หวานรักในลมหนาว
หวานรักในลมหนาวเป็นหนึ่งนิยายใน ชุดลัดฟ้าไปหารัก โปรเจ็กล่าสุดของ สนพ.กรีนมายด์ค่ะ โดยธีมเรื่องจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยลาฌีนุสได้เลือกประเทศภูฏานและญี่ปุ่นมาเป็นโจทย์ความรักในครั้งนี้ของพระ-นาง สไตล์เรื่องจะเป็นแนวรักหวานๆ ค่ะ

ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ

+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
Tags: หวานรักในลมหนาว,ภูฎาน

ตอน: บทที่ 2 ไกด์สาวหน้าแฉล้ม

บทที่ 2 ไกด์สาวหน้าแฉล้ม



ที่ห้องพักในโรงแรมพอลกำลังเช็คกระเป๋าสัมภาระหลังจากที่ต้องเช็คเอาท์ออกจากที่นี่เพื่อที่จะไปที่เมืองแห่งหนึ่งที่ไกด์สาวของเขาบอกเอาไว้ว่าจะพาไป ซึ่งที่นั่นเธอได้ทำการจองห้องพักเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตอนแรกเขาเกิดเกรงใจคิดว่าหลังจากเที่ยวเสร็จจะนั่งรถกลับมาพักที่โรงแรมเดิม แต่พอเธอบอกว่า “เราจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นกันหลายวันค่ะ”

ผู้ตามอย่างเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้ โชคยังดีที่ยังพอมีห้องพักเหลือหลังจากตอนแรกเขาตกใจแทบแย่เมื่อเธอบอกว่าเธอจองห้องพักไว้ห้องเดียว

“คุณคงไม่คิดว่าฉันจะใจดีให้คุณนอนร่วมห้องหรอกนะคะ” หญิงสาวถามตาขวาง หลังจากเห็นอาการแตกตื่นที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนของเขา

“เปล่านะครับ”

“แล้วไปค่ะ รีบเข้านอนนะคะพรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้าหน่อย จะได้มีเวลาเที่ยวชมเมืองกันมากหน่อย เช้าๆ อากาศดีเหมาะแก่การเดินเที่ยวชมเมือง ฉันอยากให้คุณได้เห็นบรรยากาศแบบนั้น รับรองว่าคุณต้องชอบแน่ๆ ค่ะ”

เธอบอกอย่างนั้น เขาก็เลยต้องเชื่อเธอ เพราะอย่างไรเสียเธอก็น่าจะรู้อะไรมากกว่าเขาที่เพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก จากการพูดคุยกันเมื่อวานทำให้เขารู้ว่าชนมนมาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยครั้ง โดยส่วนมากเธอบอกว่ามาเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะเธอเรียนออกแบบอยู่และเหมือนว่าใกล้จะจบแล้วด้วย



หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มอย่างไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอย่างเมื่อหลายคืนก่อนหน้า หน้าตาของพอลก็ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและพร้อมที่จะท่องเที่ยวในเมืองที่ไม่คุ้นเคยเต็มที่

“ทุกอย่างเรียบร้อย” ชายหนุ่มพึมพำหลังจากตรวจเช็คสัมภาระของตนเรียบร้อย มือแกร่งเหวี่ยงเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง ก่อนจะก้าวออกจากห้อง ชายหนุ่มเหลือบมองห้องฝั่งตรงข้ามที่เยื้องกันไปอีก 2 ห้องที่ยังคงปิดสนิท เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วเหลือบตาขึ้นมองประตูอีกครั้ง

แทบไม่น่าเชื่อว่าชีวิตการมาเที่ยวญี่ปุ่นของเขาในครั้งนี้จะพบแต่เรื่องบังเอิญ นอกจากจะบังเอิญเจอสาวไทยที่เก่งภาษาญี่ปุ่นแล้ว เธอกับเขายังพักโรงแรมเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นคือห้องพักอยู่ห่างกันเพียง 2 ห้องเท่านั้น

“ยังเหลืออีก 10 นาที ลงไปรอข้างล่างแล้วกัน”



ชายหนุ่มลงมาที่ล็อบบี้เพื่อรอไกด์สาวจำเป็น ในช่วงที่เขาลงมานั้นเป็นช่วงเช้าที่นักท่องเที่ยวมารอทานข้าวที่ล็อบบี้กันหมดดงนั้นจึงหาที่ว่างให้เขานั่งค่อนข้างยาก แต่จู่ๆ ก็เหมือนโชคช่วยเพราะมีหญิงสาวหน้าใสคนหนึ่งกวักมือเรียกเขาให้ไปนั่งด้วยกัน ครั้นพอได้ยินเสียงพูดของเธอเขาถึงกับผงะ สีหน้าดูงุนงง

“คุณพอลจะทานอะไรก่อนไหมคะ เดี๋ยวมินนี่จะได้ไปหยิบให้”

สายตาคมมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างสำรวจให้เต็มตาอีกครั้ง

นี่ใช่คนเดียวกับเมื่อวานจริงๆ เหรอเนี่ย

“อ่า ไม่ครับ ผมไม่หิว เชิญคุณมินนี่เถอะครับ” พอลมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาเขาเกือบเผลอยกมือขึ้นมาขยี้ตาด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ไม่ทำไม่งั้นเขาคงโดนคนตรงหน้าโกรธแน่ๆ

“มินนี่เรียบร้อยแล้วละค่ะ งั้นเราไปกันเลยไหมคะ” เพราะเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ตอบคำถามซ้ำยังมีจ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบราวกับเห็นตัวประหลาดก็ไม่ปาน

“หน้ามินนี่มีอะไรติดอยู่เหรอคะ” เธอถามเสียงขุ่น

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกะพริบปริบๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากำลังทำเรื่องเสียมารยาทต่อหญิงสาว ใบหน้าคมยิ้มแห้งก่อนจะปฏิเสธความเข้าใจผิดนั้น

