Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: ถ้าฉันรู้ว่าต้องเจ็บปวด ฉันจะไม่มีทางพูดออกไป [1/2]

มืด...

มันมืดมิด...หนาวเหลือเกิน

แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใด...

...นี่เขาอยู่ที่ไหน?

ท่ามกลางความมืด อาการวิงเวียนทำให้ชายหนุ่มต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ในหัวคล้ายมีคนกำลังใช้ค้อนขนาดยักษ์กระหน่ำทุบลงไปซ้ำๆ ความเจ็บปวดแล่นพล่านจนเขาอยากจิกทึ้งเนื้อตัวของตัวเองบรรเทาความรู้สึกทรมานนี้ให้หายไปเสียเร็วๆ

ริมฝีปากแห้งระแหงเผยอน้อยๆ เพื่อจะเปล่งคำพูด หากลำคอผากแห้ง แสบร้อน อึดอัดเหมือนมีอะไรมาสอดอยู่ในลำคอทำให้ไม่มีแม้แต่เสียงครางหลุดออกมา

ทรมาน...

ท่ามกลางความอ้างว้าง มืดมน ชายหนุ่มรู้สึกถึงสัมผัสบางเบาที่แตะไล้อย่างอ่อนโยน น้ำเสียงใสนุ่มนวลกระซิบแผ่วเบา แฝงความห่วงใยระคนกังวล เรียกแผ่วๆ แล้วจางหาย...อ่อนเบาจนเขาอยากตอบกลับเสียงนั้น

กลัว...ว่าเสียงนั้นจะหลุดลอยหาย เขาจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงแผ่วเบานั้นอีก

เสียงนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้ เรียกร้องให้เขาลุกขึ้นและหาทางออกจากความมืดมิดนี้อีกครั้ง

“ภูธเรศ ฟื้นขึ้นมาซะทีได้โปรด...”

คุ้น...

ภาพใบหน้าเนียนใส ดวงตากลมโตสีน้ำตาลกระจ่าง ริมฝีปากแย้มยิ้มบางๆ เหมือนทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันผุดขึ้นท่ามกลางแสงสว่างสลัวราง ก่อนจะจางหายเมื่อเขายื่นมือขึ้นไปไขว้คว้า หากท่อนแขนอ่อนแรงกลับตกลงไม่ยอมขยับ

จางหายไป...

ชายหนุ่มรวบรวมกำลัง ยื่นมือออกไปอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าภาพตรงหน้าหายวับไปแล้วก็ตาม

“อย่าไป...อย่าเพิ่งไปนะพริม...”



ห้องพักแพทย์เล็กๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากกาแฟ

ข้างๆ แก้วกาแฟเป็นท่อนแขนล่ำสันที่วางพาดโต๊ะไว้หมิ่นๆ โดยมีศีรษะทุยได้รูปของศัลยแพทย์หนุ่มทับอยู่บนนั้นอีกที เจ้าของกาแฟที่ตอนนี้เหลือติดก้นแก้วเพียงนิดเดียวหายใจเป็นจังหวะยาว ดวงตาหลับสนิท บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในห้วงนิทรารมย์

ปริญญที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องกระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกลับไปทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมเมื่อก้มลงวางมือลงบนไหล่ของรุ่นพี่พร้อมเขย่าไม่แรงนัก “พี่เมษฮะ พี่เมษ”

ศัลยแพทย์หนุ่มปรือตาขึ้นมองอย่างง่วงจัด “หืม...อะไรปริญญ”

หนุ่มรุ่นน้องยังคงสีหน้าเรียบเฉยเมื่อบอก “พี่ภูฟื้นแล้วฮะ”

“หลับไปหลายวัน รู้จักฟื้นขึ้นมาซะทีนะ” คนเพิ่งตื่นนอนเอ่ยคล้ายบ่น หากดวงตาสว่างวาบด้วยความดีใจ ก่อนจะผุดลุกขึ้นคว้ากาวน์ตัวยาวมาสวมรวดเร็ว “ฟื้นนานรึยัง?”

