คือสัญญา
เมื่อน้องสาวไม่พอใจเพื่อนของพี่ชายที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เธอจึงคอยแกล้งเขาต่าง ๆ นา ๆ จนวันหนึ่งเขาได้ถามว่าเธอไม่ชอบอะไรเขานักหนา หากจะเป็นเพื่อนกับเธอต้องทำอย่างไร เธอจึงบอกเงื่อนไขที่เหมือนทำให้เขาต้องเปลี่ยนชีวิตของตัวเองทั้งชีวิตใหม่ ซึ่งได้พลั้งปากออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่า ถ้าเขาทำได้ต่อให้เป็นแฟนก็ยังไหว

เขาจึงถือว่าถ้าเขาทำทุกอย่างครบเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว เธอต้องยอมรับเขาเป็นแฟนด้วย นั่นคือสัญญาระหว่างเขาและเธอ

เขาจะเอาชนะใจเธอได้รึเปล่า ติดตามได้เลยค่า...
Tags: คือสัญญา

ตอน: ตอนที่9


สิ้นเสียงปลายทางเขากดวางหูโทรศัพท์มือถือทันที แล้วสปีดฝีเท้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับว่าถ้าเหาะได้ บินได้ หายตัวได้ จะทำทันที เขาอยากจะไปถึงที่นัดหมายให้เร็วที่สุดอย่างใจนึกเดี๋ยวนี้เลย ข่าวร้ายจากสายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ทำให้เขาใจคอไม่ดีเลย เป็นห่วงเพื่อนรักอย่างมาก ไม่รู้อาการจะหนักมากรึเปล่า จะอันตรายถึงชีวิตไหม จะเป็นอย่างไรบ้าง จิตใจเป็นห่วงกังวลตลอดเวลา คนที่เขาเป็นห่วงรองลงมาก็คือน้องสาวของเพื่อน เธอจะรู้สึกอย่างไร จะทำใจได้รึเปล่า หากเหตุการณ์นั้นร้ายแรง เพราะเขารู้ดีว่า ปริมรักพี่ชายมากที่สุด ทุกครั้งที่ปรามไม่สบาย ปริมแทบจะไม่กินไม่นอน จะคอยดูแลพี่ชายอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยเลย

ปฏิการก้าวลงบันไดทีละสามสี่ขั้นอย่างรวดเร็ว สี่ขั้นสุดท้ายเขากระโดดลงบนพื้นชั้นล่างอย่างคล่องแคล่วว่องไว เลี้ยวมุมตึกข้างหน้านี้คือที่นัดหมายปลายทาง ทันทีที่เท้าเลี้ยวมุมตึกไปนั้น เขาต้องชะลอฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน! เท้าที่จะก้าวไปข้างหน้ากลับลังเลไม่แน่ใจ ถอยกลับมาข้างหลังอย่างช้า ๆ ทีละก้าว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขารู้สึกกลัวและไม่กล้า

ปริมยืนคุยอยู่กับหนุ่มหล่อรถป้ายแดงคันหรูคนนั้น !!

เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอยังต้องการจะไปกับเขาอยู่รึเปล่า? หรือเธออาจจะเปลี่ยนใจไปกับหมอนั่นแล้ว แม้ว่าเธอจะรับปากกับเขาไว้แล้วก็ตาม เธอเพียงรอเขาไปพบเพื่อที่จะบอกว่า เธอจะไปกับคนอื่นเท่านั้นเอง เขาควรจะเข้าไปไหม หรือทิ้งเธอเอาไว้กับคนนั้นเลย จะได้ไม่ต้องได้ยินถ้อยคำบาดใจในอนาคตอันใกล้นี้ จิตใจรู้สึกสับสน นึกเปรียบเทียบตัวเองกับหนุ่มหล่อคนนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรที่จะสู้กับคน ๆ นั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ การเรียน เขามันไม่เอาไหน ไม่มีดีอะไรจะเทียบเทียมนายปกป้องได้เลย เขาไม่อยากจะไปยื้อแย่งอะไรกับใคร มันทำให้ต่างฝ่ายต่างเจ็บปวดมากกว่า ให้เธออยู่กับคนที่หัวใจเธอต้องการ คงเป็นสิ่งที่เขาควรทำที่สุด

เขาพยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์เครียดและสับสน พยายามมีสติ และบอกตัวเองในที่สุดว่า สิ่งที่เขาคิดสับสนอยู่นี้นั้น เป็นแค่การคิดไปเองของเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาไม่ควรยัดเยียดความคิดของตัวเองให้เธอ ว่าเธอจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น เขาควรกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงตรงหน้าขณะนี้ ขอเพียงให้เขาได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุดก่อน ได้ให้โอกาศตัวเอง และให้โอกาสเธอเป็นคนเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง หากแม้ว่าเธอจะไม่เลือกเขา เขาก็พร้อมที่จะออกไปจากชีวิตเธอ เมื่อเธอต้องการ!!

ปฏิการตัดสินใจเดินเร็ว ๆ เข้าไปหาปริมทันที

“ปริม!!”
เด็กสาวหันหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นห่วงกังวลมาทางหนุ่มผมยาว

“ให้พี่ไปส่งนะปริม” ปกป้องขอเป็นสารถีช่วยขับรถพาไปส่งโรงพยาบาล
“ไปด้วยกันสิ ปฏิการ” แล้วหันไปชวนอย่างมีน้ำใจ

ปริมมองเวลาที่ข้อมือ แล้วหันไปมองถนนหน้ามหาวิทยาลัยที่รถเริ่มติดเป็นแถวยาวตามเคย สำหรับเวลาเย็น ๆ อย่างนี้

“รถเริ่มติดอีกแล้วพี่ป้อง ปริมไม่รบกวนพี่ดีกว่า ขอบคุณมากนะคะ”

ปกป้องจำนนต่อเหตุผลที่เธอไม่รับความช่วยเหลือจากเขา
“พี่เอาใจช่วยนะปริม ขอให้พี่ปรามปลอดภัยนะ“
“ขอบคุณมากค่ะ ไปก่อนนะคะ”

ปฏิการรู้สึกโล่งอก ที่เธอไม่เป็นอย่างที่เขาคิดกลัวเอาไว้ก่อนหน้านี้ และดีใจที่ตัดสินใจกล้าเผชิญหน้ากับความจริง ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป โดยเฉพาะความคิดในแง่ร้าย ๆ

===============

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อล่องลอยอยู่ทั่วทุกอณูอากาศ เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยสำหรับโรงพยาบาล คนไข้ที่มารอตรวจรักษาดูบางตา และทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้ว พยาบาลในชุดสีขาวสะอาดเดินผ่านไปมา ลิปที่อยู่ไม่ไกลเข็นเตียงคนป่วยสายระโยงระยางเข้าไปบ้าง ออกมาบ้าง

ปรามถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปนานแล้ว หลังจากได้รับอุบัติเหตุ เนื่องจากถูกรถเก๋งของเด็กวัยรุ่นที่เมาแล้วขับชนเข้าอย่างแรง พลิกคว่ำลงข้างทาง ขณะที่ขับรถกลับจากต่างจังหวัดเมื่อเสร็จงานในกลางดึก เด็กวัยรุ่นสองคนในรถคันนั้นเสียชีวิตทันที

ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปิดสว่างจ้าบอกให้รู้ว่ากำลังปฏิบัติการอยู่ ปริมเฝ้ามองหน้าห้องฉุกเฉิน เธอรอคอยประตูสองบานนั้นจะเปิดออกพร้อมกัน รอคอยหมอที่จะออกมาบอกว่าพี่ชายของเธอปลอดภัย เธอได้แต่ภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้น และไม่อยากให้เป็นอย่างอื่นเลย

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาชักช้าเสมอสำหรับการรอคอย มันมักแกล้งให้คนรอคอยทรมานใจ เพื่อน ๆ ทยอยกันกลับไปหมดแล้ว มีเพียงปฏิการที่นั่งคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอเท่านั้น