“เปล่าครับไม่มีอะไรติดหน้าคุณ ผมแค่แปลกใจและคาดไม่ถึงมากกว่า”

หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาเหมือนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไร

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวงุนงงของเธอ

“คุณทำผมตกใจจริงๆ นะเนี่ย” ชายหนุ่มมองหน้าขาวใสปราศจากเครื่องสำอางหนาเตอะของคนตรงหน้าอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเขารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

“ฉันทำอะไรให้คุณตกใจคะ นี่คุณทำฉันเสียความมั่นใจนะคะเนี่ย”

ใบหน้าใสๆ ที่ปราศจากเครื่องสำอางที่ออกชมพูเลือดฝาดนิดๆ เอียงคอมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจจริงๆ ซึ่งเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดูจนเขาอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่เธอ

“ผมจำคุณแทบไม่ได้ ไม่คิดว่าพอคุณไม่แต่งหน้าแล้ว จะดูเด็กขนาดนี้ เหมือนเดินกับเด็กอายุ15 -16 เลยครับ นี่คนคงคิดว่าผมพาหลานมาเที่ยวแน่เลย”

ถือเป็นคำชมที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาจะฟัง แต่สิ่งที่พอลพูดก็ไม่ได้ต่างไปจากความจริงนัก ชนมนมีจุดเด่นที่ผู้หญิงค่อนประเทศอยากจะมีคือหน้าเด็ก แต่เจ้าตัวกลับไม่ยินดียินร้ายกับข้อดีตรงนี้สักเท่าไหร่ เธอชอบที่จะแต่งแต้มใบหน้าให้มีสีสันและเปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อยๆ เพราะเหมือนเธอได้ปลดปล่อยอิสระทางความคิดเพราะอย่างนี้เธอถึงได้มีอาชีพเสริมเป็นเมกอัพอาร์ติส

“มินนี่จะถือว่านี่เป็นคำชมนะคะ” หญิงสาวหัวเราะขำกับคำเปรียบเทียบของชายหนุ่ม “ว่าแต่ พูออย่างนี้จะหาว่าเมื่อวานมินนี่แต่งหน้าแก่สินะคะ”

“ไม่ใช่ครับ คือจะว่ายังไงดีละ ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจแฟชั่นแต่เมื่อวานมันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าเวลาคุณไม่แต่งหน้าคุณจะหน้าเด็กขนาดนี้เท่านั้นเอง คราวนี้ผมเลยดูแก่ไปเลย เผลอๆ อาจจะมีคนคิดว่าผมเป็นตาแก่หัวงูแอบหลอกเด็กสาวรึเปล่าไม่รู้” พูดจบก็หัวเราะให้กับความคำพูดของตัวเอง

“ไม่หรอกค่ะ คุณพอลเองก็ไมได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวทำเป็นพูดปลอบใจ และชายหนุ่มเองก็เกือบจะหลงกลเชื่อเข้าแล้วถ้าไม่ได้ยินประโยคที่ตามมาภายหลังอีกประโยคของเธอ

“งั้นก็ไปกันเถอะคะคุณอา” ชนมนพยักหน้าก่อนจะยกกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาสะพาย คนที่จู่ๆ ถูกเรียกอาถึงกับทำหน้าเหวอ อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองตามร่างบางที่เดินนำไปก่อนอย่างคาดไม่ถึง

คุณอาจำเป็นโคลงศีรษะไปมามองหญิงสาวที่เดินนำอยู่ด้านหน้าอย่างมันเขี้ยวนึกในใจว่า ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงทีเขาก็แล้วกัน แม่ไกด์สาวหน้าแฉล้ม



หลังจากซื้อตั๋วเพื่อไปที่เกียวโตไกด์สาวหน้าแฉล้มก็ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดการเดินทางตลอดไปถึงสิ่งของต่างๆ รอบตัวให้ลูกทัวร์จำเป็นฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเกียวโตแล้วค่ะ เมื่อยรึเปล่าคะ” ชนมนหันมาสนใจร่างสูงข้างกายที่มองดูทิวทัศน์ด้วยความสนใจ

“สบายมากครับ ถามแบบนี้จะหาว่าผมแก่รึเปล่าครับ” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นเหล่มองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจ

หญิงสาวยิ้มขำก่อนจะปฏิเสธกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าจริงจัง “แหม แซวนิดๆ หน่อยๆ นี่จำฝังใจเลยนะคะ มินนี่ไม่แน่ใจว่าคุณเคยนั่งรถเป็นเวลานานๆ รึเปล่าไม่อยากให้ถูกหาว่าพาลูกทัวร์มาลำบากลำบนน่ะค่ะ”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ใช่คนเรื่องมาก ไม่ต้องห่วงครับแค่นี้สบายมาก” ชายหนุ่มยืนยันด้วยยกมือการทำสัญลักษณ์โอเค

“ดีค่ะ เพราะที่เกียวโตมีหลายอย่างที่น่าสนใจรอเราอยู่ คุณต้องชอบแน่ๆ” หญิงสาวบอกอย่างภูมิใจ

แววตาที่เธอเอ่ยถึงสถานที่ต่างๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาสังเกตเห็นประกายระยิบระยับในดวงตาสีดำขลับ เห็นแล้วอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

และแล้วก็ไม่ผิดจากคำโฆษณาที่ไกด์สาวจำเป็นของเขาพูดเอาไว้ โปรแกรมท่องเที่ยวเมืองเกียวโตของเธอทำให้เขาสนุกและตื่นเต้นมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขามาเที่ยวโดยไม่ได้ตั้งความคาดหวัง แต่อีกส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะมีเพื่อนร่วมทางอย่างชนมน

“เป็นไงบ้างคะ” ไกด์สาวเอ่ยถามหลังจากพาลูกทัวร์ข้างกายเที่ยวมาทั้งวัน

“สนุกมากครับ นี่ผมรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมาก ถ้าฟ้าไม่มืดคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันค่ำแล้ว” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะ

“งั้นเรากลับที่พักกันเถอะค่ะ ป่านนี้เขาคงเตรียมอาหารให้เราแล้ว”

ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของร่างเล็กที่เดินนำอยู่ข้างหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเอง

จากการใช้เวลาร่วมกันที่เกียวโตในวันนี้ทำให้เขารู้เกี่ยวกับเธอขึ้นมาอีกนิดคือ รู้ว่าเธอมีงานพิเศษหารายได้เสริมระหว่างเรียนคือเป็นเมกอัพอาร์ติส และค่าใช้จ่ายในการมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็มาจากเงินเก็บที่ได้จากการเป็นเมกอัพอาร์ติส

ชนมนทำให้เขาประหลาดใจในหลายอย่าง และบางครั้งมันก็อดไม่ได้ที่เขาจะนำเธอไปเปรียบเทียบกับน้องสาวจอมแสบที่มีวัยใกล้เคียงกัน

หญิงสาวมีความมุ่งมั่นและตั้งใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสมอ เธอหลงใหลกับสิ่งรอบตัวเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก เป็นตัวแทนของความสดใส ร่าเริง ทุกอย่างที่เธอแสดงออกมันสมวัยไม่มากไม่น้อย และที่สำคัญคือตั้งแต่ออกจากโตเกียวมาเขาไม่เห็นเธอแต่งตัวจัดจ้านเหมือนเจอกันครั้งแรกที่ชิบูย่าอีกเลย

หลังรับประทานอาหารค่ำที่ทางที่พักจัดเตรียมไว้ให้แล้วพอลต้องแปลกใจเมื่อเห็นพนักงานโรงแรมนำชุดยูคาตะมาให้ที่ห้องพัก แต่แปลกในได้ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“นอนรึยังคะ ทางโรงแรมแจ้งมาว่าที่เมืองใกล้ๆ เขาจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟค่ะ คุณพอลสนใจจะไปไหมคะ”

“เทศกาลดอกไม้ไฟหรือครับ”

“ค่ะ เทศกาลนี้จะจัดขึ้นในทุกหน้าร้อนของญี่ปุ่น ก็คล้ายๆ จุดพลุในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองของฝรั่งน่ะค่ะ แต่ความสนุกมันจะอยู่ที่มีการออกร้านต่างๆ ของคนในเมืองนั้นๆ ถ้าสนใจจะไปบอกได้นะคะ” คนชวนมองชายหนุ่มที่ทำหน้าครุ่นคิด แอบลุ้นอยู่ลึกๆ ว่าอีกจะตอบว่ายังไง แม้เธอจะเคยไปมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยที่เบื่อจะไปเลยสักครั้ง แต่ถ้าคำตอบของชายหนุ่มคือไม่ เธอก็คงอด เพราะหากให้ไปคนเดียวก็ดูจะอันตรายอยู่

“แล้วคุณมินนี่อยากไปรึเปล่าครับ” เขาถามความสมัครใจของอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ใจจริงในใจเขามีคำตอบอยู่แล้ว แต่เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะเหนื่อยจากการนำเขาเที่ยวมาทั้งวันเลยไม่อยากรบกวนเธออีก

คำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ของอีกฝ่ายทำให้เธอยิ้มกว้างจนตาหยี เท่านี้คนถูกชวนก็พอจะทราบแล้วว่าคำตอบของหญิงสาวคืออะไร เขาเองก็ยิ่งกว่าดีใจจึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง

หนุ่มสาวในชุดพื้นเมืองของญี่ปุ่นเดินเข้ามาในงานที่เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ร้านรวงต่างๆ มีคนมุงอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“จะว่าไปงานพวกนี้ก็คล้ายๆ งานวัดบ้านเรานี่แหละคะ ว่าแต่คุณพอลเองเคยไปเที่ยวงานวัดหรืองานเทศกาลตามต่างจังหวัดที่ประเทศไทยบ้างไหมคะ” คำถามของเธอทำเอาคนถูถามได้แต่ส่ายหน้ายิ้มแห้งๆ

“ไว้กลับไปเมื่อไหร่บอกนะคะ หากมินนี่ว่างจะลองพาไป อ๊ะ ไปดูทางนู้นกันดีกว่าค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางซุ้มที่เต็มไปด้วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยืนออกันอยู่

ขณะที่เดินเคียงกันชนมนสังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างเป็นจุดสนใจพอสมควร เห็นได้จากสายตาของกลุ่มสาวๆ วัยรุ่นที่ชี้ชวนสะกิดกันให้มองเมื่อเห็นเขาเดินผ่านหน้าไป เธอเหลือบสายตาขึ้นมองชายที่สูงดูยังไงก็น่าจะสูงเกิน 180 เซนติเมตรขึ้นไปด้วยแววตาจับสังเกต ดวงตาดำขลับมองผ่านสันจมูกโด่งได้รูปขึ้นไปพบกับดวงตาเรียวรี เหนือดวงตาขึ้นไปเธอพบกับขนคิ้วดกดำที่เรียงตัวเป็นระเบียบ ด้วยใบหน้าขาวจัดทำให้คิ้วเข้มยิ่งดูเด่นชัดขึ้นจนแทบจะกลายเป็นจุดเด่นบนใบหน้า

คิ้วเหมือนชินจังจริงๆ ด้วย ริมฝีปากบางแอบยิ้มเมื่อนึกถึงตัวการ์ตูนที่มีจุดเด่นเหมือนชายหนุ่ม

เมื่อละสายตาจากคิ้วเข้ม เธอก็เปลี่ยนจุดโฟกัสเหลือบลงมามองที่ริมฝีปากหยักได้รูป หญิงสาวพอจะเข้าใจขึ้นมาอีกระดับว่าทำไมสาวๆ ถึงได้มองมาแล้วซุบซิบหน้าแดง ในฐานะช่างแต่งหน้าที่ผ่านหน้าดารานายแบบมาพอสมควร พอลนับว่าเป็นผู้ชายที่มีริมฝีปากสวยคนหนึ่งเท่าที่เธอเคยเห็น ริมฝีปากไม่บางไม่หนา ดูพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเป็นริมฝีปากที่น่าจูบสำหรับสาวๆ