“ซักครู่นี้เองฮะ” ปริญญตอบเรียบๆ “อาจารย์ภัทรกำลังตรวจอยู่ ผมก็เลยมาเรียกพี่ เผื่อจะไปดูพี่ภู”
สุเมษไม่พูดตอบ ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนชายเสื้อกาวน์สะบัด ทิ้งให้รุ่นน้องเดินตามไปด้วยเงียบๆ ตามนิสัย
ศัลยแพทย์หนุ่มเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเยี่ยมผู้ป่วยในไอซียู หางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างโปร่งบางแวบๆ ผ่านไปรวดเร็ว สุเมษชะงัก หรี่ตาลงน้อยๆ ขณะมองไปยังทางเดินที่ไร้ผู้คน ก่อนตั้งท่าจะเดินออกไป

“มีอะไรหรือฮะพี่?”

เสียงหนุ่มรุ่นน้องทำให้ร่างสูงชะงักขาที่กำลังจะก้าวออกไป ถอนหายใจปลงๆ เมื่อมองไปทางเดิมแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววจะมีอะไรปรากฎออกมาอีก...

...อยากลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้นก็ตามใจเถอะ

ศัลยแพทย์หนุ่มถอนใจเบาๆ ก่อนก้าวเข้าไปก่อน ปริญญกำลังจะก้าวตามไปเมื่อหางตาจับสังเกตเงาร่างวูบวาบได้อีกครั้ง ก่อนชายหนุ่มจะเหลียวไปเจอกับดวงหน้าเนียนที่ตอนนี้แดงก่ำ ดวงตาคู่โตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังหญิงสาวที่ยืนนิ่งขึงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก่อนจะเอ่ยทักเสียงเรียบ

“ไงครับคุณพริม ไม่เข้าเหรอครับ พี่ภูฟื้นแล้วนะ”
พริมาอยากจะหันหลังให้อีกฝ่าย แต่ดวงตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นกลับตรึงเธอไว้กับที่ แววตารู้เท่าทันทำให้หญิงสาวไม่อาจจะหนีไปอย่างที่ใจคิดได้ “อ้อ...ค่ะ”

“เข้าไปไหมครับ?”

“ไม่ดีกว่าค่ะ ตอนนี้ฉัน เอ่อ...” น้ำเสียงใสเอ่ยกลั้วหัวเราะน้อยๆ แก้เก้อ ก่อนยิ้ม “อยู่ในชุดนี้ทั้งวันแล้ว มีแต่เหงื่อ ฝุ่น เชื้อโรค ไม่เอาไปเพิ่มให้ภู...เอ้อ คุณหมอภูธเรศดีกว่าค่ะ”

เอ็กเทิร์นหนุ่มกลับไม่ยิ้มด้วย ปริญญวางหน้าเฉยเมื่อถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณพริมมาทำไมครับ คุณพริมมาทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะไม่เข้าไปเยี่ยมทำไม?”

คำถามง่ายๆ จากว่าที่คุณหมอรุ่นน้องทำให้หญิงสาวสะอึกอึ้ง

คำถามง่ายๆ แต่เธอกลับตอบอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้

ริมฝีปากแย้มออกน้อยๆ ก่อนจะหันหลังกลับอย่างไม่ต้องการพูดอะไรต่ออีก หากแรงพอเหมาะที่รั้งท่อนแขนเรียวเอาไว้กลับทำให้หญิงสาวต้องหันกลับมามองเจ้าของมือที่กำลังกระชับแขนเธอแน่นอย่างฉงน แต่หมอหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเพียงเอ่ยเสียงเรียบ

“ไปกันเถอะครับ”

“แต่เมื่อวานพริมก็เข้าไปแล้วนะคะ วันนี้...”

“วันนี้ยังไม่ได้เข้านี่ฮะ ไปเถอะ”

คนเป็นหมอไม่ฟังเสียง ปริญญออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินตาม วูบหนึ่งพริมาอยากสะบัดแขนให้หลุดออกจากการเกาะกุมนั้น หาก ‘อะไรบางอย่าง’ ก็กลับรั้งเอาไว้ สุดท้ายร่างโปร่งจึงได้แต่เดินตามแรงฉุดไปเรื่อยๆ

จนไปสะดุดเอากับร่างบางของพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ในห้องเปลี่ยนชุดก่อนเข้าเยี่ยม

พริมาชะงัก หากหมอหนุ่มปล่อยมือออกจากแขนเรียวตั้งแต่เข้ามาในห้องจึงไม่รู้สึกอะไร ทว่าหญิงสาวที่เข้ามาใหม่กลับรับรู้ได้ถึงสายตาขุ่นเคืองที่มองมา จึงได้แต่เสมองไปทางอื่นเสียอย่างไม่อยากยุ่งด้วย แต่นั่นก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายเลิกสนใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามรินดากลับขึงตามองคนพาเข้ามาอย่างเอาเรื่อง

“หมอปริญญคะ วันนี้คนเข้าเยี่ยมพี่ภูหลายคนแล้ว รินว่า...คุณคนนี้ค่อยเยี่ยมวันอื่นดีมั้ยคะ?”