และแล้วไฟหน้าห้องฉุกเฉินดับลง ประตูห้องฉุกเฉินสองบานนั้นเปิดออก หมอหนุ่มใหญ่ในชุดสีเขียวเข้ม มีผ้าปิดจมูกปิดปากเดินออกมา

ปริมรีบวิ่งเข้าไปหาหมออย่างรวดเร็ว โดยมีปฏิการเดินตามไปติด ๆ

“หมอคะ เป็นอย่างไรบ้างคะ” พลางจับมือหมอเขย่าอย่างร้อนรน

มือของหมออีกข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือของเด็กสาวเอาไว้ แล้วบีบไว้แน่น พลางตบมือของเธอเบา ๆ

“ปริม..” เสียงหมอเรียกชื่อของเธอดังผ่านผ้าปิดปากปิดจมูกฟังอู้อี้ไม่ชัดเจนนัก

หมอหนุ่มใหญ่ถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออก

“ปริม…ปรามปลอดภัยแล้ว”

ปริมมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงันด้วยความตกใจ สมองประมวลผลหน้าตาของบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าขณะนี้ทันที

“พ่อ…!!”

น้ำตารื้นขึ้นมาคลออยู่ในดวงตาคู่นั้น ภาพแม่ร้องไห้ทุกวันทุกคืนอย่างเศร้าโศกเสียใจที่พ่อไปมีผู้หญิงคนอื่นปรากฏอยู่ในห้วงนึกจนจำติดตา ไม่มีวันลืม ปริมดึงมือของตัวเองออกจากการกุมไว้ของบิดา

“ปริม…”

เขาสัมผัสได้ว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของเธอไม่ยอมรับ และไม่ให้อภัยเขา มือที่เอื้อมไปหวังจะได้โอบกอดลูกสาวที่จากกันมานานซักครั้งถูกดึงกลับมาทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดหวัง

“พ่อขอโทษ สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา” แม้จะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดประโยคนี้ แต่เขาก็อยากจะบอกกับลูกอีกครั้ง

“พ่อขอดูแลปรามนะปริม อาการของปรามพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง แต่ยังไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนขนาดไหน ต้องรอให้รู้สึกตัวก่อน ให้พ่อได้มีโอกาสดูแลปรามนะลูก ให้พ่อได้ทำหน้าที่ของพ่อที่ควรจะดูแลลูก ๆ บ้าง” สายตานั้นเต็มไปด้วยคำขอร้อง และเป็นห่วงเป็นใยสุดประมาณ

ปริมนิ่งเงียบไม่ตอบ ราวกับเป็นการตอบปฏิเสธอยู่ในตัว เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สายตาแสนห่วงใย มองทะลุกระจกสี่เหลี่ยมช่องแคบ ๆ เข้าไปเฝ้ามองพี่ชาย คนที่เธอรักที่สุด

หมอหนุ่มใหญ่ถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนมองไปทางปฏิการ
“ผมชื่อปฏิการครับ เป็นเพื่อนของปรามและปริม” เขาแนะนำตัวเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด”

หมอหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ไม่มีถ้อยคำหลุดออกจากปากหมออีกเลย ด้วยความรู้สึกข้างในมันย่ำแย่จนไม่อาจจะพูดคำใดได้อีก

เขาเดินไปตามปริมที่ยืนเฝ้ามองอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน

“ปริมเรากลับกันเถอะนะ”

เธอนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยิน…

ปฏิการเอื้อมมือดึงมือเธอให้เดินตามมา

ปริมหันมามอง

ปฏิการจึงพยักหน้าอีกครั้ง “พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมใหม่นะ ตอนนี้ให้ปรามเขาพักผ่อนก่อน”

เธอเดินตามเขาไปแต่โดยดี แต่สายตายังมองเหลียวหลังอยู่ที่ประตูห้องฉุกเฉิน เขากระชับมือของเธอเอาไว้ อยากบอกให้เธอรับรู้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็ตาม