เพราะเอาแต่มองชายหนุ่มเธอเลยไม่ได้เผื่อใจว่าอีกฝ่ายจะก้มลงมามองเธอเหมือนกัน เมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตาเธอโดยบังเอิญทันทีที่สายตาของทั้งคู่หันมาประสานกัน ชนมนเป็นคนแรกที่รีบหันหนีด้วยความตกใจ รู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองเขาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ติดใจอะไร เธอจึงตามน้ำแสร้งทำเป็นวิ่งนำเขาไปที่ร้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอลมองท่าทีสนุกสนานของไกด์สาวอย่างเอ็นดู เธอทำตัวกลมกลืนกับเทศกาลได้อย่างแนบเนียนแทบแยกไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นคนต่างชาติไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างที่เจ้าของร้านเข้าใจ

“ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้นะครับ” ชายหนุ่มนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังบ่อปลาข้างหน้า ในมือถือที่ช้อนปลาท้องที่เป็นรูโหว่ก่อนจะวางมันลงแล้วควักเอาเงินออกมาวางบนถาดแล้วหยิบเอาไม้อันใหม่ขึ้นมา

สีหน้าชายหนุ่มดูเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังจนคนที่ตั้งใจมาเล่นในตอนแรกอดขำไม่ได้ ยิ่งเมื่อเขาเห็นเด็กชายแก้มแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ ช้อนได้ไป 3 ตัวโดยที่เสียไปแค่ไม้เดียวดูเหมือนชายหนุ่มจะยิ่งเครียด แถมยังแอบเหล่อมองเด็กคนนั้นด้วยแววอาฆาตนิดๆ อีกด้วย

“พอเห็นเด็กคนนั้นทำทำไมมันดูเหมือนง่ายจังครับ แต่พอเอาเข้าจริงไม่เห็นง่ายอย่างนั้นเลย น้องเขาโกงรึเปล่าคุณมินนี่” ชายหนุ่มบ่น

“คุณเพิ่งจะเคยเล่นครั้งแรกจะให้เก่งเหมือนน้องเขาที่เล่นมาตั้งแต่จำความได้ได้ยังไงกันคะ” หญิงสาวอธิบายกึ่งปลอบใจ

“เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องผ่านการเล่นเกมช้อนปลาท้องทุกคนเลยเหรอครับ” เขาถามอย่างนึกทึ่ง

สีหน้าที่แสดงออกว่าไม่อยากเชื่อหูของพอลทำเอาคนที่ฟังเขาพูดรู้เรื่องถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็ไม่ทุกคนหรอกค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็น่าจะเล่นเป็น มันก็คล้ายๆ สมัยเด็กของเด็กทุกๆ ประเทศมั้งคะที่จะมีการละเล่นในวัยเด็ก อย่างมินนี่สมัยเด็กก็จะเล่นกระโดดยาง เล่นขายของอะไรไปตามประสา แล้วสมัยเด็กของคุณพอลล่ะคะ”

ชายหนุ่มขะมักเขม้นกับการช้อนปลาทองจนไม่ทันได้ฟังหญิงสาวตอบ เจ้าของคำตอบจึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มขำ ก่อนจะคอยลุ้นชายหนุ่มอยู่ข้างๆ

หลังจากตระเวนเล่นกันจนเหนื่อย ทั้งคู่ก็เลือกพื้นที่ในการยืนชมดอกไม้ไฟที่กำลังจะถูกจุดอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ตำแหน่งที่ทั้งคู่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากนัก ไม่ใช่จุดชมที่ดีที่สุด แต่กลับเป็นความประทับใจที่สุดของชายหนุ่มที่เกือบจะตัดสินใจบินกลับบ้านเกิดหลังจากแผนการเที่ยวล้มเหลว

ภาพหญิงสาวที่แหงนหน้ามองดอกไม้ไฟพร้อมกับยิ้มบางๆ นัยน์ตาสีเข้มที่สะท้อนแสงดอกไม้ไฟวิบวับเป็นประกายชวนมองไม่รู้เบื่อ เขายิ้มให้กับความงามตามธรรมชาติตรงหน้าก่อนจะละสายตาขึ้นไปมองดอกไม้ไฟหลากสีที่ถูกจุดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 15 นาที



“พรุ่งนี้อาจต้องตื่นเช้าหน่อยนะคะ เพราะเราต้องใช้เวลาเดินทางไปโอซาก้าประมาณ 40 นาที” ชนมนหันกลับมาบอกชายหนุ่มหลังจากที่เดินมาถึงที่พักแล้ว

“ได้ครับ”

“ว่าแต่คุณพอลไม่เคยไปเที่ยวที่ยูนิเวอร์แซลจริงๆ นะคะ ไม่ใช่ว่าเกรงใจมินนี่แล้วมาโกหกว่าไม่เคยไปนะ” หญิงสาวแสร้งทำเสียงดุมองเขาอย่างจับผิด

ร่างสูงรีบยกมือโบกปฏิเสธเสียงรัว “จริงๆ ครับ ถึงผมจะอยู่ต่างประเทศแต่ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาออกไปเที่ยวไหน”

“แม้กระทั้งออกเดทกับสาวๆ ก็ไม่เคยเหรอคะ จริงๆ แล้วสถานที่พวกนี้นอกจากมากับเพื่อนส่วนใหญ่ก็มากับแฟนทั้งนั้น” หญิงสาวมองเขาอย่างสงสัย ชายหนุ่มยิ้มแหยนึกตอบอยู่ในใจ

