วิ่งหน้าเริ่ดมาถึงที่นี่แล้วถามถึงคุณหมอของเธอปาวๆ คือใคร แต่รูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าหน้าผมแบบนี้ คงไม่ใช่คนรู้จักหรือสนิทกับคุณหมอหนุ่มหรอก ภูธเรศที่แสนสุภาพ ท่าทางดีแบบนั้น ไม่มีทางมีเพื่อนแบบนี้แน่ๆ ยัยนี่คงเป็นพวกที่แอบปลื้มเขาเท่านั้นเอง...ไม่ได้สลักสำคัญอะไรหรอก

พริมายืนนิ่งขึง ริมฝีปากสั่นระริกเกือบที่จะเอ่ยขอร้องอีกฝ่ายไปอีกครั้ง ทว่าดูจากสีหน้าถือไพ่เหนือกว่าของอีกฝ่ายแล้วจึงคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ให้เธอเข้าไปจริงๆ

เสียเวลาเปล่า...เธอน่าจะโทรหาสุเมษตั้งแต่ต้น

“กลับไปเถอะ” พยาบาลสาวยังออกปากไล่ “คุณมาอยู่ก็เกะกะเปล่าๆ ยังไงฉันก็ต้องดูแลพี่ภูอย่างดีอยู่แล้ว” ทิ้งท้ายก่อนหันหลังให้อีกฝ่าย เพื่อจะเหลียวมาเจอคุณหมอรุ่นพี่ของภูธเรศที่เดินมาถึงที่สองสาวยืนอยู่พอดี

“น้องพริม!” สุเมษเรียกชื่อหญิงสาวอย่างโล่งอก ศัลยแพทย์หนุ่มก้าวยาวๆ ผ่านร่างพยาบาลสาวที่ยืนนิ่งขึงด้วยความประหลาดใจเหลือแสนมายังคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง พลางเอ่ยต่อโดยไม่สนใจรินดาเลยแม้แต่น้อย “มายืนทำไมที่นี่ ทำไมไม่ไปที่ห้องเลยล่ะ...เอ๊ะ! พริมหน้าซีดจัง เป็นอะไรไปรึเปล่า?”

ไม่พูดเปล่า มือขาวแข็งแรงยกขึ้นทาบหน้าผากเนียนของอีกฝ่าย หมอหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อพูด “ไม่เป็นไรนี่ ตัวเย็นกว่าปกติด้วยซ้ำ งั้นไปหาภูกันเถอะ”

ร่างสูงของคนเป็นหมอเดินนำหน้าไปก่อน ไม่สนใจรินดาที่ยังยืนอึ้งอยู่ พริมาเพียงแต่เหลือบตามองอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเดินแกมวิ่งตามสุเมษไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พยาบาลสาวยืนกำหมัดแน่น สีหน้าเจ็บใจอยู่เพียงลำพัง



“พี่เมษคะ...นั่น...ภูเหรอคะ?”

เสียงใสสั่นพร่าเอ่ยถามแผ่วเบา มือเรียวทาบบนผนังกระจกที่ทำเป็นฝ้ากั้นเสียครึ่งหนึ่ง ขอบตาสวยร้อนผ่าว

“ฮะ” หนุ่มรุ่นพี่ตอบสั้นๆ พลางถอนหายใจยาว “จริงๆ ถ้าแค่ซี่โครงหักสองซี่ อันนั้นพี่ช่วยได้อยู่แล้ว คงไม่ต้องอยู่ในนี้หรอก แต่พี่ภัทร...คุณหมอภัทรวรินทร์บอกว่าภูมันเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง ต้องนอนดูอาการซักระยะ ถ้าไม่น่าเป็นห่วงแล้วก็จะย้ายมันไปอยู่ห้องพักธรรมดา”

“แสดงว่าตอนนี้อาการน่าเป็นห่วงเหรอคะ?” หญิงสาวหันขวับมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตะลึง แววตาเจ็บร้าวฉายชัด “ใช่มั้ยคะพี่เมษ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “แรงกระแทกมันมากเหลือเกิน ถ้าเราได้ตรวจรถภู ก็ลองดูร่องรอยการชนด้วยละกัน”

น้ำเสียงเจือร่องรอยบางอย่างทำให้คิ้วเรียวย่นน้อยๆ หญิงสาวจับ ‘อะไรบางอย่าง’ ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ได้ผ่านคำพูดและแววตา จนต้องเอ่ยออกมาอย่างคาดเดา

“คืนนี้มีคนเจ็บด้วยอุบัติเหตุรถชนแค่ภูคนเดียว...ใช่มั้ยคะ?”

หมอหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ

ชนแรงขนาดนี้ คนโดนชนถึงกับต้องเข้าไอซียูขนาดนี้ คู่กรณีอีกฝ่ายจะไม่บาดเจ็บบ้างเลยหรือ อีกอย่างโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในละแวกนี้ ทำไมไม่เห็นคนเจ็บอีกฝ่ายหนึ่งมา

ที่ประหลาดที่สุด คือเมื่อเกิดเหตุแล้ว รถกระบะที่ชนนิติเวชหนุ่มกลับถูกทิ้งไว้ที่ตรงนั้น โดยที่ไร้วี่แววของเจ้าของรถ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายอันตรธานหายไปไหน...

พริมาหายใจแรงอย่างตระหนก คิ้วเรียวขมวดมุ่น “วันนี้วันเสาร์ พริมจะลองโทรไปหาพี่กฤษณ์ดูว่าวันนี้จะตรวจกันรึเปล่า เพราะมันไม่ใช่เคสเร่งด่วน”

‘เคสเร่งด่วน’ ของหญิงสาวหมายถึงกรณีที่ต้องรีบทำการตรวจสภาพความเสียหายหรือสถานที่เกิดเหตุเพราะเกรงว่าทิ้งไว้นานแล้วร่องรอยหรือหลักฐานบางอย่างจะหายหรือถูกทำลาย เช่นคดีชีวิตและร่างกายหรือลักทรัพย์ ซึ่งต้องเร่งเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐานเนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านเวลา แต่เฉี่ยวชนหรือคดีเกี่ยวกับจราจรทั้งหลายนั้นไม่จำเป็นต้องรีบตรวจโดยทันทีเพราะจะมีการเคลื่อนย้ายรถที่ชนกันมาไว้ในพื้นที่ที่สามารถทำการตรวจได้โดยสะดวก ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาเหมือนกรณีอื่นๆ

“สายกว่านี้อีกซักนิดเถอะน้องพริม ตอนนี้อย่าเพิ่งโทรเลย”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนหันกลับไปมองคนในห้องไอซียูอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงหนักแน่น “ภูไม่มีศัตรูที่ไหน”

“เท่าที่พี่รู้...ก็ไม่มีเหมือนกัน”

“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง...ถ้ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ใครจะใจร้ายทำเขาได้ขนาดนั้น...” พริมาพึมพำ ก่อนถาม “พริมเข้าไปได้มั้ยคะ?”

“เดี๋ยวพี่ถามพี่ภัทรให้”

ชายหนุ่มโทรศัพท์คุยกับหมอสองสามคำก่อนจะหันมาส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเธอ

“พี่ภัทรบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนภูมันดีกว่า รอซักกลางวัน พี่ภัทรจะกลับมาตรวจมันอีกรอบ ถ้าผลออกมา ok พี่เขาจะให้เราสองคนเข้าไป”

“กลางวันหรือคะ” น้ำเสียงใสมีแววหม่น “กลางวันพริมคงมาไม่ได้”

“อ้าว! ทำไมมาไม่ได้ วันนี้วันหยุด ไม่ได้ไปไหนไม่ใช่หรือ มาสิ เผื่อภูรู้สึกตัวจะได้ดีใจที่เห็นน้องพริม”

“ช่วงนี้ภูคงไม่ดีใจที่เห็นพริมหรอกค่ะ ยังไงพี่โทรหาคุณนุชอีกทีนะคะ ให้คนรักเขามาดูแลกันเองดีกว่า”

พูดจบ ร่างโปร่งบางก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ ออกไปโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของศัลยแพทย์หนุ่มแม้แต่คำเดียว

ดวงตาของนายแพทย์หนุ่มหรี่ลงน้อยๆ ขณะที่ความคิดก็ตรึกตรองคำพูดของรุ่นน้อง เมื่อมองตามหลังอีกฝ่ายจนลับหายจากสายตา...