==============

วันที่หนึ่งผ่านไป… วันที่สองผ่านไป… วันที่สามผ่านไป…

ปรามยังไม่รู้สึกตัว นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย แผ่นอกเคลื่อนไหวตามลมหายใจแผ่วเบาอย่างอ่อนล้าราวกับว่าไม่อยากจะหายใจต่อไปอีกแล้ว ปริมเฝ้าดูอาการของพี่ชายอย่างกังวลใจ ใจหนึ่งไม่อยากจะเจอพ่อ ไม่อยากจะได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่ออีกเลย แต่อาการที่ไม่ดีขึ้นของปรามทำให้ปริมยังไม่ตัดสินใจย้ายพี่ชายออกจากโรงพยาบาลนี้ ที่สำคัญพ่อของเธอเป็นหมอที่เก่ง และมีความชำนาญด้านการผ่าตัดสมองที่สุด เธอไม่อาจจะเอาความโกรธ ความเกลียดพ่อในอดีตมาล้อเล่นกับชีวิตของพี่ชายของเธอได้

“การ…ถ้าฉันจะย้ายพี่ปรามออกจากโรงพยาบาลนี้ไปอยู่โรงพยาบาลใกล้บ้านดีมั้ย” เธอถามเพื่อนหนุ่มขณะเดินไปตามทางเดินหลังผลักประตูกระจกออกมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมพี่ชาย

ปฏิการมองหน้าเธอด้วยคำถาม
“จะย้ายจริงหรอปริม”

“ถ้าพี่ปรามอาการดีขึ้นกว่านี้นะ”

“ปริม…รับความช่วยเหลือจากพ่อเถอะนะ”

“ทำไมต้องรับด้วยล่ะ”

“เพราะยังไงเขาก็เป็นพ่อของปริมกับปรามวันยังค่ำ เขามีสิทธิ์ไม่ใช่หรอ ถ้าปริมไม่รับความช่วยเหลือจากพ่อ ปริมจะไปรับความช่วยเหลือจากใคร จากคนอื่นหรอ แล้วปริมจะมีเงินพอที่จะรักษาปรามได้หรอ ใครจะดูแลปรามดีเท่ากับพ่อของปริมล่ะ”

ปริมถอนหายใจหนัก ๆ รู้สึกสับสนจนกับเหตุผลและความรู้สึกของตัวเองที่ขัดแย้งอยู่ภายในจิตใจ

“เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้วนะ เมื่อเราต่างยังมีลมหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่จะโกรธเกลียดกันไปถึงไหน เราจะทำให้เราต่างเสียความรู้สึกกันไปทำไม ปริมเองมีความสุขใช่ไหมกับการกระทำอย่างนี้”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้เธอต้องคิดทบทวนการกระทำของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าอีกครั้งและอีกครั้ง และเธอรู้ว่าเขาพูดถูกต้องและมีเหตุผลที่ควรจะรับฟัง

ไฟลิฟท์เคลื่อนตัวตามหมายเลขลงมาหยุดเพื่อรับผู้โดยสาร ประตูลิฟท์เปิดออก มีคนเดินออกเดินเข้า ที่สะดุดตาคือมีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักถักเปียสองข้างอายุราว 4-5 ขวบ เดินจูงมือกันออกมากับเด็กชายซึ่งดูตัวโตกว่า ทั้งคู่อยู่ในชุดนักเรียน เห็นแล้วรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู

“มากันสองคนหรือครับ กำลังจะไปไหนเอ่ย…” ปฏิการย่อตัวถามเด็กน้อย
“คับ ผมกำลังจะไปหาพ่อคับ พ่อผมเป็นหมอออออยู่ที่นี่” เด็กชายพูด

ปริมรู้สึกสะดุดหน้าตาของเด็กผู้ชายเหลือเกิน ทำไมถึงเหมือนพี่ปรามตอนยังเด็กขนาดนี้

“ปุ๊บกับปั๊บสวัสดีพี่ปริมสิลูก” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นข้างหลังปริม บอกให้ลูกชายและลูกสาวของเขาทักทายเธอ