ออกเดทแบบปกติของเขามันเริ่มและจบที่โรงแรมทุกครั้งน่ะสิ

เพราะรู้ว่าขืนตอบออกไปแบบนี้หญิงสาวคงได้กระอักกระอ่วนเป็นแน่ เขาจึงจัดการเปลี่ยนเรื่อง

“แสดงว่าคุณมินนี่เองก็ใช้เป็นสถานที่เดทกับแฟนเหมือนกันสิครับเนี่ย”

หญิงสาวค่อยๆ หุบยิ้มก่อนจะส่ายหน้าหงอยๆ เหมือนปลงตก “เปล่าหรอกค่ะ แฟนมินนี่เขาไม่ชอบเที่ยวอะไรพวกนี้ เขาอาย ส่วนใหญ่มินนี่จะไปกับเพื่อนมากกว่า แต่ยูนิเวอร์แซลของทีนี่มินนี่ก็ยังไม่เคยเข้าชมเหมือนกันคะ เคยไปแค่ที่สิงคโปร์” ร่างบางหันมาให้คำตอบเขาก่อนจะมองไปข้างหน้า

พอลรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินเธอพูดถึงแฟนอย่างเต็มปากเต็มคำ ทั้งที่ใจจริงเขาเองก็คิดว่าคนอย่างชนมนจะมีแฟนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อเธอน่ารักสดใส ที่สำคัญในฐานะผู้ชายเธออยู่ในระดับที่เรียกว่าสวยได้อย่างเต็มปาก อาจเป็นเพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาไม่เห็นเธอคุยโทรศัพท์กับใครเลย มันเลยทำให้เขาคิดว่าบางทีเธออาจจะยังไม่มีใคร แต่พอได้ยินเธอเอ่ยถึงคนรักเป็นครั้งแรกเขาเลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

กล้าปล่อยให้แฟนตัวเอง(สวยด้วย)มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวได้อย่างไร ต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ไม่นึกห่วงบ้างเหรอ

“แล้วนี่ฉันจะคิดมากทำไมวะเนี่ย” พอลพึมพำกับตัวเอง มองเบื้องหลังบอบบางในชุดยูคาตะแล้วพ่นลมหายใจออกมา

“กลับกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า” หญิงสาวเอี้ยวตัวมาชวนเขากลับที่พักซึ่งเขาก็เดินตามอย่างว่าง่าย

ทั้งคู่เดินกลับที่พักไปอย่างเงียบๆ ต่างจมอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ชนมนเองก็จมอยู่กับแผนการท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ส่วนพอลเองก็จมอยู่กับความรู้สึกแปลกๆ งงๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้



ในขณะที่ฝั่งญี่ปุ่นกำลังนอนเพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวในวันรุ่งขึ้นที่ประเทศไทย เดยุลหรือเดียร์เพื่อนสนิทของชนมนกลับกำลังสติแตกเพราะยังหาทางออกให้กับโชว์ชุดสุดท้ายของงานที่ต้องทำส่งอาจารย์ไม่ได้ ขณะที่บรรดาสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมนั่งตาดำคล้ำอดหลับอดนอนติดต่อกันมา 2 คืน

“เดียร์ เราว่าเธอใจเย็นก่อนนะ อย่าเพิ่งสติแตก วันนี้ยังคิดไม่ได้อาจเป็นเพราะพวกเราอดหลับอดนอนมาหลายคืน หัวมันเลยตื้อๆ ลองพักกันก่อนดีไหม” สมาชิกในกลุ่มที่ดูจะมีสติกว่าใครเพื่อนเอ่ยเสนอ

“เฮ้ยแต่นี่อีกไม่กี่วันก็จะต้องส่งรายงานรอบไฟนอลแล้วนะ” เดยุลแย้ง

“แต่ถ้ายังอยู่กันแบบนี้คงมีใครสักคนได้ตายแน่ๆ”

เดยุลเงียบมองหน้าเพื่อนแต่ละคนที่มีสภาพอิดโรยไม่แพ้กัน เธอถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขอโทษเพื่อนทุกๆ คน แล้วสั่งให้แยกย้ายไปพักผ่อน

“เฮ้อ นี่ถ้ายัยมินอยู่นะ จะวิ่งไปขอไอเดียมันสักหน่อย” พอพูดถึงเพื่อนรัก หญิงสาวก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบค้นหาของบางอย่างในลิ้นชักทันที “ดีนะที่ยังไม่ได้คืน” มือขาวหยิบพวงกุญแจมิกกี้เม้าส์อันเป็นกุญแจคอนโดของเพื่อนรักที่ปั้มทิ้งไว้ให้ขึ้นมาก่อนจะฉวยเอากระเป๋าถือใบโปรดติดมือมาด้วย

เดยุลลงจากแท็กซี่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าคอนโดของชนมน เธอนึกได้ว่าที่ห้องของชนมนมีหนังสือแฟชั่นที่เจ้าตัวหอบหิ้วมาจากต่างประเทศอยู่หลายเล่ม เลยกะว่าจะเอามาดูเผื่อได้แรงบันดาลใจ แต่เธอกลับต้องมาพบกับ “แรงปรารถนาหมื่นฟาร์เรนไฮ” ของแฟนหนุ่มของเพื่อนสาว

“นั่นมันพี่ภีมนี่” เดยุลเผลอซ่อนตัวทันทีที่เห็นร่างสูงหุ่นนายแบบเดินโอบเอวคอดกิ่วของนางแบบลูกครึ่งหน้าใหม่ที่เริ่มจะมีผลงานตามแผงนิตยสาร “อย่าบอกนะว่า” เธอมองหนุ่มสาวทั้งโอบทั้งเบียดจนจะแทรกกายเป็นเนื้อเดียวกันเดินผ่านหน้ารปภ.ของคอนโดเข้าไป โดยใช้คีย์การ์ดซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นของเพื่อนเธอที่ทิ้งเอาไว้ให้เช่นเดียวกัน

สมองสั่งการไวพอๆ กับมือที่ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดบันทึกภาพเคลื่อนไหวทันในจังหวะที่ทั้งคู่ก้มลงจูบกันหน้าลิฟต์พอดี เดยุลถึงกับอ้าปากค้างมองหน้าจอมือถือสลับกับภาพจริงตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง

คอนโดที่เพื่อนรักของเธอมาเปิดเอาไว้ทำงานและพักผ่อนเป็นครั้งคราวกำลังจะกลายเป็นรังรักของคนอื่นไม่รู้ตัว เธอควรจะบอกเพื่อนอย่างไรดี หรือจริงๆ เรื่องนี้ไม่ควรบอกใคร...