ชายหนุ่มเพียงแต่เหลือบมอง ก่อนหันไปยื่นชุดเยี่ยมไข้ให้พริมาเงียบๆ

“หมอคะ รินว่าวันนี้ไม่ควรที่จะเข้าเยี่ยมแล้วนะคะ”

ปริญญที่ผูกชุดเข้าเยี่ยมของตัวเองเรียบร้อยแล้วหันไปจัดการชุดของหญิงสาวที่ยังยืนนิ่ง พริมาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มพลางทำท่าจะพูด ทว่าไม่ทันเสียงของพยาบาลสาวที่เริ่มดังขึ้นอย่างหัวเสีย

“หมอคะ ได้ยินที่รินพูดมั้ยคะ รินบอกว่า...”

“ได้ยินแล้วครับ คุณริน” ชายหนุ่มหันมาบอกเสียงเรียบ ก่อนจะจัดการผูกเชือกให้ร่างบางต่อ

“ได้ยินแล้วทำไมหมอยังช่วยยัย...คุณคนนั้นแต่งตัวอยู่คะ” พยาบาลสาวทำเสียงกระฟัดกระเฟียด ตวัดสายตาค้อนขวับ “นี่มันก็ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ยังไงก็ให้เธอมาพรุ่งนี้เถอะค่ะ”

ร่างสูงผูกเชือกเงื่อนสุดท้ายเสร็จ ก่อนจะแตะหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เธอเริ่มเดิน

“หมอคะ!”

“คุณริน” เอ็กเทิร์นหนุ่มหันไปหาร่างในชุดสีขาวสะอาด น้ำเสียงนั้นยังเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ “การที่จะให้ใครเข้าเยี่ยมผู้ป่วยได้หรือไม่ เป็นการวินิจฉัยของแพทย์นะครับ”

ริมฝีปากแต้มสีชมพูนู้ดอ้าค้าง ดวงตาเบิกกว้างฉายแววตะลึงงันแกมไม่พอใจ หากปริญญเพียงแค่หันไปหาหญิงสาวอีกคนก่อนจะเอ่ย “ไปครับ คุณพริม แต่แค่แป๊บเดียวนะฮะ”

พริมาไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่ม ปล่อยให้รินดายืนนิ่งขึง กำหมัดแน่นอย่างระงับอารมณ์เต็มที่อยู่ตรงนั้น



หญิงสาวในชุดสีเขียวหันมามองคนที่เดินเข้ามาใหม่ พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อเห็นร่างของคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ใกล้ กับลูกศิษย์ตนเอง
ปริญญเพียงบอกเรียบๆ “คุณพริมมาเยี่ยมพี่ภูครับอาจารย์”

คุณหมอสาวส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันไปวุ่นวายกับอุปกรณ์ช่วยชีวิตคนบนเตียงคนไข้อีกหน่อย แล้วจึงถอยออกห่างจากเตียง เผยให้เห็นร่างสูงที่ซูบลงไปเล็กน้อย ดวงตาคมที่เคยฉายแววอบอุ่น อ่อนโยนปิดสนิท สุเมษที่ยืนอยู่ข้างเตียงอีกฝั่งเอ่ยค่อยๆ

“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง”

พริมาเกือบถอนหายใจดังๆ หากยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ความรู้สึกโล่งใจที่ได้ทอดเวลาการเผชิญหน้าออกไปปะปนกับความหนักหน่วงที่กดทับจนยากบรรยาย

บางทีเธอก็อยากจบเรื่องราวบ้าๆ นี่เสียที ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เธอจะต้องสูญเสียมิตรภาพที่มี สูญเสียเพื่อนสนิทที่แสนสำคัญ ต่อให้ผลมันเป็นอย่างนั้น เธอก็อยากจะไปให้ถึงบทสรุปของเรื่องนี้ แม้ว่าอีกใจจะหวาดกลัวต่อความเปลี่ยนแปลง หรือความสูญเสียที่จะเกิดก็ตาม

บางทีเธอคงผิดตั้งแต่เลือกที่จะรักคนตรงหน้านี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยแล้วกระมัง...