หมอหนุ่มใหญ่ย่อตัวรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“สวัสดีครับพี่ปริม” เด็กชายทักทายพี่สาวเสียงใสแจ๋ว “พี่สวยจังเลยคับ” แถมปากหวานอีกต่างหาก
“สวัสดีค่ะพี่ปริม” เด็กหญิงรีบทักทายตามอย่างพี่ชายบ้าง “พี่น่ารักเหมือนหนูเลยนะคะ”

ทุกคนพากันหัวเราะความไร้เดียงสาเด็กน้อย ปริมมองน้อง ๆ อย่างเอ็นดู เธอโกรธเกลียดความบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ไม่ลงจริง ๆ

“ปริม…ให้พ่อได้ดูแลปรามจนหายดีนะ” หมอหนุ่มใหญ่พูดขึ้นอีกครั้ง

ปริมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาบิดา

“ค่ะ พ่อ ขอบคุณค่ะ” เธอกราบลงกับอกของผู้ให้กำเนิด

ชายหนุ่มสวมกอดบุตรสาวไว้ด้วยความคิดถึงเหลือเกินเกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอกันเลย ตอนนั้นปรามอายุ 17 ปริมเพิ่งอายุ 12 ขวบ เขาเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลลูก ๆ ทั้งสองคนนี้อย่างที่ควรจะเป็น

ปฏิการได้แต่ยืนดูด้วยรอยยิ้ม ความรักความเข้าใจกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่ใด ที่นั่นก็เต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นและงดงามเสมอ…

===============

วันที่สาม…วันที่สี่….วันที่ห้า….วันที่หก….วันที่เจ็ดผ่านไป….

ปรามก็ยังไม่รู้สึกตัว ปฏิการเฝ้ามองปริมที่รู้สึกเป็นห่วงพี่ชายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกินข้าวไม่ได้ จนนอนไม่หลับ สมองเต็มไปด้วยความห่วงและกังวลใจตลอดเวลา ชั่วอาทิตย์หนึ่งเธอผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ยอมกินอะไร เขาแอบเห็นของกินที่เขาซื้อมาฝากอยู่ในถังขยะเสมอ แต่เวลาอยู่กับเพื่อน เธอจะทำเป็นร่าเริงเผื่อกลบเกลื่อนไม่ให้เพื่อน ๆ เป็นห่วง แต่เวลาอยู่คนเดียวเขาแอบเห็นเธอเศร้าซึม แอบร้องไห้คนเดียว หลัง ๆ เริ่มไม่ยอมไปเรียน เอาแต่มาเฝ้าพี่ชาย เขาได้แต่สงสารเธอ ไม่กล้าพูดอะไรที่ทำให้เธอสะเทือนใจไปมากกว่านี้

“ปริม…ไปทานข้าวกันเถอะ” ปฏิการชวนเธอออกจากห้องผู้ป่วยในตอนค่ำ

“นายไปกินก่อนเถอะ เดี๋ยวไปกินเอง” สายตายังคงเฝ้ามองหน้าพี่ชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

“ไปด้วยกันเถอะนะ” เขาพยายามใจเย็นขอร้องเธอ และรู้ดีว่าถ้าเชื่อเธอ คงไม่ยอมไปกินแน่นอน

“นายไปเถอะ ฉันยังไม่หิว และกลัวว่าพี่ปรามตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่เจอใคร”

ชายหนุ่มเริ่มอารมณ์ขุ่น ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอปฏิเสธ แต่ทุกครั้งที่ชวนไปทานข้าว เธอจะดื้อตอบแบบนี้เสมอ แต่ยังพยายามบังคับน้ำเสียงให้ปกติ

“ต้องกินอะไรบ้างนะปริม”

เธอยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจ ขยับผ้าห่มห่มให้พี่ชายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ปฏิกิริยาของเธอทำให้เขาคิดว่า จะปล่อยให้เธอเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…

เขาต้องทำอะไรซักอย่าง?