สักขีพยานสาวนั่งกุมขมับมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ห้องอย่างคิดไม่ตกหลังจากที่รอให้หนุ่มสาวไปแรงสูงขึ้นลิฟต์ไปก่อนหน้า ก่อนที่เธอจะตามมาอย่างห่างๆ จนแน่ใจว่าทั้งคู่เข้าห้องไปแล้วเธอถึงได้เข้าห้องของตัวเองที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องของชนมน

ภาพเคลื่อนไหวที่เธออัพโหลดลงเครื่องคอมพิวเตอร์ยังคงเล่นซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ด้านหลังเป็นหน้าต่างโซเชียลเน็ตเวิร์ดสุดฮิตที่เธอเปิดเอาไว้เพื่อจะอัพโหลดคลิปส่งให้เพื่อนรักทางกล่องข้อความ

“ฉันจะบอกเธอดีไหม แต่ถ้าไม่บอกพี่ภีมก็ต้องหลอกมินนี่อยู่อย่างนี้ นี่ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้วด้วย”

ประเด็นหลักที่เธอคิดว่าภีม ภวัตแฟนหนุ่มของชนมนกล้าที่จะควงหญิงอื่นขึ้นคอนโดเพื่อนของเธอนั้นคงเพราะยังไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ไปเที่ยวกับชนมน คงไม่คิดว่าเธอจะมาเห็นภาพแสดงความรักความใคร่ เพราะหากเขารู้ว่าเธอไม่ได้ไปด้วยเขาคงไม่กล้าพายัยเด็กหน้าใหม่นั้นมาทำทุเรศถึงคอนที่เธอกับชนมนอาศัยอยู่

เดยุลมองโทรศัพท์แล้วก็นึกโมโหเพื่อนเธอที่ไม่ยอมเปิดเครื่อง ชนมนจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ไปเที่ยว เธอจะไม่ยอมพกโทรศัพท์ไปด้วย เครื่องมือสื่อสารเดียวที่เธอจะนำติดตัวไปด้วยคือไอแพดเครื่องเล็กที่ไว้ค่อยอัพเดตสถานะและเก็บรูปภาพมาอัพเดต

“ตอนนี้คงสนุกอยู่ที่เกียวโตแล้วสินะ” หญิงสาวถอนหายใจเมื่อเห็นภาพถ่ายดอกไม้ไฟและการอัพเดตสถานะล่าสุดของเพื่อนเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อน



แม้ว่าที่เมืองไทยบางคนกำลังเครียดจัด แต่ที่ญี่ปุ่นกลับเป็นเช้าที่สดใสของคนคู่หนึ่ง โดยเฉพาะเช้านี้ที่โอซาก้า หน้าพิพิธภัณฑ์นูนิเวอร์แซล

ชายหนุ่มที่ยืนต่อคิวซื้อบัตรผ่านประตูคอยหันไปมองหญิงสาวที่ยืนคอยอยู่เป็นระยะๆ ด้วยความกลัวว่าจะพลัดหลงกันเนื่องจากวันนี้คนเยอะมากอาจเพราะมันตรงกับวันหยุดด้วยคนเลยเยอะเป็นพิเศษ

หลังจากที่ได้ตั๋วมาแล้วหนุ่มสาวทั้ง 2 คนก็ไม่รอช้าใช้สองขาพากันไปต่อคิวเครื่องเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนานชนิดที่ว่าบางคนถึงกับลืมวัยไปเลย

“เป็นไงคะสมราคาคุยของมินนี่รึเปล่า”

“ไม่คิดว่าการมาเล่นอะไรแบบนี้ท่ามกลางเด็กๆ และวัยรุ่นจะทำให้ผมสนุกขนาดนี้ คะแนนเต็ม 10 ให้ 10.5 เลยครับ”

หญิงสาวแสร้งทำเป็นตาโตอ้าปากเหมือนเห็นของแปลก ก่อนทั้งคู่จะหันมาหัวเราะให้กัน

คนที่เพิ่งกลับมาจากซื้อเครื่องดื่มนั่งลงบนม้านั่งพร้อมยื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่อาสาไปซื้อมาให้ไกด์สาวหน้าแฉล้มที่วันนี้แต่งหน้าอ่อนๆ โทนอบอุ่นอย่างที่เจ้าตัวบอก เธอรับมาพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ แต่พอเปิดกระป๋องเท่านั้นแหละ เธอแทบอยากจะกวาดเอาคำขอบคุณที่เอ่ยออกไปเมื่อครู่คืนทันที

ทันทีที่นิ้วเรียวดึงห่วงฝากระป๋องขึ้น ความเย็นของน้ำอัดลมพรุ่งปรี๊ดใส่หน้าเธอจนเธอรีบยืดแขนออกห่างตัวแทบไม่ทัน สายตาพิฆาตตวัดมองไปทางร่างสูงที่เอ่ยคำขอโทษและหัวเราะไปพร้อมๆ กันทันที

“ผมกำลังจะเตือนคุณมินนี่แล้วนะครับ” ชายหนุ่มบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะอาการกลั้นหัวเราะ แต่พอเจอเข้ากับสายตาคาดโทษเขาจ๋อยทันที