“แต่เมื่อกี้ภูธเรศเรียกหาน้องพริมด้วยนะ”

ประโยคถัดมาทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์พลางหันมามองคนพูดด้วยสายตาฉงน ศัลยแพทย์หนุ่มจึงเอ่ยซ้ำอีกครั้ง

“เมื่อกี้ภูมันเรียกหาน้องพริมด้วย แต่น้องพริมเข้ามาไม่ทัน”

พริมาได้ยินไม่ผิด ในน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจนั้นมีร่องรอยตำหนิอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งดวงตาคมคู่นั้นก็ยังเต็มไปด้วยแววกล่าวหา คล้ายกำลังตัดพ้อว่าเธอนั้นใจร้าย...ใจร้ายอย่างที่สุด

หญิงสาวได้แต่หลบสายตาตัดพ้อคู่นั้น ก่อนตอบเสียงอ่อนโดยไม่แก้ตัวใดๆ “พริมขอโทษค่ะ”

“ขอโทษพี่ทำไม?” หมอหนุ่มยังไม่เลิก “น้องพริมไม่ได้ทำอะไรผิดกับพี่ แต่กับภู...ขึ้นอยู่กับว่าน้องพริมรู้สึกว่าตัวเองทำผิดรึเปล่า”

น้ำเสียงขุ่นข้องบ่งบอกว่าสุเมษคงเคืองเธอแน่แล้ว หญิงสาวเผยยิ้มน้อยๆ พลางประสานสายตากับร่างสูงแล้วพูด “พริมจะทำผิดอะไรคะ หมอเค้าไม่ได้อยากเจอพริมหรอกพี่ พี่เมษอย่าคิดแทนเค้าเลย”

“พริม!”

“พริมไม่ได้คิดจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้หรืออะไรหรอกนะคะพี่” พริมาถอนหายใจยาว “พี่รู้มั้ยว่าก่อนหน้าที่หมอภูจะถูกรถชน พริมกับเค้าทะเลาะกัน”

ไม่มีคำตอบจากร่างสูงที่ยืนนิ่งฟัง ปริญญและคุณหมอภัทรวรินทร์ต่างขยับออกห่างอย่างรู้กาลเทศะ

สุดท้ายชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “พริมกับภูไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทะเลาะกันได้ โกรธกันได้ แต่ก็ต้องรู้เวลาสิ”

“มันไม่ได้ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ น่ะสิคะ...หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม หากรอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาแห้งผากที่กำลังจับจ้องอยู่บนดวงหน้านิ่งสงบบนเตียงนั้น “พริมกับหมอ...เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว”

ยามที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก พริมาใจหาย...

คล้ายกับเส้นด้ายที่มองไม่เห็น เส้นที่มันเคยเป็นเชือกเกลียวแน่นหนา บัดนี้เส้นด้ายเหล่านั้นกำลังคลายเกลียว หลุดลุ่ย และขาดวิ่นในที่สุด

และเส้นด้ายเส้นสุดท้ายก็กำลังจะขาดลงต่อหน้าเธอ

“ทั้งๆ ที่ในตอนนี้ ภูมันก็ไม่เหลือใคร พริมยังจะทิ้งมันไปอีกคนเหรอ?”

“ไม่จริงหรอกค่ะ ภูมีคุณนุช พี่อย่าลืมสิคะ”

สีหน้าชายหนุ่มรุ่นพี่ฉายชัดถึงความไม่ชอบใจ “มันคงยังมีอยู่หรอกนะ สองวันเข้าให้แล้ว จะโผล่มาเยี่ยมคนที่ตัวเองเรียกว่าแฟนตัวหน่อยก็ไม่มี นี่ยังถือว่ามันเหลืออยู่รึเปล่า?”