“อยากให้ปรามเจอเธอในสภาพแบบนี้หรือไง!!”

เขาโพล่งออกไปอย่างเหลืออด พูดดีด้วยก็แล้ว ปลอบใจก็แล้ว พยายามหว่านล้อมทุกวิถีทางแล้ว เธอยังดื้อไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มลากข้อมือหญิงสาวเข้าห้องน้ำไปดูสารรูปตัวเองในกระจก ปริมมองเห็นผู้หญิงแก้มตอบ ๆ ขอบตาแดงช้ำและคล้ำจนดูไม่ได้ มีแต่ความหมองเศร้า มันดูแย่มากอย่างที่ไม่เคยเห็นตัวเองมาก่อน

“ปรามจะดีใจมั้ย ที่เห็นปริมเป็นแบบนี้! ปรามจะรู้สึกยังไง แล้วปริมจะเอาแรงที่ไหนดูแลปรามถ้าเขาฟื้นขึ้นมา!!” ปฏิการพูดเสียงดังอย่างลืมตัว

“ไหนบอกจะดูแลปราม! แล้วสภาพแบบนี้จะดูแลไหวหรอ!”

แล้วดึงปริมออกมาดูหน้าพี่ชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

“ปรามคงอยากฟื้นขึ้นมาเจอปริมในสภาพอย่างนี้หรอกนะ!! ที่ปริมทำอยู่ทุกวันนี้ มันช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาบ้าง ฉันขอถามหน่อย!!”

“ฉันเป็นห่วงพี่ปรามมันผิดหรอ…” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา น้ำตารื้นขึ้นมาคลอดวงตาเอาไว้

“ไม่ผิด!! แต่ปริมก็ต้องห่วงตัวเองด้วยสิ! ดูแลตัวเองด้วย ปรามมีพยาบาล มีหมอ มีคุณพ่อ มีปิ่นขวัญที่คอยดูแลอยู่แล้ว ปริมมีหน้าที่ทำอะไร! เรียนด้วยใช่มั้ย! แล้ววันนี้โดดเรียนมาทำไม ไหนปริมบอกฉันเองว่าให้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไง ปริมลืมแล้วเหรอ”

“ฉัน…กลัว…” น้ำตาคลอในขอบตาร่วงผล็อยมาตามแก้มตอบนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นปริมร้องไห้ ปกติเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นง่าย ๆ

“ถ้าไม่มีพี่ปราม…ฉัน…ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร…” เสียงนั้นแตกพร่า…ขาดห้วงเป็นระยะ สลับกับเสียงสะอึกสะอื้น

เขาสวมกอดเธอเอาไว้อย่างปลอบโยน ร่างบอบบางนั้นสั่นไหวเบา ๆ

สะท้อนในหัวใจ หวั่นไหวกับคำพูดประโยคสุดท้ายของเธอ จิตใจเธออ่อนไหวและเปราะบางเหลือเกิน...

“ปริม…ไม่ต้องกลัวนะ ปรามจะไม่เป็นอะไร เชื่อฉันสิ ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม้ว่าปรามจะไม่อยู่ ฉันจะดูแลเธอเอง แต่ตอนนี้ปรามยังมีลมหายใจอยู่ ปริมต้องเชื่อมั่นว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา อย่าทำตัวหมดอะไรตายอยากแบบนี้ได้มั้ย”

เขารู้สึกสงสารเธอเหลือเกิน ไม่อยากให้เธอเป็นแบบนี้เลย เขาอยากจะช่วยเธอ จะทำอย่างไร จะใช้วิธีไหน ที่จะทำให้เธอรู้สึกดีกว่านี้ ทำให้เธอดีขึ้น ทำให้เธอยิ้มได้ ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีกำลังใจ เขาพร้อมจะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง จะยอมเป็นอะไรก็ได้ จะยอมทำอะไรก็ได้ ขอให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งอย่างเดิม





ริเศรษฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2556, 20:57:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2556, 20:57:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1290





<< ตอนที่8   ตอนที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account