“นี่ถ้าฉันสนิทกับคุณพอลมากกว่านี้ฉันจะคิดว่าคุณจงใจแกล้งฉันนะคะ” หญิงสาวประชด

ชายผู้ถูกประชดถึงกับพูดอะไรไม่ออกเริ่มรู้สึกไม่ดีกับการกระทำอันไม่ไตรตรองของตนเองขึ้นมาจริงๆ

เธอเข้าใจไม่ผิดหรอก เขาตั้งใจแหย่เธอ แต่ดูเหมือนมันจะเกินไปหน่อย เขาคงลืมว่าเขากับเธอไม่ได้สนิทกันขนาดจะทำแบบนี้ได้ เพราะหลายวันที่ได้อยู่ร่วมกันเธอทำให้เขาลืมไปว่าทั้งเธอและเขาคือคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน

“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าอย่างสำนึกผิด รอคอยการให้อภัย แต่พอเวลาผ่านไปอีกฝ่ายก็ยังเงียบ ทำเอาเขาใจแกว่ง

รึว่าเธอจะโกรธจริงๆ

พอลเริ่มเป็นกังวลหากเป็นอย่างนี้ทริปท่องเที่ยววันต่อไปต้องกร่อยแน่ๆ หรือไม่เผลอๆ อาจจะไม่มีวันต่อไปอีกเลยก็ได้ถ้าเธอโกรธและขอแยกตัวกับเขา

คนทำความผิดตัดสินใจเงยหน้าเพื่อหวังจะเคลียร์กับเธอ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาเขากลับได้ยินเสียงชัตเตอร์

แชะ! ใบหน้าแฉล้มของคนที่คิดว่าอาจจะกำลังโกรธยิ้มแฉ่งอย่างผู้ชนะ กระป๋องน้ำอัดลมเจ้าปัญหาวางอยู่บนม้านั่ง ขณะที่ในมือเล็กถือไอแพดเอาไว้ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเหมือนเจอของถูกใจ

“คุณต้องไม่รู้แน่ๆ เลยว่าสีหน้าคุณเมื่อกี้ทำเอามินนี่กลั้นหัวเราะแทบแย่ เกร็งหน้าโหดจนกล้ามเนื้อแทบกระตุก ทำไมคะ กลัวว่ามินนี่จะโกรธแล้วตัดหางปล่อยวัดคุณเหรอ” เจ้าของไอแพดมองรูปที่ถ่ายแล้วมองหน้าคนในรูปด้วยความสะใจเล็กๆ ที่เห็นเขาทำหน้าเหวอ

“ตัดหางปล่อยวัด?” ชายหนุ่มทวนประโยคสุดท้ายของหญิงสาวอย่างงวยงง

“ก็ขอแยกทางกับคุณ แล้วหนีไปเที่ยวคนเดียวไงคะ” หญิงสาวอธิบาย อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วต้องผงะ

“เฮ้ย นี่คุณหลอกผมนี่ ผมก็นึกว่าคุณโกรธจริง ตกใจแทบแย่” ชายหนุ่มหน้ามุ่ย

ชนมนอมยิ้ม เก็บไอแพดลงกระเป๋าเป้หูจีบใบเล็ก ลอยหน้าลอยตาบอกกับชายหนุ่มว่าตอนนี้เขากับเธอต่างก็เสมอภาคกันแล้ว ในเมื่อเขาแกล้งเธอก่อนเธอก็ขอเอาคืนบ้าง

“ไม่ต้องห่วงหรอกคะ ฉันมีความรับผิดชอบแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ต่อให้ฉันจะโกรธคุณแค่ไหน ฉันก็ไม่ทิ้งคุณหรอกค่ะ” เธอให้การยืนยัน

“ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย โดนคุณทิ้งนี่ผมคงเคว้งน่าดู หูย แค่คิดก็ปวดท้องแล้ว” ชายหนุ่มทำเป็นนิ่วหน้า ทำเอาคนที่มองอยู่แสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างระอาในมารยาของชายหนุ่ม

การกลั่นแกล้งกันเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งคู่ในวันนี้คล้ายจะช่วยยกระดับความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้าขึ้นมาอีกนิด

“นี่ถ้าที่ไทยเรามีแบบนี้บ้างก็คงดีนะคะ” เธอออกความเห็นหลังดื่มน้ำอัดลมจนหมดกระป๋อง

ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดมันอาจจะสร้างความสงสัยให้เธอ

“นั่นสิครับ”

“เออ แล้วนี่คุณพอลได้กลับเมืองไทยบ้างไหมคะ ยังมีญาติอยู่ที่นั่นบ้างรึเปล่า หรือว่าย้ายมาอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว”

ชายหนุ่มมองคนตั้งคำถาม “ก็มีครับ แต่ไม่สนิทเท่าไหร่ ส่วนเมืองไทยก็เคยไปตอนเด็ก เด็กมากๆ ครับครั้งสองครั้งเองมั้ง”

“เก่งจังนะคะขนาดไม่ค่อยได้กลับไทยยังพูดไทยชัดยิ่งกว่าเด็กไทยบางคนเสียอีก” หญิงสาวเปรียบเทียบเขากับวัยรุ่นในปัจจุบันที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปหมดถึงได้พูดจาฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องออกเสียง ร ล ควบกล้ำ หรือแม้แต่ ส ก็ยังไม่ชัด พากันพูดสไตล์ฝรั่งกันไปหมด

“เพราะที่บ้าน พ่อผมจะบ่นเป็นภาษาไทยอยู่บ่อยๆ น่ะครับ” ชายหนุ่มบอกพลางหัวเราะ ทำให้คนฟังเผลอหัวเราะตามไปด้วย

หญิงสาวมองกระป๋องน้ำอัดลมในมืออ่านข้อความบนกระป๋องไปเรื่อยระหว่างนั่งพักให้หายเหนื่อย จู่ๆ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์