หญิงสาวนิ่งเงียบ แม้ในใจจะนึกตำหนิการกระทำของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘คนรัก’ ของภูธเรศ แต่เธอก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ทั้งนั้น

“ช่างเถอะค่ะ แต่ต่อไปนี้...พริมถือว่าพริมไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับภูอีก...” ริมฝีปากบางเม้มแน่น ประโยคต่อมาหลุดลอดแผ่วเบา สั่นน้อยๆ “ลาก่อนค่ะพี่เมษ และถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องบอกภูหรอกนะคะว่าพริมมา เพราะพริมเชื่อว่าเขาคง...ไม่ยินดีเท่าไหร่นัก”

สุเมษนิ่งงัน มองร่างโปร่งบางตรงหน้าที่ยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม ก่อนหมุนร่าง เดินกลับออกไปอย่างเงียบๆ จนถึงหน้าประตู...

“พริม...”

เสียงแหบแห้งดังแผ่วเบา หากในห้องที่เงียบสนิทอย่างนั้น มันกลับก้องขึ้นมาอย่างประหลาด

“พริม...อย่า...ไป”

พริมาหันกลับมามองร่างบนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใสเบิกกว้าง สองขาขยับก้าวเข้ามาใกล้เตียงทีละน้อย

ก่อนจะชะงัก และหมุนตัวกลับอีกครั้ง

สุเมษมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงมีผ้าก็อซปิดอยู่บางส่วน เรียวคิ้วหนาขมวดน้อยๆ มือขยับ พยายามจะยกคล้ายต้องการไขว่คว้าสิ่งที่อยู่สุดมือเอื้อม

“พริม...”

น้ำเสียงเรียกละโหยห้อย กระวนกระวาย คล้ายทำของสำคัญหลุดหาย

ศัลยแพทย์หนุ่มก้าวยาวๆ จากข้างเตียงอีกฟากไปยังร่างโปร่งบางที่เริ่มขยับเดินออกจากประตูก่อนจะคว้าข้อมือน้อยเอาไว้รวดเร็ว พริมาชะงักค้าง มองมือใหญ่ที่กำลังกุมข้อมือตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา และไม่เชื่อยิ่งขึ้นเมื่อสุเมษกำลังดึงเธอไปไกลเตียงคนไข้อีกครั้ง ชายหนุ่มรั้งมือน้อยให้แตะทับมือใหญ่ของคนบนเตียง ก่อนจะหันมาสบสายตาตกตะลึงของอีกฝ่าย พลางกล่าวเรียบๆ

“ถึงขนาดนี้แล้ว พริมยังจะทิ้งมันไปได้อีกเหรอ?”

ร่างสูงไม่รอคำตอบ สุเมษกลับเป็นฝ่ายที่เดินฉับๆ ออกไปนอกห้องไอซียูเสียเอง พริมาแว่วๆ ว่าเขากำลังเรียกคุณหมอภัทรวรินทร์ แต่ไม่ได้สนใจว่าอีกด้านหนึ่งของกำแพงกระจกนั้น พวกเขาจะพูดสิ่งใดกัน

หญิงสาวถอนหายใจน้อยๆ กำลังจะขยับมือออก เมื่อรู้สึกถึงแรงเหนี่ยวรั้งอ่อนเบาจากอีกฝ่าย มือใหญ่ของชายหนุ่มบนเตียงรวบกำปลายนิ้วเรียวแนบแน่นแม้ยามไม่ได้สติ น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายเปล่งออกมาอีกครั้ง

“พริม...อย่าทิ้งเราไป...”

พริมายืนนิ่ง ก่อนทอดถอนใจยามเมื่อก้มลงกระซิบแผ่วข้างหูของคนเจ็บ นิ้วเรียวเป็นฝ่ายพลิกกระชับมือใหญ่แน่น น้ำตาหยดหนึ่งตกต้องปลายนิ้วที่สอดประสานกันเอาไว้เงียบๆ

“เราอยู่นี่...”



อาหารเต็มโต๊ะ หากพริมากลับกลืนไม่ลง

ร้านอาหารที่ผู้หมวดหนุ่มพาเธอมากินอยู่ไม่ไกลจากย่านธุรกิจ ร้านนี้จึงตกแต่งค่อนข้าง ‘ดูดี’ ตามคำพูดของกฤษณะ แต่หากมองจากสายตาของพริมาแล้วมัน ‘หรู’ มากกว่าที่จะใช้คำว่าดูดีได้ แต่ไม่ว่าแอร์เย็นฉ่ำ เพลงเพราะๆ ฟังสบาย หรืออาหารหน้าตาน่าทานก็ไม่สามารถทำให้ร่างโปร่งบางหิวขึ้นมาได้มากกว่านี้