ผู้หมวดหนุ่มผลักประตูห้องให้เปิดออกก่อนก้าวเข้าไปด้านในเมื่อตอนสายของวัน

ที่ทำงานร้างไร้ผู้คนสมกับเป็นวันหยุด ห้องทำงานของกลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องเล็กๆ มีพื้นที่เพียงวางโต๊ะทำงานของแต่ละคนในกลุ่มงานเท่านั้น อุปกรณ์ข้าวของที่ใช้ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุนั้นจะเก็บไว้ในอีกห้องหนึ่ง ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนเปิดคอมพิวเตอร์ประจำโต๊ะของตนเอง

คลิกเปิดรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุที่โดยปกติแล้วเมื่อตรวจเสร็จก็จะต้องมานั่งทำรายงานในแต่ละคดี หากดวงตาดำสนิทกลับมองเหม่อ...ไม่มีสมาธิกับงานตรงหน้าจนต้องถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

หลายวันมานี้เขาโหมทำงานอย่างหนัก นั่งพิมพ์รายงานของตัวเองแล้วยังไม่พอ ต้องไปอาสาทำงานให้กับคนอื่นจนจ่าที่มีหน้าที่ช่วยจัดทำแผนที่ต้องเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจแกมขัน

‘หมวดโหมงานอย่างกะคนอกหักแน่ะ’

กฤษณะเพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธอะไร หากในใจรู้ดี...จ่าพูดถูก

ความรู้สึกของพริมาที่มีต่อภูธเรศนั้นมิดเม้นจนเขาเชื่อว่าคุณหมอคนนั้นคงไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคิดกับตัวเองอย่างไร แต่เขารู้...

น่าขันดีที่เขารู้...อาจเป็นเพราะเขาก็รู้สึกกับพริมา เหมือนที่พริมารู้สึกกับเพื่อนสนิทตัวเอง

เขาเคยคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าในเมื่อความรักของพริมานั้นเป็นรักที่ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ ตราบใดที่ภูธเรศยังรักมั่นคงกับคนรักของตัวเอง หญิงสาวคงไม่เอาตัวเองเข้าไปแทรกกลางระหว่างคู่รักอย่างแน่นอน คนอย่างพริมาคงยอมเจ็บอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า และเขาก็คงมีโอกาสที่จะทำให้เธอรักได้ ถึงแม้จะต้องใช้เวลาแค่ไหนก็ตาม...

แต่เมื่อเขามองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลใสคู่นั้น เขาก็รู้...ไม่มีประโยชน์อะไร

พริมาอาจจะไม่แย่งยื้อ หรือต้องการเป็นเจ้าของคนที่เธอรัก แต่เธอก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักเขาเช่นเดียวกัน ความรักของเธอก็หนักแน่นพอๆ กับคำพูดเด็ดขาดของเธอนั่นล่ะ

แต่เขาก็เรียกความรู้สึกของตัวเองกลับคืนมาไม่ได้เสียแล้ว...

เสียงโทรศัพท์ดังฉุดผู้หมวดหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง พลันที่ชายหนุ่มเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอก็กดรับทันที “ฮัลโหล น้องพริมหรือครับ?”

“พริมเองค่ะพี่กฤษณ์” น้ำเสียงหญิงสาวแปลกแปร่ง คล้ายคนกำลังสะกดอารมณ์อะไรบางอย่าง “พริมมีเรื่องจะขอร้องพี่กฤษณ์ค่ะ พี่กฤษณ์พอจะมาตรวจเฉี่ยวชนให้พริมหน่อยได้มั้ยคะ?”

“พริมรถชนเหรอ!” ผู้หมวดหนุ่มกรอกเสียงลงไปจนเกือบเป็นตะโกน

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่พริม...หมอภูค่ะที่โดน พริมอยากดูร่องรอยการเฉี่ยวชนค่ะ พี่กฤษณ์มาช่วยพริมยืนยันได้มั้ยคะ?”

เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนกฤษณะจะตอบรับสั้นๆ “ตอนนี้พริมอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่กับจ่าคมจะไปหา”



เสียงปลายสายเงียบไปแล้วเมื่อพริมากดวางหู

ลูกแก้วสีน้ำตาลกระจ่างมองภาพเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธระคนหวาดผวา กลัวจนแทบร้องไห้...

โกรธจนตัวสั่นกับคนที่ทำให้ภูธเรศเป็นแบบนั้น กลัวแทบขาดใจเมื่อนึกถึงวินาทีที่นิติเวชหนุ่มถูกชน เขาจะรู้สึกหรือเจ็บปวดมากขนาดไหน เธอไม่มีทางรู้ได้เลย

สภาพ ‘ซาก’ รถเก๋งญี่ปุ่นสีขาวที่เป็นพาหนะของภูธเรศถูกลากมาไว้ข้างๆ รถคู่กรณีที่เป็นกระบะสีดำสนิท ด้านข้างซ้ายของรถหมอหนุ่มยุบจนเสียรูปทรง ยุบบุบบี้คล้ายถูกทุบและบีบด้วยมือยักษ์ ประตูหน้าด้านซ้ายกลายเป็นเศษเหล็กที่เกือบหลุดเข้าไปทั้งบาน รอยขูดที่ปรากฏอยู่บนด้านข้างที่เหลืออยู่เล็กน้อยนั้นลากยาวจากหน้าไปหลัง บ่งบอกว่าฝ่ายชนนั้นพุ่งมาเต็มกำลังจนเกือบจะไม่แตะเบรก ด้านขวาท้ายจนถึงไฟท้ายขวายุบเข้ามาเล็กน้อยเพราะหลังจากโดนชนแล้วรถก็ปัดท้ายไปปะทะกับขอบกั้นทางด้านใน

โชคดีแค่ไหนที่ในเวลานั้นไม่มีรถวิ่งผ่าน ไม่อย่างนั้นภูธเรศอาจโดนชนซ้ำอีกครั้ง...

คิดแล้วขนอ่อนทั่วร่างของหญิงสาวก็ลุกพรึ่บด้วยความหนาวเหน็บในหัวใจ

ส่วนรถคู่กรณีอีกฝ่ายเท่าที่เธอประเมินไม่ได้เสียหายอะไรมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นการชนโดยที่ฝ่ายชนชนด้านหน้า ไปปะทะกับด้านข้างของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้แข็งแรงเท่าด้านหน้ารถที่มีกันชน และรถกระบะยี่ห้อนี้ก็กันชนเหล็กกล้า หนาพอที่จะป้องกันห้องโดยสารไม่ได้เสียหายมากมายเท่าไหร่ ดังนั้นคนขับจึงอาจจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ได้

พริมาร่างสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ในใจ รอจนกฤษณะมา ซึ่งเมื่อมาถึงก็ทำการตรวจร่องรอยของรถทั้งสองอย่างรวดเร็ว รถกระบะนั้นสามารถย้ายที่ได้ด้วยตัวเอง แต่รถของภูธเรศต้องใช้รถยกในการช่วยเคลื่อนย้าย ทำให้ใช้เวลานานมากกว่ากฤษณะจะตรวจสภาพรถ และพูดคุยกับพนักงานสืบสวนเจ้าของคดีเสร็จ

“เป็นยังไงบ้างคะพี่ พี่คิดว่าไงคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม น้ำเสียงปวดปร่า

“เป็นได้ทั้งเจตนาและอุบัติเหตุนะน้องพริม” ผู้หมวดหนุ่มบอกอย่างเป็นกลาง มือแข็งแรงแตะหลังร่างโปร่งบางเบาๆ พลางรุนหลังให้เธอขยับไปในพื้นร่ม เขายังจำได้ว่าเธอไม่ควรตากแดดนานๆ “แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานอย่างที่น้องพริมบอกพี่...เจตนาน่าจะชัดเจนกว่า”

“แต่ภูไม่มีศัตรูที่ไหนเลยนะคะ”

นายตำรวจหนุ่มเผยยิ้มน้อยๆ คล้ายหยันตัวเอง...ใครว่าไม่มี อย่างน้อยก็เขาคนหนึ่งนี่แหละ ที่เป็นศัตรูกับคุณหมอคนนั้นชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ...