“หายเหนื่อยรึยังคะ ถ้าหายแล้วไปต่อกันเถอะค่ะ เรายังไม่ได้ไปแวะที่จูราสสิค พาร์คเลย นี้สำคัญเลยนะคะพลาดไม่ได้ ไฮไลท์ทีเด็ดอยู่ที่การล่องแก่งในตอนท้าย รับรองคุณจะประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอนค่ะ มินนี่คอนเฟิร์ม!” เห็นการอวดสรรพคุณของไกด์สาวจำเป็นเขาก็อดจะมีอารมณ์คล้อยตามไปด้วยไม่ได้ จนบางทียังนึกหมั่นไส้ตัวเอง

เฮอะ เชื่อคนง่ายจริงนะแก

และผลของการเชื่อคนง่ายก็ทำเอาเขาเดินเปียกโชกออกมาจากแดนไดโนเสาร์ หัวใจยังเต้นรัวเพราะไฮไลท์ทีเด็ดการล่องแก่งอยู่เลย ขณะที่คนข้างๆ เดินตัวแห้งหัวเราะคิกคักจนตาหยี

มาหลอกกันซะได้ ไหนบอกว่าร่องเรือธรรมดา เชียร์เขายิกๆ ให้ลงไปเลย มิน่าตอนถามว่าทำไมไม่ลงไปด้วยกันถึงไม่ยอม อ้างว่าเคยเล่นแล้วและจะเสียสละเฝ้าของให้ ไม่มีอะไรโลดโผน แสบใช่เล่นนะเนี่ย

เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้เขาตระหนักขึ้นมาได้อีกข้อเกี่ยวกับตัวชนมนคือ หญิงสาวยังมีความเป็นเด็กสาวอยู่ เพราะความเก่งเกินอายุของเธอทำให้เขาหลงลืมไปว่ามากับเพื่อนวัยใกล้เคียงกัน ทั้งที่ความจริงเธออายุพอๆ กับน้องสาวเขา เด็กแสบที่ชอบเล่นสนุกและยังขี้แกล้งอีกด้วย

และแน่นอนว่าเป็นอย่างที่เธอบอกว่า เขาประทับใจไม่รู้ลืม เพราะทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้เขามักจะเผลอยิ้มกับตัวเองไม่รู้ตัว ยกเว้นที่เขาไม่อยากจะนึกถึงก็คือเหตุการณ์ในเช้าวันถัดมาที่ทำให้เขาต้องเดินทางกลับภูฏานก่อนกำหนด

เช้าวันที่ตื่นขึ้นมาพบโน้ตขอโทษที่ไม่อาจอยู่เป็นไกด์ให้เขาได้ เพราะเธอต้องบินกลับประเทศไทยกะทันหัน

ความรู้สึกที่ได้อ่านโน้ตใบนั้นที่เธออุตส่าห์เขียนเป็นภาษาอังกฤษเพราะกลัวเขาจะอ่านภาษาไทยไม่ได้ ข้อความสั้นๆ ที่ขอโทษและบอกลา ไม่มีการทิ้งเบอร์ ทิ้งอีเมลหรือช่องทางการติดต่อสื่อสารใดๆ ไว้ให้เขาได้กล่าวขอบคุณหรือร่ำลาเลยแม้แต่น้อย จริงๆ เขาก็ไม่ได้โง่มากขนาดจะไปเที่ยวด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะเธอยังอุตส่าห์แนบแผนที่มาให้ ทว่าเมื่อใจเขาหมดสนุกมันก็ไม่มีความหมาย

เขาไม่ได้ตามไปที่สนามบินเพราะรู้จากพนักงานของโรงแรมว่าเธอได้คืนห้องเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เธอคงไม่อยากรบกวนเขาที่เข้านอนแล้วจึงทำเพียงทิ้งโน้ตเอาไว้

ความรู้สึกก่อนออกจากญี่ปุ่นคือ เสียดาย และโกรธตัวเองเมื่อตลอดกลายวันที่ผ่านมาเขาไม่คิดจะขอเบอร์หรืออีเมลติดต่อของเธอเอาไว้ เพราะคิดว่ายังเหลือเวลาอีกหลายวันว่าจะแยกจากกัน

มิตรภาพไร้พรมแดนที่เริ่มขึ้น ถึงแม้จะมาจากความเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนเธอถึงได้รับตัวเขามาเป็นภาระทั้งที่ไม่จำเป็น

เสียดายเหลือเกินที่ปล่อยให้มิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความทรงจำที่น่าประทับใจ


*****เนื่องจากลงที่เว็บอื่นไปก่อนหน้านานแล้ว เพื่อให้ทันกันขอลงรวดเดียว 3 ตอนเลยนะคะ^^****

+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus

++++++ข่าวฝากค่ะ++++

ขณะนี้ผลงานเรื่องเล่ห์รักพิศวาสซาตานฉบับอีบุ๊คที่เพิ่มตอนพิเศษใหม่ 2 ตอนได้ฤกษ์วางบนเว็บแล้วนะคะ ^^ ใครที่ติดตามเรื่องนี้อยู่เข้าไปโหลดกันได้แล้วเน้อ (ผลงานเก่าที่ชอบมากอีกชิ้นหนึ่งค่ะ เป็นแนวเหมือนจะตลาดแต่ก็ไม่ตลาดออกไปทางขวางโลก ฮี่ๆๆ ฝากไว้ด้วยนะคะ)

http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMjQyNzYxIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNTcxMCI7fQ




ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2556, 20:01:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2556, 00:49:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1107





<< บทที่ 1 บังเอิญหรือโชคชะตา   บทที่ 3 ใจสลาย >>
pkka 16 ส.ค. 2556, 22:20:05 น.
ชอบเรื่องนี้นะ รอติดตามๆ:)


ลาฌีนุส 16 ส.ค. 2556, 23:00:21 น.
ขอบคุณมากๆค่ะ คุณpkka ได้ยินอย่างนี้ชื่นใจจัง


ไม้เอก 17 ส.ค. 2556, 00:31:56 น.
แล้วจะเจอกันอีกยังไงหละทีนี้...รอลุ้น รอลุ้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account