กฤษณะมองอาการทอดถอนใจของหญิงสาว ก่อนตัดสินใจตักกับข้าวใส่จานฝ่ายนั้นอีกรอบ

“กินหน่อยนะน้องพริม เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปอีก”

“พริมไม่ได้เป็นลมง่ายขนาดนั้นนะคะ แค่หน้ามืดบ่อย” เธอยิ้มน้อยๆ พลางตักกับเข้าปากเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ทั้งๆ ที่ถ้าจะให้บอกว่าสิ่งที่กินไปเมื่อครู่คือมีรสชาดยังไงเธอคงบอกไม่ได้ “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”

“ต้องขอบคุณพี่ด้วยการกินให้เยอะๆ ขอบคุณด้วยอย่างอื่นพี่ไม่รับ” ดวงหน้าคมสันพราวไปด้วยรอยยิ้ม มือเรียวแข็งแรงทำท่าจะตักกับข้าวเพิ่มให้อีก แต่พริมากลับส่ายศีรษะปฏิเสธ

“พริมกินไม่ไหวแล้วค่ะพี่กฤษณ์ พอก่อนนะคะ”

“อ้าว พริมกินเข้าไปบ้างแล้วเหรอ ที่หายๆ ไปนี่พี่นึกว่าเราดมเอานะเนี่ย”

“โธ่...พี่กฤษณ์”

ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอาการเศร้าหมอง พริมาก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อถูกอีกฝ่ายหยอกเย้า หญิงสาวแกล้งถอนหายใจแรงก่อนตีสีหน้าจำยอมขณะตักอาหารเข้าปาก เลยโดนปลายนิ้วนายตำรวจหนุ่มจิ้มหน้าผากเข้าให้

“นี่แน่ะ! อย่ามาทำท่าเหมือนถูกบังคับนะ” ไม่จิ้มเปล่า กฤษณะยังตักกับข้าวให้อีกรอบ “โทษฐานล้อเลียนพี่ กินเข้าไปอีก”

“โหย...พอเถอะค่ะ นี่พริมก็จะอ้วกแล้วนะเนี่ย”

“ไม่พอ กินเข้าไปเร็ว”

ชายหนุ่มยังคงขยั้นคะยอด้วยน้ำเสียงสดใส รู้...ว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลหนักเรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ เข้าโรงพยาบาล แต่แล้วยังไงล่ะ...ขืนปล่อยให้พริมายังดมข้าวต่อไป เธอก็คงต้องเข้าโรงพยาบาลตามภูธเรศไปเป็นแน่

ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้รักเขา แต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงเธอไม่ได้อยู่ดี

พริมาขมวดคิ้วเป็นเชิงค้อนตำรวจหนุ่มก่อนยอมตักข้าวกินโดยดี กฤษณะจึงทานอาหารของตัวเองบ้าง เขาไม่ถามถึงอาการของภูธเรศเพราะเพิ่งจะกลับจากไปเยี่ยมมาเมื่อครู่ และเดี๋ยวเขาก็ต้องไปส่งพริมากลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง

เสียงโมบายที่แขวนเอาไว้กับประตูดังกรุ๋งกริ๋งเป็นสัญญาณบอกว่าประตูกำลังเปิดออก พริมาที่นั่งหันหน้าไปทางประตูเหลือบมองตามเสียงโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา

ที่สำคัญ...ไม่ได้เข้ามาคนเดียว

นุชนาถควงแขนสันต์อย่างสนิทสนม หญิงสาวผู้มาใหม่หันไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างเมื่อบริกรเดินเข้าไปต้อนรับ และคงถูกใจฝ่ายชายยิ่งนัก เพราะเขาเงยหน้าขึ้นหัวเราะสดใส ก่อนก้มลงหอมแก้มคนข้างกายฟอดใหญ่ กิริยาสนิทสนมนั้นประกาศความเป็นเจ้าของชัดเจน...