แล้วเขาก็พ่ายแพ้ให้กับศัตรูซะด้วย

“ไม่รู้สิ” กฤษณะตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรน่า อย่างน้อยเราก็เก็บคราบเลือดที่ติดอยู่ในรถคู่กรณี เก็บรอยลายนิ้วมือเท่าที่จะเก็บได้จากในรถนั่นแล้ว อย่างน้อยๆ ก็มีเบาะแสให้ตามแล้ว พอเราเจอคนชน เราก็จะได้รู้ว่าเขามีเจตนาอย่างไรเองนั่นแหละ”

“พริมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงหม่น ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ มือเรียวคว้ามากดรับว่องไวเมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นเบอร์ของสุเมษ

“ค่ะพี่เมษ”

“พี่จะโทรมาบอกว่า พี่ภัทรอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมแล้วนะ พริมจะมาเมื่อไหร่ฮะ เผื่อพี่จะได้อยู่เป็นเพื่อนด้วยได้”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนยิ้มบางๆ แล้วพูด “พริมคงไม่ไปค่ะพี่”

“อ้าว! ทำไมล่ะ?”

“พริมว่า...ให้คุณนุชไปเยี่ยมภูเถอะค่ะ พริมจำได้ว่ามันมีเวลาบอกไว้ด้วยว่าให้เยี่ยมได้กี่นาที จำกัดคนด้วย เพราะฉะนั้นควรให้คนรักของภูไปมากกว่าค่ะ”

“แต่ว่า...”

“พี่เมษ” พริมาพูดด้วยน้ำเสียงสงบ รอยยิ้มบางบิดเบ้น้อยๆ คล้ายอยากจะหัวเราะทั้งความแปลกใจของเขา และเยาะหยันความปวดร้าวของตัวเอง “พริมเป็นแค่เพื่อนค่ะ ไม่สำคัญกับภูเท่าแฟนหรอกค่ะ ถ้าระหว่างพริมกับคุณนุชภูอยากจะเจอใครมากกว่ากัน ก็ต้องเป็นคุณนุชแน่นอนอยู่แล้วล่ะค่ะ ส่วนพริม...”

หญิงสาวชะงักไปนิด กล้ำกลืนความขมขื่นลงกับอกเมื่อพูดต่อ


“อย่างพริม ทำได้แค่มองจากนอกห้อง...ก็พอแล้วล่ะค่ะ”



.......................................................................

เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟค่า ^_^

เค้าขอเกลาภิรมย์รักนิดนุง แล้วเดี๋ยวเอามาลงต่อนะคะ ^_^

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ

คุณ lovemuay คะ ถ้าเจอตรงไหนผิดพลาด เรื่องการรักษาหรือการใช้ศัพท์ ก็สับได้เต็มที่เลยนะคะ ตรงนี้ส้มจำไม่ค่อยได้แล้วอ่ะ 555



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2556, 20:34:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ส.ค. 2556, 20:34:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2460





<< ความเจ็บปวด [100%]   ถ้าฉันรู้ว่าต้องเจ็บปวด ฉันจะไม่มีทางพูดออกไป [1/2] >>
ukkanirut 15 ส.ค. 2556, 21:40:58 น.
มีผู้ต้องสงสัยแล้ว 1 ราย แต่จะใช่มั้ย .....
ขอบคุณที่ลงตอนใหม่อย่างไวว่องนะคะ


lovemuay 16 ส.ค. 2556, 07:19:41 น.
พี่หมอภูโดนชนอาการสาหัสขนาดนั้น ควรจะถูกส่งมาที่ ER มากกว่าค่ะ
OPD ต้องรอคิวยาวมากและที่สำคัญที่เเปิดตามเวลาราชการค่ะ


lovemuay 16 ส.ค. 2556, 07:34:27 น.
ว่าแต่คุณพยาบาลนี่ไม่ไหวเลยนะคะ จรรยาบรรณไปไหนหมด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account