ทั้งคู่เดินไปนั่งโต๊ะตัวหนึ่งที่ไม่ใกล้จากเธอและกฤษณะเท่าไหร่นัก แต่ต้นไม้ที่ปลูกกั้นเป็นแผงบางทำให้พื้นที่ส่วนตัวของลูกค้าดูเป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น และบังพริมาไว้จากสายตาของคนรักของเพื่อนได้อย่างดี

พริมาตักข้าวกินคำแล้วคำเล่า ข้าวและกับยังคงฝืดคอไร้รสชาติเช่นเดิม หากที่เธอกำลังทำอยู่นั้นเป็นการถ่วงเวลาที่จะได้ดูหนุ่มสาวคู่นั้นได้นานยิ่งขึ้น ความเจ็บแปลบแล่นทั่วหัวใจตามเวลาที่เธอมองคนคู่นั้น

ในขณะที่เพื่อนของเธอกำลังนอนเจ็บ อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ควรหรือที่คนรักของเขาจะควง ‘คนอื่น’ ออกหน้าออกตาเช่นนี้ ภูธเรศกับนุชนาถยังไม่ได้เลิกกันแน่นอน แล้วภาพที่เธอเห็นนั่นคืออะไรกัน...

ภาพที่แฟนของเพื่อนกำลังป้อนอาหารให้กับผู้ชายอีกคน สลับกับภาพภูธเรศที่นอนอยู่บนเตียง ต่อท่อระโยงระยางเข้ากับร่างกาย

ภาพที่แฟนเพื่อนกำลังเช็ดมุมปากให้ชายอีกคนอย่างอ่อนโยน สลับกับคำพูดถึงสภาพเลือดท่วมตอนมาถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ ของเพื่อนที่ปริญญเล่าให้ฟัง

ภาพที่แฟนเพื่อนกำลังหอมแก้มผู้ชายอีกคน ยามเมื่อเขาลูบคลึงไปบนนิ้วเรียวสวย ที่ประดับไว้ด้วยแหวนเพชรวงหนึ่งที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างขวา ประกายแวววามของเพชรน้ำงามสะท้อนแสงไฟจัดจ้าบาดตา...ลึกเข้าไปถึงดวงใจคนมอง

ในใจหญิงสาววาบโหวง เจ็บปวดระคนสงสัยว่าแหวนเพชรเม็ดงามนั้นใครเป็นคนสวมให้นุชนาถกันแน่...

ถ้าเป็นภูธเรศ การกระทำของนุชนาถในตอนนี้ยิ่งให้อภัยไม่ได้

แต่ถ้าเป็นผู้ชายอีกคน...แล้วภูธเรศล่ะ เขาจะเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน...

ไม่ว่าจะอย่างไหนเธอก็ยอมไม่ได้ทั้งนั้น!

“พริม น้องพริม”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสแผ่วบนหลังมือทำให้พริมาหันกลับมามองผู้ร่วมโต๊ะ ใบหน้าคร้ามคมของผู้หมวดหนุ่มฉายแววฉงนเล็กๆ ก่อนจะเลยมองไปตามสายตาของเธอเมื่อครู่ แล้วคิ้วหนาก็ขมวดขึ้นทันควัน

“นั่น...เหมือนคนที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งรึเปล่า ในร้านอาหาร...”

พริมาพยักหน้า ดวงตาที่มองไปยังคนคู่นั้นวาววับ ความโกรธเอ่อท้นอยู่ภายใน

นุชนาถทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน!

กระทั่งอีกฝ่ายเหลียวมาประจันหน้าเธอจังๆ นุชนาถชะงักค้าง แต่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเธอก็เชิดหน้าขึ้น ประสานสายตากับพริมาอย่างท้าทาย ก่อนจะก้มลงหัวเราะคิกคักกับชายหนุ่มรูปงามคนนั้น

คล้ายกับผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักของเธอ ไม่ใช่คนที่นอนอยู่ที่ไอซียูนั่น...

“น้องพริม...” กฤษณะเรียกเบาๆ รู้สึกเกรงอย่างประหลาดเมื่อเห็นแววตาของหญิงสาว “อย่ามองเลย ทานข้าวกันเถอะ”
ร่างโปร่งบางเม้มริมฝีปากแน่น แววเย็นชาในดวงตาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองไปยังทิศทางเดิม “พริมอิ่มแล้วค่ะพี่ พี่กฤษณ์ทานต่อสิคะ”

“พี่ก็อิ่มแล้วเหมือนกัน” เห็นแววตาอย่างนั้นแล้ว ไม่อิ่มก็ต้องรีบอิ่ม เพราะเขายังไม่อยากตรวจคดีในร้านนี้
ไม่ว่าพริมากับผู้หญิงคนนั้นจะมีความสัมพันธ์ยังไงแบบไหน แต่ลงว่ามองด้วยสายตาแบบนั้นแล้ว เขาควรพารุ่นน้องออกไปจากร้านให้เร็วที่สุด

พริมาในตอนนี้เต็มไปด้วยไอสังหาร!

กฤษณะเรียกเก็บเงินทันควัน ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมออกจากร้านง่ายๆ แต่ตรงกันข้ามที่พริมาเดินนำเขาออกจากร้าน

เกือบจะไปถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อพริมาสบสายตาท้าทายของอีกฝ่ายอย่างจัง คิ้วเรียวที่ตกแต่งจนเข้ารูปเลิกสูง แววตาประหลาดระคนหมิ่นหยาม มุมปากบางสวยที่กระดกขึ้นน้อยๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนคนฟิวส์ขาด

ร่างโปร่งบางกำมือแน่น ระงับอาการสั่นเทาอย่างยากเย็น พยายามสูดหายใจเข้าลึก ก่อนผ่อนออกช้าๆ...

แล้วหันหลังกลับฉับพลัน!

“พริม!” กฤษณะร้องเบาๆ ด้วยความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็พรวดพราดหันหลัง ก่อนจะรีบคว้าข้อมือเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อร่างโปร่งบางก้าวเดินไปยังทิศทางของโต๊ะตัวนั้น ใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผวาเล็กน้อย “น้องพริม จะไปไหน...อย่าไปเลยนะ”

พริมาเพียงประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น “ปล่อยค่ะพี่กฤษณ์ พริมไม่ได้จะไปทำอะไร แค่ทักทาย ‘คนรู้จัก’ ซักหน่อย”

แววตาวาวโรจน์อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาผู้หมวดหนุ่มหนาวเยือก “ไม่เอาน่าพริม เชื่อพี่ อย่าไปเลยนะ มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

“ปล่อยนะพี่กฤษณะ พริมบอกให้ปล่อยไง...”

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นระงับอารมณ์ ขณะพยายามแกะมือตำรวจหนุ่มออกจากข้อมือตัวเอง แต่กฤษณะไวกว่า ชายหนุ่มรวบร่างโปร่งบางไว้ในอ้อมแขนแน่นหนา ก่อนจะกึ่งลากกึ่งอุ้มอีกฝ่ายออกจากร้านอย่างทุลักทุเล

ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความสงสัยให้กับนุชนาถ ที่มองความสนิทสนมของทั้งคู่ไปจนลับตา ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ก่อนจะยิ้มออกมาคล้ายมีเรื่องทำให้สมใจ...


.........................................

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^_^

คุณ lovemauy ส้มว่าแล้วเชียวว่าต้องหลุด ตอนเขียนเบลอจริงจัง ขอบคุณมากนะคะ ^_^




ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2556, 16:42:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2556, 16:43:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 2784





<< สายป่านที่กำลังจะขาดลอย   แจ้งข่าวค่า >>
Auuuu 17 ส.ค. 2556, 19:02:44 น.
นุชนาถแย่มากอ่ะะะ ไม่ไหวจริงๆ


Sukhumvit66 17 ส.ค. 2556, 20:26:00 น.
มาลงชื่อค่ะ เด่วต้องกลับไปอ่านตอนเก่าๆก่อนนะ


lovemuay 17 ส.ค. 2556, 22:49:59 น.
นิสัยแย่ทั้งยัยนุช และยัยคุณพยาบาลเลยนะคะ

คิดว่าประโยค "การให้เข้าเยี่ยมผู้ป่วย ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์" >>>>>>> น่าจะเป็น "ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์มากกว่าค่ะ"
วินิจฉัยน่าจะใช้กับ วินิจฉัยโรคมากกว่าค่ะ


Pat 18 ส.ค. 2556, 20:02:02 น.
สงสารพริมกับหมอภูจัง


ปอปลาตากลม 20 ส.ค. 2556, 15:38:19 น.
เศร้าจัง.. รออ่านต่ออยู่ค๊า


nunoi 22 ส.ค. 2556, 17:41:29 น.
ตามมาอ่านทันแล้ว สงสารหมอภูกับพริมจัง หมั่นไส้ยัยนุช กะ ยัยริน มากกกก


มะเหมี่ยว 16 ก.ย. 2556, 18:35:45 น.
สงสารหมอภูกับพริมจัง
แล้วเมื่อไรหมอภูจะหาย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account